ภควัต-คีตา ฉบับเดิม

คำนำ

โอม อะกยานะ-ทิมิรานดัฺสยะ
กยานานจะนะ-ชะลาคะยาฺ

ชัคชุร อุนมีลิทัม เยนะ
ทัสไม ชรี-กุระเว นะมะฮฺ
ชรี-เชธันญะ-มโน-´บฺีชทัม
สทฺาพิทัม เยนะ บํู-ทะเลฺ

สวะยัม รูพะฮ คะดา มะฮยัม
ดะดาทิ สวะ-พะดานทิคัมฺ

ข้าพเจ้าได้เกิดมาอยู่ในความมืดแห่งอวิชชา  พระอาจารย์ทิพย์ได้เปิดดวงตาของข้าพเจ้าด้วยแสงสว่างแห่งวิชาความรู้  ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่ท่าน

เมื่อไร  ชรีละ  รูพะ  โกสวามี  พระบํุพาดะ  ผู้สถาปนาภารกิจในโลกวัตถุนี้เพื่อสนองพระราชประสงค์ขององค์เชธันญะได้โปรดให้ที่พึ่งภายใต้พระบาทรูปดอกบัวของท่านแด่ข้าพเจ้า

วันเด ่ฮัม ชรี-กุโรฮ ชรี-ยุทะ-พะดะ-คะมะลัม ชรี-กุรูน ไวชณะวามช ชะฺ
ชรี-รูพัม สากระจาทัม สะฮะ-กะณะ-ระกํุนาทฺานวิทัม ทัม สะ-จีวัมฺ
สาดไวทัม สาวะดํูทัม พะริจะนะ-สะฮิทัม คริชณะ-เชธันญะ-เดวัมฺ
ชรี-ราดฺา-คริชณะ-พาดาน สะฮะ-กะณะ-ละลิทา-ชรี-วิชาคฺานวิทามช ชะฺ

ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่พระบาทรูปดอกบัวของพระอาจารย์ทิพย์และขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่พระบาทของไวชณะวะทั้งหลาย  ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่พระบาทรูปดอกบัวของ  ชรีละ  รูพะ  โกสวามี  พร้อมทั้งพี่ชาย  สะนาทะนะโกสวามี  รวมทั้ง  รักฮุนาทฺะ  ดาสะ  และ  รักฮุนาทฺะ  บัฺททะ,  โกพาละ  บัฺททะ,  และ  ชรีละ  จีวะ  โกสวามี  ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่องค์ชรีคริชณะเชธันญะและนิทยานันดะ  พร้อมทั้ง  อไดวทะ  อาชารยะ,  กะดาดฺะระ,  ชรีวาสะ,  และสาวกรูปอื่นๆ  ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่  ชรีมะธี  ราดฺาราณี  และ  ชรีคริชณะ  รวมทั้งสหายของท่านทั้งสอง  ชรีละลิทา  และวิชาคฺา

เฮ คริชณะ คะรุณา-สินโดฺ
ดีนะ-บันโดฺ จะกัท-พะเทฺ

โกเพชะ โกพิคา-คานทะ
ราดฺา-คานทะ นะโม ่สทุ เทฺ

โอ้  คริชณะที่รัก  พระองค์ทรงเป็นสหายของผู้ที่มีความทุกข์และทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งการสร้าง  พระองค์ทรงเป็นเจ้านายของโกปีและเป็นคู่รักของราดฺาราณี  ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่พระองค์

ทัพทะ-คานชะนะ-โกรางกิ
ราเดฺ วรินดาวะเนชวะริฺ

วริชะบฺานุ-สุเท เดวิ
พระณะมามิ ฮะริ-พริเยฺ

ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่ราดฺาราณีผู้มีผิวพรรณอร่ามดุจดั่งทองคำ  และเป็นราชินีแห่งวรินดาวะนะ  พระนางเป็นธิดาของพระราชาวริชะบฺานุ  และเป็นที่รักยิ่งขององค์ชรีคริชณะ

วานชฺา-คัลพะทะรุบฺยัช ชะ
คริพา-สินดํุบฺยะ เอวะ ชะฺ

พะทิทานาม พาวะเนบฺโย
ไวชณะเวบฺโย นะโม นะมะฮฺ

ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่ไวชณะวะสาวกทั้งหลายขององค์ภควาน  ผู้เปรียบเสมือนต้นกัลปพฤกษ์  ที่สามารถทำให้ความปรารถนาของทุกคนสมประสงค์  และยังเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อดวงวิญญาณที่ตกต่ำ

ชรี-คริชณะ-เชธันญะ
พระบํุ นิทยานันดะฺ

ชรี-อไดวทะ กะดาดฺะระ
ชรีวาสาดิ-โกระ-บัฺคธะ-วรินดะฺ

ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพอย่างสูงแด่  ชรี  คริชณะ  เชธันญะ,  พระบํุ  นิทยานันดะ,ชรีอไดวทะ,  กะดาดฺะระ,  ชรีวาสะ  และสาวกทั้งหลายในสายแห่งการอุทิศตนเสียสละ

ฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ
คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเรฺ

ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ
รามะ รามะ ฮะเร ฮะเรฺ

ภควัต-คีตาฺ  หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  กีโทพะนิชัดฺ  เป็นหัวใจของความรู้พระเวทและเป็นหนึ่งในอุพะนิชัด  (อุปนิษัท)ฺ  ที่สำคัญที่สุดในวรรณกรรมพระเวท  แน่นอนว่ามีคำอธิบาย  ภควัตฺ-  คีตาฺ  เป็นภาษาอังกฤษมากมาย  เราอาจถามว่ามันจำเป็นด้วยหรือที่จะต้องอธิบายกันอีกครั้งหนึ่ง  ภควัต-คีตาฺ  ฉบับนี้จะอธิบายดังนี้  เมื่อไม่นานมานี้มีสุภาพสตรีชาวอเมริกันผู้หนึ่งได้ขอร้องให้อาตมาแนะนำหนังสือ  ภควัต-คีตาฺ  ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ  ในอเมริกามีหนังสือ  ภควัต-คีตาฺ  ที่เป็นภาษาอังกฤษมากมาย  แต่เท่าที่อาตมาเห็น  ไม่เพียงแต่ในอเมริกาเท่านั้น  แม้แต่ในอินเดียก็เช่นกัน  เมื่อพูดกันอย่างจริง  ๆ  ไม่มีเล่มใดเลยที่เชื่อถือได้  เพราะว่าหนังสือเกือบทุกเล่มผู้อธิบายได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง  โดยไม่ได้สัมผัสกับเนื้อหาสาระอันแท้จริงของ  ภควัต-คีตาฺ

เนื้อหาสาระอันแท้จริงของ  ภควัต-คีตา  ฉบับเดิมฺ  ได้กล่าวไว้ในตัวของ  ภควัต-คีตาเองฺดังนี้  ถ้าเราต้องการรับประทานยา  เราต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่เขียนอยู่บนฉลากยา  เราไม่ควรรับประทานยาตามความต้องการที่ผิดพลาดของเราหรือจากคำแนะนำของเพื่อนเราต้องรับประทานยาตามคำสั่งที่อยู่บนฉลาก  หรือตามคำสั่งแพทย์  เช่นเดียวกัน  ภควัต-คีตาฺ  ควรได้รับการยอมรับเหมือนกับผู้ตรัสได้ให้ไว้  ผู้ตรัส  ภควัต-คีตาฺ  คือองค์ชรีคริชณะ  พระองค์ทรงได้รับการกล่าวขานไว้ในทุก  ๆ  หน้าของ  ภควัต-คีตาฺ  ว่าเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  องค์ภควาน  คำว่า  ภควาน  บางครั้งหมายถึงมนุษย์ผู้มีอำนาจมาก  หรือเทวดาผู้มีอำนาจมาก  และแน่นอน  คำว่า  ภควาน  ในที่นี้หมายถึงองค์ชรีคริชณะบุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่  แต่ในขณะเดียวกันเราควรรู้ว่า  องค์ชรีคริชณะเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  ดังที่ได้ยืนยันไว้โดยพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย  เช่นชังคะราชารยะ,  รามานุจาชารยะ,  มัดฺวาชารยะ,  นิมบารคะ  สวามี,  ชรีเชธันญะ  มาฮาพระบํุและผู้เชื่อถือได้ในวิชาพระเวทอีกมากมายในประเทศอินเดีย  คริชณะทรงได้สถาปนาพระองค์เองว่าเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  ใน  ภควัต-คีตา,บระฮมะ-สัมฮิทา,ฺ  และ  พุราณะฺ  ทั้งหลาย  โดยเฉพาะ  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  ซึ่งเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  บฺากะวะฺ  ทะ  พุราณะ  (คริชณะสทุ  บฺะกะวาน  สวะยัม)ฺ  ฉะนั้น  เราควรจะรับเอา  ภควัต-กีตา  ฉบับฺ  เดิมฺ  ตามที่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ในบทที่สี่  ของ  ภควัต-กีตาฺ  (4.1-3)  ว่า

อิมัม วิวัสวะเท โยกัม
โพรคทะวาน อฮัม อัพยะยัมฺ

วิวัสวาน มะนะเว พราฮะ
มะนุร อิคชวาคเว ′บระวีทฺ
เอวัม พะรัมพะรา-พราพทัม
อิมัม ราจารชะโย วิดุฮฺ

สะ คาเลเนฮะ มะฮะทา
โยโก นัชทะฮ พะรันทะพะฺ
สะ เอวายัม มะยา เท ′ดยะ
โยกะฮ โพรคทะฮ พุราทะนะฮฺ

บัฺคโธ ′สิ เม สะคฺา เชทิ
ระฮัสยัม ฮิ เอทัด อุททะมัมฺ

ณ  ที่นี้พระองค์ตรัสแก่อารจุนะว่า  ระบบโยคะแห่ง  ภควัต-คีตาฺ  นี้  ครั้งแรกพระองค์ตรัสแก่สุริยเทพ  สุริยเทพทรงอธิบายแก่มะนุ  และมะนุทรงอธิบายให้อิคชวาคุด้วยระบบ  พะรัมพะราฺ  นี้  จากผู้ตรัสผู้หนึ่งมาสู่ผู้ตรัสอีกผู้หนึ่ง  ระบบโยคะนี้จึงได้ถูกถ่ายทอดลงมา  เมื่อกาลเวลาผ่านไปนานระบบนี้ได้สูญหายไป  ฉะนั้น  พระองค์ทรงตรัส  ภควัต-คีตาฺ  ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  ครั้งนี้ตรัสให้แก่อารจุนะ  ณ  สมรภูมิคุรุคเชทระ

พระองค์ทรงตรัสแก่อารจุนะว่าที่พระองค์ทรงถ่ายทอดความลับสุดยอดนี้ให้แก่อารจุนะเนื่องจากอารจุนะเป็นทั้งสาวกและสหาย  คำอธิบายในประเด็นนี้คือ  ภควัตฺ-  คีตาฺ  เป็นหนังสือสำหรับสาวกขององค์ภควาน  มีนักทิพย์นิยมอยู่สามประเภทคือ  กยานี,ฺ  โยกี,ฺ  และบัฺคธะฺ  หรืออีกนัยหนึ่ง  คือผู้ที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์,  นักบำเพ็ญฌาน  และสาวก  ณ  ที่นี้  ทรงตรัสแก่อารจุนะอย่างชัดเจนว่า  พระองค์ทรงให้อารจุนะเป็นผู้รับสาส์นคนแรกของ  พะรัมพะราฺ  ใหม่นี้  เพราะว่าสายเก่าได้ขาดตอนไป  ดังนั้น  จึงเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ที่จะสถาปนา  พะรัมพะราฺ  ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งเป็นสายเดียวกันกับสายที่ทรงถ่ายทอดให้กับสุริยเทพ  และทรงเป็นพระราชประสงค์ของพระองค์ที่จะให้อารจุนะเป็นต้นตำรับที่น่าเชื่อถือได้ในการเข้าใจ  ภควัต-คีตาฺ  ดังนั้น  เราจะเห็นว่า  ภควัต-คีตาฺ  ได้ถูกสอนให้อารจุนะโดยเฉพาะ  เพราะอารจุนะเป็นสาวก  ศิษย์โดยตรงและเป็นสหายสนิทของคริชณะ  ฉะนั้น  ผู้ที่จะเข้าใจ  ภควัต-คีตาฺ  ได้ดีที่สุดนั้น  ควรจะมีคุณสมบัติคล้ายอารจุนะคือจะต้องเป็นสาวกผู้ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับพระองค์  ในทันทีที่เรามาเป็นสาวกเราจะมีความสัมพันธ์กับคริชณะโดยตรง  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและประณีตมากแต่จะกล่าวโดยสรุปว่า  สาวกมีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าหนึ่งในห้ารูปแบบดังต่อไปนี้

1.  เราอาจจะเป็นสาวกแบบไม่แสดงออก

2.  เราอาจจะเป็นสาวกแบบแสดงออก

3.  เราอาจจะเป็นสาวกแบบเพื่อน

4.  เราอาจจะเป็นสาวกแบบบิดามารดา

5.  เราอาจจะเป็นสาวกแบบคู่รัก

อารจุนะทรงมีความสัมพันธ์กับคริชณะแบบเพื่อน  มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างมิตรภาพแบบนี้กับมิตรภาพในโลกวัตถุ  มิตรภาพเช่นนี้เป็นมิตรภาพทิพย์ที่ไม่ใช่ใครก็มีได้  แน่นอนที่ทุกคนมีความสัมพันธ์โดยเฉพาะกับองค์ภควาน  และความสัมพันธ์นั้นจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นจากความสมบูรณ์แห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ด้วยความจงรักภักดี  แต่ในสถานการณ์ของชีวิตปัจจุบัน  ไม่เพียงแต่เราจะลืมองค์ภควานเท่านั้น  แต่เรายังลืมความสัมพันธ์นิรันดรที่มีต่อพระองค์ด้วย  มีสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนับเป็นจำนวนพัน  ๆ  ล้าน  แต่ละชีวิตจะมีความสัมพันธ์โดยเฉพาะกับพระองค์นิรันดร  เช่นนี้เรียกว่า  สวะรูพะฺ  จากวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ด้วยความจงรักภักดี  เราสามารถฟื้นฟู  สวะรูพะฺ  นี้ได้  ในระดับนี้เรียกว่า  สวะรูพะ-สิดดิฺฺ  หมายถึงความสมบูรณ์ในสถานภาพพื้นฐานของเรา  ดังนั้น  อารจุนะทรงเป็นสาวกและได้มาสัมผัสกับองค์ภควานฉันมิตร

อารจุนะทรงยอมรับเอา  ภควัต-คีตาฺ  นี้มาได้อย่างไรเราควรให้ความสนใจลักษณะท่าทีแห่งการยอมรับนี้  ได้ให้ไว้ในบทที่สิบ  (10.12-14)

อารจุนะ อุวาชะฺ
พะรัม บระฮมะ พะรัม ดฺามะ
พะวิทรัม พะระมัม บฺะวานฺ

พุรุชัม ชาชวะทัม ดิพยัม
อาดิ-เดวัม อะจัม วิบํุมฺ
อาฮุส ทวาม ริชะยะฮ สารเว
เดวารชิร นาระดัส ทะทฺาฺ

อสิโท เดวะโล วิยาสะฮ
สวะยัม ไชวะ บระวีชิ เมฺ
สารวัม เอทัด ริทัม มันเย
ยัน มาม วะดะสิ เคชะวะฺ

นะ ฮิ เท บฺะกะวัน วยัคทิม
วิดุร เดวา นะ ดานะวาฮฺ

“อารจุนะตรัสว่า  พระองค์ทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  ทรงเป็นที่พำนักพักพิงสูงสุด  ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด  ทรงเป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์  พระองค์ทรงเป็นอมตะ  ทรงเป็นทิพย์  ทรงเป็นปฐมองค์  ไม่มีการเกิด  และทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด  นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย  เช่น  นาระดะ  อสิทะ  เดวะละ  และ  วิยาสะ  ได้ยืนยันความจริงเช่นนี้เกี่ยวกับพระองค์  และมาบัดนี้พระองค์ทรงประกาศให้ข้าได้ทราบ  โอ้  คริชณะ  ข้าพเจ้าขอน้อมรับโดยดุษฏีว่าทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นสัจธรรม  แม้แต่เหล่าเทวดาหรือเหล่ามารก็ไม่สามารถเข้าใจบุคลิกภาพแห่งพระองค์ได้”

