บทที่ สิบสาม
ธรรมชาติ ผู้รื่นเริง
และจิตสำนึก
อารจุนะ อุวาชะฺ
พระคริทิม พุรุชัม ไชวะ
คเชทรัม คเชทระ-กยัม เอวะ ชะฺ
เอทัด เวดิทุม อิชชฺามิ
กยานัม กเยยัม ชะ เคชะวะฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
อิดัม ชะรีรัม คะอุนเทยะ
คเชทรัม อิทิ อบิฺดีฺยะเทฺ
เอทัด โย เวททิ ทัม พราฮุฮ
คเชทระ-กยะ อิทิ ทัด-วิดะฮฺ
อารจุนะฮ อุวาชะฺ - อารจุนะตรัสว่า, พระคริทิมฺ - ธรรมชาติ, พุรุชัมฺ - ผู้รื่นเริง, ชะฺ - เช่นกัน, เอวะฺ - แน่นอน, คเชทรัมฺ - สนาม, คเชทระ-กยัมฺ - ผู้รู้สนาม, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - เช่นกัน, เอทัทฺ - ทั้งหมดนี้, เวดิทุมฺ - เข้าใจ, อิชชฺามิฺ - ข้าพเจ้าปรารถนา, กยานัมฺ - ความรู้, กเยยัมฺ - เป้าหมายของความรู้, ชะฺ - เช่นกัน, เคชะวะฺ - โอ้ คริชณะ, ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - องค์ภควานตรัส, อิดัมฺ - นี้, ชะรีรัมฺ - ร่างกาย, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, คเช- ทรัมฺ - สนาม, อิทิฺ - ดังนั้น, อบิฺดีฺยะเทฺ - เรียกว่า, เอทัทฺ - นี้, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, เวททิฺ - รู้, ทัมฺ - เขา, พราฮุฮฺ - เรียกว่า, คเชทระ-กยะฮฺ - ผู้รู้สนาม, อิทิฺ - ดังนั้น, ทัท-วิดะฮฺ - โดยพวกที่รู้สิ่งนี้
คำแปลฺ
อารจุนะตรัสว่า โอ้ คริชณะที่รัก ข้าปรารถนาจะรู้เกี่ยวกับพระคริทิ (ธรรมชาติ)พุรุชะ (ผู้รื่นเริง) สนาม และผู้รู้สนาม ความรู้ และจุดมุ่งหมายแห่งความรู้องค์ภควานตรัสว่า โอ้ โอรสพระนางคุนที ร่างกายนี้เรียกว่าสนาม และผู้ที่รู้ร่างกายนี้เรียกว่าผู้รู้สนาม
คำอธิบายฺ
อารจุนะทรงถามเกี่ยวกับ พระคริทิฺ (ธรรมชาติ) พุรุชะฺ (ผู้รื่นเริง) คเชทระฺ(สนาม) คเชทระ-กยะฺ (ผู้รู้สนาม) ความรู้และจุดมุ่งหมายแห่งความรู้ เมื่อทรงถามทั้งหมดนี้ คริชณะตรัสว่า ร่างกายนี้เรียกว่าสนาม และผู้รู้ร่างกายนี้เรียกว่าผู้รู้สนามร่างกายนี้เป็นสนามแห่งกิจกรรมสำหรับพันธวิญญาณ พันธวิญญาณได้มาติดกับอยู่ในความเป็นอยู่ทางวัตถุ พยายามเป็นเจ้าและครอบครองธรรมชาติวัตถุตามกำลังความสามารถของตน จึงได้รับสนามแห่งกิจกรรม สนามแห่งกิจกรรมนี้คือร่างกายและร่างกายนี้คืออะไร? ร่างกายประกอบไปด้วยประสาทสัมผัสต่าง ๆ พันธวิญญาณปรารถนาจะรื่นเริงอยู่กับการสนองประสาทสัมผัส ตามกำลังความสามารถที่จะรื่นเริงกับการสนองประสาทสัมผัส เราจึงได้รับร่างกายหรือสนามแห่งกิจกรรมมา ดังนั้นร่างกายจึงเรียกว่า คเชทระฺ หรือสนามแห่งกิจกรรมสำหรับพันธวิญญาณ เช่นนี้บุคคลที่สำคัญตนเองกับร่างกายเรียกว่า คเชทระ-กยะฺ หรือผู้รู้สนาม มิใช่เป็นสิ่งลำบากที่จะเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างสนามและผู้รู้สนาม ร่างกายและผู้รู้ร่างกาย ใคร ๆ ก็สามารถพิจารณาได้ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา เราได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมามากมาย ถึงกระนั้น เรายังคงเป็นบุคคลคนเดียวกัน ดังนั้น จึงมีข้อแตกต่างระหว่างผู้รู้สนามแห่งกิจกรรมและตัวสนามแห่งกิจกรรม พันธวิญญาณผู้มีชีวิตสามารถเข้าใจว่าตนเองแตกต่างไปจากร่างกายได้อธิบายไว้ในตอนต้นว่า -เดฮิโน ่สมินฺ- สิ่งมีชีวิตอยู่ภายในร่างกาย และร่างกายเปลี่ยนแปลงจากทารกมาเป็นเด็ก จากเด็กมาเป็นหนุ่มสาวและจากหนุ่มสาวมาเป็นผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างกายรู้ว่าร่างกายนี้เปลี่ยนแปลงเจ้าของคือ คเชทระ-กยะฺ ที่แตกต่างออกไป บางครั้งเราคิดว่า “ฉันมีความสุข” “ฉันเป็นผู้ชาย” “ฉันเป็นผู้หญิง” “ฉันเป็นสุขนัข” “ฉันเป็นแมว” เหล่านี้เป็นชื่อระบุทางร่างกายของผู้รู้ แต่ผู้รู้แตกต่างไปจากร่างกาย ถึงแม้ว่าเราอาจใช้สิ่งของมากมายเช่นเสื้อผ้าอาภรณ์ต่าง ๆ ฯลฯ แต่เรารู้ว่าตัวเราแตกต่างไปจากสิ่งของที่เราใช้ ในทำนองเดียวกัน จากการพิจารณาเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้ว่าเราแตกต่างไปจากร่างกายอาตมา ท่าน หรือผู้ใดที่เป็นเจ้าของร่างกายเรียกว่า คเชทระ-กยะฺ หรือผู้รู้สนามแห่งกิจกรรม และร่างกายเรียกว่า คเชทระฺ หรือตัวสนามแห่งกิจกรรม
ในหกบทแรกของ ภควัต-คีตาฺ ได้อธิบายถึงผู้รู้ร่างกาย (สิ่งมีชีวิต) และตำแหน่งที่เขาสามารถเข้าใจองค์ภควาน ในหกบทกลางของ ภควัต-คีตาฺ ได้อธิบายถึงบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าและความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ได้นิยามสถานภาพที่สูงกว่าขององค์ภควาน และสถานภาพที่ด้อยกว่าของปัจเจกวิญญาณอย่างชัดเจนในบทเหล่านี้ เนื่องจากลืมไปว่าตนเองด้อยกว่าในทุก ๆ สถานการณ์ สิ่งมีชีวิตจึงได้รับทุกข์ เมื่อสว่างไสวขึ้นด้วยบุญบารมี สิ่งมีชีวิตจึงเข้าพบองค์ภควานในสภาวะที่แตกต่างกัน เช่น สภาวะที่มีความทุกข์สภาวะที่ต้องการเงิน สภาวะชอบถาม และสภาวะที่แสวงหาความรู้ ซึ่งได้อธิบายไว้เช่นกัน เริ่มจากบทที่สิบสามจะอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตมาสัมผัสกับธรรมชาติวัตถุได้อย่างไร และองค์ภควานทรงจัดส่งเขาด้วยวิธีต่าง ๆ อย่างไร โดยผ่านทางกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุการพัฒนาความรู้ และการปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตแตกต่างจากร่างกายวัตถุโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีความสัมพันธ์กัน ประเด็นนี้ได้อธิบายไว้เช่นเดียวกัน
คเชทระ-กยัม ชาพิ มาม วิดดิฺ
สารวะ-คเชเทรชุ บฺาระทะฺ
คเชทระ-คเชทระยะโยร กยานัม
ยัท ทัจ กยานัม มะทัม มะมะฺ
คเชทระ-กยัมฺ - ผู้รู้สนาม, ชะฺ - เช่นกัน, อพิฺ - แน่นอน, มามฺ - ข้า, วิดดิฺฺ - รู้, สารวะฺ - ทั้งหมด, คเชเทรชฺุ - ในสนามแห่งร่างกาย, บฺาระทะฺ - โอ้ โอรสแห่ง บฺาระทะ, คเชทระฺ - สนามแห่งกิจกรรม (ร่างกาย), คเชทระ-กยะโยฮฺ - และผู้รู้สนาม, กยานัมฺ - ความรู้แห่ง, ยัทฺ - ซึ่ง, ทัทฺ - นั้น, กยานัมฺ - ความรู้, มะทัมฺ - ความเห็น, มะมะฺ - ของข้า
คำแปลฺ
โอ้ ผู้สืบราชวงศ์แห่งบฺาระทะ เธอควรเข้าใจว่าข้าเป็นผู้รู้ร่างกายทั้งหมดเช่นกันการเข้าใจร่างกายและผู้รู้ร่างกายนี้เรียกว่าความรู้ นั่นคือความเห็นของข้า
