ความรู้ที่ลับสุดยอด
โศลก 2
ราจะ-วิดยา ราจะ-กุฮยัม
พะวิทรัม อิดัม อุททะมัมฺ
พรัทยัคชาวะกะมัม ดฺารมยัม
สุ-สุคัฺม คารทุม อัพยะยัมฺ
ราจะ-วิดยาฺ - ราชาแห่งการศึกษา, ราจะ-กุฮยัมฺ - เจ้าแห่งความรู้ที่ลับเฉพาะ, พะวิทรัมฺ - บริสุทธิ์ที่สุด, อิดัมฺ - นี้, อุททะมัมฺ - ทิพย์, พรัทยัคชะฺ - ด้วยประสบการณ์โดยตรง, อวะกะมัมฺ - เข้าใจ, ดารมยัมฺ - หลักศาสนา, สุ-สุคัฺมฺ - มีความสุขมาก, คารทุมฺ - ปฏิบัติ, อัพยะยัมฺ - เป็นอมตะ
คำแปลฺ
ความรู้นี้เป็นราชาแห่งการศึกษา เป็นความลับสุดยอดในความลับทั้งหลาย เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด เนื่องจากสำเหนียกได้โดยตรงเกี่ยวกับตนเองด้วยการรู้แจ้งจึงเป็นความสมบูรณ์แห่งศาสนา เป็นสิ่งนิรันดร และปฏิบัติได้ด้วยความรื่นเริง
คำอธิบายฺ
ภควัต-คีตาฺ บทนี้เรียกว่าราชาแห่งการศึกษา เนื่องจากเป็นเนื้อหาสาระของหลักคำสอนและปรัชญาทั้งหมดที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ ในหมู่นักปราชญ์คนสำคัญๆของประเทศอินเดียมี โกทะมะ คะณาดะ คะพิละ,ยากยะวัลคยะ ชาณดิลยะ และไวชวานะระ และในที่สุดมี วิยาสะเดวะ ผู้เขียน เวดานธะ-สูทระฺ ดังนั้น จึงไม่ขาดแคลนความรู้ทางด้านปรัชญาหรือความรู้ทิพย์ บัดนี้ องค์ภควานตรัสว่าบทที่เก้านี้เป็นราชาแห่งความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ เนื้อหาสาระของความรู้ทั้งหลายที่ได้รับจากการศึกษาคัมภีร์พระเวทและปรัชญาอื่น ๆ เป็นความลับสุด เพราะว่าความรู้ที่เป็นความลับหรือความรู้ทิพย์เกี่ยวเนื่องกับการเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างดวงวิญญาณและร่างกาย ราชาแห่งความรู้ที่ลับทั้งหลายมาจบลงที่การอุทิศตนเสียสละรับใช้
โดยทั่วไปผู้คนไม่ได้รับการศึกษาในความรู้ที่ลับเฉพาะเช่นนี้ เนื่องจากศึกษาความรู้จากภายนอก สำหรับการศึกษาทั่วไปผู้คนไปสัมผัสกับความรู้มากมายหลายสาขา เช่น การเมือง การสังคม ฟิสิกซ์ เคมี คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ฯลฯ มีความรู้หลายสาขามากมายทั่วโลก และมีมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ มากมาย แต่ด้วยความอับโชค ไม่มีมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดที่สอนศาสตร์แห่งดวงวิญญาณถึงแม้ว่าดวงวิญญาณเป็นส่วนสำคัญที่สุดของร่างกาย หากไม่มีดวงวิญญาณ ร่างกายจะไม่มีคุณค่าอันใดเลย ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังเน้นมากเกี่ยวกับความจำเป็นของชีวิตทางร่างกาย โดยไม่สนใจต่อดวงวิญญาณซึ่งมีความสำคัญกว่า
หนังสือ ภควัต-คีตาฺ โดยเฉพาะจากบทที่สองเป็นต้นมาได้เน้นถึงความสำคัญของดวงวิญญาณ ตอนต้นองค์ภควานตรัสว่าร่างกายนี้เสื่อมสลายและวิญญาณไม่เสื่อมสลาย (อันทะวันทะ อิเม เดฮา นิทยัสโยคทาฮ ชะรีริณะฮฺ) นี่คือส่วนลับแห่งความรู้หากเพียงแต่รู้ว่าดวงวิญญาณแตกต่างจากร่างกาย โดยธรรมชาติดวงวิญญาณจะไม่มีการเปลี่ยนรูป ไม่มีวันถูกทำลาย และเป็นอมตะ เช่นนี้มิได้ให้ข้อมูลในเชิงบวก บางครั้งบุคคลลืมความรู้สึกว่าดวงวิญญาณแตกต่างจากร่างกายเมื่อร่างกายจบสิ้นลง หรือเมื่อหลุดพ้นจากร่างกายไปแล้วดวงวิญญาณจะอยู่ในความว่างเปล่าและกลายมาเป็นผู้ไม่มีบุคลิกภาพ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เป็นไปได้อย่างไรที่ดวงวิญญาณซึ่งมีความตื่นตัวมากภายในร่างกายนี้ จะไม่มีความตื่นตัวหลังจากหลุดพ้นไปจากร่างกายนี้แล้วหากดวงวิญญาณเป็นอมตะจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ตื่นตัวนิรันดร กิจกรรมต่าง ๆของเขาในอาณาจักรทิพย์เป็นความรู้ทิพย์ที่ลับที่สุด กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ของดวงวิญญาณแสดงไว้ ณ ที่นี้ว่ารวมมาเป็นราชาแห่งความรู้ทั้งหลาย เป็นส่วนลับที่สุดของวิชาความรู้ทั้งหมด
ความรู้นี้เป็นรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด กิจกรรมทั้งหลายดังที่ได้อธิบายไว้ในวรรณกรรมพระเวท พัดมะ พุราณะฺ ว่า กิจกรรมบาปของมนุษย์ได้ถูกวิเคราะห์ไว้ และปรากฏออกมาเป็นผลแห่งความบาปซ้ำซาก พวกที่ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุจะถูกพันธนาการอยู่ในระดับต่าง ๆ กัน และก่อร่างมาเป็นผลบาปต่าง ๆตัวอย่างเช่น เมื่อเราหว่านเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ต้นไม้จะไม่เจริญเติบโตขึ้นมาในทันทีทันใดแต่จะต้องใช้เวลา ก่อนอื่นเป็นต้นเล็ก ๆ เป็นหน่อ จากนั้นก็มาในรูปของต้นไม้มีดอก มีผล และเมื่อสมบูรณ์บุคคลผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ก็จะได้รับความสุขจากดอกไม้และผลไม้เหล่านั้น ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ทำบาปก็เหมือนกับการหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ต้องใช้เวลากว่าจะบังเกิดผล หรือปรากฏออกมา ความบาปมีอยู่หลายระดับการทำบาปอาจยุติลงภายในปัจเจกบุคคล แต่ผลบาปนั้นยังจะต้องได้รับ มีความบาปต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในรูปของเมล็ดพันธุ์ มีความบาปที่ปรากฏออกมาและให้ผลแก่เรา ซึ่งมาในรูปของความทุกข์และความเจ็บปวด
ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกที่ยี่สิบแปดของบทที่เจ็ด บุคคลที่จบสิ้นกับผลบาปทั้งปวง และทำแต่กิจกรรมบุญอย่างสมบูรณ์ เป็นอิสระจากสิ่งคู่ในโลกวัตถุนี้ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควาน คริชณะ อีกนัยหนึ่ง พวกที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควานจริง ๆ เป็นผู้ที่ได้รับอิสรภาพจากผลบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว คำกล่าวเช่นนี้ได้ยืนยันไว้ใน พัดมะ พุราณะฺ ดังนี้
อัพรารับดฺะ-พฺะลัม พาพัม
คูทัม บีจัม พฺะโลนมุคัฺมฺ
คระเม ไณวะ พระลีเยทะ
วิชณุ-บัฺคธิ-ระทาทมะนามฺ
สำหรับพวกที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควานผลบาปทั้งหลายไม่ว่าจะปรากฏออกมาแล้ว ที่เก็บอยู่ในคลัง หรือในรูปของเมล็ดพันธุ์จะค่อย ๆ สลายไป ดังนั้นอำนาจที่ทำให้บริสุทธิ์จากการอุทิศตนเสียสละรับใช้นั้นมีพลังมาก เรียกว่า พะวิทรัม อุททะมัมฺ บริสุทธิ์ที่สุด อุททะมะฺ หมายถึงทิพย์ ทะมัสฺ หมายถึงโลกวัตถุนี้หรือความมืดและ อุททะมะฺ หมายถึงสิ่งที่เป็นทิพย์เหนือกิจกรรมต่าง ๆ ทางวัตถุ กิจกรรมในการอุทิศตนเสียสละไม่ถือว่าเป็นวัตถุ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะปรากฏว่าสาวกปฏิบัติตนเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ผู้ที่สามารถเห็นและคุ้นเคยกับการอุทิศตนเสียสละรับใช้จะทราบว่ากิจกรรมเหล่านี้มิใช่เป็นวัตถุ กิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นทิพย์ เป็นการอุทิศตนเสียสละซึ่งไม่มีมลทินจากระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุ
ได้กล่าวไว้ว่าการปฏิบัติอุทิศตนเสียสละรับใช้มีความสมบูรณ์จนกระทั่งเราสามารถสำเหนียกถึงผลลัพธ์โดยตรง ผลลัพธ์โดยตรงนี้สำเหนียกได้อย่างแท้จริงและพวกเราได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติว่า ผู้ใดที่สวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของคริชณะ (ฮเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเรรามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร) โดยปราศจากอาบัติ จะรู้สึกว่ามีความสุขทิพย์ และมีความบริสุทธิ์ขึ้นอย่างรวดเร็วจากมลทินทางวัตถุทั้งปวง เราเห็นเช่นนี้จริง นอกเหนือไปจากนั้น หากผู้ใดปฏิบัติไม่เพียงแค่สดับฟัง แต่ยังพยายามเผยแพร่สาส์นแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ด้วย หรือหากตัวเราเองช่วยในกิจกรรมเพื่อเผยแพร่คริชณะจิตสำนึก จะรู้สึกว่าเราค่อย ๆ เจริญก้าวหน้าในวิถีทิพย์ ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์นี้มิได้ขึ้นอยู่กับการศึกษาหรือคุณสมบัติใด ๆ ในอดีต เนื่องจากเป็นวิธีการที่มีความบริสุทธิ์ในตัวเองเพียงแต่ได้ปฏิบัติเท่านั้นเราจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์
ใน เวดานธะ-สูทระฺ (3.2.26) ได้อธิบายไว้เช่นกันดังนี้ พระคาชัช ชะ คารมะณิอับฺ ยาสาทฺ “การอุทิศตนเสียสละรับใช้มีพลังอำนาจมาก เพียงแต่ปฏิบัติในกิจกรรมแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เราจะได้รับแสงสว่างโดยไม่ต้องสงสัย” ตัวอย่างในเชิงปฏิบัติเช่นนี้พบได้ในอดีตชาติของนาระดะ ในชาตินั้นเป็นบุตรของคนรับใช้ ท่านไม่มีการศึกษา ไม่ได้เกิดในตระกูลสูง แต่เมื่อมารดาของท่านปฏิบัติรับใช้สาวกผู้ยิ่งใหญ่ นาระดะร่วมรับใช้ด้วยบางครั้งเมื่อมารดาไม่อยู่ท่านก็รับใช้สาวกผู้ยิ่งใหญ่ด้วยตนเอง นาระดะกล่าวว่า
อุชชิฺชทะ-เลพาน อนุโมดิโท ดวิไจฮ
สะคริท สมะ บํุนเจ ทัด-อพาสทะ-คิลบิชะฮฺ
เอวัม พระวริททัสยะ วิชุดดฺะ-เชทะสัส
ทัด-ดฺารมะ เอวาทมะ-รุชิฮ พระจายะเทฺ
โศลกนี้จาก ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (1.5.25) นาระดะอธิบายถึงชาติอดีตให้ศิษย์ วิยาสะเดวะฟังโดยกล่าวว่า ระหว่างที่ปฏิบัติตนเป็นเด็กรับใช้สาวกผู้บริสุทธิ์เป็นเวลาสี่เดือน ขณะที่มาพักอาศัยอยู่ นาระดะได้คบหาสมาคมกับสาวกผู้บริสุทธิ์อย่างใกล้ชิด บางครั้งนักปราชญ์เหล่านั้นเหลืออาหารไว้ในจานและเด็กน้อยที่เป็นผู้ล้างจานปรารถนาจะลิ้มรสอาหารที่เหลือ จึงขออนุญาตจากสาวกผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อได้รับอนุญาต นาระดะก็รับประทานอาหารนั้น ต่อมานาระดะได้หลุดพ้นจากผลบาปทั้งปวง ขณะที่รับประทานไปเรื่อย ๆ หัวใจค่อย ๆ บริสุทธิ์ขึ้นเหมือนกับนักปราชญ์เหล่านั้น สาวกผู้ยิ่งใหญ่ดื่มด่ำอยู่กับรสแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควานด้วยการสดับฟังและสวดภาวนาอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน นาระดะค่อยๆพัฒนารสชาติเช่นนี้ และกล่าวดังนี้