หลังจากที่อารจุนะทรงสดับฟัง  ภควัต-คีตาฺ  จากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าแล้วอารจุนะทรงยอมรับองค์ชรีคริชณะว่าเป็น  พะรัม  บระฮมะฺ  หรือ  บระฮมันฺ  สูงสุด  ทุกชีวิตเป็น  บระฮมันฺ  แต่ว่าชีวิตที่สูงสุดหรือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  คือ  บระฮมันสูงสุดฺ  พะรัม  ดฺามะฺ  หมายความว่าพระองค์ทรงเป็นที่พำนักพักพิงสูงสุดสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง  พะวิทรัมฺ  หมายความว่าพระองค์ทรงมีความบริสุทธิ์ปราศจากมลทินทางวัตถุ  พุรุชัมฺ  หมายความว่า  พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีความสุขเกษมสำราญสูงสุด  ชาชวะทัมฺ  เป็นอมตะ  ดิพยัมฺ  เป็นทิพย์  อาดิ-เดวัมฺ  บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์เดิมแท้  อะจัมฺ  ไม่มีการเกิด  และ  วิบํุมฺ  ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

เราอาจคิดว่า  คริชณะทรงเป็นพระสหายของอารจุนะ  อารจุนะจึงทรงตรัสสรรเสริญเยินยอพระองค์  แต่เพื่อขจัดความสงสัยเช่นนี้ให้ออกจากจิตใจของผู้อ่าน  ภควัต-คีตาฺ  อารจุนะจึงทรงยืนยันคำสรรเสริญนี้ในโศลกต่อมาว่า  คริชณะทรงได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  ไม่เพียงแต่อารจุนะเท่านั้น  แม้แต่ผู้ที่น่าเชื่อถือได้  เช่น  นาระดะ  อสิทะ  เดวะละ  และ  วิยาสะเดวะ  ท่านเหล่านี้เป็นบุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่ที่แจกจ่ายความรู้พระเวท  เหมือนดังเช่นที่  อาชารยะฺ  ทั้งหลายยอมรับ  ดังนั้น  อารจุนะได้ตรัสแด่คริชณะว่าทรงยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คริชณะตรัสว่ามีความสมบูรณ์บริบูรณ์  สารวัม  เอทัด  ริทัม  มันเยฺ  “ข้าพเจ้ายอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตรัสว่าเป็นสัจธรรม”  อารจุนะตรัสว่า  บุคลิกภาพแห่งพระเจ้านี้ยากนักที่จะเข้าใจ  แม้แต่เหล่าเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าใจพระองค์  หมายความว่าแม้แต่บุคลิกภาพที่ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์  ก็ยังไม่สามารถเข้าใจพระองค์  ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจคริชณะได้อย่างไร  ถ้าหากไม่มาเป็นสาวกของพระองค์

ฉะนั้น  เราจึงควรรับ  ภควัต-คีตาฺ  ด้วยจิตวิญญาณแห่งการอุทิศตนเสียสละไม่ควรคิดว่าตัวเราเทียบเท่ากับคริชณะ  และไม่ควรคิดว่าคริชณะทรงเป็นเพียงบุคคลธรรมดาสามัญ  หรือแม้แต่คิดว่า  พระองค์ทรงเป็นบุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น  องค์ชรีคริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  ฉะนั้น  ตามที่ภควัต-คีตาฺ  หรือที่อารจุนะได้ตรัสไว้ว่า  ผู้ที่พยายามเข้าใจภควัต-คีตาฺ  อย่างน้อยตามทฤษฎีควรยอมรับว่าชรีคริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  และด้วยจิตวิญญาณที่ยอมรับเช่นนี้  ก็จะสามารถเข้าใจ  ภควัต-คีตาฺ  นอกเสียจากว่าเราอ่าน  ภควัต-คีตาฺ  ด้วยจิตวิญญาณที่ยอมรับเช่นนี้มิฉะนั้น  เป็นการยากมากที่จะเข้าใจ  ภควัต-คีตาฺ  เพราะจะเป็นสิ่งที่เร้นลับมาก

ภควัต-คีตาฺ  คืออะไร  จุดมุ่งหมายของ  ภควัต-คีตาฺ  ก็เพื่อที่จะนำพามนุษยชาติให้ออกจากอวิชชาแห่งชีวิตทางวัตถุ  ทุก  ๆ  คนจะมีความยากลำบากนานัปการเหมือนดังเช่น  อารจุนะทรงอยู่ในความยากลำบากที่จะต้องต่อสู้ในสมรภูมิคุรุคเชทระ  อารจุนะทรงศิโรราบแด่ชรีคริชณะ  จากนั้นคริชณะจึงตรัส  ภควัต-คีตาฺ  นี้ไม่เพียงให้แด่อารจุนะเท่านั้น  เราทุก  ๆ  คนก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวลในโลกวัตถุนี้  ความเป็นอยู่ของเราอยู่ในบรรยากาศที่ไม่เป็นความจริง  อันที่จริงเราไม่ควรจะถูกความไม่เป็นจริงมาข่มขู่ดวงวิญญาณของเราซึ่งเป็นอมตะ  อย่างไรก็ดี  เราได้ถูกจับมาอยู่ในสถานที่อสัท  อสัทฺ  หมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริง

ในจำนวนมนุษย์มากมายที่ได้รับความทุกข์  มีน้อยคนนักที่จะถามถึงสถานภาพของตนเองว่า  ตนเองคืออะไร  แล้วเหตุไฉนจึงมาอยู่ในสภาวะที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้  ฯลฯนอกจากว่ามีความตื่นตัวที่จะถามถึงสภาวะแห่งความทุกข์นี้  นอกจากรู้แล้วว่าตนเองไม่ต้องการความทุกข์  แต่ต้องการแก้ปัญหาความทุกข์ทั้งปวง  มิฉะนั้น  ก็ไม่ควรพิจารณาว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  มนุษยชาติเริ่มต้นเมื่อคำถามเหล่านี้เกิดขึ้นในจิตใจของตนเอง  ใน  บระฮมะ-สูทระฺ  คำถามเช่นนี้เรียกว่า  บระฮมะ-จิกยาสา,  อทฺาโท  บระฮมะ-จิกยาสาฺ  กิจกรรมของมนุษย์ทั้งหมดจะถือว่าล้มเหลวหากเราไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติแห่งสัจธรรม  ฉะนั้น  ผู้ที่เริ่มคำถามว่าทำไมเราจะต้องได้รับทุกข์ทรมาน?  หรือว่าเรามาจากไหน?  และเราจะไปไหนหลังจากตายไปแล้ว?  เช่นนี้จะเป็นนักศึกษาที่ควรค่าในการเข้าใจ  ภควัต-คีตาฺ  นักศึกษาผู้มีความจริงใจควรมีความเคารพอย่างมั่นคงต่อบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าและนักศึกษาเช่นนี้  คือ  อารจุนะ

องค์ชรีคริชณะเสด็จลงมาเพื่อสถาปนาจุดมุ่งหมายแท้จริงของชีวิต  โดยเฉพาะเมื่อมนุษย์ลืมจุดมุ่งหมายนี้  แม้กระนั้นจากผู้ที่ตื่นแล้วจำนวนมากมาย  จะมีเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าถึงเจตนารมณ์แห่งความเข้าใจสถานภาพหน้าที่อันแท้จริงของตนเอง  สำหรับผู้นั้น  ภควัต-คีตาฺ  จึงถูกตรัสขึ้น  อันที่จริงเราทั้งหมดกำลังถูกนางเสือร้ายแห่งอวิชชากลืนกินอยู่ทุกขณะ  แต่พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตมาก  โดยเฉพาะมนุษย์  เมื่อเป็นเช่นนี้  พระองค์จึงตรัส  ภควัต-คีตาฺ  และให้สหายของพระองค์  อารจุนะ  มาเป็นศิษย์

ในฐานะที่เป็นสหายของชรีคริชณะ  อารจุนะทรงอยู่เหนืออวิชชาทั้งปวง  แต่ที่สมรภูมิคุรุคเชทระ  อารจุนะทรงถูกอวิชชาครอบงำ  เพื่อที่จะให้อารจุนะทรงตั้งคำถามต่อคริชณะเกี่ยวกับปัญหาชีวิต  เพื่อพระองค์จะทรงอธิบายให้เป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังสืบต่อไป  และจะได้วางแผนชีวิตอย่างถูกต้อง  จากนั้นมนุษย์จะได้ปฏิบัติตามและทำให้ภารกิจของชีวิตมนุษย์เสร็จสิ้นสมบูรณ์

เนื้อหาสาระของ  ภควัต-คีตาฺ  ประกอบด้วยความเข้าใจสัจธรรมพื้นฐานห้าประการประการแรกอธิบายถึงศาสตร์แห่งองค์ภควาน  จากนั้นอธิบายถึงสถานภาพพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต  จีวะ,  อีชวะระฺ  หมายถึงผู้ควบคุม  และ  จีวะฺ  หมายถึง  สิ่งมีชีวิตผู้ถูกควบคุม  ถ้าหากว่าสิ่งมีชีวิตกล่าวว่าเป็นอิสระ  ไม่ถูกควบคุม  เช่นนี้เรียกว่าเสียสติ  เพราะสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมอยู่ตลอดเวลา  อย่างน้อยในชีวิตสภาวะวัตถุ  ฉะนั้น  เนื้อหาสาระของ  ภควัต-คีตาฺ  จึงกล่าวถึง  อีชวะระฺ  ผู้ควบคุมสูงสุด  และ  จีวะฺ  สิ่งมีชีวิตผู้ถูกควบคุม  พระฺ  คริทิฺ  (ธรรมชาติวัตถุ),  กาลเวลา  (ระยะเวลาที่จักรวาลเป็นอยู่  หรือปรากฏการณ์ของธรรมชาติวัตถุ)  และคารมะฺ  (กรรม)  ทั้งหมดได้กล่าวไว้  ณ  ที่นี้  ปรากฏการณ์ในจักรวาลเต็มไปด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน  สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมีการทำกิจกรรมแตกต่างกัน  จาก  ภควัต-คีตาฺ  เราต้องเรียนรู้ว่า  องค์ภควานคืออะไร?  สิ่งมีชีวิตคืออะไร?  พระ-คริทิคืออะไร?  ปรากฏการณ์ในจักรวาลคืออะไร?  ถูกควบคุมด้วยกาลเวลาได้อย่างไร?  และอะไรคือกิจกรรมของสิ่งมีชีวิต

จากเนื้อเรื่องพื้นฐานทั้งห้าประการใน  ภควัต-คีตาฺ  ได้สถาปนาว่าองค์ภควานหรือคริชณะ  หรือบระฮมัน  หรือผู้ควบคุมสูงสุด  หรือพะระมาทมา  เราอาจจะใช้ชื่ออะไรก็ได้ที่เราชอบซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด  โดยคุณสมบัติแล้ว  สิ่งมีชีวิตก็เหมือนผู้ควบคุมสูงสุด  ตัวอย่างเช่น  องค์ภควานทรงควบคุมกิจกรรมในจักรวาลของธรรมชาติวัตถุ  ซึ่งจะอธิบายในบทต่อ  ๆ  ไปในภควัต-คีตาฺ  ธรรมชาติวัตถุไม่เป็นอิสระ  พระนางทรงปฏิบัติภายใต้คำสั่งขององค์ภควาน  ดังเช่น  คริชณะตรัสว่า  มายาดฺยัคเชณะ  พระคริทิฮ  สูยะเทฺ  สะ-ชะราชะรัมฺ  “ธรรมชาติวัตถุนี้ปฏิบัติการภายใต้คำสั่งของข้า”  เมื่อเราเห็นสิ่งอัศจรรย์มากมายเกิดขึ้นในจักรวาลวัตถุ  เราควรรู้ว่าเบื้องหลังของปรากฏการณ์ในจักรวาลวัตถุนี้มีผู้ควบคุม  ไม่มีอะไรปรากฏออกมาได้โดยไม่มีผู้ควบคุม  หากเราไม่พิจารณาถึงผู้ควบคุม  เราก็มีความคิดเหมือนกับเด็ก  ๆ  ตัวอย่างเช่น  เด็กอาจจะคิดว่ารถยนต์นี้น่าอัศจรรย์ที่สามารถวิ่งเองได้  โดยไม่ต้องมีม้าหรือสัตว์มาลากจูง  แต่คนปกติธรรมดารู้ธรรมชาติของระบบเครื่องยนต์ว่าทำงานอย่างไร  เขาจะรู้เบื้องหลังของเครื่องยนต์ว่ามีคนขับเป็นบุคคล  ในทำนองเดียวกันองค์ภควานทรงเป็นผู้ขับ  ซึ่งภายใต้คำสั่งของพระองค์กิจกรรมทั้งหมดจึงดำเนินไป  ทรงยอมรับในบทต่อ  ๆ  มาว่า  จีวะหรือสิ่งมีชีวิตฺเป็นละอองอณูของพระองค์  เศษทองคำก็เป็นทองคำ  น้ำหนึ่งหยดจากมหาสมุทรก็มีความเค็มเช่นเดียวกัน  ดังนั้น  สิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูของผู้ควบคุมสูงสุด  อีชวะระฺ  หรือองค์ภควานชรีคริชณะ  เรามีคุณสมบัติทั้งหมดขององค์ภควานในปริมาณเพียงเล็กน้อยเนื่องจากเราเป็น  อีชวะระฺ  ย่อย  ๆ  ที่พยายามจะควบคุมธรรมชาติ  ดังเช่นปัจจุบันนี้เราพยายามจะควบคุมอวกาศและดาวเคราะห์ดวงอื่น  ๆ  แนวโน้มการควบคุมยังมีอยู่  เพราะว่ามันมีอยู่ในคริชณะ  แต่ถึงแม้เรามีแนวโน้มที่จะเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติวัตถุ  ควรรู้ว่าเราไม่ใช่ผู้ควบคุมสูงสุด  เรื่องนี้ได้อธิบายไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ

ธรรมชาติวัตถุคืออะไร?  ได้อธิบายไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  ว่าเป็น  พระคริทิฺ  หรือธรรมชาติที่ต่ำกว่า  สิ่งมีชีวิตเป็น  พระคริทิฺ  ที่สูงกว่า  พระคริทิฺ  จะอยู่ภายใต้การควบคุมเสมอ  ไม่ว่าจะเป็น  พระคริทิฺ  ที่สูงหรือต่ำกว่า  พระคริทิฺ  เป็นสตรีเพศและนางถูกควบคุมโดยองค์ภควาน  เหมือนกับกิจกรรมของภรรยาถูกสามีควบคุม  พระคริทิฺ  จะเป็นรองอยู่เสมอ  ถูกควบคุมโดยองค์ภควานซึ่งเป็นผู้ควบคุม  สิ่งมีชีวิตและธรรมชาติวัตถุทั้งคู่ถูกควบคุม  โดยองค์ภควานเป็นผู้คุม  ตาม  ภควัต-คีตาฺ  ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูขององค์ภควาน  ก็ถือว่าเป็น  พระคริทิฺ  ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในบทที่เจ็ดของ  ภควัต-คีตาฺว่า  อะพะเรยัม  อิทัส  ทว  อันยาม  พระคริทิม  วิดดิฺ  เม  พะราม/  จีวะ-บํูทามฺ  “ธรรมชาติวัตถุนี้เป็น  พระคริทิฺ  เบื้องต่ำของข้า  แต่เหนือไปกว่านี้ยังมีธรรมชาติอีกแบบหนึ่งเรียกว่า  จีวะ-บํูทามฺ  สิ่งมีชีวิต”

ธรรมชาติวัตถุประกอบด้วยคุณลักษณะสามประการ  คุณลักษณะความดี  ตัณหาและอวิชชา  สูงไปกว่านี้มีกาลเวลาที่เป็นอมตะ  ด้วยการผสมผสานกันของคุณลักษณะแห่งธรรมชาติภายใต้การควบคุมของกาลเวลาอมตะ  มีกิจกรรมเรียกว่า  คารมะฺ  กิจกรรมเหล่านี้ปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล  เราจะได้รับความทุกข์หรือความสุขก็เนื่องจากผลของการกระทำของเรา  ตัวอย่างเช่น  ถ้าหากว่าอาตมาเป็นนักธุรกิจทำงานอย่างขยันขันแข็งด้วยสติปัญญา  และสั่งสมเงินมากมายในธนาคาร  เช่นนี้อาตมาเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญ  ต่อมาธุรกิจล้มละลายลง  อาตมาจะเป็นผู้ได้รับความทุกข์ทรมานในทำนองเดียวกัน  ในทุก  ๆ  ด้านของชีวิตเราได้รับความสุขหรือความทุกข์จากผลงานของเรา  เช่นนี้เรียกว่า  คารมะฺ  หรือ  กรรมฺ