คำอธิบายฺ
ขณะที่สนทนาถึงประเด็นเรื่องร่างกายและผู้รู้ร่างกาย วิญญาณและอภิวิญญาณ เราจะพบสามประเด็นในการศึกษาคือ องค์ภควาน สิ่งมีชีวิต และวัตถุ ในทุก ๆสนามแห่งกิจกรรม หรือในทุกร่างกายจะมีดวงวิญญาณอยู่สองดวงคือ ปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณ เพราะว่าอภิวิญญาณทรงเป็นภาคแบ่งแยกขององค์ภควานคริชณะคริชณะตรัสว่า “ข้าเป็นผู้รู้เช่นกัน แต่ไม่ใช่ปัจเจกผู้รู้แห่งร่างกาย ข้าคืออภิผู้รู้ที่ประทับอยู่ในทุก ๆ ร่างกายในรูปของ พระระมาทมาฺ หรืออภิวิญญาณ”
ผู้ที่ศึกษาประเด็นของสนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้สนามอย่างละเอียดถี่ถ้วนตาม ภควัต-คีตาฺ นี้ จะสามารถบรรลุถึงความรู้
องค์ภควานตรัสว่า “ข้าคือผู้รู้ของสนามแห่งกิจกรรมในทุกๆ ปัจเจกร่างกาย”ปัจเจกวิญญาณอาจเป็นผู้รู้ร่างกายของตนเอง แต่จะไม่มีความรู้ร่างกายของผู้อื่น องค์ภควานทรงประทับอยู่ในทุก ๆ ร่างกายในฐานะอภิวิญญาณ พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับทุก ๆ ร่างกาย และทรงทราบร่างกายที่แตกต่างกันทั้งหมดของเผ่าพันธุ์อันหลากหลายแห่งชีวิตทั้งหลาย ประชาชนอาจรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับผืนแผ่นดินของตนเท่านั้น แต่พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบไม่เพียงแต่พระราชวังของพระองค์ แต่ยังทรงทราบถึงแผ่นดินในราชอาณาจักรทุกแปลงที่ปัจเจกชนครอบครอง ในทำนองเดียวกัน เราอาจเป็นเจ้าของปัจเจกร่างกาย แต่องค์ภควานทรงเป็นเจ้าของร่างกายทั้งหมด พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นเจ้าขององค์แรกของราชอาณาจักร และประชาชนเป็นเจ้าของรองลงมา ในลักษณะเดียวกัน องค์ภควานทรงเป็นเจ้าของสูงสุดของร่างกายทั้งหมด
ร่างกายประกอบไปด้วยประสาทสัมผัสต่าง ๆ องค์ภควานคือ ฮริชีเคชะฺ ซึ่งหมายความว่า “ผู้ควบคุมประสาทสัมผัส” พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมประสาทสัมผัสองค์แรกเหมือนกับพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงเป็นผู้ควบคุมองค์แรกแห่งกิจกรรมทั้งหลายในรัฐ ประชาชนเป็นผู้ควบคุมรองลงมา องค์ภควานตรัสว่า “ข้าคือผู้รู้เช่นกัน” หมายความว่า พระองค์ทรงเป็นผู้รู้สูงสุด ปัจเจกวิญญาณรู้เฉพาะร่างกายของตนเองเท่านั้น ในวรรณกรรมพระเวทได้กล่าวไว้ดังนี้
คเชทราณิ ฮิ ชะรีราณิ
บีจัม ชาพิ ชุบฺาชุเบฺฺ
ทานิ เวททิ สะ โยกาทมา
ทะทะฮ คเชทระ-กยะ อุชยะเทฺ
ร่างกายนี้เรียกว่าคเชทระฺ องค์ภควานและเจ้าของร่างกายอยู่ภายในร่างกายนี้ พระองค์ทรงทราบทั้งร่างกายและเจ้าของร่างกาย ดังนั้น องค์ภควานทรงถูกเรียกว่าเป็นผู้รู้สนามทั้งหมด ข้อแตกต่างระหว่างสนามแห่งกิจกรรม ผู้รู้กิจกรรม และผู้รู้สูงสุดแห่งกิจกรรมได้อธิบายไว้ดังนี้ ความรู้ที่สมบูรณ์แห่งพื้นฐานของร่างกาย พื้นฐานของปัจเจกวิญญาณและพื้นฐานของอภิวิญญาณ วรรณกรรมพระเวทเรียกว่า กยานะฺ นั่นคือความเห็นของคริชณะ การเข้าใจทั้งดวงวิญญาณและอภิวิญญาณว่าเป็นหนึ่งแต่ก็ไม่เหมือนกันเรียกว่าความรู้ ผู้ที่ไม่เข้าใจสนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้กิจกรรมไม่มีความรู้ที่สมบูรณ์ เราต้องเข้าใจสถานภาพของพระคริทิ(ธรรมชาติ) พุรุชะฺ (ผู้รื่นเริงแห่งธรรมชาติ) และ อิชวะระฺ(ผู้รู้ที่ครอบครองหรือควบคุมธรรมชาติและปัจเจกวิญญาณ) ไม่ควรสับสนกับศักยภาพที่แตกต่างกันของทั้งสามนี้ เราไม่ควรสับสนเกี่ยวกับจิตรกร ภาพวาด และขาตั้งภาพโลกวัตถุซึ่งเป็นสนามแห่งกิจกรรมนี้คือธรรมชาติ ผู้รื่นเริงกับธรรมชาติคือสิ่งมีชีวิต และเหนือไปกว่าทั้งสองคือผู้ควบคุมสูงสุดองค์ภควาน ได้กล่าวไว้ในภาษาพระเวท (ชเวทา ชวะทะระ อุพะนิชัดฺ 1.12) ว่า : โบฺคทา โบฺกยัม เพรริทารัม ชะ มัทวา/ สารวัม โพรคทัม ทริ-วิดัฺม บระฮมัน เอทัทฺ มีสามแนวคิดเกี่ยวกับ บระฮมันฺ คือ พระคริทิฺ เป็น บระฮ- มันฺ ของสนามแห่งกิจกรรม และ จีวะฺ (ปัจเจกวิญญาณ) เป็น บระฮมันฺ เช่นกันและเขาพยายามควบคุมธรรมชาติวัตถุ และผู้ควบคุมทั้งสองก็เป็นบระฮมัน แต่องค์ภควานคือผู้ควบคุมที่แท้จริง
ในบทนี้จะอธิบายว่าทั้งสองคือผู้รู้ ผู้หนึ่งมีข้อผิดพลาด และอีกผู้หนึ่งไร้ข้อผิดพลาด ผู้หนึ่งเหนือกว่า และอีกผู้หนึ่งด้อยกว่า ผู้เข้าใจสองผู้รู้แห่งสนามว่าเป็นหนึ่งเดียวกันและเหมือนกัน เป็นผู้ที่ขัดแย้งกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าซึ่งตรัสไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า “ข้าคือผู้รู้ของสนามแห่งกิจกรรมเช่นกัน” ผู้เข้าใจผิดว่าเชือกคืองูเป็นผู้ไม่มีความรู้ มีร่างกายแตกต่างกันและมีเจ้าของร่างกายที่แตกต่างกัน เนื่องจากแต่ละปัจเจกวิญญาณมีปัจเจกศักยภาพในการเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุ จึงมีร่างกายที่แตกต่างกัน แต่องค์ภควานทรงประทับอยู่ภายในพวกเขาในฐานะผู้ควบคุม คำว่า ชะฺ มีความสำคัญ แสดงถึงจำนวนของร่างกายทั้งหมด นั่นคือความเห็นของ ชรีละ บะละเดวะวิดยาบูชะณะ คริชณะทรงเป็นอภิวิญญาณในแต่ละและทุก ๆ ร่างกายซึ่งแตกต่างไปจากปัจเจกวิญญาณ พระองค์ตรัสอย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า อภิวิญญาณทรงเป็นผู้ควบคุมทั้งสนามแห่งกิจกรรมและผู้รื่นเริงที่มีขีดจำกัด
ทัท คเชทรัม ยัช ชะ ยาดริค ชะ
ยัด-วิคาริ ยะทัช ชะ ยัทฺ
สะ ชะ โย ยัท-พระบฺาวัช ชะ
ทัท สะมาเสนะ เม ชริณฺุ
ทัทฺ - นั้น, คเชทรัมฺ - สนามแห่งกิจกรรม, ยัทฺ - อะไร, ชะฺ - เช่นกัน, ยาดริคฺ - เหมือนเดิม, ชะฺ - เช่นกัน, ยัทฺ - มีอะไร, วิคาริฺ - เปลี่ยนแปลง. ยะทะฮฺ - จากอะไร, ชะฺ - เช่นกัน, ยัทฺ - อะไร, สะฮฺ - เขา, ชะฺ - เช่นกัน, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, ยัทฺ - มีอะไร, พระบฺาวะฮฺ - อิทธิพล, ชะฺ - เช่นกัน, ทัทฺ - นั้น, สะมาเสนะฺ - โดยสรุป, เมฺ - จากข้า, ชริณฺุ - เข้าใจ
คำแปลฺ
บัดนี้จงฟังคำอธิบายโดยย่อจากข้าเกี่ยวกับสนามแห่งกิจกรรมนี้ว่าประกอบขึ้นอย่างไร เปลี่ยนแปลงอย่างไร ผลิตมาจากไหน ใครคือผู้รู้สนามแห่งกิจกรรมและอิทธิพลของมันเป็นอย่างไร
