ภควัต-คีตา ฉบับเดิม

บทที่ สาม

คารมะ-โยกะ

โศลก 6

คารเมนดริยาณิ สัมยัมยะ
ยะ อาสเท มะนะสา สมะรันฺ

อินดริยารทฺาน วิมูดฺาทมา
มิทฺยาชาระฮ สะ อุชยะเทฺ

คารมะฺ  -  อินดริยาณิฺ  -  อวัยวะประสาทสัมผัสสำหรับทำงานทั้งห้า, สัมยัมยะฺ  -  ควบคุม, ยะฮฺ  -  ผู้ใดซึ่ง, อาสเทฺ  -  ยังคง, มะนะสาฺ  -  โดยจิตใจ, สมะรันฺ  -  คิดถึง, อินดริยะ-อารทฺานฺ  -  รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส, วิมูดฺะฺ  -  ความโง่, อาทมาฺ  -  ดวงวิญญาณ, มิทฺยา-อาชาระฮฺ  -  ผู้เสแสร้ง, สะฮฺ  -  เขา, อุชยะเทฺ  -  เรียกว่า

คำแปลฺ

ผู้ที่เหนี่ยวรั้งการทำงานของประสาทสัมผัส  แต่ว่าจิตใจยังจดจ่ออยู่ที่  รูป  รส  กลิ่นเสียง  และ  สัมผัส  แน่นอนว่าเขาเป็นผู้หลอกตัวเอง  และได้ชื่อว่าเป็นผู้เสแสร้ง

คำอธิบายฺ

มีผู้เสแสร้งมากมายที่ปฎิเสธการทำงานในคริชะจิตสำนึกแต่จะแสดงท่าว่าเป็นนักปฎิบัติสมาธิ  ในขณะที่ความเป็นจริงภายในจิตใจของเขาจดจ่ออยู่ที่ความสุขทางประสาทสัมผัส  บางครั้งผู้เสแสร้งเช่นนี้อาจคุยปรัชญาอย่างลม  ๆ  แล้ง  ๆ  เพื่อชักชวนศิษย์ผู้สับสนไปในทางที่ผิด  ตามโศลกนี้  บุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้ฉ้อโกงอย่างมหันต์สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมเพื่อความสุขทางประสาทสัมผัส  หากว่าเขาปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในระดับสังคมที่ตนเองอยู่ก็จะสามารถค่อย  ๆ  ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่บริสุทธิ์ขึ้น  แต่ถ้าเขาอวดตนว่าเป็นโยคีในขณะที่ความเป็นจริงแล้วเขากำลังแสวงหาอายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส  จะต้องถูกเรียกว่าเป็นผู้ฉ้อโกงอย่างมหันต์แม้บางครั้งเขาอาจพูดคุยเกี่ยวกับปรัชญา  แต่วิชาความรู้ของเขานั้นไร้คุณค่าเพราะว่าผลแห่งวิชาความรู้ของคนบาปเช่นนี้ได้ถูกพลังงานแห่งความหลงขององค์ภควานยึดเอาไปเสียแล้ว  จิตใจของผู้เสแสร้งเช่นนี้จะไม่มีความบริสุทธิ์  ดังนั้น  การแสดงออกว่าตนเองเป็นโยคีนักทำสมาธิจะไม่มีคุณค่าอันใดเลย