ธรรมชาติ ผู้รื่นเริง
และจิตสำนึก
โศลก 8-12
อมานิทวัม อดัมบิฺทวัม
อฮิมสา คชานทิร อารจะวัมฺ
อาชาร โยพาสะนัม โชชัม
สไทรยัม อาทมะ-วินิกระฮะฮฺ
อินดริยารเทฺชุ ไวรากยัม
อนะฮังคาระ เอวะ ชะฺ
จันมะ-มริทยุ-จะรา-วิยาดิฺ
ดุฮคฺะ-โดชานุดารชะนัมฺ
อสัคทิร อนะบิฺชวังกะฮ
พุทระ-ดาระ-กริฮาดิชฺุ
นิทยัม ชะ สะมะ-ชิททัททวัม
อิชทานิชโทพะพัททิชฺุ
มะยิ ชานันยะ-โยเกนะ
บัฺคธิร อัพยะบิฺชาริณีฺ
วิวิคทะ-เดชะ-เสวิทวัม
อระทิร จะนะ-สัมสะดิฺ
อัดฺยาทมะ-กยานะ-นิทยัทวัม
ทัททวะ-กยานารทฺะ-ดารชะนัมฺ
เอทัจ กยานัม อิทิ โพรคทัม
อกยานัม ยัด อโท ่นยะทฺาฺ
อมานิทวัมฺ - การถ่อมตน, อดัมบิฺทวัมฺ - ไม่หยิ่งยะโส, อฮิมสาฺ - ไม่เบียดเบียน, คชานทิฮฺ - อดทน, อารจะวัมฺ - เรียบง่าย, อาชารยะ-อุพาสะนัมฺ - เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้มีความจริงใจ, โชชัมฺ - ความสะอาด, สไทฺรยัมฺ - ความมั่นคง, อาทมะ-วินิกระฮะฮฺ - ควบคุมตนเองได้, อินดริยะ-อารเทฺชฺุ - ในเรื่องของประสาทสัมผัสต่าง ๆ, ไวรากยัมฺ - การเสียสละ, อนะ ฮังคาระฮฺ - ไม่มีอหังการ, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - เช่นกัน, จันมะฺ - แห่งการเกิด, มริทยฺุ - การตาย, จะราฺ - ความชรา, วิยาดิฺฺ - และโรคภัยไข้เจ็บ, ดุฮคฺะฺ - แห่งความทุกข์, โดชะฺ - ความผิด, อนุดารชะนัมฺ - การสังเกต, อสัคทิฮฺ - ไม่ยึดติด, อนะบิฺชวังกะฮฺ - ไม่คบหาสมาคม, พุทระฺ - สำหรับบุตร, ดาระฺ - ภรรยา, กริฮะ-อาดิชฺุ - บ้าน ฯลฯ, นิทยัมฺ - เสมอ, ชะฺ - เช่นกัน, สะมะ-ชิทัทวัมฺ - เสมอภาค, อิชทะฺ - สิ่งที่ต้องการ, อนิชทะฺ - และสิ่งที่ไม่ต้องการ, อุพะพัท ทิชฺุ - ได้รับ, มะยิฺ - แด่ข้า, ชะฺ - เช่นกัน, อนันยะ-โยเกนะฺ - ด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์, บัฺคธิฮฺ - การอุทิศตนเสียสละ, อัพยะบิฺชาริณีฺ - ไม่ขาดตอน, วิวิคทะฺ - สันโดษ, เดชะฺ - สถานที่, เสวิทวัมฺ - ปรารถนา, อระทิฮฺ - ไม่ยึดติด, จะนะ-สัมสะดิฺ - ต่อผู้คนโดยทั่วไป, อัดฺยาทมะฺ - เกี่ยวกับชีวิต, กยานะฺ - ในความรู้, นิทยัทวัมฺ - เสมอ, ทัททวะ-กยานะฺ - ความรู้แห่งสัจจะ, อารทฺะฺ - เพื่อจุดมุ่งหมาย, ดารชะนัมฺ - ปรัชญา, เอทัทฺ - ทั้งหมดนี้, กยา นัมฺ - ความรู้, อิทิฺ - ดังนั้น, โพรคทัมฺ - ประกาศ, อกยานัมฺ - อวิชชา, ยัทฺ - ซึ่ง, อทะฮฺ - จากนี้, อันยะทฺาฺ - ผู้อื่น
คำแปลฺ
ถ่อมตน ไม่หยิ่งยะโส ไม่เบียดเบียน อดทน เรียบง่าย เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้ สะอาด มั่นคง ควบคุมตนเองได้ ละทิ้งอายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส ปราศจากอหังการ มองเห็นโทษภัยแห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย ไม่ยึดติด เป็นอิสระจากพันธนาการกับลูกหลาน ภรรยา บ้าน ฯลฯ เสมอภาคท่ามกลางเหตุการณ์ที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ อุทิศตนเสียสละแก่ข้าด้วยความบริสุทธิ์ สม่ำเสมอ ปรารถนาอยู่ในสถานที่สันโดษ ไม่ยึดติดกับฝูงชนโดยทั่วไป ยอมรับความสำคัญในการรู้แจ้งแห่งตน และแสวงหาสัจธรรมทางปรัชญาข้าประกาศว่าทั้งหมดนี้คือความรู้ อะไรที่นอกเหนือไปจากนี้คืออวิชชา
