ภควัต-คีตา ฉบับเดิม

บทที่ เก้า

ความรู้ที่ลับสุดยอด

โศลก 2

ราจะ-วิดยา ราจะ-กุฮยัม
พะวิทรัม อิดัม อุททะมัมฺ

พรัทยัคชาวะกะมัม ดฺารมยัม
สุ-สุคัฺม คารทุม อัพยะยัมฺ

ราจะ-วิดยาฺ  -  ราชาแห่งการศึกษา, ราจะ-กุฮยัมฺ  -  เจ้าแห่งความรู้ที่ลับเฉพาะ, พะวิทรัมฺ  -  บริสุทธิ์ที่สุด, อิดัมฺ  -  นี้, อุททะมัมฺ  -  ทิพย์, พรัทยัคชะฺ  -  ด้วยประสบการณ์โดยตรง, อวะกะมัมฺ  -  เข้าใจ, ดารมยัมฺ  -  หลักศาสนา, สุ-สุคัฺมฺ  -  มีความสุขมาก, คารทุมฺ  -  ปฏิบัติ, อัพยะยัมฺ  -  เป็นอมตะ

คำแปลฺ

ความรู้นี้เป็นราชาแห่งการศึกษา  เป็นความลับสุดยอดในความลับทั้งหลาย  เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด  เนื่องจากสำเหนียกได้โดยตรงเกี่ยวกับตนเองด้วยการรู้แจ้งจึงเป็นความสมบูรณ์แห่งศาสนา  เป็นสิ่งนิรันดร  และปฏิบัติได้ด้วยความรื่นเริง

คำอธิบายฺ

ภควัต-คีตาฺ  บทนี้เรียกว่าราชาแห่งการศึกษา  เนื่องจากเป็นเนื้อหาสาระของหลักคำสอนและปรัชญาทั้งหมดที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้  ในหมู่นักปราชญ์คนสำคัญๆของประเทศอินเดียมี  โกทะมะ  คะณาดะ  คะพิละ,ยากยะวัลคยะ  ชาณดิลยะ  และไวชวานะระ  และในที่สุดมี  วิยาสะเดวะ  ผู้เขียน  เวดานธะ-สูทระฺ  ดังนั้น  จึงไม่ขาดแคลนความรู้ทางด้านปรัชญาหรือความรู้ทิพย์  บัดนี้  องค์ภควานตรัสว่าบทที่เก้านี้เป็นราชาแห่งความรู้ทั้งหลายเหล่านี้  เนื้อหาสาระของความรู้ทั้งหลายที่ได้รับจากการศึกษาคัมภีร์พระเวทและปรัชญาอื่น  ๆ  เป็นความลับสุด  เพราะว่าความรู้ที่เป็นความลับหรือความรู้ทิพย์เกี่ยวเนื่องกับการเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างดวงวิญญาณและร่างกาย  ราชาแห่งความรู้ที่ลับทั้งหลายมาจบลงที่การอุทิศตนเสียสละรับใช้

โดยทั่วไปผู้คนไม่ได้รับการศึกษาในความรู้ที่ลับเฉพาะเช่นนี้  เนื่องจากศึกษาความรู้จากภายนอก  สำหรับการศึกษาทั่วไปผู้คนไปสัมผัสกับความรู้มากมายหลายสาขา  เช่น  การเมือง  การสังคม  ฟิสิกซ์  เคมี  คณิตศาสตร์  ดาราศาสตร์  วิศวกรรมศาสตร์ฯลฯ  มีความรู้หลายสาขามากมายทั่วโลก  และมีมหาวิทยาลัยใหญ่  ๆ  มากมาย  แต่ด้วยความอับโชค  ไม่มีมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดที่สอนศาสตร์แห่งดวงวิญญาณถึงแม้ว่าดวงวิญญาณเป็นส่วนสำคัญที่สุดของร่างกาย  หากไม่มีดวงวิญญาณ  ร่างกายจะไม่มีคุณค่าอันใดเลย  ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังเน้นมากเกี่ยวกับความจำเป็นของชีวิตทางร่างกาย  โดยไม่สนใจต่อดวงวิญญาณซึ่งมีความสำคัญกว่า