อีชวะระฺ  (องค์ภควาน)  จีวะฺ  (สิ่งมีชีวิต)  พระคริทิฺ  (ธรรมชาติ)  คาละฺ  (กาลเวลาอมตะ)และคารมะฺ  (กรรม)  ทั้งหมดได้อธิบายไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  ทั้งห้าประการนี้  องค์ภควาน  สิ่งมีชีวิต  ธรรมชาติวัตถุ  และกาลเวลา  เป็นอมตะ  ปรากฏการณ์ของ  พระคริทิฺอาจเป็นการชั่วคราวแต่ว่าไม่ผิด  นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่าปรากฏการณ์ของธรรมชาติวัตถุนั้นผิด  แต่ตามปรัชญาของ  ภควัต-คีตาฺ  หรือตามปรัชญาของไวชณะวะไม่เป็นเช่นนั้น  ปรากฏการณ์ของโลกไม่ถือว่าผิด  มันเป็นความจริงแต่ว่าไม่ถาวร  คล้ายๆ  กับก้อนเมฆซึ่งเคลื่อนผ่านท้องฟ้าไป  หรือว่าฝนที่ตกตามฤดูกาลให้ความชุ่มฉ่ำต่อเมล็ดข้าว  เมื่อหน้าฝนผ่านไปก้อนเมฆถูกพัดไปที่อื่นพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ได้รับความชุ่มฉ่ำจากฝนก็แห้งแล้งลง  เช่นเดียวกับปรากฏการณ์ทางวัตถุนี้  เกิดขึ้นชั่วเวลาหนึ่ง  เป็นอยู่สักพักหนึ่ง  จากนั้นก็สูญหายไป  นี่คือการทำงานของ  พระคริทิฺ  แต่วัฏจักรนี้จะเป็นอยู่เช่นนี้ตลอดกาล  ฉะนั้น  พระคริทิฺ  จึงเป็นอมตะไม่ถือว่าผิด  องค์ภควานตรัสถึงข้อนี้ว่า  เป็นพระคริทิฺ  ของข้า”  ธรรมชาติวัตถุนี้เป็นพลังงานที่แยกมาจากองค์ภควาน  สิ่งมีชีวิตก็เป็นพลังงานขององค์ภควานเช่นเดียวกัน  ถึงแม้ว่าจะไม่แยกจากกันแต่มีความสัมพันธ์ต่อกันชั่วกัลปาวสาน  ดังนั้น  องค์ภควาน  สิ่งมีชีวิต  ธรรมชาติวัตถุ  และกาลเวลา  มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งหมด  และทั้งหมดนี้เป็นอมตะ  อย่างไรก็ดีมีอีกสิ่งหนึ่งคือกรรม  หรือคารมะฺ  ที่ไม่เป็นอมตะ  ผลกรรมของเราอาจจะนานมากแล้ว  เราได้รับความทุกข์หรือความสุขจากผลกรรมตั้งแต่อดีตโบราณกาล  แต่เราสามารถเปลี่ยนผลกรรมของเราได้  การเปลี่ยนเช่นนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของความรู้ของเราเอง  เราปฏิบัติกิจกรรมมากมาย  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราไม่รู้เลยว่ากิจกรรมใดที่เราปฏิบัติแล้วจะได้รับความหลุดพ้นไปจากกรรมและผลกรรมทั้งหลายเหล่านี้  แต่นี่ก็ได้อธิบายไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ

สถานภาพของ  อีชวะระฺ  (องค์ภควาน)  เป็นสถานภาพของจิตสำนึกสูงสุด  จีวะฺ  หรือสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นละอองอณูขององค์ภควานต่างก็มีจิตสำนึกเช่นเดียวกัน  ทั้งสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติวัตถุเป็น  พระคริทิฺ  พลังงานขององค์ภควาน  แต่หนึ่งในสอง  คือ  จีวะมีฺจิตสำนึก  พระคริทิฺ  ไม่มีจิตสำนึก  และนี่คือข้อแตกต่าง  ฉะนั้น  จีวะ-พระคริทิฺ  จึงได้ชื่อว่าสูงกว่า  เนื่องจาก  จีวะฺ  มีจิตสำนึกคล้ายจิตสำนึกขององค์ภควาน  จิตสำนึกขององค์ภควานเป็นจิตสำนึกที่สูงสุด  อย่างไรก็ดีเราไม่ควรอ้างว่าจีวะหรือสิ่งมีชีวิตมีจิตสำนึกสูงสุดเช่นเดียวกัน  สิ่งมีชีวิตไม่สามารถมีจิตสำนึกสูงสุดได้  ไม่ว่าจะมีความสมบูรณ์บริบูรณ์ในระดับใด  และทฤษฎีที่ว่าเราสามารถมีจิตสำนึกสูงสุดได้  จึงเป็นทฤษฎีที่นำไปในทางที่ผิด  เราอาจมีจิตสำนึกแต่ไม่ใช่จิตสำนึกที่สมบูรณ์หรือสูงสุด

ข้อแตกต่างระหว่าง  จีวะฺ  และ  อีชวะระฺ  จะอธิบายในบทที่สิบสามของ  ภควัตฺ-  คีตาฺ  พระองค์ทรงเป็น  คเชทระ-กยะฺ  จิตสำนึกเหมือนกับสิ่งมีชีวิต  แต่สิ่งมีชีวิตมีจิตสำนึกแค่เฉพาะร่างกายของตนเองเท่านั้น  ในขณะที่องค์ภควานทรงมีจิตสำนึกในทุกๆ  ร่างกาย  เพราะว่าทรงประทับอยู่ภายในหัวใจของทุก  ๆ  ชีวิต  พระองค์ทรงมีจิตสำนึกการเคลื่อนไหวทางจิตวิทยาของทุก  จีวะฺ  ซึ่งเราไม่ควรลืมสิ่งนี้  ได้อธิบายว่า  พะระฺ-  มาทมาฺ  บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าประทับอยู่ในหัวใจของทุก  ๆ  ชีวิตเป็น  อีชวะระฺ  หรือผู้ควบคุม  พระองค์ทรงประทานแนวทางเพื่อให้สิ่งมีชีวิตปฏิบัติตามที่ตนปรารถนาสิ่งมีชีวิตลืมไปว่าจะทำอะไร  ครั้งแรกเราตั้งใจจะทำบางสิ่งบางอย่าง  จากนั้นเราก็ถูกพันธนาการอยู่ในกรรมและผลกรรมของเราเอง  หลังจากละทิ้งร่างหนึ่งไปแล้ว  เราจะเข้าไปสู่อีกร่างหนึ่งเหมือนการเปลี่ยนเสื้อผ้า  ขณะที่ดวงวิญญาณท่องไปเราจะได้รับความทุกข์จากผลกรรมในอดีต  กิจกรรมเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้  เมื่อสิ่งมีชีวิตอยู่ในคุณลักษณะความดีเป็นคนปกติ  และเข้าใจว่ากิจกรรมใดควรทำ  หากทำได้เช่นนี้  ผลกรรมในอดีตของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ฉะนั้น  กรรมหรือ  คารมะฺ  ไม่เป็นอมตะ  จึงพูดได้ว่าทั้งห้าประการ  (อีชวะระ  จีวะ  พระคริทิฺ  กาลเวลา  และคารมะฺ)  มีสี่ประการที่เป็นอมตะส่วนกรรมไม่เป็นอมตะ

จิตสำนึกสูงสุด  อีชวะระฺ  คล้ายสิ่งมีชีวิตดังนี้  คือ  จิตสำนึกขององค์ภควานและของสิ่งมีชีวิตอยู่เหนือโลก  เป็นทิพย์  จิตสำนึกไม่ได้กำเนิดมาจากการสัมผัสกับวัตถุนี่เป็นความคิดที่ผิด  ทฤษฏีที่ว่าจิตสำนึกพัฒนาขึ้นภายใต้สถานการณ์ของการผสมผสานทางวัตถุบางประการนั้น  ภควัต-คีตาฺ  ไม่ยอมรับ  จิตสำนึกที่อาจจะสะท้อนกลับมาแบบผิด  ๆ  ภายใต้การครอบงำของสถานการณ์ทางวัตถุ  ดังเช่นแสงสะท้อนผ่านกระจกสีอาจจะเป็นสีอื่น  แต่จิตสำนึกขององค์ภควานจะไม่มีผลกระทบจากวัตถุ  คริชณะตรัสว่า  มะยาดฺยัคเชณะ  พระคริทิฮฺ  เมื่อเสด็จลงมาในจักรวาลวัตถุ  จิตสำนึกของพระองค์ทรงไม่ถูกกระทบโดยวัตถุ  มิฉะนั้นจะไม่ทรงเป็นผู้เหมาะสมที่จะตรัส  ภควัต-คีตาฺ  เกี่ยวกับเรื่องโลกทิพย์  เราไม่สามารถกล่าวอะไรเกี่ยวกับโลกทิพย์  ในเมื่อยังไม่เป็นอิสระจากจิตสำนึกที่มีมลทินทางวัตถุ  ดังนั้น  องค์ภควานทรงไม่มีมลทินทางวัตถุ  จิตสำนึกของเราในปัจจุบันมีมลทินทางวัตถุ  ภควัต-คีตาฺ  สอนให้เราทำจิตสำนึกที่มีมลทินทางวัตถุนี้ให้บริสุทธิ์  ด้วยจิตสำนึกที่บริสุทธิ์การกระทำของเราจะสมยอมกับพระราชประสงค์ของอีชวะระฺ  เช่นนี้  จะทำให้เรามีความสุข  มิใช่ว่าเราต้องหยุดกิจกรรมทั้งปวง  แต่เราต้องทำให้กิจกรรมของเราบริสุทธิ์ขึ้น  และกิจกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์นี้เรียกว่า  บัฺคธิกิจกรรมฺใน  บัฺคธิฺ  คล้ายกับกิจกรรมธรรมดาสามัญ  แต่ว่าไร้มลทิน  ผู้ที่อยู่ในอวิชชาอาจเห็นสาวกปฏิบัติกิจกรรมหรือทำงานเหมือนคนธรรมดา  คนที่ด้อยความรู้ประเภทนี้จะไม่ทราบว่ากิจกรรมของสาวก  หรือขององค์ภควานไม่มีมลทินจากจิตสำนึกที่ไม่บริสุทธิ์หรือวัตถุจิตสำนึก  ซึ่งอยู่นอกเหนือคุณลักษณะสามประการของธรรมชาติ  อย่างไรก็ดี  เราควรรู้ว่าขณะนี้จิตสำนึกของเรานี้ยังมีมลทิน

ขณะที่เรามีมลทินทางวัตถุ  เรียกว่าเราอยู่ภายใต้สภาวะวัตถุ  จิตสำนึกที่ผิดจะแสดงออกภายใต้ความรู้สึกว่า  ข้าเป็นผลผลิตของธรรมชาติวัตถุ  เช่นนี้เรียกว่า  อหังการผู้ที่ซึมซาบอยู่ในแนวคิดทางร่างกายไม่สามารถเข้าใจสภาวะของตนเอง  ภควัต-คีตาฺ  ถูกตรัสขึ้นเพื่อให้เราเป็นอิสระจากชีวิตที่เต็มไปด้วยแนวความคิดทางร่างกาย  อารจุนะทรงมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เพื่อจะได้รับข้อมูลจากพระองค์  เราต้องเป็นอิสระจากชีวิตที่มีแนวคิดชีวิตทางร่างกาย  นี่คือกิจกรรมเบื้องต้นของนักทิพย์นิยมผู้ที่ต้องการอิสรภาพหลุดพ้น  สิ่งแรกสุดต้องเรียนรู้ว่าตัวเรามิใช่ร่างกายวัตถุนี้  มุคทิฺ  หรือความหลุดพ้นหมายถึงความมีอิสระภาพจากจิตสำนึกทางวัตถุ  ใน  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  ได้กล่าวถึงคำจำกัดความของความหลุดพ้นว่า  มุคทิร  ฮิทวานยะทฺา-รูพัม  สวะรูเพณะ  วยะวัสทิฺทิฮ,  มุคทิฺ  หมายถึง  ความหลุดพ้นจากจิตสำนึกที่มีมลทินแห่งโลกวัตถุนี้  และสถิตในจิตสำนึกที่บริสุทธิ์  คำสั่งสอนใน  ภควัต-คีตาฺ  ทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูจิตสำนึกที่บริสุทธิ์  ดังนั้น  เราจะพบว่าคำสั่งสอนสุดท้ายของ  ภควัต-คีตาฺ  องค์ชรีคริชณะทรงถามอารจุนะว่า  บัดนี้เธอมีจิตสำนึกที่บริสุทธิ์หรือยัง?  จิตสำนึกที่บริสุทธิ์หมายถึงการปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนขององค์ภควาน  นี่คือข้อสรุปและเนื้อหาสาระสำคัญทั้งหมดของจิตสำนึกที่บริสุทธิ์จิตสำนึกเรามีอยู่เนื่องจากเราเป็นละอองอณูขององค์ภควาน  แต่สำหรับเราอาจมีผลกระทบมาจากคุณลักษณะที่ต่ำกว่า  แต่ว่าองค์ภควานทรงไม่ถูกกระทบเลย  และนี่คือข้อแตกต่างระหว่างองค์ภควานและปัจเจกวิญญาณดวงเล็ก  ๆ

จิตสำนึกคืออะไร?  จิตสำนึกนี้คือ  “ข้าพเจ้าเป็น”  จากนั้นข้าพเจ้าเป็นอะไร  ในจิตสำนึกที่มีมลทิน  “ข้าพเจ้าเป็น”  หมายถึง  “ข้าพเจ้าเป็นพระเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มา  ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญ”  โลกนี้หมุนไป  เนื่องจากทุกชีวิตคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าและเป็นผู้สร้างโลกวัตถุ  มีจิตวิทยาสองรูปแบบในจิตสำนึกทางวัตถุ  แบบหนึ่งคือ  ข้าพเจ้าเป็นผู้สร้าง  และอีกแบบหนึ่งคือ  ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญแต่อันที่จริงองค์ภควานทรงเป็นทั้งผู้สร้างและผู้มีความสุขเกษมสำราญ  สิ่งมีชีวิตเป็นเพียงละอองอณูขององค์ภควานเท่านั้น  ไม่ใช่เป็นผู้สร้างหรือผู้มีความสุขเกษมสำราญแต่เป็นผู้ร่วมมือ  เราเป็นผู้ถูกสร้างขึ้นมาและเป็นผู้ให้ความสุขเกษมสำราญ  ตัวอย่างเช่นส่วนของเครื่องยนต์จะร่วมมือกับเครื่องยนต์ทั้งเครื่อง  ส่วนของร่างกายจะร่วมมือกับร่างกายทั้งร่าง  แขน  ขา  ตา  ฯลฯ  ทั้งหมดเป็นส่วนต่าง  ๆ  ของร่างกาย  แต่ว่าทั้งหมดมิใช่ผู้มีความสุขเกษมสำราญโดยแท้จริง  ท้องเป็นส่วนมีความสุขเกษมสำราญ  เท้าใช้เดิน  มือใช้ส่งอาหาร  ฟันใช้เคี้ยว  ส่วนต่าง  ๆ  ทั้งหมดของร่างกายจะร่วมมือกัน  เพื่อให้ท้องได้รับความพึงพอใจ  เพราะว่าท้องเป็นอวัยวะหลักที่จะให้พลังงานแก่ร่างกายทั้งหมด  ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงถูกส่งมาที่ท้อง  เราจะให้อาหารและพลังงานแก่ต้นไม้ด้วยการรดน้ำไปที่ราก  และเราจะให้พลังงานแก่ร่างกายด้วยการส่งอาหารไปที่ท้อง  เพื่อร่างกายจะได้มีสุขภาพดี  ส่วนต่าง  ๆ  ของร่างกายจะต้องร่วมมือกัน  เพื่อป้อนอาหารให้ท้อง  เช่นเดียวกันองค์ภควานทรงเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญและเป็นผู้สร้าง  เราในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่ามีไว้เพื่อร่วมมือให้พระองค์ทรงพอพระทัย  การร่วมมือเช่นนี้จะช่วยเราได้อย่างแน่นอน  เหมือนกับท้องได้รับอาหารก็จะไปช่วยส่วนต่าง  ๆ  ของร่างกาย  หากว่านิ้วมือคิดว่าเขาควรรับประทานอาหารเสียเองแทนที่จะส่งไปให้ท้อง  ความสับสนวุ่นวายก็จะเกิดขึ้น  จุดศูนย์กลางของการสร้างและความสุขเกษมสำราญคือองค์ภควาน  และสิ่งมีชีวิตเป็นผู้ร่วมมือ  จากการร่วมมือทำให้เราได้รับความสุขเกษมสำราญ  ความสัมพันธ์คล้ายกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและผู้รับใช้  หากเจ้านายมีความพึงพอใจอย่างมาก  ผู้รับใช้ก็จะได้รับความพึงพอใจ  ในทำนองเดียวกัน  องค์ภควานทรงควรได้รับความพึงพอใจแนวโน้มที่จะเป็นผู้สร้างและจะเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญในโลกวัตถุจะมีอยู่ในสิ่งมีชีวิต  เนื่องจากแนวโน้มเหล่านี้  มีอยู่ในองค์ภควานผู้ทรงสร้างจักรวาลวัตถุที่ปรากฏอยู่