คำอธิบายฺ
วิธีการแห่งความรู้นี้บางครั้งมนุษย์ผู้ด้อยปัญญาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลกระทบซึ่งกันและกันของสนามแห่งกิจกรรม แต่อันที่จริงนี่คือวิธีการที่แท้จริงแห่งความรู้ หากเรายอมรับวิธีการนี้ ความเป็นไปได้ในการเข้าพบสัจธรรมก็บังเกิดขึ้น นี่ไม่ใช่ผลกระทบซึ่งกันและกันของยี่สิบสี่ธาตุ ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว อันที่จริงนี่คือวิถีทางที่จะออกไปจากพันธนาการของธาตุเหล่านี้ วิญญาณในร่างติดกับอยู่ในร่างกายซึ่งเป็นกล่องที่ทำด้วยธาตุทั้งยี่สิบสี่ ได้อธิบายไว้ ณ ที่นี้ว่า วิธีการแห่งความรู้เป็นหนทางเพื่อที่จะออกไปจากมัน วิธีการแห่งความรู้ที่กล่าวมาทั้งหมด จุดสำคัญที่สุดได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรกของโศลกสิบเอ็ด มะยิ ชานันยะ-โยเกนะ บัฺคธิร อัพยะบิฺชาริณีฺ วิธีการแห่งความรู้สิ้นสุดลงที่การอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ฉะนั้น หากเราเข้าไปไม่ถึงหรือไม่สามารถเข้าถึงการรับใช้ทิพย์แห่งองค์ภควาน อีกสิบเก้ารายการก็ไม่มีคุณค่าใด ๆ แต่ถ้าหากเรารับเอาการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกมาปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ อีกสิบเก้ารายการจะพัฒนาขึ้นภายในตัวเราโดยปริยายดังที่ได้กล่าวไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (5.18.12) ยัสยาสทิ บัฺคธิร บฺะกะวะทิ อคินชะนา สารไวร กุไณส ทะทระ สะมาสะเท สูราฮฺ คุณสมบัติดี ๆ ทั้งหลายแห่งความรู้ พัฒนาในบุคคลที่บรรลุถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ หลักการในการยอมรับพระอาจารย์ทิพย์ ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกแปดนั้นสำคัญมาก แม้สำหรับผู้ที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อยู่ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ชีวิตทิพย์เริ่มจากที่เรายอมรับพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้ องค์ภควานชรีคริชณะตรัสอย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า วิธีการแห่งความรู้นี้คือวิถีทางที่แท้จริง สิ่งใดที่คาดคะเนนอกเหนือไปจากนี้เป็นสิ่งไร้สาระ
สำหรับความรู้ที่สรุปไว้นี้อาจวิเคราะห์ตามรายการได้ดังนี้ การถ่อมตนหมายความว่าเราไม่ควรกระตือรือร้นที่จะได้รับความพึงพอใจในการได้รับเกียรติจากผู้อื่น แนวความคิดทางชีวิตวัตถุทำให้เรากระตือรือร้นมากที่จะได้รับเกียรติจากผู้อื่นแต่จากสายตาของผู้มีความรู้ที่สมบูรณ์ ผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ว่าจะได้เกียรติหรือเสียเกียรติที่เกี่ยวกับร่างกายนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เราไม่ควรทะเยอทะยานอยากได้ภาพลวงตาทางวัตถุนี้ ผู้คนกระตือรือร้นมากที่จะมีชื่อเสียงเพื่อศาสนาของตน ดังนั้นบางครั้งจะพบว่าแม้ปราศจากความเข้าใจหลักธรรมแห่งศาสนา เราเข้าไปร่วมกับบางกลุ่มซึ่งอันที่จริงมิได้ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา และต้องการโฆษณาตนเองว่าเป็นผู้ให้คำแนะนำทางศาสนา สำหรับความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์อย่างแท้จริง ควรตรวจสอบว่าตัวเราเจริญก้าวหน้าไปมากเพียงใด ซึ่งสามารถพิจารณาตามรายการดังต่อไปนี้
การไม่เบียดเบียน โดยทั่วไปคิดว่าหมายความถึงไม่ฆ่าหรือไม่ทำลายร่างกายแต่อันที่จริง การไม่เบียดเบียนหมายความถึงไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ ผู้คนโดยทั่วไปติดกับอยู่ในอวิชชา อยู่ในแนวคิดชีวิตทางวัตถุ และได้รับความเจ็บปวดทางวัตถุตลอดเวลา เราจะเป็นผู้เบียดเบียนหากเราไม่พัฒนาความรู้ทิพย์ให้พวกเขา เราควรพยายามอย่างดีที่สุดในการแจกจ่ายความรู้อันแท้จริงแก่ผู้อื่น เพื่ออาจได้รับแสงสว่างและหลุดออกไปจากพันธนาการทางวัตถุนี้ นี่คือการไม่เบียดเบียน
ความอดทน หมายความว่าเราควรฝึกความอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่น หากเราปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้าแห่งความรู้ทิพย์ จะโดนดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่นมากมาย เช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าเป็นองค์ประกอบของธรรมชาติวัตถุ แม้แต่เด็กน้อยเช่นพระฮลาดะมีอายุเพียงห้าขวบ ปฏิบัติในการพัฒนาความรู้ทิพย์ ยังได้รับอันตรายเมื่อบิดาของตนเองมาเป็นปรปักษ์ต่อการอุทิศตนเสียสละของพระฮลาดะ บิดาพยายามฆ่าบุตรน้อยด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่พระฮลาดะก็ยังอดทนดังนั้น อาจมีอุปสรรคกีดขวางมากมายในการที่จะเจริญก้าวหน้าในความรู้ทิพย์ แต่เราต้องอดทนและก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่องด้วยความมั่นใจ
ความเรียบง่าย หมายความว่าไม่มีชั้นเชิงทางการทูต เราควรปฏิบัติตนอย่างตรงไปตรงมาจนสามารถเปิดเผยความจริงใจให้แม้กระทั่งศัตรู ในเรื่องการยอมรับพระอาจารย์ทิพย์ เรื่องนี้สำคัญเพราะว่าหากปราศจากคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เราจะไม่สามารถเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์ เราควรเข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยประการทั้งปวงและถวายการรับใช้ต่าง ๆ เพื่อให้ท่านยินดีและให้พรแก่สาวก เนื่องจากพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เป็นผู้แทนคริชณะหากท่านให้พรแก่สาวกจะทำให้สาวกเจริญก้าวหน้าทันที แม้สาวกยังไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม หลักธรรมจะเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับผู้ที่รับใช้พระอาจารย์ทิพย์อย่างเต็มที่
