ภควัต-คีตา ฉบับเดิม

บทที่ สิบสาม

ธรรมชาติ ผู้รื่นเริง
และจิตสำนึก

โศลก 8-12

อมานิทวัม อดัมบิฺทวัม
อฮิมสา คชานทิร อารจะวัมฺ

อาชาร โยพาสะนัม โชชัม
สไทรยัม อาทมะ-วินิกระฮะฮฺ
อินดริยารเทฺชุ ไวรากยัม
อนะฮังคาระ เอวะ ชะฺ

จันมะ-มริทยุ-จะรา-วิยาดิฺ
ดุฮคฺะ-โดชานุดารชะนัมฺ
อสัคทิร อนะบิฺชวังกะฮ
พุทระ-ดาระ-กริฮาดิชฺุ

นิทยัม ชะ สะมะ-ชิททัททวัม
อิชทานิชโทพะพัททิชฺุ
มะยิ ชานันยะ-โยเกนะ
บัฺคธิร อัพยะบิฺชาริณีฺ

วิวิคทะ-เดชะ-เสวิทวัม
อระทิร จะนะ-สัมสะดิฺ
อัดฺยาทมะ-กยานะ-นิทยัทวัม
ทัททวะ-กยานารทฺะ-ดารชะนัมฺ

เอทัจ กยานัม อิทิ โพรคทัม
อกยานัม ยัด อโท ่นยะทฺาฺ

อมานิทวัมฺ  -  การถ่อมตน, อดัมบิฺทวัมฺ  -  ไม่หยิ่งยะโส, อฮิมสาฺ  -  ไม่เบียดเบียน, คชานทิฮฺ  -  อดทน, อารจะวัมฺ  -  เรียบง่าย, อาชารยะ-อุพาสะนัมฺ  -  เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้มีความจริงใจ, โชชัมฺ  -  ความสะอาด, สไทฺรยัมฺ  -  ความมั่นคง, อาทมะ-วินิกระฮะฮฺ  -  ควบคุมตนเองได้, อินดริยะ-อารเทฺชฺุ  -  ในเรื่องของประสาทสัมผัสต่าง ๆ, ไวรากยัมฺ  -  การเสียสละ, อนะ ฮังคาระฮฺ  -  ไม่มีอหังการ, เอวะฺ  -  แน่นอน, ชะฺ  -  เช่นกัน, จันมะฺ  -  แห่งการเกิด, มริทยฺุ  -  การตาย, จะราฺ  -  ความชรา, วิยาดิฺฺ  -  และโรคภัยไข้เจ็บ, ดุฮคฺะฺ  -  แห่งความทุกข์, โดชะฺ  -  ความผิด, อนุดารชะนัมฺ  -  การสังเกต, อสัคทิฮฺ  -  ไม่ยึดติด, อนะบิฺชวังกะฮฺ  -  ไม่คบหาสมาคม, พุทระฺ  -  สำหรับบุตร, ดาระฺ  -  ภรรยา, กริฮะ-อาดิชฺุ  -  บ้าน ฯลฯ, นิทยัมฺ  -  เสมอ, ชะฺ  -  เช่นกัน, สะมะ-ชิทัทวัมฺ  -  เสมอภาค, อิชทะฺ  -  สิ่งที่ต้องการ, อนิชทะฺ  -  และสิ่งที่ไม่ต้องการ, อุพะพัท ทิชฺุ  -  ได้รับ, มะยิฺ  -  แด่ข้า, ชะฺ  -  เช่นกัน, อนันยะ-โยเกนะฺ  -  ด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์, บัฺคธิฮฺ  -  การอุทิศตนเสียสละ, อัพยะบิฺชาริณีฺ  -  ไม่ขาดตอน, วิวิคทะฺ  -  สันโดษ, เดชะฺ  -  สถานที่, เสวิทวัมฺ  -  ปรารถนา, อระทิฮฺ  -  ไม่ยึดติด, จะนะ-สัมสะดิฺ  -  ต่อผู้คนโดยทั่วไป, อัดฺยาทมะฺ  -  เกี่ยวกับชีวิต, กยานะฺ  -  ในความรู้, นิทยัทวัมฺ  -  เสมอ, ทัททวะ-กยานะฺ  -  ความรู้แห่งสัจจะ, อารทฺะฺ  -  เพื่อจุดมุ่งหมาย, ดารชะนัมฺ  -  ปรัชญา, เอทัทฺ  -  ทั้งหมดนี้, กยา นัมฺ  -  ความรู้, อิทิฺ  -  ดังนั้น, โพรคทัมฺ  -  ประกาศ, อกยานัมฺ  -  อวิชชา, ยัทฺ  -  ซึ่ง, อทะฮฺ  -  จากนี้, อันยะทฺาฺ  -  ผู้อื่น