หนังสือ  ภควัต-คีตาฺ  โดยเฉพาะจากบทที่สองเป็นต้นมาได้เน้นถึงความสำคัญของดวงวิญญาณ  ตอนต้นองค์ภควานตรัสว่าร่างกายนี้เสื่อมสลายและวิญญาณไม่เสื่อมสลาย  (อันทะวันทะ  อิเม  เดฮา  นิทยัสโยคทาฮ  ชะรีริณะฮฺ)  นี่คือส่วนลับแห่งความรู้หากเพียงแต่รู้ว่าดวงวิญญาณแตกต่างจากร่างกาย  โดยธรรมชาติดวงวิญญาณจะไม่มีการเปลี่ยนรูป  ไม่มีวันถูกทำลาย  และเป็นอมตะ  เช่นนี้มิได้ให้ข้อมูลในเชิงบวก  บางครั้งบุคคลลืมความรู้สึกว่าดวงวิญญาณแตกต่างจากร่างกายเมื่อร่างกายจบสิ้นลง  หรือเมื่อหลุดพ้นจากร่างกายไปแล้วดวงวิญญาณจะอยู่ในความว่างเปล่าและกลายมาเป็นผู้ไม่มีบุคลิกภาพ  แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่  เป็นไปได้อย่างไรที่ดวงวิญญาณซึ่งมีความตื่นตัวมากภายในร่างกายนี้  จะไม่มีความตื่นตัวหลังจากหลุดพ้นไปจากร่างกายนี้แล้วหากดวงวิญญาณเป็นอมตะจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา  ตื่นตัวนิรันดร  กิจกรรมต่าง  ๆของเขาในอาณาจักรทิพย์เป็นความรู้ทิพย์ที่ลับที่สุด  กิจกรรมต่าง  ๆ  เหล่านี้ของดวงวิญญาณแสดงไว้  ณ  ที่นี้ว่ารวมมาเป็นราชาแห่งความรู้ทั้งหลาย  เป็นส่วนลับที่สุดของวิชาความรู้ทั้งหมด

ความรู้นี้เป็นรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด  กิจกรรมทั้งหลายดังที่ได้อธิบายไว้ในวรรณกรรมพระเวท  พัดมะ  พุราณะฺ  ว่า  กิจกรรมบาปของมนุษย์ได้ถูกวิเคราะห์ไว้  และปรากฏออกมาเป็นผลแห่งความบาปซ้ำซาก  พวกที่ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุจะถูกพันธนาการอยู่ในระดับต่าง  ๆ  กัน  และก่อร่างมาเป็นผลบาปต่าง  ๆตัวอย่างเช่น  เมื่อเราหว่านเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง  ต้นไม้จะไม่เจริญเติบโตขึ้นมาในทันทีทันใดแต่จะต้องใช้เวลา  ก่อนอื่นเป็นต้นเล็ก  ๆ  เป็นหน่อ  จากนั้นก็มาในรูปของต้นไม้มีดอก  มีผล  และเมื่อสมบูรณ์บุคคลผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ก็จะได้รับความสุขจากดอกไม้และผลไม้เหล่านั้น  ในทำนองเดียวกัน  มนุษย์ทำบาปก็เหมือนกับการหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ต้องใช้เวลากว่าจะบังเกิดผล  หรือปรากฏออกมา  ความบาปมีอยู่หลายระดับการทำบาปอาจยุติลงภายในปัจเจกบุคคล  แต่ผลบาปนั้นยังจะต้องได้รับ  มีความบาปต่าง  ๆ  ซึ่งอยู่ในรูปของเมล็ดพันธุ์  มีความบาปที่ปรากฏออกมาและให้ผลแก่เรา  ซึ่งมาในรูปของความทุกข์และความเจ็บปวด

ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกที่ยี่สิบแปดของบทที่เจ็ด  บุคคลที่จบสิ้นกับผลบาปทั้งปวง  และทำแต่กิจกรรมบุญอย่างสมบูรณ์  เป็นอิสระจากสิ่งคู่ในโลกวัตถุนี้ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควาน  คริชณะ  อีกนัยหนึ่ง  พวกที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควานจริง  ๆ  เป็นผู้ที่ได้รับอิสรภาพจากผลบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว  คำกล่าวเช่นนี้ได้ยืนยันไว้ใน  พัดมะ  พุราณะฺ  ดังนี้

อัพรารับดฺะ-พฺะลัม พาพัม
คูทัม บีจัม พฺะโลนมุคัฺมฺ

คระเม ไณวะ พระลีเยทะ
วิชณุ-บัฺคธิ-ระทาทมะนามฺ

สำหรับพวกที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควานผลบาปทั้งหลายไม่ว่าจะปรากฏออกมาแล้ว  ที่เก็บอยู่ในคลัง  หรือในรูปของเมล็ดพันธุ์จะค่อย  ๆ  สลายไป  ดังนั้นอำนาจที่ทำให้บริสุทธิ์จากการอุทิศตนเสียสละรับใช้นั้นมีพลังมาก  เรียกว่า  พะวิทรัม  อุททะมัมฺ  บริสุทธิ์ที่สุด  อุททะมะฺ  หมายถึงทิพย์  ทะมัสฺ  หมายถึงโลกวัตถุนี้หรือความมืดและ  อุททะมะฺ  หมายถึงสิ่งที่เป็นทิพย์เหนือกิจกรรมต่าง  ๆ  ทางวัตถุ  กิจกรรมในการอุทิศตนเสียสละไม่ถือว่าเป็นวัตถุ  ถึงแม้ว่าบางครั้งจะปรากฏว่าสาวกปฏิบัติตนเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป  ผู้ที่สามารถเห็นและคุ้นเคยกับการอุทิศตนเสียสละรับใช้จะทราบว่ากิจกรรมเหล่านี้มิใช่เป็นวัตถุ  กิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นทิพย์  เป็นการอุทิศตนเสียสละซึ่งไม่มีมลทินจากระดับต่าง  ๆ  ของธรรมชาติวัตถุ

ได้กล่าวไว้ว่าการปฏิบัติอุทิศตนเสียสละรับใช้มีความสมบูรณ์จนกระทั่งเราสามารถสำเหนียกถึงผลลัพธ์โดยตรง  ผลลัพธ์โดยตรงนี้สำเหนียกได้อย่างแท้จริงและพวกเราได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติว่า  ผู้ใดที่สวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของคริชณะ  (ฮเร  คริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเร  ฮะเร/  ฮะเร  รามะ  ฮะเรรามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร)  โดยปราศจากอาบัติ  จะรู้สึกว่ามีความสุขทิพย์  และมีความบริสุทธิ์ขึ้นอย่างรวดเร็วจากมลทินทางวัตถุทั้งปวง  เราเห็นเช่นนี้จริง  นอกเหนือไปจากนั้น  หากผู้ใดปฏิบัติไม่เพียงแค่สดับฟัง  แต่ยังพยายามเผยแพร่สาส์นแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ด้วย  หรือหากตัวเราเองช่วยในกิจกรรมเพื่อเผยแพร่คริชณะจิตสำนึก  จะรู้สึกว่าเราค่อย  ๆ  เจริญก้าวหน้าในวิถีทิพย์  ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์นี้มิได้ขึ้นอยู่กับการศึกษาหรือคุณสมบัติใด  ๆ  ในอดีต  เนื่องจากเป็นวิธีการที่มีความบริสุทธิ์ในตัวเองเพียงแต่ได้ปฏิบัติเท่านั้นเราจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์