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงอธิบายถึงสนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้สนามแห่งกิจกรรมในสถานภาพเดิมแท้ เราต้องรู้วัตถุที่ผลิตร่างกายนี้ขึ้นมา รู้ว่าร่างกายนี้ประกอบขึ้นอย่างไร ใครคือผู้ควบคุมร่างกายนี้ให้ทำงาน การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงมาจากไหน อะไรคือสาเหตุ อะไรคือเหตุผล อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของปัจเจกวิญญาณและรูปลักษณ์อันแท้จริงของปัจเจกวิญญาณคืออะไร เราควรรู้ข้อแตกต่างระหว่างปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณ อิทธิพลและศักยภาพที่แตกต่างของทั้งสอง ฯลฯ เราเพียงแต่ต้องเข้าใจ ภควัต-คีตาฺ นี้โดยตรงจากดำรัสของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า และทั้งหมดนี้จะชัดเจนขึ้น แต่เราต้องระวังที่จะไม่พิจารณาว่าองค์ภควานผู้ทรงประทับในทุก ๆ ร่างเป็นหนึ่งเดียวกับ จีวะฺ หรือปัจเจกวิญญาณ เช่นนี้เหมือนกับการเปรียบเทียบผู้มีอำนาจและผู้ไม่มีอำนาจว่าเท่าเทียมกัน
ริชิบิฺร บะฮุดฺา กีทัม
ชฺานโดบิฺร วิวิไดฺฮ พริทัฺคฺ
บระฮมะ-สูทระ-พะไดช ไชวะ
เฮทุมัดบิฺร วินิชชิไทฮฺ
ริชิบิฺฮฺ - โดยปราชญ์ผู้มีปัญญา, บะฮุดฺาฺ - ในหลายทาง, กีทัมฺ - อธิบาย, ชัฺนโดบิฺฮฺ - โดยบทมนต์พระเวท, วิวิไดฺฮฺ - ต่าง ๆ, พริทัฺคฺ - แตกต่างกัน, บระฮมะ-สูทระฺ - ของเวดานธะ, พะไดฮฺ - โดยคำพังเพย, ชะฺ - เช่นกัน, เอวะ-แน่นอน, เฮทุ-มัดบิฺฮฺ - ด้วยเหตุและผล, วินิช ชิไทฮฺ - แน่นอน
คำแปลฺ
ความรู้สนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้กิจกรรมนั้น นักปราชญ์หลายท่านได้อธิบายไว้ในบทความพระเวทต่าง ๆ ได้แสดงไว้โดยเฉพาะใน เวดานธะ-สูทระ ด้วยวิจารณญาณทั้งหมดของเหตุและผล
คำอธิบายฺ
องค์ภควานคริชณะทรงเป็นผู้เชื่อถือได้สูงสุดในการอธิบายความรู้นี้ ถึงกระนั้นเพื่อเป็นการศึกษา นักวิชาการผู้คงแก่เรียนและผู้เชื่อถือได้ที่มีมาตรฐานจะอ้างอิงหลักฐานจากผู้เชื่อถือได้ในอดีตเสมอ คริชณะทรงอธิบายถึงประเด็นที่ขัดแย้งกันมากที่สุดนี้ ซึ่งเกี่ยวกับปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณว่าเป็นหนึ่งดวงหรือสองดวง โดยอ้างอิงคัมภีร์ เวดานธะฺ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเชื่อถือได้ ก่อนอื่นพระองค์ตรัสว่า “เช่นนี้ตามนักปราชญ์ต่าง ๆ” เกี่ยวกับนักปราชญ์ต่าง ๆ นอกจากตัวพระองค์เอง วิยาสะเดวะ(ผู้เขียน เวดานธะ-สูทระฺ) เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ความเป็นสองดวงนี้ได้อธิบายไว้อย่างสมบูรณ์ใน เวดานธะ-สูทระฺ พะราชะระผู้เป็นบิดาของวิยาสะเดวะก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้เขียนในหนังสือศาสนาของท่านว่า อฮัม ทวัม ชะ ทะทฺานเยฺ ... “พวกเรา ท่าน ข้าพเจ้า และสิ่งมีชีวิต ทั้งหมดเป็นทิพย์แม้อยู่ในร่างกายวัตถุ บัดนี้เราตกลงมาอยู่ในวิถีทางของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุตามกรรมที่แตกต่างกันไป ดังนั้น บางคนอยู่ในระดับที่สูงกว่า และบางคนอยู่ในธรรมชาติที่ต่ำกว่า ธรรมชาติที่สูงกว่าและต่ำกว่าดำเนินไปก็เนื่องมาจากอวิชชา และจะปรากฏอยู่ในจำนวนสิ่งมีชีวิตที่นับไม่ถ้วน แต่อภิวิญญาณผู้ไม่มีความผิดพลาด ไม่มีมลทินจากสามระดับแห่งธรรมชาติ พระองค์ทรงเป็นทิพย์” ทำนองเดียวกัน ในคัมภีร์พระเวทฉบับเดิม ข้อแตกต่างระหว่างดวงวิญญาณอภิวิญญาณ และร่างกายได้กล่าวไว้โดยเฉพาะใน คะทฺะ อุพะนิชัดฺ มีนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มากมายได้อธิบายไว้ และพะราชะระพิจารณาว่าเป็นบุคคลสำคัญในบรรดานักปราชญ์เหล่านี้
คำว่า ชัฺนโดบิฺฮฺ หมายถึง วรรณกรรมพระเวทต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ไททิรียะ อุพะนิชัดฺ ซึ่งแยกออกมาจาก ยะจุรเวดะฺ อธิบายถึงธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต และองค์ภควาน
ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า คเชทระฺ คือสนามแห่งกิจกรรม และมีสอง คเชทระ-กยะฺคือปัจเจกดวงชีวิต และดวงชีวิตสูงสุด ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ไททิรียะ อุพะนิชัดฺ (2.9) บระฮ- มะ พุชชัฺม พระทิชทฺาฺ มีปรากฎการณ์แห่งพลังงานขององค์ภควานเรียกว่า อันนะ-มะยะฺซึ่งขึ้นอยู่กับอาหารเพื่อดำรงอยู่ เช่นนี้เป็นความรู้แจ้งแห่งองค์ภควานทางวัตถุ จากนั้นใน พราณะ-มะยะฺ หลังจากรู้แจ้งสัจธรรมสูงสุดในอาหารเราสามารถรู้แจ้งสัจธรรมในอาการชีวิตหรือรูปลักษณ์ชีวิต ใน กยานะ-มะยะฺ การรู้แจ้งขยายไปสูงกว่าอาการชีวิตโดยมาถึงจุดแห่งความคิด ความรู้สึก และความเต็มใจ จากนั้นก็มีความรู้แจ้ง บระฮ มันฺ เรียกว่า วิกยานะ-มะยะ ซึ่งจิตใจและอาการชีวิตของสิ่งมีชีวิตแตกต่างไปจากตัวสิ่งมีชีวิตเอง ถัดไปเป็นระดับสูงสุดคือ อนันดะฺ-มะยะฺ รู้แจ้งแห่งธรรมชาติความปลื้มปีติสุขทั้งหมด ดังนั้น มีความรู้แจ้งแห่ง บระฮมันฺ ห้าระดับเรียกว่า บระฮมะ พุชชัฺมฺ ทั้งหมดนี้สามระดับแรก อันนะ-มะยะ, พราณะ-มะยะ, และกยานะ-มะยะฺ เกี่ยวข้องกับสนามแห่งกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตผู้ที่เป็นทิพย์เหนือสนามแห่งกิจกรรมทั้งหมดเหล่านี้คือ องค์ภควานสูงสุดซึ่งเรียกว่า อานันดะ-มะยะ, เวดานธะ-สูทระฺ ยังอธิบายถึงพระองค์ด้วยการกล่าวว่า อานันดะ-มะโย ่บฺยาสารทฺ องค์ภควานโดยธรรมชาติทรงเปี่ยมไปด้วยความรื่นเริงเพื่อเสวยสุขกับความสุขเกษมสำราญทิพย์ของพระองค์ พระองค์ทรงแบ่งแยกมาเป็น วิกยานะ-มะยะ, พราณะ-มะยะ, กยานะ-มะยะ และ อันนะ-มะยะฺ ในสนามแห่งกิจกรรม สิ่งมีชีวิตถือว่าเป็นผู้รื่นเริง ที่แตกต่างไปจากตัวเขาคือ อานันดะ-มะยะฺนั่นหมายความว่าหากสิ่งมีชีวิตตัดสินใจจะเสวยสุขด้วยการประสานตนเองกับ อานันดะ -มะยะฺ จะทำให้เขาสมบูรณ์ นี่คือภาพอันแท้จริงขององค์ภควานในฐานะที่เป็นผู้รู้สนามสูงสุด สิ่งมีชีวิตในฐานะที่เป็นผู้รู้ที่รองลงมา และธรรมชาติของสนามแห่งกิจกรรม เราต้องค้นหาความจริงนี้ใน เวดานธะ-สูทระฺ หรือ บระฮมะ-สูทระฺ
ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า การประมวล บระฮมะ-สูทระฺ ได้เรียบเรียงไว้อย่างดีตามเหตุและผล บาง สูทระฺ หรือคำพังเพยต่าง ๆ เช่น นะ วิยัด อัชรุเทฮฺ (2.3.2) นาทมา ชรุเทฮฺ (2.3.18) และพะราท ทุ ทัช-ชฺรุเทฮฺ (2.3.40) คำพังเพยแรกแสดงถึงสนามแห่งกิจกรรม คำพังเผยที่สองแสดงถึงสิ่งมีชีวิต และคำพังเผยที่สามแสดงถึงองค์ภควาน ผู้สูงสุดอย่างสมบูรณ์แบบในปรากฏการณ์ทั้งหลายแห่งชีวิตอันหลากหลาย
มะฮา-บํูทานิ อฮังคาโร
บุดดิฺร อัพยัคทัม เอวะ ชะฺ
อินดริยาณิ ดะไชคัม ชะ
พันชะ เชนดริยะ-โกชะราฮฺ
อิชชฺา ดเวชะฮ สุคัฺม ดุฮคัฺม
สังกฺาทัช เชทะนา ดฺริทิฮฺ
เอทัท คเชทรัม สะมาเสนะ
สะ-วิคารัม อุดาฮริทัมฺ
มะฮา-บํูทานิฺ - ธาตุที่ยิ่งใหญ่, อฮังคาระฮฺ - อหังการ, บุดดิฺฮฺ - ปัญญา, อัพยัคทัมฺ - ไม่ปรากฏ, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - เช่นกัน, อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัสต่าง ๆ, ดะชะ-เอคัมฺ - สิบเอ็ด, ชะฺ - เช่นกัน, พันชะฺ - ห้า, ชะฺ - เช่นกัน, อินดริยะ-โก-ชะราฮฺ - อายตนะภายนอก, อิชชฺาฺ - ความปรารถนา, ดเวชะฮฺ - ความเกลียด, สุคัฺมฺ - ความสุข, ดุฮคัฺมฺ - ความทุกข์, สังกฺาทะฮฺ - การรวมกัน, เชทะนาฺ - อาการแห่งชีวิต, ดฺริทิฮฺ - ความมั่นใจ, เอทัทฺ - ทั้งหมดนี้, คเชทรัมฺ - สนามแห่งกิจกรรม, สะมาเสนะฺ - โดยสรุป, สะ-วิคารัมฺ - มีผลกระทบซึ่งกันและกัน, อุดาฮริทัมฺ - ให้ตัวอย่างเพื่อแสดง
คำแปลฺ
ธาตุยิ่งใหญ่ทั้งห้า อหังการ ปัญญา สิ่งที่ไม่ปรากฏ ประสาทสัมผัสทั้งสิบและจิตใจ อายตนะภายนอกทั้งห้า ความต้องการ ความเกลียดชัง ความสุข ความทุกข์ ผลรวม อาการแห่งชีวิต และความมั่นใจ ทั้งหมดนี้โดยสรุปพิจารณาว่าเป็นสนามแห่งกิจกรรมและผลกระทบซึ่งกันและกันของมัน
คำอธิบายฺ
จากคำกล่าวของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชื่อถือได้ทั้งหลาย บทมนต์พระเวทและคำพังเพยของ เวดานธะ-สูทระฺ ในส่วนต่าง ๆ ของโลกนี้สามารถเข้าใจได้ดังนี้ก่อนอื่นมี ดิน น้ำ ไฟ ลมและอากาศเหล่านี้คือธาตุยิ่งใหญ่ทั้งห้า (มะฮา-บํูทะฺ) จากนั้นมีอหังการ ปัญญา และสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุในสภาวะที่ไม่ปรากฏ จากนั้นมีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่รับความรู้ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง จากนั้นมีประสาทสัมผัสที่ทำงานทั้งห้า คือ เสียง ขา มือ ทวารหนัก และอวัยวะสืบพันธุ์ จากนั้นที่เหนือไปกว่าประสาทสัมผัสมีจิตใจซึ่งอยู่ภายใน และอาจเรียกว่าประสาทสัมผัสภายใน ฉะนั้นเมื่อรวมจิตใจเข้าไปด้วยจะมีประสาทสัมผัสทั้งหมดสิบเอ็ด จากนั้นมีอายตนะภายนอกห้าคือ กลิ่น รส รูป สัมผัส และเสียง ตอนนี้ผลรวมของธาตุทั้งยี่สิบสี่นี้เรียกว่า สนามแห่งกิจกรรม หากผู้ใดทำการศึกษาวิเคราะห์ยี่สิบสี่สาขาวิชานี้เขาจะสามารถเข้าใจสนามแห่งกิจกรรมได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็มีความต้องการ ความเกลียดชัง ความสุขและความทุกข์ ซึ่งเป็นผลกระทบซึ่งกันและกัน และเป็นผู้แทนของธาตุยิ่งใหญ่ทั้งห้าในร่างกายอันหยาบ ลักษณะอาการของชีวิตแสดงออกมาทางจิตสำนึกและความมั่นใจ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของร่างที่ละเอียด เช่น จิตใจ อหังการ และปัญญา ธาตุอันละเอียดนี้รวมอยู่ในสนามแห่งกิจกรรม
ธาตุยิ่งใหญ่ทั้งห้าเป็นตัวแทนของอหังการ ซึ่งเป็นตัวแทนของระดับพื้นฐานของอหังการเรียกทางเทคนิคว่า แนวความคิดทางวัตถุหรือ ทามะสะ-บุดดิฺฺ หรือปัญญาในอวิชชา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นตัวแทนระดับที่ไม่ปรากฏของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ ระดับที่ไม่ปรากฏของธรรมชาติวัตถุเรียกว่า พระดานะฺ
ผู้ปรารถนาจะรู้ธาตุทั้งยี่สิบสี่โดยละเอียด พร้อมทั้งผลกระทบซึ่งกันและกันควรศึกษาปรัชญาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ภควัต-คีตาฺ นี้ให้ไว้แต่เพียงบทสรุปเท่านั้น
ร่างกายเป็นตัวแทนของปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ และมีการเปลี่ยนแปลงหกขั้นตอนคือ ร่างกายเกิดขึ้นมา เจริญเติบโต เป็นอยู่ชั่วขณะ สืบพันธุ์ จากนั้นเริ่มเสื่อมลงและในที่สุดก็สูญสลายไป ดังนั้น สนามจึงเป็นวัตถุที่ไม่ถาวร อย่างไรก็ดี คเชทระ-กยะฺผู้รู้สนามหรือตัวเจ้าของสนามนั้นแตกต่างกัน
อมานิทวัม อดัมบิฺทวัม
อฮิมสา คชานทิร อารจะวัมฺ
อาชาร โยพาสะนัม โชชัม
สไทรยัม อาทมะ-วินิกระฮะฮฺ
อินดริยารเทฺชุ ไวรากยัม
อนะฮังคาระ เอวะ ชะฺ
จันมะ-มริทยุ-จะรา-วิยาดิฺ
ดุฮคฺะ-โดชานุดารชะนัมฺ
อสัคทิร อนะบิฺชวังกะฮ
พุทระ-ดาระ-กริฮาดิชฺุ
นิทยัม ชะ สะมะ-ชิททัททวัม
อิชทานิชโทพะพัททิชฺุ
มะยิ ชานันยะ-โยเกนะ
บัฺคธิร อัพยะบิฺชาริณีฺ
วิวิคทะ-เดชะ-เสวิทวัม
อระทิร จะนะ-สัมสะดิฺ
อัดฺยาทมะ-กยานะ-นิทยัทวัม
ทัททวะ-กยานารทฺะ-ดารชะนัมฺ
เอทัจ กยานัม อิทิ โพรคทัม
อกยานัม ยัด อโท ่นยะทฺาฺ
อมานิทวัมฺ - การถ่อมตน, อดัมบิฺทวัมฺ - ไม่หยิ่งยะโส, อฮิมสาฺ - ไม่เบียดเบียน, คชานทิฮฺ - อดทน, อารจะวัมฺ - เรียบง่าย, อาชารยะ-อุพาสะนัมฺ - เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้มีความจริงใจ, โชชัมฺ - ความสะอาด, สไทฺรยัมฺ - ความมั่นคง, อาทมะ-วินิกระฮะฮฺ - ควบคุมตนเองได้, อินดริยะ-อารเทฺชฺุ - ในเรื่องของประสาทสัมผัสต่าง ๆ, ไวรากยัมฺ - การเสียสละ, อนะ ฮังคาระฮฺ - ไม่มีอหังการ, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - เช่นกัน, จันมะฺ - แห่งการเกิด, มริทยฺุ - การตาย, จะราฺ - ความชรา, วิยาดิฺฺ - และโรคภัยไข้เจ็บ, ดุฮคฺะฺ - แห่งความทุกข์, โดชะฺ - ความผิด, อนุดารชะนัมฺ - การสังเกต, อสัคทิฮฺ - ไม่ยึดติด, อนะบิฺชวังกะฮฺ - ไม่คบหาสมาคม, พุทระฺ - สำหรับบุตร, ดาระฺ - ภรรยา, กริฮะ-อาดิชฺุ - บ้าน ฯลฯ, นิทยัมฺ - เสมอ, ชะฺ - เช่นกัน, สะมะ-ชิทัทวัมฺ - เสมอภาค, อิชทะฺ - สิ่งที่ต้องการ, อนิชทะฺ - และสิ่งที่ไม่ต้องการ, อุพะพัท ทิชฺุ - ได้รับ, มะยิฺ - แด่ข้า, ชะฺ - เช่นกัน, อนันยะ-โยเกนะฺ - ด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์, บัฺคธิฮฺ - การอุทิศตนเสียสละ, อัพยะบิฺชาริณีฺ - ไม่ขาดตอน, วิวิคทะฺ - สันโดษ, เดชะฺ - สถานที่, เสวิทวัมฺ - ปรารถนา, อระทิฮฺ - ไม่ยึดติด, จะนะ-สัมสะดิฺ - ต่อผู้คนโดยทั่วไป, อัดฺยาทมะฺ - เกี่ยวกับชีวิต, กยานะฺ - ในความรู้, นิทยัทวัมฺ - เสมอ, ทัททวะ-กยานะฺ - ความรู้แห่งสัจจะ, อารทฺะฺ - เพื่อจุดมุ่งหมาย, ดารชะนัมฺ - ปรัชญา, เอทัทฺ - ทั้งหมดนี้, กยา นัมฺ - ความรู้, อิทิฺ - ดังนั้น, โพรคทัมฺ - ประกาศ, อกยานัมฺ - อวิชชา, ยัทฺ - ซึ่ง, อทะฮฺ - จากนี้, อันยะทฺาฺ - ผู้อื่น