คำแปลฺ

ถ่อมตน  ไม่หยิ่งยะโส  ไม่เบียดเบียน  อดทน  เรียบง่าย  เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้  สะอาด  มั่นคง  ควบคุมตนเองได้  ละทิ้งอายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส  ปราศจากอหังการ  มองเห็นโทษภัยแห่งการเกิด  แก่  เจ็บ  และตาย  ไม่ยึดติด  เป็นอิสระจากพันธนาการกับลูกหลาน  ภรรยา  บ้าน  ฯลฯ  เสมอภาคท่ามกลางเหตุการณ์ที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ  อุทิศตนเสียสละแก่ข้าด้วยความบริสุทธิ์  สม่ำเสมอ  ปรารถนาอยู่ในสถานที่สันโดษ  ไม่ยึดติดกับฝูงชนโดยทั่วไป  ยอมรับความสำคัญในการรู้แจ้งแห่งตน  และแสวงหาสัจธรรมทางปรัชญาข้าประกาศว่าทั้งหมดนี้คือความรู้  อะไรที่นอกเหนือไปจากนี้คืออวิชชา

คำอธิบายฺ

วิธีการแห่งความรู้นี้บางครั้งมนุษย์ผู้ด้อยปัญญาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลกระทบซึ่งกันและกันของสนามแห่งกิจกรรม  แต่อันที่จริงนี่คือวิธีการที่แท้จริงแห่งความรู้  หากเรายอมรับวิธีการนี้  ความเป็นไปได้ในการเข้าพบสัจธรรมก็บังเกิดขึ้น  นี่ไม่ใช่ผลกระทบซึ่งกันและกันของยี่สิบสี่ธาตุ  ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว  อันที่จริงนี่คือวิถีทางที่จะออกไปจากพันธนาการของธาตุเหล่านี้  วิญญาณในร่างติดกับอยู่ในร่างกายซึ่งเป็นกล่องที่ทำด้วยธาตุทั้งยี่สิบสี่  ได้อธิบายไว้  ณ  ที่นี้ว่า  วิธีการแห่งความรู้เป็นหนทางเพื่อที่จะออกไปจากมัน  วิธีการแห่งความรู้ที่กล่าวมาทั้งหมด  จุดสำคัญที่สุดได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรกของโศลกสิบเอ็ด  มะยิ  ชานันยะ-โยเกนะ  บัฺคธิร  อัพยะบิฺชาริณีฺ  วิธีการแห่งความรู้สิ้นสุดลงที่การอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานด้วยความบริสุทธิ์ใจ  ฉะนั้น  หากเราเข้าไปไม่ถึงหรือไม่สามารถเข้าถึงการรับใช้ทิพย์แห่งองค์ภควาน  อีกสิบเก้ารายการก็ไม่มีคุณค่าใด  ๆ  แต่ถ้าหากเรารับเอาการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกมาปฏิบัติอย่างสมบูรณ์  อีกสิบเก้ารายการจะพัฒนาขึ้นภายในตัวเราโดยปริยายดังที่ได้กล่าวไว้ใน  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  (5.18.12)  ยัสยาสทิ  บัฺคธิร  บฺะกะวะทิ  อคินชะนา  สารไวร  กุไณส  ทะทระ  สะมาสะเท  สูราฮฺ  คุณสมบัติดี  ๆ  ทั้งหลายแห่งความรู้  พัฒนาในบุคคลที่บรรลุถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้  หลักการในการยอมรับพระอาจารย์ทิพย์  ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกแปดนั้นสำคัญมาก  แม้สำหรับผู้ที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อยู่ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ชีวิตทิพย์เริ่มจากที่เรายอมรับพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้  องค์ภควานชรีคริชณะตรัสอย่างชัดเจน  ณ  ที่นี้ว่า  วิธีการแห่งความรู้นี้คือวิถีทางที่แท้จริง  สิ่งใดที่คาดคะเนนอกเหนือไปจากนี้เป็นสิ่งไร้สาระ