ใน  เวดานธะ-สูทระฺ  (3.2.26)  ได้อธิบายไว้เช่นกันดังนี้  พระคาชัช  ชะ  คารมะณิอับฺ  ยาสาทฺ  “การอุทิศตนเสียสละรับใช้มีพลังอำนาจมาก  เพียงแต่ปฏิบัติในกิจกรรมแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้  เราจะได้รับแสงสว่างโดยไม่ต้องสงสัย”  ตัวอย่างในเชิงปฏิบัติเช่นนี้พบได้ในอดีตชาติของนาระดะ  ในชาตินั้นเป็นบุตรของคนรับใช้  ท่านไม่มีการศึกษา  ไม่ได้เกิดในตระกูลสูง  แต่เมื่อมารดาของท่านปฏิบัติรับใช้สาวกผู้ยิ่งใหญ่  นาระดะร่วมรับใช้ด้วยบางครั้งเมื่อมารดาไม่อยู่ท่านก็รับใช้สาวกผู้ยิ่งใหญ่ด้วยตนเอง  นาระดะกล่าวว่า

อุชชิฺชทะ-เลพาน อนุโมดิโท ดวิไจฮ
สะคริท สมะ บํุนเจ ทัด-อพาสทะ-คิลบิชะฮฺ

เอวัม พระวริททัสยะ วิชุดดฺะ-เชทะสัส
ทัด-ดฺารมะ เอวาทมะ-รุชิฮ พระจายะเทฺ

โศลกนี้จาก  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  (1.5.25)  นาระดะอธิบายถึงชาติอดีตให้ศิษย์  วิยาสะเดวะฟังโดยกล่าวว่า  ระหว่างที่ปฏิบัติตนเป็นเด็กรับใช้สาวกผู้บริสุทธิ์เป็นเวลาสี่เดือน  ขณะที่มาพักอาศัยอยู่  นาระดะได้คบหาสมาคมกับสาวกผู้บริสุทธิ์อย่างใกล้ชิด  บางครั้งนักปราชญ์เหล่านั้นเหลืออาหารไว้ในจานและเด็กน้อยที่เป็นผู้ล้างจานปรารถนาจะลิ้มรสอาหารที่เหลือ  จึงขออนุญาตจากสาวกผู้ยิ่งใหญ่  เมื่อได้รับอนุญาต  นาระดะก็รับประทานอาหารนั้น  ต่อมานาระดะได้หลุดพ้นจากผลบาปทั้งปวง  ขณะที่รับประทานไปเรื่อย  ๆ  หัวใจค่อย  ๆ  บริสุทธิ์ขึ้นเหมือนกับนักปราชญ์เหล่านั้น  สาวกผู้ยิ่งใหญ่ดื่มด่ำอยู่กับรสแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควานด้วยการสดับฟังและสวดภาวนาอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน  นาระดะค่อยๆพัฒนารสชาติเช่นนี้  และกล่าวดังนี้

ทะทรานวะฮัม คริชณะ-คะทฺาฮ พระกายะทาม
อนุกระเฮณาชริณะวัม มะโนฮะราฮฺ

ทาฮ ชรัดดฺะยา เม นุพะดัม วิชริณวะทะฮ
พริยัชระวะสิ อังกะ มะมาบฺะวัด รุชิฮฺ

จากการคบหาสมาคมกับเหล่านักปราชญ์  นาระดะได้รับรสในการสดับฟังและสวดภาวนาพระบารมีขององค์ภควาน  และได้พัฒนาความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้  ดังที่ได้อธิบายไว้ใน  เวดานธะ-สูทระฺ  ว่า  พระคาชัช  ชะ  คารมะณิ  อับฺยาสาทฺ  หากผู้ใดเพียงแต่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้  ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเปิดเผยขึ้นโดยปริยายและเขาจะสามารถเข้าใจ  เช่นนี้เรียกว่า  พรัทยัคชะฺ  หรือสำเหนียกโดยตรง