คำแปลฺ
ถ่อมตน ไม่หยิ่งยะโส ไม่เบียดเบียน อดทน เรียบง่าย เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้ สะอาด มั่นคง ควบคุมตนเองได้ ละทิ้งอายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส ปราศจากอหังการ มองเห็นโทษภัยแห่งการเกิด แก่ เจ็บ และตาย ไม่ยึดติด เป็นอิสระจากพันธนาการกับลูกหลาน ภรรยา บ้าน ฯลฯ เสมอภาคท่ามกลางเหตุการณ์ที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ อุทิศตนเสียสละแก่ข้าด้วยความบริสุทธิ์ สม่ำเสมอ ปรารถนาอยู่ในสถานที่สันโดษ ไม่ยึดติดกับฝูงชนโดยทั่วไป ยอมรับความสำคัญในการรู้แจ้งแห่งตน และแสวงหาสัจธรรมทางปรัชญาข้าประกาศว่าทั้งหมดนี้คือความรู้ อะไรที่นอกเหนือไปจากนี้คืออวิชชา
คำอธิบายฺ
วิธีการแห่งความรู้นี้บางครั้งมนุษย์ผู้ด้อยปัญญาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลกระทบซึ่งกันและกันของสนามแห่งกิจกรรม แต่อันที่จริงนี่คือวิธีการที่แท้จริงแห่งความรู้ หากเรายอมรับวิธีการนี้ ความเป็นไปได้ในการเข้าพบสัจธรรมก็บังเกิดขึ้น นี่ไม่ใช่ผลกระทบซึ่งกันและกันของยี่สิบสี่ธาตุ ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว อันที่จริงนี่คือวิถีทางที่จะออกไปจากพันธนาการของธาตุเหล่านี้ วิญญาณในร่างติดกับอยู่ในร่างกายซึ่งเป็นกล่องที่ทำด้วยธาตุทั้งยี่สิบสี่ ได้อธิบายไว้ ณ ที่นี้ว่า วิธีการแห่งความรู้เป็นหนทางเพื่อที่จะออกไปจากมัน วิธีการแห่งความรู้ที่กล่าวมาทั้งหมด จุดสำคัญที่สุดได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรกของโศลกสิบเอ็ด มะยิ ชานันยะ-โยเกนะ บัฺคธิร อัพยะบิฺชาริณีฺ วิธีการแห่งความรู้สิ้นสุดลงที่การอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ฉะนั้น หากเราเข้าไปไม่ถึงหรือไม่สามารถเข้าถึงการรับใช้ทิพย์แห่งองค์ภควาน อีกสิบเก้ารายการก็ไม่มีคุณค่าใด ๆ แต่ถ้าหากเรารับเอาการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกมาปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ อีกสิบเก้ารายการจะพัฒนาขึ้นภายในตัวเราโดยปริยายดังที่ได้กล่าวไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (5.18.12) ยัสยาสทิ บัฺคธิร บฺะกะวะทิ อคินชะนา สารไวร กุไณส ทะทระ สะมาสะเท สูราฮฺ คุณสมบัติดี ๆ ทั้งหลายแห่งความรู้ พัฒนาในบุคคลที่บรรลุถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ หลักการในการยอมรับพระอาจารย์ทิพย์ ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกแปดนั้นสำคัญมาก แม้สำหรับผู้ที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อยู่ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ชีวิตทิพย์เริ่มจากที่เรายอมรับพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้ องค์ภควานชรีคริชณะตรัสอย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า วิธีการแห่งความรู้นี้คือวิถีทางที่แท้จริง สิ่งใดที่คาดคะเนนอกเหนือไปจากนี้เป็นสิ่งไร้สาระ
สำหรับความรู้ที่สรุปไว้นี้อาจวิเคราะห์ตามรายการได้ดังนี้ การถ่อมตนหมายความว่าเราไม่ควรกระตือรือร้นที่จะได้รับความพึงพอใจในการได้รับเกียรติจากผู้อื่น แนวความคิดทางชีวิตวัตถุทำให้เรากระตือรือร้นมากที่จะได้รับเกียรติจากผู้อื่นแต่จากสายตาของผู้มีความรู้ที่สมบูรณ์ ผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่ร่างกายนี้ ไม่ว่าจะได้เกียรติหรือเสียเกียรติที่เกี่ยวกับร่างกายนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เราไม่ควรทะเยอทะยานอยากได้ภาพลวงตาทางวัตถุนี้ ผู้คนกระตือรือร้นมากที่จะมีชื่อเสียงเพื่อศาสนาของตน ดังนั้นบางครั้งจะพบว่าแม้ปราศจากความเข้าใจหลักธรรมแห่งศาสนา เราเข้าไปร่วมกับบางกลุ่มซึ่งอันที่จริงมิได้ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา และต้องการโฆษณาตนเองว่าเป็นผู้ให้คำแนะนำทางศาสนา สำหรับความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์อย่างแท้จริง ควรตรวจสอบว่าตัวเราเจริญก้าวหน้าไปมากเพียงใด ซึ่งสามารถพิจารณาตามรายการดังต่อไปนี้
การไม่เบียดเบียน โดยทั่วไปคิดว่าหมายความถึงไม่ฆ่าหรือไม่ทำลายร่างกายแต่อันที่จริง การไม่เบียดเบียนหมายความถึงไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์ ผู้คนโดยทั่วไปติดกับอยู่ในอวิชชา อยู่ในแนวคิดชีวิตทางวัตถุ และได้รับความเจ็บปวดทางวัตถุตลอดเวลา เราจะเป็นผู้เบียดเบียนหากเราไม่พัฒนาความรู้ทิพย์ให้พวกเขา เราควรพยายามอย่างดีที่สุดในการแจกจ่ายความรู้อันแท้จริงแก่ผู้อื่น เพื่ออาจได้รับแสงสว่างและหลุดออกไปจากพันธนาการทางวัตถุนี้ นี่คือการไม่เบียดเบียน
ความอดทน หมายความว่าเราควรฝึกความอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่น หากเราปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้าแห่งความรู้ทิพย์ จะโดนดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่นมากมาย เช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าเป็นองค์ประกอบของธรรมชาติวัตถุ แม้แต่เด็กน้อยเช่นพระฮลาดะมีอายุเพียงห้าขวบ ปฏิบัติในการพัฒนาความรู้ทิพย์ ยังได้รับอันตรายเมื่อบิดาของตนเองมาเป็นปรปักษ์ต่อการอุทิศตนเสียสละของพระฮลาดะ บิดาพยายามฆ่าบุตรน้อยด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่พระฮลาดะก็ยังอดทนดังนั้น อาจมีอุปสรรคกีดขวางมากมายในการที่จะเจริญก้าวหน้าในความรู้ทิพย์ แต่เราต้องอดทนและก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่องด้วยความมั่นใจ