สำหรับความรู้ที่สรุปไว้นี้อาจวิเคราะห์ตามรายการได้ดังนี้  การถ่อมตนหมายความว่าเราไม่ควรกระตือรือร้นที่จะได้รับความพึงพอใจในการได้รับเกียรติจากผู้อื่น  แนวความคิดทางชีวิตวัตถุทำให้เรากระตือรือร้นมากที่จะได้รับเกียรติจากผู้อื่นแต่จากสายตาของผู้มีความรู้ที่สมบูรณ์  ผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่ร่างกายนี้  ไม่ว่าจะได้เกียรติหรือเสียเกียรติที่เกี่ยวกับร่างกายนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด  เราไม่ควรทะเยอทะยานอยากได้ภาพลวงตาทางวัตถุนี้  ผู้คนกระตือรือร้นมากที่จะมีชื่อเสียงเพื่อศาสนาของตน  ดังนั้นบางครั้งจะพบว่าแม้ปราศจากความเข้าใจหลักธรรมแห่งศาสนา  เราเข้าไปร่วมกับบางกลุ่มซึ่งอันที่จริงมิได้ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา  และต้องการโฆษณาตนเองว่าเป็นผู้ให้คำแนะนำทางศาสนา  สำหรับความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์อย่างแท้จริง  ควรตรวจสอบว่าตัวเราเจริญก้าวหน้าไปมากเพียงใด  ซึ่งสามารถพิจารณาตามรายการดังต่อไปนี้

การไม่เบียดเบียน  โดยทั่วไปคิดว่าหมายความถึงไม่ฆ่าหรือไม่ทำลายร่างกายแต่อันที่จริง  การไม่เบียดเบียนหมายความถึงไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์  ผู้คนโดยทั่วไปติดกับอยู่ในอวิชชา  อยู่ในแนวคิดชีวิตทางวัตถุ  และได้รับความเจ็บปวดทางวัตถุตลอดเวลา  เราจะเป็นผู้เบียดเบียนหากเราไม่พัฒนาความรู้ทิพย์ให้พวกเขา  เราควรพยายามอย่างดีที่สุดในการแจกจ่ายความรู้อันแท้จริงแก่ผู้อื่น  เพื่ออาจได้รับแสงสว่างและหลุดออกไปจากพันธนาการทางวัตถุนี้  นี่คือการไม่เบียดเบียน

ความอดทน  หมายความว่าเราควรฝึกความอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่น  หากเราปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้าแห่งความรู้ทิพย์  จะโดนดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่นมากมาย  เช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา  เพราะว่าเป็นองค์ประกอบของธรรมชาติวัตถุ  แม้แต่เด็กน้อยเช่นพระฮลาดะมีอายุเพียงห้าขวบ  ปฏิบัติในการพัฒนาความรู้ทิพย์  ยังได้รับอันตรายเมื่อบิดาของตนเองมาเป็นปรปักษ์ต่อการอุทิศตนเสียสละของพระฮลาดะ  บิดาพยายามฆ่าบุตรน้อยด้วยวิธีการต่าง  ๆ  แต่พระฮลาดะก็ยังอดทนดังนั้น  อาจมีอุปสรรคกีดขวางมากมายในการที่จะเจริญก้าวหน้าในความรู้ทิพย์  แต่เราต้องอดทนและก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่องด้วยความมั่นใจ