ดังนั้น  ใน  ภควัต-คีตาฺ  เราจะพบความสมบูรณ์ทั้งหมดประกอบด้วยผู้ควบคุมสูงสุด  สิ่งมีชีวิตที่ถูกควบคุม  ปรากฏการณ์แห่งจักรวาล  กาลเวลาอมตะและ  คารมะฺ  หรือกิจกรรม  ทั้งหมดนี้อธิบายไว้ในหนังสือเล่มนี้  ทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกันประกอบเป็นความสมบูรณ์ทั้งหมด  และความสมบูรณ์นี้เรียกว่าสัจธรรมที่สมบูรณ์สูงสุด  ภาพที่สมบูรณ์และสัจธรรมที่สมบูรณ์ทั้งหมดคือบุคลิกภาพขององค์ภควานที่สมบูรณ์องค์ชรีคริชณะ  ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่มีก็เนื่องมาจากพลังงานต่าง  ๆ  ของคริชณะ  พระองค์ทรงเป็นภาพที่สมบูรณ์

ได้อธิบายไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  ว่า  บระฮมันฺ  อันไร้รูปลักษณ์เป็นรองบุคลิกภาพสูงสุดที่สมบูรณ์  (บระฮมะโณ  ฮิ  พระทิชทฺาฮัมฺ)  ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดชัดเจนใน  บระฮมะ-สูทระฺ  ว่า  บระฮมันฺ  เหมือนกับรัศมีของแสงอาทิตย์  บระฮมันฺ  อันไร้รูปลักษณ์เป็นรัศมีที่เจิดจรัสของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  บระฮมันฺ  อันไร้รูปลักษณ์เป็นความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ของความสมบูรณ์ทั้งหมด  และแนวคิดของ  พะระมาทมาฺ  ก็เช่นเดียวกันในบทที่สิบห้า  เราจะเห็นว่าบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  (พุรุโชททะมะ)ฺ  อยู่เหนือทั้ง  บระฮมันฺ  อันไร้รูปลักษณ์  และความรู้ส่วนหนึ่งของ  พะระมาทมาฺ  บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  เรียกว่า  สัท-ชิด-อานันดะ-วิกระฮะ,  บระฮมะ-สัมฮิทาฺ  เริ่มดังนี้:  อีชฺ-  วะระฮ  พะระมะฮ  คริชณะฮ  สัท-ชิด-อานันดะ-วิกระฮะฮ  /  อนาดิร  อาดิร  โกวินฺ-  ดะฮ  สารวะ-คาระณะ-คาระณัมฺ  “โกวินดะหรือคริชณะทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแหล่งกำเนิดทั้งปวง  พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดองค์แรก  พระองค์ทรงมีพระวรกายที่เป็นอมตะเปี่ยมไปด้วยความรู้และความปลื้มปีติสุข”  ความรู้แห่ง  บระฮมันฺ  อันไร้รูปลักษณ์เป็นความรู้แห่งสัทฺ  (อมตะ)  ของพระองค์  ความรู้แห่ง  พะระมาทมาฺ  เป็นความรู้  สัท-ชิทฺ  (อมตะ  ความรู้)  แต่ความรู้แห่งบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์คริชณะ  เป็นความรู้เหนือโลกทุกลักษณะ:  สัท,  ชิท,ฺ  และ  อานันดะฺ  (อมตะ  ความรู้  และความปลื้มปีติสุข)  ใน  วิกระฮาฺ  (หรือรูป)  ที่สมบูรณ์

ผู้ด้อยปัญญาพิจารณาว่า  สัจธรรมสูงสุดไร้รูปลักษณ์  แต่องค์ภควานทรงมีบุคลิกภาพทิพย์  ได้ยืนยันไว้เช่นนี้ในวรรณกรรมพระเวททั้งหมด  นิทโย  นิทยานาม  เชทะนัชฺ  เชทะนานามฺ  (คะทฺะ  อุพะนิชัดฺ  2.2.13)  ดังเช่นมนุษย์ทั้งหมดเป็นปัจเจกชน  ทุกคนมีเอกลักษณ์ของตนเอง  สัจธรรมที่สมบูรณ์สูงสุดก็เช่นเดียวกัน  ในขั้นสุดท้ายจะเป็นบุคคล  และความรู้แจ้งองค์ภควานเป็นความรู้แจ้งบุคลิกลักษณะทิพย์ในรูปที่สมบูรณ์ของพระองค์  รูปที่สมบูรณ์ทั้งหมดมิได้ไร้รูปลักษณ์  หากองค์ภควานทรงด้อยกว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด  พระองค์จะทรงเป็นความสมบูรณ์ทั้งหมดไม่ได้  ความสมบูรณ์ต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้ประสบการณ์ของเรา  และเหนือประสบการณ์ของเรา  มิฉะนั้น  จะไม่มีความสมบูรณ์บริบูรณ์

ความสมบูรณ์ทั้งหมด  (บุคลิกภาพแห่งองค์ภควาน)  มีพลังอำนาจมากมาย(พะราชยะ  ชัคทิร  วิวิไดฺวะ  ชรูยะเทฺ)  คริชณะทรงแสดงอำนาจต่าง  ๆ  ได้อย่างไรนั้น  ได้อธิบายไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  ปรากฏการณ์ในโลกนี้หรือโลกวัตถุที่เราอาศัยอยู่นี้  มีความสมบูรณ์ในตัวมันเองเช่นเดียวกัน  เพราะธาตุทั้งยี่สิบสี่ที่ปรากฏชั่วคราวในจักรวาลวัตถุตามปรัชญาสางคฺยะปรับตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ในการผลิตทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นอย่างสมบูรณ์เพื่ออนุรักษ์จักรวาลนี้ไว้  และไม่มีสิ่งใดขาด  ปรากฏการณ์นี้ได้ถูกกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นอนแล้ว  ด้วยพลังงานของความสมบูรณ์ทั้งหมด  และเมื่อถึงเวลาปรากฏการณ์ชั่วคราวนี้ก็จะถูกทำลายไป  การจัดการที่บริบูรณ์ทั้งหมดจึงทำให้มีสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกอย่างสมบูรณ์  แม้แต่ในหน่วยสมบูรณ์เล็ก  ๆ  ดังเช่นสิ่งมีชีวิต  การรู้แจ้งความสมบูรณ์และความไม่สมบูรณ์ต่าง  ๆ  ทั้งหมดเป็นประสบการณ์เนื่องมาจากความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ของผู้ที่สมบูรณ์  ดังนั้น  ภควัต-คีตาฺ  จึงบรรจุความรู้อันสมบูรณ์แห่งปรัชญาพระเวท

ความรู้พระเวททั้งหมดไม่มีข้อผิดพลาด  ชาวฮินดูยอมรับว่าความรู้พระเวทสมบูรณ์และไม่มีข้อผิดพลาด  ตัวอย่างเช่น  มูลวัวเป็นอุจจาระของสัตว์  ตาม  สมริทิฺ  หรือคำสั่งสอนของพระเวท  หากเราแตะต้องอุจจาระของสัตว์เราต้องอาบน้ำชำระล้างร่างกายทันที  แต่คัมภีร์พระเวทกล่าวว่า  มูลวัวมีสารที่ทำให้บริสุทธิ์ซึ่งเราอาจจะคิดตรงกันข้าม  แต่เพราะว่าเป็นคำสั่งสอนของพระเวท  การยอมรับเช่นนี้เราจึงไม่มีความผิดพลาด  ในเวลาต่อมานักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน  ได้พิสูจน์แล้วว่ามูลวัวมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคทั้งหมดฉะนั้น  ความรู้พระเวทจึงสมบูรณ์  เพราะว่าอยู่เหนือความสงสัยและความผิดพลาดทั้งปวง  และ  ภควัต-คีตาฺ  เป็นหัวใจของพระเวททั้งหมด

ความรู้พระเวทมิได้อยู่ที่การค้นคว้า  งานค้นคว้านั้นไม่สมบูรณ์เพราะว่า  เราค้นคว้าสิ่งต่าง  ๆ  ด้วยประสาทสัมผัสที่ไม่สมบูรณ์  เราต้องยอมรับความรู้ที่สมบูรณ์ซึ่งถ่ายทอดลงมาดังที่กล่าวไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  ด้วยระบบ  พะรัมพะราฺ  (ถ่ายทอดจากพระอาจารย์สู่ศิษย์)  เราต้องรับความรู้จากแหล่งที่ถูกต้องในสาย  พะรัมพะราฺ  เริ่มต้นจากพระอาจารย์ทิพย์สูงสุดคือองค์ภควานเอง  และถ่ายทอดสืบต่อลงมาจากพระอาจารย์สู่พระอาจารย์ตามลำดับ  อารจุนะ  สาวกผู้ได้รับการศึกษาจากคริชณะ  ทรงยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์ภควานตรัสโดยไม่มีข้อแม้  เราไม่ควรรับเอาส่วนหนึ่งของ  ภควัต-คีตาฺ  และปฏิเสธอีกส่วนหนึ่ง  เราต้องยอมรับ  ภควัต-คีตาฺ  โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงความหมาย  และไม่มีการตัดทอนหรือต่อเติมสิ่งใด  ๆ  ตามความคิดเห็นอันผิดพลาดของเรา  ภควัต-คีตาฺ  ควรได้รับการยอมรับว่าเป็นความรู้พระเวทที่มีความสมบูรณ์สูงสุด  ความรู้พระเวทได้รับมาจากแหล่งกำเนิดทิพย์  และคำแรกองค์ภควานตรัสด้วยพระองค์เอง  คำที่ตรัสโดยองค์ภควานเรียกว่า  อโพรุเชยะฺ  หมายความว่าคำพูดเหล่านี้ไม่เหมือนกับคำพูดที่ปุถุชนคนธรรมดาพูด  ในโลกวัตถุมีข้อบกพร่องสี่ประการคือ  1.บุคคลในโลกวัตถุต้องทำความผิดอย่างแน่นอน  2.บุคคลในโลกวัตถุอยู่ในความหลง  3.บุคคลในโลกวัตถุชอบโกงผู้อื่นและ  4.บุคคลในโลกวัตถุถูกจำกัดด้วยประสาทสัมผัสที่ไม่สมบูรณ์  จากความไม่สมบูรณ์สี่ประการนี้  เราจึงไม่สามารถถ่ายทอดข้อมูลที่สมบูรณ์แห่งความรู้ที่แผ่กระจายไปทั่วได้

ความรู้พระเวทมิใช่ถ่ายทอดโดยสิ่งมีชีวิตที่มีความบกพร่อง  ความรู้พระเวทได้ถูกถ่ายทอดเข้าไปที่หัวใจของพระพรหม  (บระฮมาฺ)  ดวงชีวิตแรก  และพระพรหมทรงถ่ายทอดวิชาความรู้นี้ให้บุตรและสาวก  เหมือนดังที่ได้รับความรู้มาจากภควาน  องค์ภควานทรงเป็น  พูรณัมฺ  สมบูรณ์ทุกประการ  และไม่มีโอกาสเลยที่จะทรงมาอยู่ภายใต้กฎแห่งธรรมชาติวัตถุ  ฉะนั้น  เราควรมีปัญญาพอที่จะรู้ว่าองค์ภควานเพียงผู้เดียวทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลและทรงเป็นผู้สร้างองค์แรก  พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างพระพรหม  ในบทที่สิบเอ็ดเรียกองค์ภควานว่า  พระพิทามะฮะฺ  เพราะว่าพระพรหมทรงถูกเรียกว่า  พิทามะฮะฺ  พระอัยกาและองค์ภควานทรงเป็นผู้สร้างพระอัยกา  ฉะนั้น  ไม่มีใครเลยที่ควรอ้างว่าเป็นเจ้าของสิ่งใด  ๆ  เราควรรับเอาเฉพาะสิ่งที่จัดสรรไว้ให้สำหรับเราโดยองค์ภควานว่าเป็นสิ่งที่ควรจะได้รับ  เพื่อให้เราดำรงชีวิตอยู่

มีตัวอย่างมากมายที่แนะนำว่าเราควรใช้ประโยชน์กับสิ่งที่องค์ภควานทรงประทานให้  ได้อธิบายใน  ภควัต-คีตาฺ  ในตอนต้นที่อารจุนะทรงตัดสินใจว่าจะไม่รบในสมรภูมิคุรุคเชทระ  นี่เป็นการตัดสินใจของอารจุนะ  อารจุนะตรัสต่อองค์ภควานว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะมาหาความสุขกับราชอาณาจักร  หลังจากสังหารสังคญาติของตนการตัดสินใจเช่นนี้มีพื้นฐานอยู่ที่ร่างกาย  เพราะอารจุนะทรงคิดว่าร่างกายเป็นของตนและสิ่งที่สัมพันธ์กับร่างกายหรือว่าส่วนที่แยกออกไป  เป็นพี่ชาย  น้องชาย  หลานชายพี่เขย  น้องเขย  ปู่  ตา  และอื่น  ๆ  ดังนั้น  อารจุนะทรงต้องการสนองความต้องการของร่างกาย  ภควัต-คีตาฺ  ถูกตรัสขึ้นโดยองค์ภควาน  เพื่อที่จะเปลี่ยนความคิดเห็นเช่นนี้  และในที่สุด  อารจุนะทรงตัดสินใจที่จะต่อสู้  ภายใต้คำสั่งขององค์ภควาน  เมื่ออารจุนะตรัสว่า  คะริชเย  วะชะนัม  ทะวะฺ  “ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามคำดำรัสของพระองค์”

ในโลกนี้มนุษย์ไม่ควรมาทะเลาะกันเหมือนกับแมวและสุนัข  เราควรฉลาดพอที่จะรู้ถึงความสำคัญของชีวิตมนุษย์  และควรปฏิเสธการกระทำตัวให้เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานทั่วไป  มนุษย์ควรรู้แจ้งจุดมุ่งหมายของชีวิต  คำแนะนำนี้มีอยู่ในวรรณกรรมพระเวททั้งหมด  สาระสำคัญได้ให้ไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  วรรณกรรมพระเวทมีไว้สำหรับมนุษย์ไม่ใช่สำหรับสัตว์เดรัจฉาน  สัตว์เดรัจฉานสามารถฆ่าสัตว์เดรัจฉานตัวอื่น  และไม่มีปัญหาเรื่องความบาป  แต่ถ้าหากมนุษย์ฆ่าสัตว์เพื่อสนองรสชาติที่ควบคุมไม่ได้ของตนจะต้องรับผิดชอบที่ทำผิดกฎธรรมชาติ  ใน  ภควัต-คีตาฺ  ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า  มีกิจกรรมสามชนิดตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันตามธรรมชาติ  คือกิจกรรมแห่งความดี  ตัณหา  และอวิชชา  ในทำนองเดียวกันก็มีอาหารอยู่สามชนิด  อาหารแห่งความดี  ตัณหาและอวิชชา  ทั้งหมดนี้ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจน  ถ้าหากเราใช้ประโยชน์กับคำสั่งสอนในภควัต-คีตา  อย่างถูกต้อง  ชีวิตจะบริสุทธิ์และในที่สุดเราสามารถไปถึงจุดหมายปลายทาง  ที่อยู่เหนือท้องฟ้าวัตถุ  (ยัด  กัทวา  นะ  นิวารทันเท  ทัด  ดฺามะ  พะระมัม  มะมะฺ)