ความเรียบง่าย หมายความว่าไม่มีชั้นเชิงทางการทูต เราควรปฏิบัติตนอย่างตรงไปตรงมาจนสามารถเปิดเผยความจริงใจให้แม้กระทั่งศัตรู ในเรื่องการยอมรับพระอาจารย์ทิพย์ เรื่องนี้สำคัญเพราะว่าหากปราศจากคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เราจะไม่สามารถเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์ เราควรเข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยประการทั้งปวงและถวายการรับใช้ต่าง ๆ เพื่อให้ท่านยินดีและให้พรแก่สาวก เนื่องจากพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เป็นผู้แทนคริชณะหากท่านให้พรแก่สาวกจะทำให้สาวกเจริญก้าวหน้าทันที แม้สาวกยังไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม หลักธรรมจะเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับผู้ที่รับใช้พระอาจารย์ทิพย์อย่างเต็มที่
ความสะอาด มีความสำคัญเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ มีความสะอาดอยู่สองอย่างคือ ภายนอกและภายใน ความสะอาดภายนอกคือการอาบน้ำ แต่สำหรับความสะอาดภายใน เราต้องระลึกถึงคริชณะอยู่เสมอ และสวดภาวนา ฮะเร คริชณะฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเรฮะเร วิธีนี้จะชะล้างฝุ่นแห่งกรรมเก่าในอดีตที่สะสมอยู่ภายในจิตใจ
ความมั่นคง หมายความว่าเราควรมั่นใจ เราควรมีความมุ่งมั่นมากที่จะเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ หากปราศจากความมุ่งมั่นเช่นนี้ เราจะไม่สามารถทำความเจริญก้าวหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม การควบคุมตนเองหมายความว่า เราไม่ควรยอมรับสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อหนทางเพื่อความก้าวหน้าในวิถีทิพย์ เราควรคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ และปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดต่อวิถีทางเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ นี่คือการเสียสละที่แท้จริง ประสาทสัมผัสนั้นแข็งแกร่งมากจะคอยกระตุ้นเพื่อให้เราสนองความต้องการของมันอยู่ตลอดเวลา เราไม่ควรสนองตอบความต้องการที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ ประสาทสัมผัสควรได้รับการสนองตอบเพียงเพื่อรักษาร่างกายนี้ให้พอเหมาะ เพื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้เจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ ประสาทสัมผัสที่สำคัญและควบคุมยากที่สุดคือลิ้น หากเราสามารถควบคุมลิ้นของเราได้ก็เป็นไปได้ที่จะควบคุมประสาทสัมผัสอื่น ๆ หน้าที่ของลิ้นคือรับรสและเปล่งเสียง ฉะนั้น ด้วยการควบคุมอย่างเป็นระบบลิ้นควรใช้ในการรับรสอาหารที่เป็นส่วนเหลือหลังจากถวายให้คริชณะ และสวดภาวนา ฮะเร คริชณะ อยู่เสมอ สำหรับดวงตาไม่ควรปล่อยให้ดูสิ่งอื่นใดนอกจากรูปลักษณ์อันสง่างามของคริชณะ เช่นนี้คือการควบคุมดวงตา ในทำนองเดียวกัน หูควรใช้ไปในการสดับฟังเกี่ยวกับคริชณะ และจมูกควรดมกลิ่นดอกไม้ที่ถวายให้คริชณะ นี่คือวิธีการอุทิศตนเสียสละรับใช้ และเป็นที่เข้าใจ ณ ที่นี้ว่า ภควัต-คีตาฺ เพียงแต่ส่งเสริมศาสตร์แห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้เท่านั้น การอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นจุดมุ่งหมายหลัก และเป็นจุดมุ่งหมายเดียว นักตีความ ภควัต-คีตาฺ ผู้ด้อยปัญญาพยายามเบี่ยงเบนจิตใจของผู้อ่านไปในประเด็นอื่น แต่ ภควัต-คีตาฺ ไม่มีประเด็นอื่นใด นอกจาการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่านั้น
อหังการ หมายถึงการยอมรับร่างกายนี้ว่าเป็นตนเอง เมื่อเราเข้าใจว่าตัวเราไม่ใช่ร่างกายนี้ แต่เป็นจิตวิญญาณ เท่ากับเราเข้าใจตนเองหรือสำคัญตนเองอย่างถูกต้อง การสำคัญตนเองนั้นมีอยู่ การสำคัญตนเองที่ผิดหรือมีอหังการควรถูกยกเลิกและควรสำคัญตนเองให้ถูกต้อง ในวรรณกรรมพระเวท (บริฮัด-อารัณยะคะ อุพะ- นิชัดฺ 1.4.10) กล่าวไว้ว่า อฮัม บระฮมาสมิฺ ข้าคือ บระฮมันฺ ข้าคือดวงวิญญาณ คำว่า “ข้าคือ” นี้มีความหมายถึงตัวเองและจะมีอยู่แม้ในระดับที่หลุดพ้นในความรู้แจ้งแห่งตนแล้ว ความรู้สึกว่า “ข้าคือ” คือการสำคัญตัว แต่เมื่อความรู้สึกว่า “ข้าคือ” ใช้กับร่างกายที่ผิดนี้จึงเป็นอหังการหรือการสำคัญตัวผิด เมื่อความรู้สึกแห่งตัวเองใช้กับความเป็นจริง นั่นเป็นการสำคัญตัวที่ถูกต้องอย่างแท้จริง มีนักปราชญ์บางคนกล่าวว่าเราควรยกเลิกการสำคัญตัวของเรา แต่เราไม่สามารถยกเลิกการสำคัญตัวของเราได้เพราะว่าการสำคัญตัวหมายถึงบุคลิกลักษณะ แน่นอนว่าเราควรยกเลิกบุคลิกลักษณะที่ผิดแห่งร่างกาย
เราควรพยายามเข้าใจความทุกข์ในการยอมรับการเกิด การตาย ความแก่ และโรคภัยไข้เจ็บ มีคำอธิบายในวรรณกรรมพระเวทมากมายเกี่ยวกับการเกิด ใน ชรีมัด- บฺากะวะธัมฺ ซึ่งเป็นโลกที่ไม่มีการเกิด ได้อธิบายถึงทารกน้อยที่อยู่ในครรภ์มารดาและความทุกข์ทรมานของเด็กน้อย ฯลฯ อย่างเห็นภาพได้ชัด เราควรเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การเกิดเป็นความทุกข์ เนื่องจากลืมไปว่าเราได้รับความทุกข์และเจ็บปวดมากเพียงใดขณะอยู่ในครรภ์มารดา เราจึงไม่หาทางออกจากการเกิดและการตายซ้ำซาก ในลักษณะเดียวกัน ขณะตายก็มีความทุกข์ทรมานมากมาย ซึ่งได้อธิบายไว้ในพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้เช่นกัน ประเด็นเหล่านี้ควรนำมาปรึกษากัน สำหรับโรคภัยไข้เจ็บและความชราภาพทุก ๆ คนมีประสบการณ์ ไม่มีผู้ใดต้องการโรคภัยไข้เจ็บและไม่มีผู้ใดต้องการความชราภาพ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้นอกจากเรามองเห็นชีวิตวัตถุในแง่ร้ายและพิจารณาเห็นความทุกข์ทรมานในการเกิด การตาย ความแก่ และความเจ็บ มิฉะนั้นจะไม่มีแรงกระตุ้นเพื่อทำความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์