ความเรียบง่าย  หมายความว่าไม่มีชั้นเชิงทางการทูต  เราควรปฏิบัติตนอย่างตรงไปตรงมาจนสามารถเปิดเผยความจริงใจให้แม้กระทั่งศัตรู  ในเรื่องการยอมรับพระอาจารย์ทิพย์  เรื่องนี้สำคัญเพราะว่าหากปราศจากคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เราจะไม่สามารถเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์  เราควรเข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยประการทั้งปวงและถวายการรับใช้ต่าง  ๆ  เพื่อให้ท่านยินดีและให้พรแก่สาวก  เนื่องจากพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เป็นผู้แทนคริชณะหากท่านให้พรแก่สาวกจะทำให้สาวกเจริญก้าวหน้าทันที  แม้สาวกยังไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม  หลักธรรมจะเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับผู้ที่รับใช้พระอาจารย์ทิพย์อย่างเต็มที่

ความสะอาด  มีความสำคัญเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  มีความสะอาดอยู่สองอย่างคือ  ภายนอกและภายใน  ความสะอาดภายนอกคือการอาบน้ำ  แต่สำหรับความสะอาดภายใน  เราต้องระลึกถึงคริชณะอยู่เสมอ  และสวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะฮะเร  คริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเร  ฮะเร/  ฮะเร  รามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเรฮะเร  วิธีนี้จะชะล้างฝุ่นแห่งกรรมเก่าในอดีตที่สะสมอยู่ภายในจิตใจ

ความมั่นคง  หมายความว่าเราควรมั่นใจ  เราควรมีความมุ่งมั่นมากที่จะเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  หากปราศจากความมุ่งมั่นเช่นนี้  เราจะไม่สามารถทำความเจริญก้าวหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม  การควบคุมตนเองหมายความว่า  เราไม่ควรยอมรับสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อหนทางเพื่อความก้าวหน้าในวิถีทิพย์  เราควรคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้  และปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดต่อวิถีทางเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  นี่คือการเสียสละที่แท้จริง  ประสาทสัมผัสนั้นแข็งแกร่งมากจะคอยกระตุ้นเพื่อให้เราสนองความต้องการของมันอยู่ตลอดเวลา  เราไม่ควรสนองตอบความต้องการที่ไม่จำเป็นเหล่านี้  ประสาทสัมผัสควรได้รับการสนองตอบเพียงเพื่อรักษาร่างกายนี้ให้พอเหมาะ  เพื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้เจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  ประสาทสัมผัสที่สำคัญและควบคุมยากที่สุดคือลิ้น  หากเราสามารถควบคุมลิ้นของเราได้ก็เป็นไปได้ที่จะควบคุมประสาทสัมผัสอื่น  ๆ  หน้าที่ของลิ้นคือรับรสและเปล่งเสียง  ฉะนั้น  ด้วยการควบคุมอย่างเป็นระบบลิ้นควรใช้ในการรับรสอาหารที่เป็นส่วนเหลือหลังจากถวายให้คริชณะ  และสวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  อยู่เสมอ  สำหรับดวงตาไม่ควรปล่อยให้ดูสิ่งอื่นใดนอกจากรูปลักษณ์อันสง่างามของคริชณะ  เช่นนี้คือการควบคุมดวงตา  ในทำนองเดียวกัน  หูควรใช้ไปในการสดับฟังเกี่ยวกับคริชณะ  และจมูกควรดมกลิ่นดอกไม้ที่ถวายให้คริชณะ  นี่คือวิธีการอุทิศตนเสียสละรับใช้  และเป็นที่เข้าใจ  ณ  ที่นี้ว่า  ภควัต-คีตาฺ  เพียงแต่ส่งเสริมศาสตร์แห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้เท่านั้น  การอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นจุดมุ่งหมายหลัก  และเป็นจุดมุ่งหมายเดียว  นักตีความ  ภควัต-คีตาฺ  ผู้ด้อยปัญญาพยายามเบี่ยงเบนจิตใจของผู้อ่านไปในประเด็นอื่น  แต่  ภควัต-คีตาฺ  ไม่มีประเด็นอื่นใด  นอกจาการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่านั้น