คำว่า  ดฺรัมยัมฺ  หมายความว่า  “วิถีทางแห่งศาสนา”  อันที่จริงนาระดะเป็นบุตรของคนรับใช้  ไม่มีโอกาสไปโรงเรียน  ท่านเพียงแต่ช่วยมารดา  ด้วยความโชคดีที่มารดาถวายการรับใช้ต่อเหล่าสาวก  เด็กน้อยนาระดะจึงได้รับโอกาสนี้  จาการคบสมาคมนี้ทำให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาทั้งหลาย  จุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาทั้งหมดคือการอุทิศเสียสละรับใช้ดังที่ได้กล่าวไว้ใน  ชรีมัด-บฺากะวะธัม  (สะ  ไว  พุมสาม  พะโร  ดฺารโม  ยะโท  บัฺคธิร  อโดฺคชะเจ)ฺ  ผู้มีศาสนาโดยทั่วไปไม่รู้ว่าความสมบูรณ์สูงสุดของศาสนาคือบรรลุถึงการอุทิศตนเสียสละรับใช้  ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกสุดท้ายของบทที่แปดว่า  (เวเดชุ  ยะกเยชุ  ทะพะฮสุ  ไชวะ)ฺ  ความรู้พระเวทโดยทั่วไปจำเป็นต้องรู้แจ้งตนเอง  แต่  ณ  ที่นี้ถึงแม้ว่านาระดะไม่เคยไปโรงเรียนของพระอาจารย์ทิพย์  และไม่ได้รับการศึกษาในหลักธรรมพระเวท  ท่านได้รับผลประโยชน์สูงสุดในการศึกษาคัมภีร์พระเวทวิธีการนี้มีพลังอำนาจมากแม้จะไม่ได้ปฏิบัติตามวิธีการทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ  ท่านยังสามารถเจริญก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุด  เช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร?  วรรณกรรมพระเวทได้ยืนยันไว้เช่นกันว่า  อาชารยะวาน  พุรุโช  เวดะฺ  ผู้ที่คบหาสมาคมกับ  อาชารยะฺผู้ยิ่งใหญ่ถึงแม้จะไม่ได้รับการศึกษาหรือไม่เคยศึกษาคัมภีร์พระเวท  เขาก็สามารถคุ้นเคยกับความรู้ทั้งหมดเท่าที่จำเป็นเพื่อความรู้แจ้ง

วิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นวิธีที่มีความสุขมาก  (สุ-สุคัฺม)ฺ  เพราะเหตุใด?  การอุทิศตนเสียสละรับใช้ประกอบด้วย  ชระวะณัม  คีรทะณัม  วิชโณฮฺ  ดังนั้น  เราเพียงแต่สดับฟังและสวดภาวนาพระบารมีขององค์ภควาน  หรือว่าไปสดับฟังปรัชญาเกี่ยวกับความรู้ทิพย์ที่  อาชารยะฺ  ผู้เชื่อถือได้เป็นผู้ให้  เพียงแต่นั่งลงเราสามารถเรียนรู้จากนั้นก็รับประทานอาหารอันเอร็ดอร่อยที่เหลือจากการถวายให้องค์ภควานแล้ว  ในทุก  ๆ  ระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นที่น่ารื่นรมย์  เราสามารถปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แม้อยู่ในสภาวะที่ยากจนที่สุด  องค์ภควานตรัสว่า  พัทรัม  พุชพัม  พฺะลัม  โทยัมฺ  พระองค์ทรงพร้อมที่จะรับการถวายทุกสิ่งทุกอย่างจากสาวกไม่ว่าจะเป็นอะไรแม้แต่ใบไม้  ดอกไม้  ผลไม้เพียงเล็กน้อย  หรือน้ำเพียงนิดเดียวซึ่งมีอยู่ดาษดื่นทั่วไปในส่วนต่าง  ๆ  ของโลก  สิ่งเหล่านี้ใครก็สามารถถวายให้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะสังคมเช่นไร  พระองค์จะทรงรับไว้หากถวายด้วยใจรัก  มีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ว่าเพียงแต่ลิ้มรสใบทุละสีที่ถวายให้พระบาทรูปดอกบัวขององค์ภควานแล้ว  นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่  เช่น  สะนัท-คุมาระ  ได้กลายมาเป็นสาวกผู้ยิ่งใหญ่  ฉะนั้น  วิธีการอุทิศตนเสียสละเป็นสิ่งที่ดีมาก  และปฏิบัติได้ด้วยอารมณ์ที่มีความสุข  องค์ภควานจะรับเฉพาะความรักที่ถวายให้พระองค์พร้อมกับเครื่องถวาย