ทะทรานวะฮัม คริชณะ-คะทฺาฮ พระกายะทาม
อนุกระเฮณาชริณะวัม มะโนฮะราฮฺ
ทาฮ ชรัดดฺะยา เม นุพะดัม วิชริณวะทะฮ
พริยัชระวะสิ อังกะ มะมาบฺะวัด รุชิฮฺ
จากการคบหาสมาคมกับเหล่านักปราชญ์ นาระดะได้รับรสในการสดับฟังและสวดภาวนาพระบารมีขององค์ภควาน และได้พัฒนาความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ดังที่ได้อธิบายไว้ใน เวดานธะ-สูทระฺ ว่า พระคาชัช ชะ คารมะณิ อับฺยาสาทฺ หากผู้ใดเพียงแต่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเปิดเผยขึ้นโดยปริยายและเขาจะสามารถเข้าใจ เช่นนี้เรียกว่า พรัทยัคชะฺ หรือสำเหนียกโดยตรง
คำว่า ดฺรัมยัมฺ หมายความว่า “วิถีทางแห่งศาสนา” อันที่จริงนาระดะเป็นบุตรของคนรับใช้ ไม่มีโอกาสไปโรงเรียน ท่านเพียงแต่ช่วยมารดา ด้วยความโชคดีที่มารดาถวายการรับใช้ต่อเหล่าสาวก เด็กน้อยนาระดะจึงได้รับโอกาสนี้ จาการคบสมาคมนี้ทำให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาทั้งหลาย จุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาทั้งหมดคือการอุทิศเสียสละรับใช้ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัม (สะ ไว พุมสาม พะโร ดฺารโม ยะโท บัฺคธิร อโดฺคชะเจ)ฺ ผู้มีศาสนาโดยทั่วไปไม่รู้ว่าความสมบูรณ์สูงสุดของศาสนาคือบรรลุถึงการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกสุดท้ายของบทที่แปดว่า (เวเดชุ ยะกเยชุ ทะพะฮสุ ไชวะ)ฺ ความรู้พระเวทโดยทั่วไปจำเป็นต้องรู้แจ้งตนเอง แต่ ณ ที่นี้ถึงแม้ว่านาระดะไม่เคยไปโรงเรียนของพระอาจารย์ทิพย์ และไม่ได้รับการศึกษาในหลักธรรมพระเวท ท่านได้รับผลประโยชน์สูงสุดในการศึกษาคัมภีร์พระเวทวิธีการนี้มีพลังอำนาจมากแม้จะไม่ได้ปฏิบัติตามวิธีการทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ ท่านยังสามารถเจริญก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุด เช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร? วรรณกรรมพระเวทได้ยืนยันไว้เช่นกันว่า อาชารยะวาน พุรุโช เวดะฺ ผู้ที่คบหาสมาคมกับ อาชารยะฺผู้ยิ่งใหญ่ถึงแม้จะไม่ได้รับการศึกษาหรือไม่เคยศึกษาคัมภีร์พระเวท เขาก็สามารถคุ้นเคยกับความรู้ทั้งหมดเท่าที่จำเป็นเพื่อความรู้แจ้ง
วิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นวิธีที่มีความสุขมาก (สุ-สุคัฺม)ฺ เพราะเหตุใด? การอุทิศตนเสียสละรับใช้ประกอบด้วย ชระวะณัม คีรทะณัม วิชโณฮฺ ดังนั้น เราเพียงแต่สดับฟังและสวดภาวนาพระบารมีขององค์ภควาน หรือว่าไปสดับฟังปรัชญาเกี่ยวกับความรู้ทิพย์ที่ อาชารยะฺ ผู้เชื่อถือได้เป็นผู้ให้ เพียงแต่นั่งลงเราสามารถเรียนรู้จากนั้นก็รับประทานอาหารอันเอร็ดอร่อยที่เหลือจากการถวายให้องค์ภควานแล้ว ในทุก ๆ ระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นที่น่ารื่นรมย์ เราสามารถปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แม้อยู่ในสภาวะที่ยากจนที่สุด องค์ภควานตรัสว่า พัทรัม พุชพัม พฺะลัม โทยัมฺ พระองค์ทรงพร้อมที่จะรับการถวายทุกสิ่งทุกอย่างจากสาวกไม่ว่าจะเป็นอะไรแม้แต่ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้เพียงเล็กน้อย