อหังการ  หมายถึงการยอมรับร่างกายนี้ว่าเป็นตนเอง  เมื่อเราเข้าใจว่าตัวเราไม่ใช่ร่างกายนี้  แต่เป็นจิตวิญญาณ  เท่ากับเราเข้าใจตนเองหรือสำคัญตนเองอย่างถูกต้อง  การสำคัญตนเองนั้นมีอยู่  การสำคัญตนเองที่ผิดหรือมีอหังการควรถูกยกเลิกและควรสำคัญตนเองให้ถูกต้อง  ในวรรณกรรมพระเวท  (บริฮัด-อารัณยะคะ  อุพะ-  นิชัดฺ  1.4.10)  กล่าวไว้ว่า  อฮัม  บระฮมาสมิฺ  ข้าคือ  บระฮมันฺ  ข้าคือดวงวิญญาณ  คำว่า  “ข้าคือ”  นี้มีความหมายถึงตัวเองและจะมีอยู่แม้ในระดับที่หลุดพ้นในความรู้แจ้งแห่งตนแล้ว  ความรู้สึกว่า  “ข้าคือ”  คือการสำคัญตัว  แต่เมื่อความรู้สึกว่า  “ข้าคือ”  ใช้กับร่างกายที่ผิดนี้จึงเป็นอหังการหรือการสำคัญตัวผิด  เมื่อความรู้สึกแห่งตัวเองใช้กับความเป็นจริง  นั่นเป็นการสำคัญตัวที่ถูกต้องอย่างแท้จริง  มีนักปราชญ์บางคนกล่าวว่าเราควรยกเลิกการสำคัญตัวของเรา  แต่เราไม่สามารถยกเลิกการสำคัญตัวของเราได้เพราะว่าการสำคัญตัวหมายถึงบุคลิกลักษณะ  แน่นอนว่าเราควรยกเลิกบุคลิกลักษณะที่ผิดแห่งร่างกาย

เราควรพยายามเข้าใจความทุกข์ในการยอมรับการเกิด  การตาย  ความแก่  และโรคภัยไข้เจ็บ  มีคำอธิบายในวรรณกรรมพระเวทมากมายเกี่ยวกับการเกิด  ใน  ชรีมัด-  บฺากะวะธัมฺ  ซึ่งเป็นโลกที่ไม่มีการเกิด  ได้อธิบายถึงทารกน้อยที่อยู่ในครรภ์มารดาและความทุกข์ทรมานของเด็กน้อย  ฯลฯ  อย่างเห็นภาพได้ชัด  เราควรเข้าใจอย่างชัดเจนว่า  การเกิดเป็นความทุกข์  เนื่องจากลืมไปว่าเราได้รับความทุกข์และเจ็บปวดมากเพียงใดขณะอยู่ในครรภ์มารดา  เราจึงไม่หาทางออกจากการเกิดและการตายซ้ำซาก  ในลักษณะเดียวกัน  ขณะตายก็มีความทุกข์ทรมานมากมาย  ซึ่งได้อธิบายไว้ในพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้เช่นกัน  ประเด็นเหล่านี้ควรนำมาปรึกษากัน  สำหรับโรคภัยไข้เจ็บและความชราภาพทุก  ๆ  คนมีประสบการณ์  ไม่มีผู้ใดต้องการโรคภัยไข้เจ็บและไม่มีผู้ใดต้องการความชราภาพ  แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้นอกจากเรามองเห็นชีวิตวัตถุในแง่ร้ายและพิจารณาเห็นความทุกข์ทรมานในการเกิด  การตาย  ความแก่  และความเจ็บ  มิฉะนั้นจะไม่มีแรงกระตุ้นเพื่อทำความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์