ได้กล่าวไว้  ณ  ที่นี้ว่า  การอุทิศตนเสียสละรับใช้เช่นนี้มีอยู่ชั่วกัลปวสานซึ่งไม่เหมือนกับที่นักปราชญ์มายาวาดีอ้าง  แม้ว่าบางครั้งพวกนี้รับเอาสิ่งที่สมมติว่าเป็นการอุทิศตนเสียสละรับใช้มาปฏิบัติ  แต่แนวความคิดคือตราบเท่าที่ยังไม่หลุดพ้นต้องอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อไป  เมื่อในที่สุดหลุดพ้นแล้วพวกเขา  “จะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน”  การอุทิศตนเสียสละรับใช้ชั่วครั้งชั่วคราวเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์  การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่แท้จริงจะทำอย่างต่อเนื่องแม้หลังจากได้รับความหลุดพ้นแล้ว  เมื่อสาวกไปยังดาวเคราะห์ทิพย์ในอาณาจักรขององค์ภควาน  ก็ยังปฏิบัติการรับใช้พระองค์อยู่ที่นั่น  โดยมิบังอาจที่จะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน

ดังจะได้เห็นใน  ภควัต-คีตาฺ  ว่า  การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่แท้จริงเริ่มต้นหลังจากหลุดพ้นแล้ว  หลังจากหลุดพ้นและสถิตในตำแหน่ง  บระฮมันฺ  แล้ว  (บระฮ-  มะ-บํูทะ)ฺ  การอุทิศตนเสียสละรับใช้จึงเริ่มต้นขึ้น  (สะมะฮ  สาระเวชุ  บํูเทชุ  มัด-บัฺคธิม  ละบฺะเท  พะราม)ฺ  ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจองค์ภควานได้ด้วยการปฏิบัติ  คารมะ-  โยกะ.  กยานะ-โยกะ,  อัชทางกะ-โยกะฺ  หรือปฏิบัตโยคะอื่น  ๆ  โดยเอกเทศ  จากวิธีโยคะต่างๆ  เหล่านี้  อาจเจริญขึ้นเล็กน้อยไปสู่  บัฺคธิ-โยกะฺ  หากมาไม่ถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้  เขาจะไม่สามารถเข้าใจว่าบุคลิกภาพแห่งองค์ภควานคืออะไรใน  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  ได้ยืนยันไว้ว่า  เมื่อได้รับความบริสุทธิ์จากการปฏิบัติตามวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้  โดยเฉพาะจากการสดับฟัง  ชรีมัด-บากะวะธัมฺ  หรือ  ภควัต-คีตาฺ  จากดวงวิญญาณผู้รู้แจ้ง  จึงสามารถเข้าใจศาสตร์แห่ง  คริชณะหรือศาสตร์แห่งองค์ภควาน  เอวัม  พระสันนะ-มะนะโส  บฺะกะวัด-บัฺคธิ-โยกะทะฮฺ  เมื่อหัวใจบริสุทธิ์ขึ้นจากสิ่งไร้สาระทั้งหลาย  ผู้นั้นจึงสามารถเข้าใจว่าองค์ภควานคืออะไรดังนั้น  วิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกจึงเป็นราชาหรือเจ้าแห่งการศึกษาทั้งปวง  เป็นราชาแห่งความรู้ที่เป็นความลับทั้งหมด  เป็นรูปแบบของศาสนาที่บริสุทธิ์ที่สุด  และสามารถปฏิบัติได้ด้วยความรื่นเริงโดยไม่ยากลำบาก  ดังนั้น  เราจึงควรรับมาปฏิบัติ