จุดหมายปลายทางที่เรียกว่าท้องฟ้าสะนาทะนะฺ  ท้องฟ้าทิพย์อมตะ  ในโลกวัตถุนี้  เราพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ถาวร  มีการเกิดขึ้น  เป็นอยู่ชั่วคราว  แพร่พันธุ์  หดตัวลงและสลายไปในที่สุด  นี่คือกฎแห่งโลกวัตถุ  ไม่ว่าเราจะใช้ร่างกายนี้เป็นตัวอย่าง  หรือผลไม้ผลหนึ่ง  หรืออะไรก็ได้  แต่เหนือไปกว่าโลกอันไม่ถาวรนี้  ยังมีอีกโลกหนึ่งที่เรามีข้อมูล  โลกนั้นมีธรรมชาติอีกแบบหนึ่งเป็น  สะนาทะนะฺ  หรืออมตะ  จีวะฺ  หรือดวงชีวิต  อธิบายไว้ว่าเป็น  สะนาทะนะฺ  องค์ภควานทรงอธิบายว่าเป็น  สะนาทะนะฺ  ดังที่กล่าวไว้ในบทที่สิบเอ็ด  เรามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับองค์ภควาน  เพราะว่าเราทั้งหมดมีคุณภาพเป็นหนึ่งคือ  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  หรือท้องฟ้า  สะนาทะนะฺ  บุคลิกภาพสูงสุด  สะนาทะนะฺ  และสิ่งมีชีวิต  สะนาทะนะฺ  จุดมุ่งหมายของ  ภควัต-คีตาฺ  ทั้งเล่มนี้เพื่อฟื้นฟูอาชีพ  สะนาทะนะฺ  หรือ  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  ของเราซึ่งเป็นอาชีพอมตะของสิ่งมีชีวิต  เรามีกิจกรรมชั่วคราวแตกต่างกันมากมาย  แต่กิจกรรมทั้งหมดนี้ทำให้บริสุทธิ์ได้  เมื่อเรายกเลิกกิจกรรมชั่วคราวเหล่านี้ทั้งหมด  และรับเอากิจกรรมที่ได้อธิบายไว้โดยองค์ภควาน  เช่นนี้เรียกว่าเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ของเรา

องค์ภควานและพระตำหนักทิพย์ของพระองค์ทั้งคู่เป็น  สะนาทะนะฺ  เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิต  ความสัมพันธ์ร่วมกันขององค์ภควานและสิ่งมีชีวิต  ที่พระตำหนักทิพย์เป็นความสมบูรณ์บริบูรณ์สูงสุดของชีวิตมนุษย์  องค์ภควานทรงมีพระเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  เพราะว่าเราเป็นบุตรของพระองค์  คริชณะทรงประกาศใน  ภควัต-คีตาฺ  ว่า  สารวะ-โยนิชุ  .  .  .  อฮัม  บีจะ-พระดะฮ  พิทาฺ  “ข้าเป็นพระบิดาของมวลชีวิต”  แน่นอนว่ามีสิ่งมีชีวิตทุกชนิดตามแต่กรรมที่แตกต่างกันไป  ณ  ที่นี้องค์ภควานทรงประกาศว่าทรงเป็นพระบิดาของทั้งหมด  ฉะนั้น  พระองค์เสด็จลงมา  เพื่อเรียกดวงวิญญาณในสภาวะที่ตกต่ำทั้งหมดนี้  ในการที่จะเรียกพวกเขาเหล่านี้ให้กลับคืนสู่ท้องฟ้าอมตะ  สะนาฺ-  ทะนะฺ  เพื่อสิ่งมีชีวิต  สะนาทะนะฺ  จะได้รับสถาพภาพ  สะนาทะนะฺ  ในความสัมพันธ์อมตะกับองค์ภควาน  องค์ภควานเสด็จลงมาด้วยพระองค์เองในรูปอวตารต่าง  ๆ  กันหรือทรงส่งผู้รับใช้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมมาเป็นบุตร  หรือผู้ร่วมงาน  หรือ  อาชารยะฺ  เพื่อที่จะมานำดวงวิญญาณในสภาวะวัตถุให้กลับคืนสู่เหย้า

ฉะนั้น  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  จึงไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนาที่แบ่งแยก  แต่เป็นหน้าที่นิรันดรของสิ่งมีชีวิตอมตะที่มีความสัมพันธ์กับองค์ภควานผู้เป็นอมตะสูงสุด  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  หมายถึงอาชีพนิรันดรของสิ่งมีชีวิตดังที่ได้กล่าวมาแล้ว  ชรีพาดะ  รามานุจาชารยะ  ได้อธิบายคำสะนาทะนะว่าฺ  “เป็นสิ่งที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ”  ดังนั้น  เมื่อเราพูดถึง  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  เราต้องเชื่อมั่นในความเชื่อถือได้ของชรีพาดะ  รามานุจาชารยะ  ว่า  มันไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ

คำว่าศาสนา  มีข้อแตกต่างจาก  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  เล็กน้อย  ศาสนาหมายถึงแนวคิดแห่งความศรัทธา  และความศรัทธานั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงได้  เขาอาจมีความศรัทธาในพิธีกรรมอย่างหนึ่ง  และอาจเปลี่ยนความศรัทธานี้  ไปรับเอาความศรัทธาอีกรูปแบบหนึ่ง  แต่ว่า  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  หมายถึงกิจกรรมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวอย่างเช่น  ความเหลวไม่สามารถแยกออกจากน้ำได้และความร้อนก็ไม่สามารถแยกออกจากไฟได้ฉันใด  หน้าที่อมตะนิรันดรของสิ่งมีชีวิตอมตะ  ก็ไม่สามารถที่จะแยกออกจากสิ่งมีชีวิตได้ฉันนั้น  สะนาทะนะ-ดฺาระมะฺ  จึงเป็นส่วนที่แนบสนิทนิรันดร  คู่ไปกับสิ่งมีชีวิต  ฉะนั้น  เมื่อเราพูดถึง  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  เราต้องเชื่อในความน่าเชื่อถือได้ของชรีพาดะ  รามานุจาชารยะ  ว่าไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบ  สิ่งที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบจึงแบ่งแยกออกไม่ได้  เพราะเราไม่สามารถจำกัดเขตกำแพงใด  ๆ  ทั้งสิ้น  ผู้ที่มีความศรัทธาในการแบ่งแยกพิจารณาอย่างผิด  ๆ  ว่า  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  ก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกเช่นเดียวกัน  แต่ถ้าหากว่าเรามองลึกเข้าไปในประเด็นนี้  และพิจารณาด้วยแสงสว่างแห่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน  เป็นไปได้ที่เราจะเห็นว่า  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  เป็นภารกิจของมนุษย์ทั้งหมดในโลก  และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นภารกิจของทุก  ๆ  ชีวิตในจักรวาล

ความศรัทธาในศาสนาที่ไม่ใช่  สะนาทะนะฺ  อาจมีจุดเริ่มต้นในประวัติศาสตร์ของชีวิตมนุษย์  แต่ว่าไม่มีจุดเริ่มต้นในประวัติศาสตร์ของ  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  เพราะว่าจะคงอยู่ชั่วกัลปาวสานควบคู่ไปกับสิ่งมีชีวิต  แต่สำหรับสิ่งมีชีวิต  ชาสทระฺ  หรือคัมภีร์ที่เชื่อถือได้ตรัสไว้ว่าสิ่งมีชีวิตไม่มีทั้งการเกิดและการตายใน  ภควัต-คีตาฺ  ตรัสไว้ว่าสิ่งมีชีวิตไม่เคยเกิดและไม่เคยตาย  เป็นอมตะ  ไม่มีวันถูกทำลาย  และจะคงอยู่ตลอดไปหลังจากที่ร่างกายวัตถุชั่วคราวนี้ถูกทำลาย  ได้กล่าวถึงความหมายของสะนาทะนะฺ-  ดฺารมะฺ  เราต้องพยายามทำความเข้าใจแนวคิดของศาสนาจากรากศัพท์สันสกฤต  ดฺาฺ  รมะฺ  หมายถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวเสมอควบคู่กับสิ่งของนั้น  เราสรุปได้ว่ามีความร้อนและแสงควบคู่ไปกับไฟ  หากว่าไม่มีความร้อนและแสงคำว่าไฟก็ไม่มีความหมาย  เช่นเดียวกัน  เราจะต้องค้นหาส่วนที่สำคัญที่สุดของสิ่งมีชีวิต  และสิ่งนั้นเป็นมิตรแท้แนบสนิทติดตัวเขาอยู่เสมอ  มิตรแท้ที่ติดตัวเขาอยู่เสมอคือคุณสมบัติอมตะนิรันดร  และคุณสมบัติอมตะนั้นก็คือศาสนาอมตะของตัวเขาเอง

เมื่อ  สะนาทะนะ  โกสวามี  ถาม  ชรีเชธันญะ  มะฮาพระบํุ  เกี่ยวกับ  สวะรูพะฺ  ของทุก  ๆ  ชีวิต  พระองค์ทรงตอบว่า  สวะรูพะฺ  หรือสถานภาพพื้นฐานเดิมแท้ของสิ่งมีชีวิตคือการปฏิบัติตนรับใช้บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  หากเรามาวิเคราะห์คำดำรัสของชรีเชธันญะ  เราสามารถเห็นได้โดยง่ายดายว่า  แต่ละชีวิตจะปฏิบัติตนรับใช้อีกชีวิตหนึ่งเสมอ  ชีวิตหนึ่งจะรับใช้ชีวิตอื่น  ๆ  ตามความสามารถที่แตกต่างกันไป  จากการกระทำเช่นนี้  สิ่งมีชีวิตจึงได้รับความสุขในชีวิต  สัตว์ที่ต่ำกว่ารับใช้มนุษย์  และคนรับใช้จะรับใช้เจ้านาย  คุณ  ก.รับใช้เจ้านาย  ข.  คุณ  ข.  รับใช้เจ้านาย  ค.  คุณ  ค.  รับใช้เจ้านาย  ง.  ฯลฯภายใต้สภาวะเช่นนี้เราจะเห็นว่าเพื่อนจะรับใช้เพื่อนอีกคนหนึ่ง  มารดารับใช้บุตร  ภรรยารับใช้สามี  และสามีรับใช้ภรรยา  ฯลฯ  หากเราค้นคว้าด้วยจิตวิญญาณเช่นนี้เราจะเห็นว่าไม่มีข้อยกเว้นในการปฏิบัติตนรับใช้ในสังคมสิ่งมีชีวิต  นักการเมืองจะเสนอนโยบายให้สาธารณะเพื่อให้ความมั่นใจกับความสามารถที่ตนจะรับใช้  ผู้ลงคะแนนเสียงจึงให้คะแนนอันมีค่าแก่นักการเมือง  โดยคิดว่าเขาจะรับใช้สังคมอย่างมีคุณค่า  เจ้าของร้านรับใช้ลูกค้า  ศิลปินรับใช้นายทุน  นายทุนรับใช้ครอบครัว  และครอบครัวรับใช้รัฐ  ในรูปของความสามารถอมตะของสิ่งมีชีวิตอมตะ  เช่นนี้  เราจะเห็นว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยที่ได้รับการยกเว้นจากการปฏิบัติตนรับใช้สิ่งมีชีวิตอื่น  ดังนั้นเราสามารถสรุปได้อย่างถูกต้องว่า  การรับใช้เป็นมิตรแท้คงอยู่เสมอไปควบคู่กับสิ่งมีชีวิต  และการปฏิบัติตนรับใช้จึงเป็นศาสนาอมตะของสิ่งมีชีวิต

แต่มนุษย์จะอ้างว่าตนมีความศรัทธาเช่นนั้นเช่นนี้ตามกาลเวลาและสถานที่และจะอ้างว่าตนเป็นชาวฮินดู  ชาวมุสลิม  ชาวคริสเตียน  ชาวพุทธ  หรือว่า  เป็นผู้ปฏิบัติตามนิกายอื่น  ๆ  ชื่อระบุเช่นนี้  ไม่ใช่  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  ชาวฮินดูอาจเปลี่ยนความศรัทธามาเป็นมุสลิม  หรือชาวมุสลิมอาจเปลี่ยนความศรัทธามาเป็นฮินดู  หรือชาวคริสเตียนอาจเปลี่ยนความศรัทธาของตน  ฯลฯ  แต่ว่าในสภาวการณ์ทั้งหมด  การเปลี่ยนความศรัทธาในศาสนา  ไม่ได้มีผลกระทบกับอาชีพอมตะแห่งการปฏิบัติตนรับใช้ผู้อื่น  ชาวฮินดู  ชาวมุสลิม  หรือชาวคริสเตียน  เป็นผู้รับใช้คนอื่นในทุกสภาวการณ์  ดังนั้นการอ้างว่าตนมีความศรัทธาในศาสนานั้นศาสนานี้มิใช่เป็นการอ้าง  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ  ของตน  การปฏิบัติตนรับใช้คือ  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺ

อันที่จริงเราสัมพันธ์กับองค์ภควานด้วยการรับใช้พระองค์ผู้ทรงมีความสุขเกษมสำราญสูงสุด  และเราเป็นผู้รับใช้ของพระองค์  เราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความสุขเกษมสำราญของพระองค์  หากว่าเราร่วมมือในความสุขเกษมสำราญชั่วนิรันดรกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  เราจะมีความสุข  มิฉะนั้น  เราจะไม่มีความสุข  เป็นไปไม่ได้ที่เราจะมีความสุขโดยอิสระ  เหมือนกับส่วนหนึ่งของร่างกายจะไม่สามารถมีความสุขได้หากไม่ร่วมมือกับท้อง  เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีชีวิตจะมีความสุข  โดยไม่ปฏิบัติตนรับใช้ทิพย์ด้วยความจงรักภักดีต่อองค์ภควาน

ใน  ภควัต-คีตาฺ  การบูชาหรือปฏิบัติตนรับใช้ต่อเหล่าเทวดา  ไม่ได้รับการยอมรับ  ได้กล่าวไว้ใน  บทที่เจ็ด  โศลกที่ยี่สิบว่า

คาไมส ไทส ไทร ฮริทะ-กยานาฮ
พระพัดยันเท ´นยะ-เดวะทาฮฺ

ทัม ทัม นิยะมัม อาสทฺายะ
พระคริทยา นิยะทาฮ สวะยาฺ

“พวกที่ถูกความต้องการทางวัตถุขโมยปัญญาไปจะศิโรราบต่อเทวดา  และจะปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ต่าง  ๆ  ของพิธีกรรมในการบูชาตามธรรมชาติของตน”  ได้กล่าวไว้อย่างง่าย  ๆว่า  ผู้ที่มีราคะเป็นตัวนำ  จะบูชาเทวดาไม่บูชาองค์ภควาน  (ชรีคริชณะ)  เมื่อกล่าวถึงพระนามคริชณะเรามิได้หมายถึงพระนามที่แบ่งแยก  คริชณะหมายถึงความปลื้มปีติสุขสูงสุด  ได้ยืนยันไว้ว่าองค์ภควานทรงเป็นแหล่งกำเนิดหรือเป็นขุมทรัพย์แห่งความสุขทั้งมวล  เราทั้งหมดกระหายที่จะได้มาซึ่งความสุข  อานันดะ-มะโย-´บฺยาสาทฺ  (เวดานธะ-สูทระฺ  1.1.12)  สิ่งมีชีวิตมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับองค์ภควานคือเต็มไปด้วยจิตสำนึก  และทั้งคู่ใฝ่หาความปลื้มปีติสุข  องค์ภควานทรงมีความปลื้มปีติสุขชั่วนิรันดร  หากว่าสิ่งมีชีวิตมาสัมพันธ์กับพระองค์  และมาแสดงเป็นส่วนร่วมของพระองค์  ก็สามารถได้รับความปลื้มปีติสุขเช่นเดียวกัน

องค์ภควานเสด็จลงมาในโลกแห่งความตาย  เพื่อแสดงลีลาของพระองค์ที่วรินดาวะนะซึ่งเต็มไปด้วยความปลื้มปีติสุข  องค์ชรีคริชณะทรงประทับอยู่ที่วรินดาวะนะ  กิจกรรมของพระองค์กับเพื่อนเด็กเลี้ยงวัวและเพื่อนหญิงรวมทั้งชาววรินดาวะนะและโคทั้งหมดเต็มไปด้วยความปลื้มปีติสุข  ประชากรทั้งหมดที่วรินดาวะนะไม่รู้จักใครเลยนอกจากคริชณะ  แต่คริชณะทรงไม่สนับสนุนพระบิดานันดะมะฮาราจะไปบูชาพระอินทร์ผู้เป็นเทวดา  เพราะว่าทรงประสงค์ที่จะสถาปนาสัจธรรมที่ว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องบูชาเทวดาเราเพียงแต่บูชาภควานเพียงองค์เดียว  เพราะจุดมุ่งหมายสุดยอดของเราคือกลับคืนไปสู่พระตำหนักของพระองค์

พระตำหนักขององค์ชรีคริชณะ  ได้อธิบายไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  บทที่สิบห้า  โศลกหกดังนี้

นะ ทัด บฺาสะยะเท สูรโย
นะ ชะชางโค นะ พาวะคะฮฺ

ยัด กัทวา นะ นิวารทันเท
ทัด ดฺามะ พะระมัม มะมะฺ

“พระตำหนักสูงสุดของข้า  มิได้เจิดจรัสด้วยแสงอาทิตย์  แสงจันทร์  คบเพลิง  หรือไฟฟ้าผู้ใดไปถึง  ณ  ที่นั้น  จะไม่กลับมาในโลกวัตถุนี้อีก”