หรือน้ำเพียงนิดเดียวซึ่งมีอยู่ดาษดื่นทั่วไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก สิ่งเหล่านี้ใครก็สามารถถวายให้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะสังคมเช่นไร พระองค์จะทรงรับไว้หากถวายด้วยใจรัก มีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ว่าเพียงแต่ลิ้มรสใบทุละสีที่ถวายให้พระบาทรูปดอกบัวขององค์ภควานแล้ว นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น สะนัท-คุมาระ ได้กลายมาเป็นสาวกผู้ยิ่งใหญ่ ฉะนั้น วิธีการอุทิศตนเสียสละเป็นสิ่งที่ดีมาก และปฏิบัติได้ด้วยอารมณ์ที่มีความสุข องค์ภควานจะรับเฉพาะความรักที่ถวายให้พระองค์พร้อมกับเครื่องถวาย
ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า การอุทิศตนเสียสละรับใช้เช่นนี้มีอยู่ชั่วกัลปวสานซึ่งไม่เหมือนกับที่นักปราชญ์มายาวาดีอ้าง แม้ว่าบางครั้งพวกนี้รับเอาสิ่งที่สมมติว่าเป็นการอุทิศตนเสียสละรับใช้มาปฏิบัติ แต่แนวความคิดคือตราบเท่าที่ยังไม่หลุดพ้นต้องอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อไป เมื่อในที่สุดหลุดพ้นแล้วพวกเขา “จะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน” การอุทิศตนเสียสละรับใช้ชั่วครั้งชั่วคราวเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์ การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่แท้จริงจะทำอย่างต่อเนื่องแม้หลังจากได้รับความหลุดพ้นแล้ว เมื่อสาวกไปยังดาวเคราะห์ทิพย์ในอาณาจักรขององค์ภควาน ก็ยังปฏิบัติการรับใช้พระองค์อยู่ที่นั่น โดยมิบังอาจที่จะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน
ดังจะได้เห็นใน ภควัต-คีตาฺ ว่า การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่แท้จริงเริ่มต้นหลังจากหลุดพ้นแล้ว หลังจากหลุดพ้นและสถิตในตำแหน่ง บระฮมันฺ แล้ว (บระฮ- มะ-บํูทะ)ฺ การอุทิศตนเสียสละรับใช้จึงเริ่มต้นขึ้น (สะมะฮ สาระเวชุ บํูเทชุ มัด-บัฺคธิม ละบฺะเท พะราม)ฺ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจองค์ภควานได้ด้วยการปฏิบัติ คารมะ- โยกะ. กยานะ-โยกะ, อัชทางกะ-โยกะฺ หรือปฏิบัตโยคะอื่น ๆ โดยเอกเทศ จากวิธีโยคะต่างๆ เหล่านี้ อาจเจริญขึ้นเล็กน้อยไปสู่ บัฺคธิ-โยกะฺ หากมาไม่ถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เขาจะไม่สามารถเข้าใจว่าบุคลิกภาพแห่งองค์ภควานคืออะไรใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ได้ยืนยันไว้ว่า เมื่อได้รับความบริสุทธิ์จากการปฏิบัติตามวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ โดยเฉพาะจากการสดับฟัง ชรีมัด-บากะวะธัมฺ หรือ ภควัต-คีตาฺ จากดวงวิญญาณผู้รู้แจ้ง จึงสามารถเข้าใจศาสตร์แห่ง คริชณะหรือศาสตร์แห่งองค์ภควาน เอวัม พระสันนะ-มะนะโส บฺะกะวัด-บัฺคธิ-โยกะทะฮฺ เมื่อหัวใจบริสุทธิ์ขึ้นจากสิ่งไร้สาระทั้งหลาย ผู้นั้นจึงสามารถเข้าใจว่าองค์ภควานคืออะไรดังนั้น วิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกจึงเป็นราชาหรือเจ้าแห่งการศึกษาทั้งปวง เป็นราชาแห่งความรู้ที่เป็นความลับทั้งหมด เป็นรูปแบบของศาสนาที่บริสุทธิ์ที่สุด และสามารถปฏิบัติได้ด้วยความรื่นเริงโดยไม่ยากลำบาก ดังนั้น เราจึงควรรับมาปฏิบัติ