สำหรับการไม่ยึดติดกับลูกหลาน ภรรยา และบ้าน มิได้หมายความว่าเราไม่ควรมีความรู้สึกใด ๆ เลย บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่เราให้ความรัก ผู้ที่เรารักและเอ็นดูโดยธรรมชาติ แต่ถ้าหากไม่เอื้ออำนวยกับความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ เราก็ไม่ควรยึดติด วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้บ้านมีความสุขคือมีคริชณะจิตสำนึก หากอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ จะสามารถทำให้บ้านของเรามีความสุขมาก เนื่องจากวิธีแห่งคริชณะจิตสำนึกนี้ง่ายมาก เราเพียงแต่สวดภาวนา ฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะคริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร รับประทานอาหารที่เหลือหลังจากถวายให้คริชณะ สนทนาเกี่ยวกับหนังสือ ภควัต-คีตาฺ และ ชรีมัด- บฺากะวะธัมฺ และปฏิบัติบูชาพระปฏิมา สี่ประการนี้จะทำให้เรามีความสุข เราควรฝึกฝนสมาชิกในครอบครัว ดังนั้น สมาชิกในครอบครัวสามารถนั่งรวมกันในตอนเช้าและตอนเย็น แล้วสวดภาวนา ฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร / ฮะเรรามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร ด้วยกัน หากสามารถหล่อหลอมชีวิตครอบครัวของเราเช่นนี้ เพื่อพัฒนาคริชณะจิตสำนึก และปฏิบัติตามหลักธรรมสี่ประการนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนจากชีวิตครอบครัวมาเป็นสันนยาสี หรือผู้สละโลก แต่หากไปด้วยกันไม่ได้หรือไม่เอื้ออำนวยต่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ ชีวิตครอบครัวก็ควรจะสละทิ้ง เราต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรู้แจ้งหรือรับใช้คริชณะ เหมือนกับที่อารจุนะปฏิบัติ อารจุนะทรงไม่ปรารถนาสังหารสมาชิกในครอบครัว แต่เมื่อเข้าใจว่าสมาชิกในครอบครัวเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความรู้แจ้งแห่งคริชณะ ท่านจึงยอมรับคำสั่งสอน ของคริชณะ ลุกขึ้นต่อสู้และสังหารพวกเขา ในทุก ๆ กรณี เราไม่ควรยึดติดกับทั้งความสุขอย่างสมบูรณ์หรือความทุกข์ในชีวิตครอบครัว เพราะว่าในโลกนี้เราไม่สามารถมีความสุขอย่างสมบูรณ์หรือมีความทุกข์อย่างบริบูรณ์ได้
ความสุขและความทุกข์เป็นของคู่กันกับชีวิตวัตถุ เราควรฝึกฝนความอดทนดังที่ได้แนะนำไว้ใน ภควัต-คีตาฺ เราไม่สามารถห้ามไม่ให้ความสุขและความทุกข์ไปหรือมาได้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรยึดติดกับวิถีชีวิตทางวัตถุ และมีความเสมอภาคกับทั้งสองกรณีโดยปริยาย โดยทั่วไปเมื่อได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราปรารถนา เราจะมีความสุขมาก และเมื่อได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ปรารถนาเราก็จะมีความทุกข์แต่ถ้าหากว่าเราอยู่ในสถานภาพทิพย์จริง สิ่งเหล่านี้จะไม่รบกวนจิตใจเรา ในการบรรลุถึงระดับนี้ เราต้องฝึกปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้โดยไม่ขาดตอน การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อคริชณะโดยไม่เบี่ยงเบนหมายถึงปฏิบัติตนในเก้าวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้คือการสวดภาวนา การสดับฟัง การบูชา การถวายความเคารพ ฯลฯ ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกสุดท้ายของบทที่เก้า วิธีนี้เราควรปฏิบัติตาม
โดยธรรมชาติเมื่อเราปรับตัวกับวิถีชีวิตทิพย์ เราจะไม่ต้องการไปมั่วสุมกับนักวัตถุนิยม เพราะจะเป็นการสวนทางกัน เราอาจทดสอบตัวเองว่า มีแนวโน้มที่จะอยู่อย่างสันโดษมากเพียงไรโดยไม่คบหาสมาคมกับผู้ไม่พึงปรารถนา โดยธรรมชาติสาวกไม่ชอบกีฬาหรือไปโรงภาพยนตร์โดยไม่จำเป็น หรือหรรษาไปกับงานรื่นเริงทางสังคม เพราะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเสียเวลา มีนักวิชาการและนักปราชญ์มากมายที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตเพศสัมพันธ์หรือประเด็นอื่น ๆ แต่ตาม ภควัต-คีตาฺ งานศึกษาวิจัยและคาดคะเนทางปรัชญาเหล่านี้ไม่มีคุณค่าใด ๆ เลย เป็นสิ่งที่ไร้สาระทั้งสิ้น ตาม ภควัต- คีตาฺ เราควรศึกษาวิจัยด้วยการใคร่ครวญพิจารณาทางปรัชญาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับธรรมชาติของดวงวิญญาณ เราควรค้นคว้าเพื่อให้เข้าใจดวงชีวิต นี่คือคำแนะนำ ณ ที่นี้
สำหรับความรู้แจ้งแห่งตนได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า ภักดี-โยคะฺ ปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมได้โดยเฉพาะ ทันทีที่มีคำถามเกี่ยวกับการอุทิศตนเสียสละ เราต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณ ปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณไม่สามารถเป็นหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่แนวคิดของ บัฺคธิฺ หรือแนวคิดแห่งการอุทิศตนเสียสละของชีวิต การรับใช้ของปัจเจกวิญญาณต่ออภิวิญญาณผู้สูงสุดเป็นอมตะ นิทยัมฺ ดังที่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น บัฺคธิฺ หรือการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นอมตะ เราควรสถิตอย่างมั่นใจในปรัชญาเช่นนั้น
ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (1.2.11)อธิบายไว้ดังนี้ วะดันทิ ทัท ทัททวะ-วิดัส ทัทท วัม ยัจ กยานัม อัดวะยัมฺ “พวกที่เป็นผู้รู้สัจธรรมโดยแท้จริง รู้ว่าองค์ภควานทรงรู้แจ้งได้ในสามระดับที่ไม่เหมือนกันคือ บระฮมัน พะระมาทมาฺ และบฺะกะวานฺ” บฺะกะวานฺ เป็นคำสุดท้ายแห่งการรู้แจ้งสัจธรรม ฉะนั้น เราควรมาถึงระดับแห่งการเข้าใจองค์ภควานและปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์ นั่นคือความสมบูรณ์แห่งความรู้