ความสะอาด มีความสำคัญเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ มีความสะอาดอยู่สองอย่างคือ ภายนอกและภายใน ความสะอาดภายนอกคือการอาบน้ำ แต่สำหรับความสะอาดภายใน เราต้องระลึกถึงคริชณะอยู่เสมอ และสวดภาวนา ฮะเร คริชณะฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเรฮะเร วิธีนี้จะชะล้างฝุ่นแห่งกรรมเก่าในอดีตที่สะสมอยู่ภายในจิตใจ
ความมั่นคง หมายความว่าเราควรมั่นใจ เราควรมีความมุ่งมั่นมากที่จะเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ หากปราศจากความมุ่งมั่นเช่นนี้ เราจะไม่สามารถทำความเจริญก้าวหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม การควบคุมตนเองหมายความว่า เราไม่ควรยอมรับสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อหนทางเพื่อความก้าวหน้าในวิถีทิพย์ เราควรคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ และปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดต่อวิถีทางเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ นี่คือการเสียสละที่แท้จริง ประสาทสัมผัสนั้นแข็งแกร่งมากจะคอยกระตุ้นเพื่อให้เราสนองความต้องการของมันอยู่ตลอดเวลา เราไม่ควรสนองตอบความต้องการที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ ประสาทสัมผัสควรได้รับการสนองตอบเพียงเพื่อรักษาร่างกายนี้ให้พอเหมาะ เพื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้เจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ ประสาทสัมผัสที่สำคัญและควบคุมยากที่สุดคือลิ้น หากเราสามารถควบคุมลิ้นของเราได้ก็เป็นไปได้ที่จะควบคุมประสาทสัมผัสอื่น ๆ หน้าที่ของลิ้นคือรับรสและเปล่งเสียง ฉะนั้น ด้วยการควบคุมอย่างเป็นระบบลิ้นควรใช้ในการรับรสอาหารที่เป็นส่วนเหลือหลังจากถวายให้คริชณะ และสวดภาวนา ฮะเร คริชณะ อยู่เสมอ สำหรับดวงตาไม่ควรปล่อยให้ดูสิ่งอื่นใดนอกจากรูปลักษณ์อันสง่างามของคริชณะ เช่นนี้คือการควบคุมดวงตา ในทำนองเดียวกัน หูควรใช้ไปในการสดับฟังเกี่ยวกับคริชณะ และจมูกควรดมกลิ่นดอกไม้ที่ถวายให้คริชณะ นี่คือวิธีการอุทิศตนเสียสละรับใช้ และเป็นที่เข้าใจ ณ ที่นี้ว่า ภควัต-คีตาฺ เพียงแต่ส่งเสริมศาสตร์แห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้เท่านั้น การอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นจุดมุ่งหมายหลัก และเป็นจุดมุ่งหมายเดียว นักตีความ ภควัต-คีตาฺ ผู้ด้อยปัญญาพยายามเบี่ยงเบนจิตใจของผู้อ่านไปในประเด็นอื่น แต่ ภควัต-คีตาฺ ไม่มีประเด็นอื่นใด นอกจาการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่านั้น