สำหรับการไม่ยึดติดกับลูกหลาน  ภรรยา  และบ้าน  มิได้หมายความว่าเราไม่ควรมีความรู้สึกใด  ๆ  เลย  บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่เราให้ความรัก  ผู้ที่เรารักและเอ็นดูโดยธรรมชาติ  แต่ถ้าหากไม่เอื้ออำนวยกับความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  เราก็ไม่ควรยึดติด  วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้บ้านมีความสุขคือมีคริชณะจิตสำนึก  หากอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์  จะสามารถทำให้บ้านของเรามีความสุขมาก  เนื่องจากวิธีแห่งคริชณะจิตสำนึกนี้ง่ายมาก  เราเพียงแต่สวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะคริชณะ  ฮะเร  ฮะเร/  ฮะเร  รามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร  รับประทานอาหารที่เหลือหลังจากถวายให้คริชณะ  สนทนาเกี่ยวกับหนังสือ  ภควัต-คีตาฺ  และ  ชรีมัด-  บฺากะวะธัมฺ  และปฏิบัติบูชาพระปฏิมา  สี่ประการนี้จะทำให้เรามีความสุข  เราควรฝึกฝนสมาชิกในครอบครัว  ดังนั้น  สมาชิกในครอบครัวสามารถนั่งรวมกันในตอนเช้าและตอนเย็น  แล้วสวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเร  ฮะเร  /  ฮะเรรามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร  ด้วยกัน  หากสามารถหล่อหลอมชีวิตครอบครัวของเราเช่นนี้  เพื่อพัฒนาคริชณะจิตสำนึก  และปฏิบัติตามหลักธรรมสี่ประการนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนจากชีวิตครอบครัวมาเป็นสันนยาสี  หรือผู้สละโลก  แต่หากไปด้วยกันไม่ได้หรือไม่เอื้ออำนวยต่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  ชีวิตครอบครัวก็ควรจะสละทิ้ง  เราต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรู้แจ้งหรือรับใช้คริชณะ  เหมือนกับที่อารจุนะปฏิบัติ  อารจุนะทรงไม่ปรารถนาสังหารสมาชิกในครอบครัว  แต่เมื่อเข้าใจว่าสมาชิกในครอบครัวเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความรู้แจ้งแห่งคริชณะ  ท่านจึงยอมรับคำสั่งสอน  ของคริชณะ  ลุกขึ้นต่อสู้และสังหารพวกเขา  ในทุก  ๆ  กรณี  เราไม่ควรยึดติดกับทั้งความสุขอย่างสมบูรณ์หรือความทุกข์ในชีวิตครอบครัว  เพราะว่าในโลกนี้เราไม่สามารถมีความสุขอย่างสมบูรณ์หรือมีความทุกข์อย่างบริบูรณ์ได้

ความสุขและความทุกข์เป็นของคู่กันกับชีวิตวัตถุ  เราควรฝึกฝนความอดทนดังที่ได้แนะนำไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  เราไม่สามารถห้ามไม่ให้ความสุขและความทุกข์ไปหรือมาได้  ดังนั้น  เราจึงไม่ควรยึดติดกับวิถีชีวิตทางวัตถุ  และมีความเสมอภาคกับทั้งสองกรณีโดยปริยาย  โดยทั่วไปเมื่อได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราปรารถนา  เราจะมีความสุขมาก  และเมื่อได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ปรารถนาเราก็จะมีความทุกข์แต่ถ้าหากว่าเราอยู่ในสถานภาพทิพย์จริง  สิ่งเหล่านี้จะไม่รบกวนจิตใจเรา  ในการบรรลุถึงระดับนี้  เราต้องฝึกปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้โดยไม่ขาดตอน  การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อคริชณะโดยไม่เบี่ยงเบนหมายถึงปฏิบัติตนในเก้าวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้คือการสวดภาวนา  การสดับฟัง  การบูชา  การถวายความเคารพ  ฯลฯ  ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกสุดท้ายของบทที่เก้า  วิธีนี้เราควรปฏิบัติตาม

โดยธรรมชาติเมื่อเราปรับตัวกับวิถีชีวิตทิพย์  เราจะไม่ต้องการไปมั่วสุมกับนักวัตถุนิยม  เพราะจะเป็นการสวนทางกัน  เราอาจทดสอบตัวเองว่า  มีแนวโน้มที่จะอยู่อย่างสันโดษมากเพียงไรโดยไม่คบหาสมาคมกับผู้ไม่พึงปรารถนา  โดยธรรมชาติสาวกไม่ชอบกีฬาหรือไปโรงภาพยนตร์โดยไม่จำเป็น  หรือหรรษาไปกับงานรื่นเริงทางสังคม  เพราะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเสียเวลา  มีนักวิชาการและนักปราชญ์มากมายที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตเพศสัมพันธ์หรือประเด็นอื่น  ๆ  แต่ตาม  ภควัต-คีตาฺ  งานศึกษาวิจัยและคาดคะเนทางปรัชญาเหล่านี้ไม่มีคุณค่าใด  ๆ  เลย  เป็นสิ่งที่ไร้สาระทั้งสิ้น  ตาม  ภควัต-  คีตาฺ  เราควรศึกษาวิจัยด้วยการใคร่ครวญพิจารณาทางปรัชญาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับธรรมชาติของดวงวิญญาณ  เราควรค้นคว้าเพื่อให้เข้าใจดวงชีวิต  นี่คือคำแนะนำ  ณ  ที่นี้