โศลกนี้บรรยายถึงท้องฟ้าอมตะ  แน่นอนที่เรามีแนวคิดทางวัตถุเกี่ยวกับท้องฟ้าและเราคิดถึงมันในความสัมพันธ์กับดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ดวงดาว  และ  ฯลฯ  แต่ในโศลกนี้  องค์ภควานตรัสว่า  ที่ท้องฟ้าอมตะไม่มีความจำเป็นต้องมีดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์ไฟฟ้า  หรือคบเพลิงในรูปแบบใดก็ตาม  เพราะว่าท้องฟ้าทิพย์มีรัศมีเจิดจรัสอยู่แล้ว  โดย  บระฮมะจโยทิฺ  ซึ่งเป็นรัศมีเจิดจรัสที่มีแหล่งกำเนิดมาจากองค์ภควาน  เราพยายามด้วยความยากลำบากเพื่อที่จะไปถึงดาวเคราะห์ดวงอื่น  แต่ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจพระตำหนักขององค์ภควาน  พระตำหนักนี้มีนามว่า  โกโลคะ  ใน  บระฮมะ-สัมฮิทาฺ  (5.37)  ได้อธิบายไว้อย่างงดงามว่า  โกโลคะ  เอวะ  นิวะสะทิ  อคิฺลาทมะ-บํูทะฮฺ  องค์ภควานทรงประทับนิรันดรอยู่ที่พระตำหนักโกโลคะ  เราสามารถเข้าถึงพระองค์จากโลกนี้ได้  และเพื่อจุดมุ่งหมายนี้พระองค์เสด็จลงมาปรากฏพระวรกาย  สัช-ชิด-อานันดะ-วิกระฮะฺ  อันแท้จริงของพระองค์  เมื่อทรงปรากฏในร่างนี้  เราจึงไม่จำเป็นต้องใช้จินตนาการของเราคิดว่ารูปร่างของพระองค์เป็นเช่นไร  เพื่อไม่ส่งเสริมการสร้างจินตนาการแบบคาดคะเนเช่นนี้  องค์ภควานจึงเสด็จลงมา  และทรงแสดงพระวรกายของพระองค์ตามความเป็นจริงในรูปชยามะสุนดะระ  ด้วยความอับโชคพวกด้อยปัญญาเยาะเย้ยพระองค์  เพราะว่าพระองค์เสด็จลงมาเหมือนพวกเราและเล่นกับเราเหมือนมนุษย์  ถึงแม้เป็นเช่นนี้เราก็ไม่ควรพิจารณาว่าพระองค์ทรงเหมือนกับพวกเรา  ด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงปรากฏในรูปลักษณ์อันแท้จริงต่อหน้าพวกเรา  และทรงแสดงลีลาของพระองค์ซึ่งเป็นลีลาเดียวกันกับที่เราจะพบ  ณ  พระตำหนักทิพย์ของพระองค์

ในรัศมีอันเจิดจรัสบนท้องฟ้าทิพย์  มีดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนลอยอยู่  บระฮมะจโยทิฺ  ส่องรัศมีมาจากพระตำหนักสูงสุดคริชณะโลคะและดาวเคราะห์อานันดะฺ-  มะยะ,  ชิน-มะยะฺ  ไม่ใช่วัตถุ  ลอยอยู่ในรัศมีเหล่านี้  องค์ภควานตรัสว่า  นะ  ทัด  บฺาสะยะฺ  เท  สูรโย  นะ  ชะชางโค  นะ  พาวะคะฮ  /  ยัด  กัทวา  นะ  นิวารทันเท  ทัด  ดฺามะ  พะระมัม  มะมะฺผู้ที่สามารถไปถึงท้องฟ้าทิพย์จะไม่ต้องลงมาในท้องฟ้าวัตถุอีกครั้ง  ถึงแม้ว่าเราจะไปถึงดาวเคราะห์ที่สูงสุดในท้องฟ้าวัตถุ  พรหมโลกหรือบระฮมะโลคะ  เราจะพบสภาวะชีวิตที่เหมือนกัน  คือมีการเกิด  การตาย  ความเจ็บ  และความแก่  จึงไม่ต้องพูดถึงดวงจันทร์ไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดในจักรวาลวัตถุเป็นอิสระจากความทุกข์สี่ประการแห่งโลกวัตถุ

สิ่งมีชีวิตเดินทางจากดาวเคราะห์ดวงหนึ่งไปสู่อีกดวงหนึ่ง  แต่ไม่ใช่ว่าเราสามารถไปดาวเคราะห์ดวงไหนก็ได้ตามใจชอบโดยใช้เครื่องจักรกล  หากเราปรารถนาจะไปถึงดาวเคราะห์ดวงอื่น  มีวิธีการที่จะไปถึง  กล่าวไว้ว่า  ยานที  เดวะ-วระทา  เดวาน  พิทรีนฺ  ยานทิ  พิทริ-วระทาฮฺ  ไม่มีความจำเป็นในการใช้เครื่องจักรกลหากเราต้องการเดินทางระหว่างดาวเคราะห์  ภควัต-คีตาฺ  สอนว่า  ยานทิ  เดวะ-วระทา  เดวานฺ  ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์  และดาวเคราะห์เบื้องสูงอื่น  ๆ  เรียกว่าสวารกะโลคะ  มีดาวเคราะห์อยู่สามระบบ  คือ  ระบบสูง  ระบบกลาง  และระบบต่ำ  โลกมนุษย์อยู่ในระบบกลาง  ภควัต-คีตาฺแนะนำว่าเราจะเดินทางอย่างไรให้ไปถึง  ระบบดาวเคราะห์เบื้องสูง  (เดวะโลคะ)  ด้วยสูตรง่าย  ๆ  ยานทิ  เดวะ-วระทา  เดวานฺ  เราเพียงแต่บูชาเทวดาของดาวเคราะห์ดวงนั้นด้วยวิธีนี้  เราก็จะไปถึงดวงจันทร์  ดวงอาทิตย์  หรือว่าระบบดาวเคราะห์ใด  ๆ  ที่สูงกว่าได้

แต่  ภควัต-คีตาฺ  ไม่แนะนำให้เราไปที่ดาวเคราะห์ดวงใดในโลกวัตถุนี้  เพราะถึงแม้ว่าเราไปถึงพรหมโลกหรือบระฮมะโลคะ  ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่สูงสุด  โดยใช้เครื่องจักรกล  อาจจะใช้เวลาเดินทางเป็นเวลาสี่หมื่นปี  (แล้วใครจะมีชีวิตอยู่ถึงสี่หมื่นปี?)  เราก็ยังจะพบความไม่สะดวกสบายในโลกวัตถุ  เช่น  การเกิด  การตาย  ความเจ็บ  และความแก่แต่ผู้ที่ต้องการจะไปถึงดาวเคราะห์สูงสุดคริชณะโลคะหรือดาวเคราะห์ดวงใดภายในท้องฟ้าทิพย์  เขาจะไม่พบความไม่สะดวกสบายกับวัตถุเหล่านี้  ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหมดในท้องฟ้าทิพย์  จะมีดาวเคราะห์สูงสุดดวงหนึ่งมีชื่อว่า  โกโลคะ  วรินดาวะนะ  ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงแรก  ในพระตำหนักของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าพระองค์แรกข้อมูลทั้งหมดนี้ได้ให้ไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  และเราได้แจกจ่ายข้อมูลตาม  ภควัต-คีตาฺ  ว่าจะออกจากโลกวัตถุนี้ได้อย่างไร  และเริ่มต้นชีวิตที่มีความปลื้มปีติสุขจริงในท้องฟ้าทิพย์

บทที่สิบห้าของ  ภควัต-คีตาฺ  ได้กล่าวถึงภาพอันแท้จริงของโลกวัตถุไว้ดังนี้

อูรดฺวะ-มูลัม อดฺะฮ-ชาคัฺม
อัชวัททัฺม พราฮุร อัพพะยัมฺ

ชัฺนดามสิ ยัสยะ พารณานิ
ยัส ทัม เวดะ สะ เวดะ-วิทฺ

ณ  ที่นี้  โลกวัตถุเปรียบเสมือนต้นไม้ที่มีรากชี้ฟ้า  และกิ่งก้านสาขาอยู่ด้านล่าง  ตามประสบการณ์  หากเรายืนอยู่ริมแม่น้ำหรือแหล่งน้ำใดก็ตาม  เราจะเห็นภาพสะท้อนในน้ำที่มียอดต้นไม้กลับกัน  กิ่งก้านสาขาอยู่ด้านล่างและรากอยู่ด้านบน  ในลักษณะเดียวกันโลกวัตถุนี้เป็นภาพสะท้อนจากโลกทิพย์  เป็นเงาของความจริงซึ่งไร้แก่นสารอันแท้จริงแต่จากเงาทำให้เราสามารถเข้าใจว่ามีแก่นสารและความเป็นจริง  ในทะเลทรายไม่มีน้ำแต่ภาพหลอนจะหลอกเราว่ามีน้ำ  ในโลกวัตถุไม่มีน้ำ  ไม่มีความสุข  น้ำแห่งความปลื้มปีติสุขที่แท้จริงมีอยู่ในโลกทิพย์

องค์ภควานทรงแนะนำให้เรากลับไปยังโลกทิพย์ดังนี้  (ภควัต-คีตาฺ  15.5)

นิรมานะ-โมฮา จิทะ-สังกะ-โดชา
อัดฺยาทมะ-นิทยา วินิวริททะ-คามาฮฺ

ดวันดไวร วิมุคทาฮ สุคฺะ-ดุฮคฺะ-สัมกไยร
กัชชัฺนทิ อมูดฺาฮ พะดัม อัพยะยัม ทัทฺ

พะดัม  อัพยะยัมฺ  หรือพระราชอาณาจักรอมตะนิรันดรนั้น  สามารถบรรลุถึงโดยผู้ที่เป็น  นิรมานะ-โมฮะฺ  เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?  เราต้องการเกียรติยศ  บางคนต้องการเป็นเจ้านายใหญ่โต  บางคนต้องการเป็นประธานธิบดี  เป็นเศรษฐี  เป็นกษัตริย์  หรืออะไรก็แล้วแต่  ตราบใดที่เรายังยึดติดอยู่กับเกียรติยศเหล่านี้  เรายังยึดติดอยู่กับร่างกาย  แต่เพราะว่าเราไม่ใช่ร่างกายนี้  นี่เป็นความรู้พื้นฐานแห่งความรู้ทิพย์  เรามาสัมผัสกับสามระดับของธรรมชาติวัตถุ  แต่เราต้องไม่ยึดติด  และอุทิศตนเสียสละด้วยความจงรักภักดีต่อองค์ภควาน  หากว่าเราไม่ยึดมั่นในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ด้วยความจงรักภักดีต่อองค์ภควาน  เราก็ไม่สามารถที่จะหยุดความยึดติดกับสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ  เกียรติยศและความยึดติดเนื่องมาจากราคะและความต้องการของเรา  ความต้องการที่จะเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติวัตถุ  ตราบใดที่เรายังไม่ยกเลิกแนวโน้มที่จะเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติวัตถุนี้  เป็นไปไม่ได้ที่เราจะกลับไปสู่พระราชอาณาจักรขององค์ภควาน  สะนาทะนะ-ดฺารมะฺพระราชอาณาจักรนิรันดรที่ไม่มีวันถูกทำลาย  สามารถจะไปถึงได้โดยผู้ที่ไม่มีความสับสนอยู่ในเสน่ห์แห่งความสุขทางวัตถุที่ผิด  ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในการปฏิบัติตนรับใช้ต่อองค์ภควานผู้สถิตอยู่เช่นนี้สามารถจะไปถึงพระตำหนักทิพย์สูงสุดได้อย่างง่ายดาย

ตอนหนึ่งใน  คีตาฺ  (8.21)  ได้กล่าวไว้ว่า:

อัพยัคโท ′คชะระ อิทิ อุคทัส
ทัม อาฮุฮ พะระมาม กะทิมฺ

ยัม พราพยะ นะ นิวารทันเท
ทัด ดฺามะ พะระมัม มะมะฺ

อัพยัคทะฺ  หมายถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏ  ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกวัตถุจะปรากฏออกมาให้เราเห็น  ประสาทสัมผัสของเรานั้นไม่สมบูรณ์  เราจึงไม่สามารถเห็นดวงดาวทั้งหมดภายในจักรวาลวัตถุนี้  ในวรรณกรรมพระเวทเราสามารถได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับดาวเคราะห์ทั้งหมด  และเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้  ดาวเคราะห์ที่สำคัญ  ๆ  ทั้งหมดได้อธิบายไว้ในวรรณกรรมพระเวท  โดยเฉพาะ  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  และโลกทิพย์ซึ่งอยู่เหนือไปจากท้องฟ้าวัตถุนี้  ได้อธิบายว่าเป็น  อัพยัคทะฺ  (ไม่ปรากฏ)  เราควรมีความปรารถนาและใฝ่ฝันเพื่อไปยังอาณาจักรอันสูงสุดนั้น  เพราะเมื่อเราได้ไปถึงอาณาจักรนั้นแล้ว  เราจะไม่ต้องกลับมาในโลกวัตถุนี้อีกต่อไป

จากนี้อาจมีคำถามว่า  เราจะไปถึงพระตำหนักทิพย์ขององค์ภควานได้อย่างไรข้อมูลนี้ได้ให้ไว้ในบทที่แปด  โดยกล่าวว่า

อันทะ-คาเล ชะ มาม เอวะ
สมะรัน มุคทวา คะเลวะรัมฺ

ยะฮ พระยาทิ สะ มัด-บฺาวัม
ยาทิ นาสทิ อะทระ สัมชะยะฮฺ

“ใครก็แล้วแต่ที่ในบั้นปลายชีวิตก่อนออกจากร่างนี้ระลึกถึงข้า  จะมาถึงธรรมชาติของข้าโดยไม่ต้องสงสัย”  (ภควัต-คีตาฺ  8.5)  ผู้ที่คิดถึงคริชณะในขณะตายจะไปหาชรีคริชณะเราต้องจำพระวรกายของคริชณะ  ถ้าเราออกจากร่างนี้ไปด้วยการระลึกถึงรูปลักษณ์นี้แน่นอนว่าเราจะไปถึงอาณาจักรทิพย์  มัด-บฺาวัมฺ  หมายถึง  ธรรมชาติสูงสุดของสิ่งมีชีวิตสูงสุด  สิ่งมีชีวิตสูงสุดคือ  สัช-ชิด-อานันดะ-วิกระฮะฺ  หมายถึง  รูปลักษณ์ของพระองค์ที่เป็นอมตะ  เปี่ยมไปด้วยความรู้  และความปลื้มปีติสุข  ร่างกายปัจจุบันของเรา  ไม่ใช่  สัช-ชิด-อานันดะฺ  แต่เป็น  อสัทฺ  (ไม่ใช่สัท)ฺ  ไม่เป็นอมตะ  สูญสลายได้  ไม่ใช่  ชิดฺ  ที่เต็มไปด้วยความรู้แต่เต็มไปด้วยอวิชชา  เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรทิพย์  เราไม่มีความรู้ที่สมบูรณ์  แม้แต่ในโลกวัตถุนี้  มีสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย  ร่างกายก็เป็น  นิรา  นันดะฺ  เช่นเดียวกัน  แทนที่จะเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติสุข  ก็เต็มไปด้วยความทุกข์  ความทุกข์ทั้งหมดที่เรามีประสบการณ์ในโลกนี้เกิดขึ้นมาจากร่างกาย  แต่ผู้ที่จากร่างนี้ไปด้วยการระลึกถึงองค์ภควานชรีคริชณะจะได้รับร่าง  สัช-ชิด-อานันดะฺ  ทันที

วิธีการออกจากร่างกายนี้และเข้าไปสู่อีกร่างหนึ่งในโลกวัตถุได้ถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้ว  หลังจากถูกตัดสินว่าจะอยู่ร่างไหนในชาติหน้า  มนุษย์จึงตาย  ผู้ที่มีอำนาจสูงกว่าเป็นผู้ตัดสินตามผลกรรมของเราในชาตินี้  ไม่ใช่สิ่งมีชิวิตเป็นผู้กำหนด  เราอาจเจริญขึ้นหรืออาจตกต่ำลง  ชีวิตนี้จึงเป็นการเตรียมตัวสำหรับชีวิตหน้า  ดังนั้น  หากเราเตรียมตัวในชีวิตนี้ดีเพื่อเจริญขึ้นไปถึงอาณาจักรขององค์ภควาน  แน่นอนว่าหลังจากที่เราออกจากร่างวัตถุนี้แล้ว  เราจะได้รับร่างทิพย์เหมือนกับร่างของพระองค์

ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วว่ามีนักทิพย์นิยมหลายประเภท  เช่น  บราฮมะ-วาดี,  พะระฺ  มาทมะ-วาดี,ฺ  และ  สาวกฺ  ได้กล่าวไว้เช่นกันว่าใน  บระฮมะจโยทิฺ  (ท้องฟ้าทิพย์)  มีดาวเคราะห์ทิพย์นับจำนวนไม่ถ้วน  จำนวนดาวเคราะห์เหล่านี้มีมากเกินกว่าจำนวนของดาวเคราะห์ทั้งหมดในโลกวัตถุ  ได้ประมาณไว้ว่าโลกวัตถุนี้มีขนาดเพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ของการสร้าง  (เอคามเชนะ  สทิฺโท  จะกัทฺ)  ในส่วนของโลกวัตถุนี้มีจำนวนร้อยล้านพันล้านจักรวาล  พร้อมทั้งดาวเคราะห์  ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และดวงดาวเป็นจำนวนล้าน  ๆดวง  แต่การสร้างโลกวัตถุนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสร้างทั้งหมด  การสร้างส่วนใหญ่อยู่ในโลกทิพย์  ผู้ที่มีความต้องการจะกลืนเข้าไปในความเป็นอยู่ของ  บระฮมันฺ  สูงสุดจะย้ายไปอยู่ใน  บระฮมะจโยทิฺ  ขององค์ภควานซึ่งเป็นท้องฟ้าทิพย์  สาวกต้องการได้รับความสุขเกษมสำราญด้วยการมีความสัมพันธ์กับองค์ภควาน  จะได้เข้าไปอยู่ที่ดาวเคราะห์ไวคุณธฺะซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาล  และพระนารายณ์สี่กร  อวตารที่แบ่งแยกออกมาจากองค์ภควานทรงประทับอยู่  ณ  ที่นั้นด้วย  ซึ่งมีพระนามแตกต่างกัน  เช่น  พรัดยุมนะ  อนิรุดดฺะ  และโกวินดะ  ฉะนั้น  ในบั้นปลายชีวิตของนักทิพย์นิยมจะระลึกถึง  บระฮมะจโยทิ,  พะระมาทมา,ฺ  หรือ  องค์ภควาน  ชรีคริชณะฺ  ในทุก  ๆ  กรณีพวกเขาจะเข้าไปในท้องฟ้าทิพย์  แต่สาวกหรือผู้ที่มาสัมผัสกับองค์ภควานโดยตรงเท่านั้นจึงเข้าไปยังดาวเคราะห์ไวคุณธฺะหรือดาวเคราะห์โกโลคะ  วรินดาวะนะ  องค์ภควานตรัสต่อว่า  “โดยไม่ต้องสงสัย”  เราต้องเชื่อเช่นนี้อย่างแน่วแน่  เราไม่ควรปฏิเสธกับสิ่งที่ไม่ตรงกับจิตนาการของเราทั้งหมด  ท่าทีของเราควรให้เหมือนกับอารจุนะที่ตรัสว่า  “ข้าพเจ้าเชื่อในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตรัส”  ดังนั้น  เมื่อองค์ภควานตรัสว่าใครก็แล้วแต่ขณะที่กำลังตายระลึกถึงองค์ภควานว่าพระองค์ทรงเป็น  บระฮมัน,  พะระมาทมา,ฺ  หรือ  องค์ภควานฺ  จะเข้าไปสู่ท้องฟ้าทิพย์อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย  และไม่มีคำถามอื่นใดอีกเกี่ยวกับความเชื่อเช่นนี้

ใน  ภควัต-คีตาฺ  (8.6)  ได้อธิบายถึงหลักทั่วไป  ในการที่จะเข้าไปในอาณาจักรทิพย์  เพียงแต่ระลึกถึงองค์ภควานขณะกำลังตาย

ยัม ยัม วาพิ สมะรัน บฺาวัม
ทยะจะทิ อันเท คะเลวะรัมฺ

ทัม ทัม เอไวทิ คะอุนเทยะ
สะดา ทัด-บฺาวะ-บฺาวิทะฮฺ

“ไม่ว่าจิตใจจะคิดถึงสิ่งใดในขณะที่ออกจากร่างนี้  ในชาติหน้าเขาจะได้รับสิ่งนั้นอย่างแน่นอน”  ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าธรรมชาติวัตถุเป็นพลังงานส่วนหนึ่งขององค์ภควานที่ทรงแสดงออกมา  ในวิชณุ  พุราณะฺ  (6.7.61)  พลังงานทั้งหมดขององค์ภควานได้อธิบายไว้ดังนี้

วิชณุ-ชัคทิฮ พะรา โพรคทา
คเชทระ-กยาคฺยา ทะทฺา พะราฺ

อวิดยา-คารมะ-สัมกยานยา
ทริทียา ชัคทิร อิชยะเทฺ

องค์ภควานทรงมีพลังงานมากมายจนนับไม่ถ้วน  ซึ่งอยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดของเรา  อย่างไรก็ดี  นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือดวงวิญญาณผู้หลุดพ้นแล้วได้ศึกษา  วิเคราะห์  และจำแนกพลังงานเหล่านี้ออกเป็นสามประเภท  พลังงานทั้งหมดเป็น  วิชณุ-ชัคทิฺ  หมายความว่าเป็นพลังงานอันหลากหลายของพระวิชณุ  พลังงานแรกเรียกว่า  พะราฺ  คือเป็นทิพย์หรือเหนือโลกสิ่งมีชีวิตเป็นพลังงานเบื้องสูงดังที่ได้อธิบายไว้แล้ว  อีกพลังงานหนึ่งเป็นพลังงานวัตถุซึ่งอยู่ในคุณลักษณะอวิชชา  ขณะที่กำลังตายเราอาจจะอยู่ภายในพลังงานเบื้องต่ำของโลกวัตถุนี้  หรืออาจย้ายไปที่พลังงานของโลกทิพย์  ดังที่  ภควัต-คีตาฺ  (8.6)  กล่าวว่า

ยัม ยัม วาพิ สมะรัน บฺาวัม
ทยะจะทิ อันเท คะเลวะรัมฺ

ทัม ทัม เอไวทิ คะอุนเทยะ
สะดา ทัด-บฺาวะ-บฺาวิทะฮฺ

“ไม่ว่าจิตใจของเขาจะคิดถึงสิ่งใดในขณะที่ออกจากร่างนี้  ในชาติหน้าเขาก็จะได้รับสิ่งนั้นอย่างแน่นอน”

ในชีวิตเราอาจเคยชินต่อการคิดถึงพลังงานวัตถุหรือพลังงานทิพย์  และมาบัดนี้เราจะเปลี่ยนความคิดจากพลังงานวัตถุนี้ให้มาเป็นพลังงานทิพย์ได้อย่างไร?  มีวรรณกรรมทางพลังงานวัตถุมากมายที่เข้ามาอยู่ในสมองของเรา  เช่น  หนังสือพิมพ์  วารสารนวนิยาย  ฯลฯ  ความคิดของเราที่ซึมซาบอยู่ในวรรณกรรมเหล่านี้  จะต้องเปลี่ยนมาเป็นวรรณกรรมพระเวท  ฉะนั้น  นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้เขียนวรรณกรรมพระเวทมากมายเช่น  พุราณะ,  พุราณะฺ  มิได้เป็นจินตนาการ  แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้  ใน  เชธันญะฺ-  ชะริทามริทะฺ  (มัดฺยะฺ  20.122)  มีโศลกต่อไปนี้:

มายา-มุกดฺะ จีเวระ นาฮิ
สวะทะฮ คริชณะ-กยานะฺ

จีเวเร คริพายะ ไคลา
คริชณะ เวดะ-พุราณะฺ

สิ่งมีชีวิตที่หลงลืมหรือดวงวิญญาณที่อยู่ในสภาวะวัตถุ  ลืมความสัมพันธ์ของตนเองกับองค์ภควานและพัวพันอยู่ในความคิดแห่งกิจกรรมทางวัตถุ  เพื่อเปลี่ยนพลังความคิดของพวกเขาไปยังท้องฟ้าทิพย์  คริชณะ-ดไวพายะนะ  วิยาสะ  ได้ให้วรรณกรรมพระเวทไว้มากมาย  ขั้นแรกได้แบ่งคัมภีร์พระเวทเป็นสี่ส่วน  จากนั้นอธิบายใน  พุราณะฺ  สำหรับผู้ที่มีความสามารถน้อย  ท่านได้เขียน  มหาภารตะ,  ภควัต-คีตาฺ  อยู่ใน  มหาภารตะฺ  จากนั้นวรรณกรรมพระเวททั้งหมด  ได้สรุปลงใน  เวดานธะ-สูทระฺ  และเพื่อเป็นการชี้แนะในอนาคต  ท่านได้ให้คำอธิบายโดยธรรมชาติเกี่ยวกับ  เวดานธะ-สูทระฺ  เรียกว่า  ชรีมัด-บฺฺากะวะธัมฺ  เราต้องใช้จิตใจของเราไปในการอ่านวรรณกรรมพระเวทเหล่านี้เสมอ  เหมือนกับนักวัตถุนิยมที่ใช้จิตใจอ่านหนังสือพิมพ์  วารสาร  และวรรณกรรมทางโลกมากมาย  เราต้องเปลี่ยนการอ่านของเรามาอ่านวรรณกรรมเหล่านี้ที่วิยาสะ-เดวะได้ให้ไว้  ด้วยการกระทำเช่นนี้จะทำให้เราระลึกถึงองค์ภควานในขณะที่ตาย  และนี่เป็นวิธีเดียวที่พระองค์ทรงแนะนำ  และทรงรับประกันผลไว้ว่า  “โดยไม่ต้องสงสัย”

ทัสมาท สารเวชุ คาเลชุ
มาม อนุสมะระ ยุดฺยะ ชะฺ

มะยิ อารพิทะ-มะโน-บุดดิฺร
มาม เอไวชยะสิ อะสัมชะยะฮฺ

“ฉะนั้น  อารจุนะ  เธอควรระลึกถึงข้าเสมอในรูปลักษณ์คริชณะ  ในขณะเดียวกันก็ปฏิบัติหน้าที่ในการรบที่ได้จัดไว้  ด้วยการกระทำของเธอที่อุทิศแด่ข้า  ทั้งจิตใจและปัญญาตั้งมั่นอยู่ที่ข้า  เธอจะมาถึงข้าโดยไม่ต้องสงสัย”  (ภควัต-คีตาฺ  8.7)

พระองค์ทรงมิได้แนะนำให้อารจุนะเพียงแต่ระลึกถึงพระองค์  และยกเลิกอาชีพของตน  พระองค์ทรงไม่เคยแนะนำในสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้  ในโลกวัตถุนี้การที่จะรักษาร่างกายนี้ไว้  เราต้องทำงาน  สังคมมนุษย์แบ่งออกตามหน้าที่การงานเป็นสี่วรรณะ  บราฮมะณะ  คชัทริยะ  ไวชยะฺ  และ  ชูดระ  บราฮมะณะฺ  หรือชั้นปัญญาชนทำงานประเภทหนึ่ง  คชัทริยะฺ  หรือชนชั้นบริหารทำงานอีกประเภทหนึ่ง  ชนชั้นพ่อค้าและกรรมกรทั้งหมดก็ทำหน้าที่เฉพาะของตน  ในสังคมมนุษย์ไม่ว่าเราจะเป็นกรรมกรพ่อค้า  นักบริหาร  หรือชาวนา  หรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ในชั้นสูงสุด  เป็นผู้คงแก่เรียน  นักวิทยาศาสตร์  นักศาสนา  จะต้องทำงานเพื่อดำรงชีพ  ฉะนั้น  องค์ภควานตรัสต่ออารจุนะว่า  อารจุนะไม่ควรยกเลิกอาชีพของตน  แต่ขณะที่ประกอบอาชีพ  ควรระลึกถึงคริชณะ  (มาม  อนุสมะระฺ)  ถ้าหากว่าอารจุนะทรงไม่ฝึกฝนการระลึกถึงคริชณะ  ขณะที่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อดำรงชีวิต  เป็นไปไม่ได้ที่อารจุนะจะทรงระลึกถึงคริชณะในขณะกำลังตาย  องค์เชธันญะทรงแนะนำเช่นเดียวกันว่า  คีรทะนียะฮ  สะดา  ฮะริฮฺ  เราควรฝึกฝนการสวดภาวนาพระนามขององค์ภควานเสมอ  พระนามขององค์ภควานและองค์ภควานไม่แตกต่างกัน  ฉะนั้น  คำสั่งสอนของคริชณะที่ให้แก่อารจุนะว่า  “จงระลึกถึงข้า”  และคำสั่งสอนของเชธันญะว่า  “จงสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของคริชณะเสมอ”  เป็นคำสั่งสอนที่เหมือนกัน  โดยไม่มีข้อแตกต่าง  เพราะว่าองค์คริชณะและพระนามของคริชณะไม่มีอะไรแตกต่างกัน  ในระดับที่สมบูรณ์สูงสุดจะไม่มีข้อแตกต่างระหว่างข้ออ้างอิงและผู้อ้างอิง  ดังนั้นเราจึงควรฝึกฝนการระลึกถึงองค์ภควานเสมอวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง  ด้วยการสวดภาวนาพระนามของพระองค์  และจัดกิจกรรมของชีวิตเพื่อให้เราสามารถระลึกถึงชรีคริชณะเสมอ

เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรนั้น  บรรดา  อาชารยะฺ  ได้ให้ตัวอย่างไว้ดังต่อไปนี้  หากสตรีที่แต่งงานแล้วไปสนใจชายอีกคนหนึ่ง  หรือหากว่าผู้ชายไปสนใจหญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของตน  ความสนใจเช่นนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่มีพลังมาก  ผู้ที่มีความสนใจเช่นนี้จะคิดถึงคนรักเสมอภรรยาที่คิดถึงคู่รักของตน  จะคิดเสมอว่าต้องการพบเขาแม้ขณะที่เธอทำงานบ้านอยู่อันที่จริงเธออาจปฏิบัติงานบ้านด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น  เพื่อที่สามีจะได้ไม่สงสัยความสนใจที่เธอมีต่อชายอื่น  เช่นเดียวกัน  เราควรระลึกถึงคู่รักสูงสุดองค์ชรีคริชณะเสมอและในขณะเดียวกันก็ปฏิบัติหน้าที่ทางวัตถุอย่างดีเยี่ยม  ความรู้สึกในความรักที่มีพลังเป็นสิ่งจำเป็น  ณ  ที่นี้  หากว่าเรามีความรู้สึกในความรักที่เข้มข้นต่อองค์ภควาน  เราจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเรา  และขณะเดียวกันก็ระลึกถึงพระองค์  แต่จะต้องพัฒนาความรู้สึกแห่งความรักนั้น  ตัวอย่างเช่นอารจุนะทรงคิดถึงคริชณะเสมอ  อารจุนะทรงเป็นสหายของคริชณะ  ในขณะเดียวกันอารจุนะก็เป็นนักรบ  คริชณะไม่ได้ทรงแนะนำให้อารจุนะยกเลิกการต่อสู้และไปอยู่ในป่าบำเพ็ญฌาน  เมื่อคริชณะอธิบายระบบโยคะให้อารจุนะ  อารจุนะตรัสว่าการปฏิบัติตามระบบนี้  เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์

อารจุนะ อุวาชะฺ
โย ′ยัม โยกัส ทวะยา โพรคทะฮ
สามเยนะ มะดํุสูดะนะฺ

เอทัสยาฮัม นะ พัสยามิ
ชันชะลัทวาท สทิฺทิม สทิฺรามฺ

“อารจุนะตรัสว่า  โอ้  มะดํุสูดะนะ  ระบบโยคะที่พระองค์ทรงสรุป  ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าจะปฏิบัติไม่ได้  และข้าก็ทนไม่ได้  เพราะจิตใจไม่สงบและไม่มั่นคง”  (ภควัต-คีตาฺ  6.33)

แต่องค์ภควานตรัสว่า:

โยกินาม อพิ สารเวชาม
มัด-กะเทนานทะราทมะนาฺ

ชรัดดฺาวาน บฺะจะเท โย มาม
สะ เม ยุคทะทะโม มะทะฮ

“ในบรรดาโยคีทั้งหมด  ผู้ที่มีความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ต่อข้า  ปฏิบัติตามคำสอนของข้าเสมอ  ภายในใจระลึกถึงข้า  และรับใช้ข้าด้วยความรักทิพย์  เป็นผู้ที่อยู่ร่วมกับข้าอย่างใกล้ชิดในโยคะและเป็นผู้สูงสุดกว่าใครทั้งหมด  นี่คือความคิดเห็นของข้า”  (ภควัต-คีตาฺ  6.47)  ฉะนั้น  ผู้ที่ระลึกถึงองค์ภควานจะเป็นโยคีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  เป็น  กยานีฺ  สูงสุด  และเป็นสาวกผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะเดียวกันเสมอ  องค์ภควานตรัสแด่อาจุนะต่อไปว่า  ในฐานะที่อารจุนะเป็นกษัตริย์จะยกเลิกการต่อสู้ไม่ได้  แต่ถ้าหากต่อสู้พร้อมทั้งระลึกถึงคริชณะไปด้วย  อารจุนะก็จะทรงสามารถระลึกถึงคริชณะได้ในขณะตาย  แต่เราต้องศิโรราบอย่างสมบูรณ์ในการรับใช้ด้วยความรักทิพย์ต่อองค์ภควาน