อหังการ หมายถึงการยอมรับร่างกายนี้ว่าเป็นตนเอง เมื่อเราเข้าใจว่าตัวเราไม่ใช่ร่างกายนี้ แต่เป็นจิตวิญญาณ เท่ากับเราเข้าใจตนเองหรือสำคัญตนเองอย่างถูกต้อง การสำคัญตนเองนั้นมีอยู่ การสำคัญตนเองที่ผิดหรือมีอหังการควรถูกยกเลิกและควรสำคัญตนเองให้ถูกต้อง ในวรรณกรรมพระเวท (บริฮัด-อารัณยะคะ อุพะ- นิชัดฺ 1.4.10) กล่าวไว้ว่า อฮัม บระฮมาสมิฺ ข้าคือ บระฮมันฺ ข้าคือดวงวิญญาณ คำว่า “ข้าคือ” นี้มีความหมายถึงตัวเองและจะมีอยู่แม้ในระดับที่หลุดพ้นในความรู้แจ้งแห่งตนแล้ว ความรู้สึกว่า “ข้าคือ” คือการสำคัญตัว แต่เมื่อความรู้สึกว่า “ข้าคือ” ใช้กับร่างกายที่ผิดนี้จึงเป็นอหังการหรือการสำคัญตัวผิด เมื่อความรู้สึกแห่งตัวเองใช้กับความเป็นจริง นั่นเป็นการสำคัญตัวที่ถูกต้องอย่างแท้จริง มีนักปราชญ์บางคนกล่าวว่าเราควรยกเลิกการสำคัญตัวของเรา แต่เราไม่สามารถยกเลิกการสำคัญตัวของเราได้เพราะว่าการสำคัญตัวหมายถึงบุคลิกลักษณะ แน่นอนว่าเราควรยกเลิกบุคลิกลักษณะที่ผิดแห่งร่างกาย
เราควรพยายามเข้าใจความทุกข์ในการยอมรับการเกิด การตาย ความแก่ และโรคภัยไข้เจ็บ มีคำอธิบายในวรรณกรรมพระเวทมากมายเกี่ยวกับการเกิด ใน ชรีมัด- บฺากะวะธัมฺ ซึ่งเป็นโลกที่ไม่มีการเกิด ได้อธิบายถึงทารกน้อยที่อยู่ในครรภ์มารดาและความทุกข์ทรมานของเด็กน้อย ฯลฯ อย่างเห็นภาพได้ชัด เราควรเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การเกิดเป็นความทุกข์ เนื่องจากลืมไปว่าเราได้รับความทุกข์และเจ็บปวดมากเพียงใดขณะอยู่ในครรภ์มารดา เราจึงไม่หาทางออกจากการเกิดและการตายซ้ำซาก ในลักษณะเดียวกัน ขณะตายก็มีความทุกข์ทรมานมากมาย ซึ่งได้อธิบายไว้ในพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้เช่นกัน ประเด็นเหล่านี้ควรนำมาปรึกษากัน สำหรับโรคภัยไข้เจ็บและความชราภาพทุก ๆ คนมีประสบการณ์ ไม่มีผู้ใดต้องการโรคภัยไข้เจ็บและไม่มีผู้ใดต้องการความชราภาพ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้นอกจากเรามองเห็นชีวิตวัตถุในแง่ร้ายและพิจารณาเห็นความทุกข์ทรมานในการเกิด การตาย ความแก่ และความเจ็บ มิฉะนั้นจะไม่มีแรงกระตุ้นเพื่อทำความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์
สำหรับการไม่ยึดติดกับลูกหลาน ภรรยา และบ้าน มิได้หมายความว่าเราไม่ควรมีความรู้สึกใด ๆ เลย บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่เราให้ความรัก ผู้ที่เรารักและเอ็นดูโดยธรรมชาติ แต่ถ้าหากไม่เอื้ออำนวยกับความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ เราก็ไม่ควรยึดติด วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้บ้านมีความสุขคือมีคริชณะจิตสำนึก หากอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ จะสามารถทำให้บ้านของเรามีความสุขมาก เนื่องจากวิธีแห่งคริชณะจิตสำนึกนี้ง่ายมาก เราเพียงแต่สวดภาวนา ฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะคริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร รับประทานอาหารที่เหลือหลังจากถวายให้คริชณะ สนทนาเกี่ยวกับหนังสือ ภควัต-คีตาฺ และ ชรีมัด- บฺากะวะธัมฺ และปฏิบัติบูชาพระปฏิมา สี่ประการนี้จะทำให้เรามีความสุข เราควรฝึกฝนสมาชิกในครอบครัว ดังนั้น