สำหรับความรู้แจ้งแห่งตนได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน  ณ  ที่นี้ว่า  ภักดี-โยคะฺ  ปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมได้โดยเฉพาะ  ทันทีที่มีคำถามเกี่ยวกับการอุทิศตนเสียสละ  เราต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณ  ปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณไม่สามารถเป็นหนึ่ง  อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่แนวคิดของ  บัฺคธิฺ  หรือแนวคิดแห่งการอุทิศตนเสียสละของชีวิต  การรับใช้ของปัจเจกวิญญาณต่ออภิวิญญาณผู้สูงสุดเป็นอมตะ  นิทยัมฺ  ดังที่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน  ดังนั้น  บัฺคธิฺ  หรือการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นอมตะ  เราควรสถิตอย่างมั่นใจในปรัชญาเช่นนั้น

ใน  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  (1.2.11)อธิบายไว้ดังนี้  วะดันทิ  ทัท  ทัททวะ-วิดัส  ทัทท  วัม  ยัจ  กยานัม  อัดวะยัมฺ  “พวกที่เป็นผู้รู้สัจธรรมโดยแท้จริง  รู้ว่าองค์ภควานทรงรู้แจ้งได้ในสามระดับที่ไม่เหมือนกันคือ  บระฮมัน  พะระมาทมาฺ  และบฺะกะวานฺ”  บฺะกะวานฺ  เป็นคำสุดท้ายแห่งการรู้แจ้งสัจธรรม  ฉะนั้น  เราควรมาถึงระดับแห่งการเข้าใจองค์ภควานและปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์  นั่นคือความสมบูรณ์แห่งความรู้

เริ่มต้นจากการฝึกปฏิบัติความอ่อนน้อมถ่อมตนจนมาถึงจุดแห่งการรู้แจ้งสัจธรรมสูงสุด  องค์ภควานผู้สมบูรณ์  วิธีนี้เหมือนกับขั้นบันได  เริ่มต้นจากพื้นฐานขั้นแรกและขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุด  บนขั้นบันไดนี้มีหลายคนที่มาถึงชั้นหนึ่ง  ชั้นสอง  หรือชั้นสาม  ฯลฯ  แต่นอกจากเรามาถึงชั้นสูงสุดซึ่งเป็นการเข้าใจคริชณะ  มิฉะนั้น  เรายังอยู่ในความรู้ระดับที่ต่ำ  หากผู้ใดต้องการแข่งขันกับองค์ภควาน  และในขณะเดียวกันพยายามเจริญก้าวหน้าในความรู้ทิพย์  จะไม่สมหวัง  ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า  หากปราศจากความอ่อนน้อมถ่อมตนจะไม่มีทางเข้าใจ  การคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าเป็นการผยองที่สุด  ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตถูกกฎอันเหนียวแน่นแห่งธรรมชาติวัตถุเตะอยู่ตลอดเวลา  เรายังคิดว่า  “ข้าคือพระเจ้า”  เนื่องมาจากอวิชชา  ฉะนั้น  จุดเริ่มต้นของความรู้คือ  อมานิทวะฺหรือความอ่อนน้อมถ่อมตน  เราควรถ่อมตนและรู้ว่าตัวเราต่ำกว่าองค์ภควาน  เนื่องจากฝ่าฝืนพระองค์  เราจึงต้องมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของธรรมชาติวัตถุ  เราควรรู้และมั่นใจความจริงเช่นนี้