เราไม่ได้ทำงานด้วยร่างกายแต่ทำด้วยจิตใจและปัญญา  หากว่าจิตใจและปัญญาถูกใช้ไปในการระลึกถึงองค์ภควาน  ประสาทสัมผัสก็จะถูกใช้ในการรับใช้องค์ภควานโดยธรรมชาติ  อย่างน้อยที่สุดกิจกรรมทางประสาทสัมผัสจะยังคงเหมือนเดิม  แต่จิตสำนึกจะเปลี่ยนไป  ภควัต-คีตาฺ  สอนให้เราใช้จิตสำนึกและปัญญาให้ซึมซาบไปในการระลึกถึงองค์ภควาน  เพราะการซึมซาบเช่นนี้สามารถพาเราไปยังอาณาจักรขององค์ภควานหากจิตใจถูกใช้ไปในการรับใช้องค์ชรีคริชณะ  ประสาทสัมผัสก็จะถูกใช้ไปในการรับใช้พระองค์โดยปริยาย  นี่คือศิลปะและเป็นความลับของ  ภควัต-คีตาฺ  ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับการซึมซาบอย่างสมบูรณ์ในการระลึกถึงชรีคริชณะ

ในปัจจุบันมนุษย์ดิ้นรนด้วยความยากลำบากที่จะไปถึงดวงจันทร์  แต่ไม่พยายามนำตนเองให้เจริญขึ้นในวิถีทิพย์  หากเรามีเวลาเหลืออยู่อีกห้าสิบปีเราควรใช้เวลาอันไม่มากนี้ปฏิบัติการพัฒนาเพื่อระลึกถึงบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  การปฏิบัติเช่นนี้เป็นวิธีการอุทิศตนเสียสละ

ชระวะณัม คีรทะนัม วิชโณฮ
สมะระณัม พาดะ-เสวะนัมฺ

อารชะนัม วันดะนัม ดาสยัม
สัคฺยัม อาทมะ-นิเวดะนัมฺ

(ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ 7.5.23)

ขบวนการเก้าวิธีนี้  ชระวะณัมฺ  หรือการสดับฟัง  ภควัต-คีตาฺ  จากผู้รู้แจ้ง  เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดซึ่งจะทำให้เราระลึกถึงองค์ภควาน  วิธีนี้จะทำให้เราระลึกถึงองค์ภควานได้ในขณะที่วิญญาณออกจากร่าง  และได้รับร่างทิพย์อันเหมาะสมในการร่วมสมาคมกับองค์

ภควาน  พระองค์ตรัสต่อไปว่า:

อับฺยาสะ-โยกะ-ยุคเทนะ
เชทะสา นานยะ-กามินาฺ

พะระมัม พุรุชัม ดิพยัม
ยาทิ พารทฺานุชินทะยันฺ

“ผู้ที่ทำสมาธิจดจ่ออยู่ที่ข้าว่าเป็นองค์ภควาน  จิตใจระลึกถึงข้าเสมอโดยไม่เบี่ยงเบนจากวิถีทาง  โอ้  อารจุนะ  เขาจะต้องบรรลุถึงข้าอย่างแน่นอน”  (ภควัต-คีตาฺ  8.8)

เช่นนี้ไม่ใช่เป็นวิธีที่ยากลำบากอันใดเลย  อย่างไรก็ดี  เราจะต้องศึกษาจากผู้ที่มีประสบการณ์  ทัด-วิกยานารทัฺม  สะ  กุรุม  เอวาบิฺกัชเชฺทฺ  เราต้องเข้าพบผู้ที่ปฏิบัติชอบแล้ว  จิตใจเราจะโผผินบินไปโน่นบินมานี่อยู่เสมอ  แต่เราต้องฝึกทำสมาธิด้วยจิตของเราตั้งมั่นอยู่ที่รูปลักษณ์ขององค์ภควานชรีคริชณะเสมอ  หรือทำสมาธิอยู่ที่เสียงของพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  โดยธรรมชาติจิตใจเราจะไม่สงบไปโน่นมานี่เสมอแต่จิตใจของเราสามารถมาพักอยู่ที่เสียงทิพย์ของคริชณะ  ฉะนั้น  เราต้องทำสมาธิที่  พะระมัม  พุรุชัมฺ  องค์ภควานในอาณาจักรทิพย์  ในท้องฟ้าทิพย์  และบรรลุถึงวิธีและหนทางเพื่อความรู้แจ้งสูงสุด  ความสำเร็จสูงสุดได้กล่าวไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  ประตูแห่งความรู้นี้เปิดให้ไว้สำหรับทุก  ๆ  คน  ไม่มีผู้ใดต้องห้าม  บุคคลทุกชั้นวรรณะสามารถเข้าถึงคริชณะได้ด้วยการระลึกถึงพระองค์  เพราะการสดับฟังและการระลึกถึงคริชณะ  ใคร  ๆ  ก็ทำได้

องค์ภควานตรัสต่อไปว่า  (ภควัต-คีตาฺ  9.32-33):

มาม ฮิ พารทฺะ วิยะพาชริทยะ
เย ´พิ สยุฮ พาพะ-โยนะยะฮฺ

สทริโย ไวชยาส ทะทฺา ชูดราส
เท ´พิ ยานทิ พะราม กะทิมฺ
คิม พุนาร บราฮมะณาฮ พุณยา
บัฺคธา ราจารชะยัส ทะทฺาฺ

อนิทยัม อสุคัฺม โลคัม
อิมัม พราพยะ บฺะจัสวะ มามฺ

ดังนั้น  องค์ภควานตรัสว่า  แม้แต่พ่อค้า  สตรีที่ตกต่ำ  กรรมกร  หรือมนุษย์ที่มีชีวิตต่ำต้อยที่สุดก็สามารถเข้าถึงพระองค์  เราไม่จำเป็นต้องมีปัญญาสูงมาก  ที่สำคัญคือใครก็ตามที่รับเอาหลักการของ  ภักดี-โยคะฺ  และยอมรับองค์ภควานว่าทรงเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งชีวิตก็สามารถไปถึงพระองค์ในท้องฟ้าทิพย์ได้  หากรับเอาหลักธรรมที่ให้ไว้ใน  ภควัตฺ-  คีตาฺ  มาปฏิบัติ  จะสามารถทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์และแก้ปัญหาชีวิตทั้งหมดได้อย่างถาวร  นี่คือเนื้อหาสาระสำคัญของ  ภควัต-คีตาฺ  ทั้งเล่ม

ข้อสรุปคือ  ภควัต-คีตาฺ  เป็นวรรณกรรมทิพย์เหนือโลก  ที่เราควรอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน  กีทา-ชาสทรัม  อิดัม  พุณยัม  ยะฮ  พะเทฺท  พระยะทะฮ  พุมานฺ  หากปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ  ภควัต-คีตาฺ  อย่างถูกต้อง  เราจะสามารถเป็นอิสระจากความทุกข์และความวิตกกังวลทั้งหมดในชีวิต  บฺะยะ-โชคาดิ-วารจิทะฮฺ  เราจะเป็นอิสระจากความหวาดกลัวทั้งหมดในชีวิตนี้  และในชีวิตหน้าเราจะมีร่างทิพย์  (กีทา-มาฮาทมยะฺ  1)

ยังมีประโยชน์อีกคือ

กีทาดฺยายะนะ-ชีลัสยะ
พราณายะมะ-พะรัสยะ ชะฺ

ไนวะ สันทิ ฮิ พาพานิ
พูรวะ-จันมะ-คริทานิ ชะฺ

“หากเราอ่าน  ภควัต-คีตาฺ  ด้วยความจริงใจและจริงจัง  ด้วยพระกรุณาธิคุณขององค์ภควาน  ผลกรรมที่เราทำไว้ในอดีตจะไม่ตามมา”  (กีทา-มาฮาทมยะฺ  2)  องค์ภควานตรัสด้วยสุรเสียงอันดังในตอนท้ายของ  ภควัต-คีตาฺ  ว่า  (18.66):

สารวะ-ดฺารมาน พะริทยัจยะ
มาม เอคัม ชะระณัม วระจะฺ

อฮัม ทวาม สารวะ-พาเพบฺโย
โมคชะยิชยามิ มา ชุชะฮฺ

“ยกเลิกศาสนาอื่น  ๆ  ทั้งหมดและเพียงแต่ศิโรราบต่อข้า  ข้าจะพาเธอให้หลุดออกจากผลแห่งบาปทั้งปวง  จงอย่ากลัว”  เช่นนี้  องค์ภควานทรงรับผิดชอบทุกอย่างสำหรับผู้ที่ศิโรราบต่อพระองค์  และจะทรงให้อภัยต่อบาปกรรมทั้งปวงที่เราได้สั่งสมไว้

มะละ-นิรโมชะนัม พุมสาม
จะละ-สนานัม ดิเน ดิเนฺ

สะคริด กีทามริทะ-สนานัม
สัมสาระ-มะละ-นาชะนัมฺ

“เราอาจทำความสะอาดร่างกายด้วยการอาบน้ำทุกวัน  แต่ถ้าหากว่าเราอาบน้ำในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์แห่ง  ภควัต-คีตาฺ  เพียงครั้งเดียว  ความสกปรกแห่งชีวิตวัตถุของเราจะถูกชะล้างจนหมดสิ้น”  (กีทา-มาฮาทมยะฺ  3)

กีทา สุ-กีทา คารทัพยา
คิม อันไยฮ ชาสทระ-วิสทะไรฮฺ

ยา สวะยัม พัดมะนาบัฺสยะ
มุคฺะ-พัดมาด วินิฮสริทาฺ

เนื่องจาก  ภควัต-คีตาฺ  ตรัสโดยบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  เราไม่จำเป็นต้องอ่านวรรณกรรมพระเวทเล่มอื่น  ๆ  เราเพียงแต่สดับฟังและอ่าน  ภควัต-คีตาฺ  ด้วยความตั้งใจและสม่ำเสมอเท่านั้น  ในยุคปัจจุบันผู้คนจะซึมซาบไปในกิจกรรมทางวัตถุ  จึงเป็นไปไม่ได้  และไม่จำเป็นที่จะมาอ่านวรรณกรรมพระเวททั้งหมด  ภควัต-คีตาฺ  เพียงเล่มเดียวก็เพียงพอแล้ว  เพราะว่า  ภควัต-คีตาฺ  เป็นหัวใจสำคัญของวรรณกรรมพระเวททั้งหมดและบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นผู้ตรัส  (กีทา-มาฮาทมยะฺ  4)

ได้กล่าวไว้ว่า  :

บฺาระทามริทะ-สารวัสวัม
วิชณุ-วัคทราด วินิฮสริทัมฺ

กีทา-กังโกดะคัม พีทวา
พุนาร จันมะ นะ วิดยะเทฺ

“ผู้ที่ดื่มน้ำจากแม่น้ำคงคงจะได้รับความหลุดพ้น  ดังนั้น  ผู้ที่ดื่มน้ำทิพย์แห่ง  ภควัต-คีตาฺ  จะได้รับผลสูงกว่าแค่ไหน?  ภควัต-คีตาฺ  เป็นยอดแห่งน้ำทิพย์ของ  มหาภารตะฺ  ซึ่งองค์คริชณะหรือพระวิชณุองค์เดิมทรงเป็นผู้ตรัสเอง”  (กีทา-มาฮาทมยะฺ  5)  ภควัต-คีตาฺ  ได้หลั่งออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์ภควาน  และแม่น้ำคงคาหลั่งมาจากพระบาทรูปดอกบัวขององค์ภควาน  แน่นอนว่าไม่มีข้อแตกต่างระหว่างพระโอษฐ์และพระบาทขององค์ภควาน  แต่จากการศึกษาที่ไม่มีอคติ  เราสามารถชื่นชม  ภควัต-คีตาฺ  ว่าสำคัญกว่าแม่น้ำคงคา

สารโวพะนิชะโด กาโว
โดกดฺา โกพาละ-นันดะนะฮฺ

พารโทฺ วัทสะฮ สุ-ดีฺร โบฺคทา
ดุกดัฺม กีทามริทัม มะฮัทฺ

กีโทพะนิชัดฺ  หรือ  ภควัต-คีตาฺ  นี้  เป็นหัวใจสำคัญของ  อุพนิชัดฺ  ทั้งหมด  เปรียบเทียบเหมือนกับวัว  และองค์ชรีคริชณะ  ทรงมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเด็กเลี้ยงวัวที่กำลังรีดนมวัวตัวนี้  อารจุนะทรงเหมือนกับลูกวัว  นักวิชาการผู้คงแก่เรียนและสาวกผู้บริสุทธิ์ได้ดื่มน้ำนมทิพย์แห่ง  ภควัต-คีตาฺ  (กีทา-มาฮาทมยะฺ  6)

เอคัม ชาสทรัม เดวะคี-พุทระ-กีทัม
เอโค เดโว เดวะคี-พุทระ เอวะฺ

เอโค มันทรัส ทัสยะ นามานิ ยานิ
คารมาพิ เอคัม ทัสยะ เดวัสยะ เสวา

(กีทา-มาฮาทมยะฺ 7)

ในปัจจุบันนี้  ผู้คนมีความกระตือรือร้นที่จะมีพระคัมภีร์เล่มเดียว  มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว  มีศาสนาเดียว  และมีอาชีพเดียว  ดังนั้น  เอคัม  ชาสทรัม  เดวะคีฺ-  พุทระฺ-กีทัมฺ  หมายความว่าให้มีพระคัมภีร์เพียงเล่มเดียวเท่านั้นสำหรับคนทั้งโลก  นั่นคือ  ภควัต-คีตา,ฺ  เอโค  เดโว  เดวะคี-พุทระ  เอวะฺ  ให้มีพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวสำหรับคนทั้งโลก  นั่นคือชรีคริชณะ  เอโค  มันทรัส  ทัสยะ  นามานิฺ  และมีบทมนต์สวดภาวนาและบทเพลงเพียงบทเดียว  คือ  บทสวดภาวนาพระนามขององค์ภควาน  ฮะเรคริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเร  ฮะเร  /  ฮะเร  รามะ  ฮะเร  รามะ  รามะรามะ  ฮะเร  ฮะเร  คารมาพิ  เอคัม  ทัสยะ  เดวัสยะ  เสวาฺ  และมีอาชีพการงานเพียงอาชีพเดียวเท่านั้น  นั่นคือการรับใช้บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์ภควาน

ระบบพะรัมพะรา

เอวัม  พะรัมพะรา-พราพทัม  อิมัม  ราจารชะโย  วิดุฮฺ  (ภควัต-คีตาฺ  4.2)  ภควัต-คีตาฺ  ฉบับเดิมฺ  นี้  ได้รับการถ่ายทอดผ่านทางระบบ  พะรัมพะราฺ  ดังต่อไปนี้

1. คริชณะ
2. บระฮมา (พระพรมหม)
3. นาระดะ
4. วิยาสะ
5. มัดฺวะ
6. พัดมะนาบฺะ
7. นริฮะริ
8. มาดฺะวะ
9. อัคโชบฺยะ
10. จะยะ ทีรทฺะ
11. กยานะสินดํุ
12. ดะยานิดิฺ
13. วิดยานิดิฺ
14. ราเจนดระ
15. จะยะดฺารมะ
16. พุรุโชททะมะ
17. บระฮมัณยะ ทีรทฺะ
18. วิยาสะ ทีรทฺะ
19. ลัคชมีพะทิ
20. มาดฺะเวนดระ พุรี
21. อีชวะระ พุรี (นิทยานันดะ อไดวทะ)
22. องค์เชธันญะ
23. รูพะ (สวะรูพะ,สะนาทะนะ)
24. ระกํุนาทฺะ, จีวะ
25. คริชณะดาสะ
26. นะโรททะมะ
27. วิชวะนาทฺะ
28. (บะละเดวะ), จะกันนาทฺะ
29. บัฺคธิวิโนดะ
30. โกระคิโชระ
31. บัฺคธิสิดดฺานทะ สะรัสวะที
32. เอ.ซี. บัฺคธิเวดันธะ สวะมิ พระบํุพาดะ