สมาชิกในครอบครัวสามารถนั่งรวมกันในตอนเช้าและตอนเย็น แล้วสวดภาวนา ฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร / ฮะเรรามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร ด้วยกัน หากสามารถหล่อหลอมชีวิตครอบครัวของเราเช่นนี้ เพื่อพัฒนาคริชณะจิตสำนึก และปฏิบัติตามหลักธรรมสี่ประการนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนจากชีวิตครอบครัวมาเป็นสันนยาสี หรือผู้สละโลก แต่หากไปด้วยกันไม่ได้หรือไม่เอื้ออำนวยต่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ ชีวิตครอบครัวก็ควรจะสละทิ้ง เราต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรู้แจ้งหรือรับใช้คริชณะ เหมือนกับที่อารจุนะปฏิบัติ อารจุนะทรงไม่ปรารถนาสังหารสมาชิกในครอบครัว แต่เมื่อเข้าใจว่าสมาชิกในครอบครัวเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความรู้แจ้งแห่งคริชณะ ท่านจึงยอมรับคำสั่งสอน ของคริชณะ ลุกขึ้นต่อสู้และสังหารพวกเขา ในทุก ๆ กรณี เราไม่ควรยึดติดกับทั้งความสุขอย่างสมบูรณ์หรือความทุกข์ในชีวิตครอบครัว เพราะว่าในโลกนี้เราไม่สามารถมีความสุขอย่างสมบูรณ์หรือมีความทุกข์อย่างบริบูรณ์ได้
ความสุขและความทุกข์เป็นของคู่กันกับชีวิตวัตถุ เราควรฝึกฝนความอดทนดังที่ได้แนะนำไว้ใน ภควัต-คีตาฺ เราไม่สามารถห้ามไม่ให้ความสุขและความทุกข์ไปหรือมาได้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรยึดติดกับวิถีชีวิตทางวัตถุ และมีความเสมอภาคกับทั้งสองกรณีโดยปริยาย โดยทั่วไปเมื่อได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราปรารถนา เราจะมีความสุขมาก และเมื่อได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ปรารถนาเราก็จะมีความทุกข์แต่ถ้าหากว่าเราอยู่ในสถานภาพทิพย์จริง สิ่งเหล่านี้จะไม่รบกวนจิตใจเรา ในการบรรลุถึงระดับนี้ เราต้องฝึกปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้โดยไม่ขาดตอน การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อคริชณะโดยไม่เบี่ยงเบนหมายถึงปฏิบัติตนในเก้าวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้คือการสวดภาวนา การสดับฟัง การบูชา การถวายความเคารพ ฯลฯ ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกสุดท้ายของบทที่เก้า วิธีนี้เราควรปฏิบัติตาม
โดยธรรมชาติเมื่อเราปรับตัวกับวิถีชีวิตทิพย์ เราจะไม่ต้องการไปมั่วสุมกับนักวัตถุนิยม เพราะจะเป็นการสวนทางกัน เราอาจทดสอบตัวเองว่า มีแนวโน้มที่จะอยู่อย่างสันโดษมากเพียงไรโดยไม่คบหาสมาคมกับผู้ไม่พึงปรารถนา โดยธรรมชาติสาวกไม่ชอบกีฬาหรือไปโรงภาพยนตร์โดยไม่จำเป็น หรือหรรษาไปกับงานรื่นเริงทางสังคม เพราะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเสียเวลา มีนักวิชาการและนักปราชญ์มากมายที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตเพศสัมพันธ์หรือประเด็นอื่น ๆ แต่ตาม ภควัต-คีตาฺ งานศึกษาวิจัยและคาดคะเนทางปรัชญาเหล่านี้ไม่มีคุณค่าใด ๆ เลย เป็นสิ่งที่ไร้สาระทั้งสิ้น ตาม ภควัต- คีตาฺ เราควรศึกษาวิจัยด้วยการใคร่ครวญพิจารณาทางปรัชญาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับธรรมชาติของดวงวิญญาณ เราควรค้นคว้าเพื่อให้เข้าใจดวงชีวิต นี่คือคำแนะนำ ณ ที่นี้
สำหรับความรู้แจ้งแห่งตนได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า ภักดี-โยคะฺ ปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมได้โดยเฉพาะ ทันทีที่มีคำถามเกี่ยวกับการอุทิศตนเสียสละ เราต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณ ปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณไม่สามารถเป็นหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่แนวคิดของ บัฺคธิฺ หรือแนวคิดแห่งการอุทิศตนเสียสละของชีวิต การรับใช้ของปัจเจกวิญญาณต่ออภิวิญญาณผู้สูงสุดเป็นอมตะ นิทยัมฺ ดังที่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น บัฺคธิฺ หรือการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นอมตะ เราควรสถิตอย่างมั่นใจในปรัชญาเช่นนั้น
ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (1.2.11)อธิบายไว้ดังนี้ วะดันทิ ทัท ทัททวะ-วิดัส ทัทท วัม ยัจ กยานัม อัดวะยัมฺ “พวกที่เป็นผู้รู้สัจธรรมโดยแท้จริง รู้ว่าองค์ภควานทรงรู้แจ้งได้ในสามระดับที่ไม่เหมือนกันคือ บระฮมัน พะระมาทมาฺ และบฺะกะวานฺ” บฺะกะวานฺ เป็นคำสุดท้ายแห่งการรู้แจ้งสัจธรรม ฉะนั้น เราควรมาถึงระดับแห่งการเข้าใจองค์ภควานและปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์ นั่นคือความสมบูรณ์แห่งความรู้
เริ่มต้นจากการฝึกปฏิบัติความอ่อนน้อมถ่อมตนจนมาถึงจุดแห่งการรู้แจ้งสัจธรรมสูงสุด องค์ภควานผู้สมบูรณ์ วิธีนี้เหมือนกับขั้นบันได เริ่มต้นจากพื้นฐานขั้นแรกและขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุด บนขั้นบันไดนี้มีหลายคนที่มาถึงชั้นหนึ่ง ชั้นสอง หรือชั้นสาม ฯลฯ แต่นอกจากเรามาถึงชั้นสูงสุดซึ่งเป็นการเข้าใจคริชณะ มิฉะนั้น เรายังอยู่ในความรู้ระดับที่ต่ำ หากผู้ใดต้องการแข่งขันกับองค์ภควาน และในขณะเดียวกันพยายามเจริญก้าวหน้าในความรู้ทิพย์ จะไม่สมหวัง ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า หากปราศจากความอ่อนน้อมถ่อมตนจะไม่มีทางเข้าใจ การคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าเป็นการผยองที่สุด ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตถูกกฎอันเหนียวแน่นแห่งธรรมชาติวัตถุเตะอยู่ตลอดเวลา เรายังคิดว่า “ข้าคือพระเจ้า” เนื่องมาจากอวิชชา ฉะนั้น จุดเริ่มต้นของความรู้คือ อมานิทวะฺหรือความอ่อนน้อมถ่อมตน เราควรถ่อมตนและรู้ว่าตัวเราต่ำกว่าองค์ภควาน เนื่องจากฝ่าฝืนพระองค์ เราจึงต้องมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของธรรมชาติวัตถุ เราควรรู้และมั่นใจความจริงเช่นนี้