เริ่มต้นจากการฝึกปฏิบัติความอ่อนน้อมถ่อมตนจนมาถึงจุดแห่งการรู้แจ้งสัจธรรมสูงสุด องค์ภควานผู้สมบูรณ์ วิธีนี้เหมือนกับขั้นบันได เริ่มต้นจากพื้นฐานขั้นแรกและขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุด บนขั้นบันไดนี้มีหลายคนที่มาถึงชั้นหนึ่ง ชั้นสอง หรือชั้นสาม ฯลฯ แต่นอกจากเรามาถึงชั้นสูงสุดซึ่งเป็นการเข้าใจคริชณะ มิฉะนั้น เรายังอยู่ในความรู้ระดับที่ต่ำ หากผู้ใดต้องการแข่งขันกับองค์ภควาน และในขณะเดียวกันพยายามเจริญก้าวหน้าในความรู้ทิพย์ จะไม่สมหวัง ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า หากปราศจากความอ่อนน้อมถ่อมตนจะไม่มีทางเข้าใจ การคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าเป็นการผยองที่สุด ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตถูกกฎอันเหนียวแน่นแห่งธรรมชาติวัตถุเตะอยู่ตลอดเวลา เรายังคิดว่า “ข้าคือพระเจ้า” เนื่องมาจากอวิชชา ฉะนั้น จุดเริ่มต้นของความรู้คือ อมานิทวะฺหรือความอ่อนน้อมถ่อมตน เราควรถ่อมตนและรู้ว่าตัวเราต่ำกว่าองค์ภควาน เนื่องจากฝ่าฝืนพระองค์ เราจึงต้องมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของธรรมชาติวัตถุ เราควรรู้และมั่นใจความจริงเช่นนี้
กเยยัม ยัท ทัท พระวัคชยามิ
ยัจ กยาทวามริทัม อัชนุเทฺ
อนาดิ มัท-พะรัม บระฮมะ
นะ สัท ทัน นาสัด อุชยะเทฺ
กเยยัมฺ - สิ่งควรรู้, ยัทฺ - ซึ่ง, ทัทฺ - นั้น, พระวัคชยามิฺ - บัดนี้ข้าจะอธิบาย, ยัทฺ - ซึ่ง, กยา ทวาฺ - รู้, อมริทัมฺ - น้ำทิพย์, อัชนุเทฺ - เขาได้รับรส, อนาดิฺ - ไม่มีจุดเริ่มต้น, มัท-พะรัมฺ - เป็นรองข้า, บระฮมะฺ - วิญญาณ, นะฺ - ไม่, สัทฺ - เหตุ, ทัทฺ - นั้น, นะฺ - ไม่, อสัทฺ - ผล, อุชยะเทฺ - กล่าวไว้ว่า
คำแปลฺ
บัดนี้ ข้าจะอธิบายถึงสิ่งที่ควรรู้ เมื่อรู้แล้วเธอจะได้รับรสอมตะว่า บระฮมัน หรือดวงวิญญาณไม่มีจุดเริ่มต้น เป็นรองข้า อยู่เหนือเหตุและผลของโลกวัตถุนี้
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงอธิบายถึงสนามแห่งกิจกรรม และผู้รู้สนาม พระองค์ยังได้อธิบายถึงวิธีการเพื่อรู้ผู้รู้สนามแห่งกิจกรรม บัดนี้ทรงเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่ควรรู้ ครั้งแรกทรงอธิบายถึงดวงวิญญาณ จากนั้นอธิบายถึงอภิวิญญาณ ด้วยความรู้ของผู้รู้ทั้งดวงวิญญาณและอภิวิญญาณ ทำให้เราสามารถได้รับรสน้ำทิพย์แห่งชีวิต ดังที่ได้อธิบายไว้ในบทที่สองว่า สิ่งมีชีวิตเป็นอมตะ ได้ยืนยันไว้ ณ ที่นี้ โดยเฉพาะเช่นกันว่า จีวะฺ ไม่มีวันเกิด และไม่มีผู้ใดสามารถสืบร่องรอยประวัติศาสตร์การปรากฏออกมาของ จีวาทมาฺจากองค์ภควาน ดังนั้น จีวะฺ จึงไม่มีจุดเริ่มต้น วรรณกรรมพระเวทได้ยืนยันว่า นะ จายะ เท มริยะเท วา วิพัชชิทฺ (คะทฺะ อุพะนิชัดฺ 1.2.18) ผู้รู้ร่างกายไม่เคยเกิด ไม่เคยตาย และเปี่ยมไปด้วยความรู้
ได้กล่าวไว้ในวรรณกรรมพระเวท (ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ 6.16) ว่าองค์ภควานในฐานะอภิวิญญาณทรงเป็น พระดฺานะ-คเชทระกยะ-พะทิร กุเณชะฮฺ ผู้รู้สูงสุดของร่างกาย และเป็นเจ้านายของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ ใน สมริทิฺ ได้กล่าวไว้ว่า ดาสะ-บํูโทฮะเรร เอวะ นานยัสไววะ คะดาชะนะฺ สิ่งมีชีวิตเป็นผู้รับใช้องค์ภควานนิรันดรองค์เชธันญะทรงยืนยันในคำสอนของพระองค์เช่นกัน ฉะนั้น คำว่า บระฮมันฺ ที่กล่าวไว้ในโศลกนี้สัมพันธ์กับปัจเจกวิญญาณ และเมื่อคำว่า บระฮมันฺ ใช้กับสิ่งมีชีวิต เข้าใจได้ว่าเขาคือ วิกยานะ-บระฮมะฺ ซึ่งตรงข้ามกับ อานันดะ-บระฮมะ, อานันดะ-บระฮมะฺ คือ บระฮมันฺ สูงสุดองค์ภควาน
สารวะทะฮ พาณิ-พาดัม ทัท
สารวะโท ่คชิ-ชิโร-มุคัฺมฺ
สารวะทะฮ ชรุทิมัล โลเค
สารวัม อาพริทยะ ทิชทฺะทิฺ
สารวะทะฮฺ - ทุกหนทุกแห่ง, พาณิฺ - พระกร, พาดัมฺ - เพระเพลา, ทัทฺ - นั้น, สารวะทะฮฺ - ทุกหนทุกแห่ง, อัคชิฺ - พระเนตร, ชิระฮฺ - พระเศียร, มุคัฺมฺ - พระพักตร์, สารวะทะฮฺ - ทุกหนทุกแห่ง, ชรุทิ-มัทฺ - พระกรรณ, โลเคฺ - ในโลก, สารวัมฺ - ทุกสิ่ง, อาพริทยะฺ - ปกคลุม, ทิชทฺะทิฺ - เป็นอยู่
คำแปลฺ
ทุกแห่งหนเป็นพระกรและพระเพลาของพระองค์ พระเนตร พระเศียร และพระพักตร์ของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระกรรณอยู่ทุกหนทุกแห่ง องค์อภิวิญญาณทรงเป็นเช่นนี้ ทรงแผ่กระจายอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง
คำอธิบายฺ
เสมือนดังดวงอาทิตย์ที่แผ่กระจายรัศมีของตนเองไปโดยไม่มีขีดจำกัด อภิวิญญาณหรือองค์ภควานก็เช่นเดียวกัน ทรงมีรูปลักษณ์ที่แผ่กระจายไปทั่ว และปัจเจกชีวิตทั้งหมดอยู่ในพระองค์ เริ่มต้นจากปฐมบรมครูคือ พระพรหม ลงมาจนถึงมดตัวเล็กๆ มีพระเศียร พระเพลา พระกร และพระเนตรนับจำนวนไม่ถ้วน และมีสิ่งมีชีวิตนับจำนวนไม่ถ้วน ทั้งหมดอยู่ทั้งภายในและบนอภิวิญญาณ ฉะนั้น อภิวิญญาณทรงแผ่กระจายไปทั่ว อย่างไรก็ดี ปัจเจกวิญญาณไม่สามารถกล่าวได้ว่า ตนเองมีมือ มีขาและมีตาอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากภายใต้อวิชชาโดยไม่รู้สึกตัว คิดว่ามือและขาของตนแผ่กระจายไปทั่ว ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อได้รับความรู้ที่ถูกต้อง ก็จะมาถึงระดับที่เข้าใจว่าความคิดของตนเองขัดแย้งกัน เช่นนี้หมายความว่า ปัจเจกวิญญาณผู้มาอยู่ภายใต้สภาวะของธรรมชาติวัตถุ มิใช่เป็นผู้สูงสุด องค์ภควานไม่เหมือนกับปัจเจกวิญญาณพระองค์ทรงสามารถยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกไปโดยไร้เขตจำกัด ปัจเจกวิญญาณจะทำไม่ได้ ใน ภควัต-คีตาฺ พระองค์ตรัสว่า หากผู้ใดถวายดอกไม้ ผลไม้ หรือน้ำเพียงเล็กน้อยแด่พระองค์ พระองค์จะทรงรับไว้ หากพระองค์ทรงอยู่ไกลมาก แล้วจะสามารถรับสิ่งของไว้ได้อย่างไร? นี่คือพระเดชของพระองค์ ถึงแม้ว่าจะทรงสถิตที่พระตำหนักซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกนี้มาก ยังทรงสามารถยื่นพระหัตถ์มารับสิ่งของที่เราถวาย นั่นคือพระเดชขององค์ภควาน ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ (5.37) กล่าวไว้ว่า โกโลคะ เอวะ นิวะสะทิ อคิฺลาทมะ-บํูทะฮฺ แม้ว่าทรงแสดงลีลาอยู่ในโลกทิพย์เสมอ พระองค์ยังทรงแผ่กระจายไปทั่ว ปัจเจกวิญญาณไม่สามารถอ้างว่าตนเองแผ่กระจายไปทั่ว ดังนั้น โศลกนี้ได้อธิบายถึงดวงวิญญาณสูงสุดซึ่งเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ไม่ใช่ปัจเจกวิญญาณ
สารเวนดริยะ-กุณาบฺาสัม
สารเวนดริยะ-วิวารจิทัมฺ
อสัคทัม สารวะ-บฺริช ไชวะ
นิรกุณัม กุณะ-โบฺคทริ ชะฺ
สารวะฺ - ทั้งหมด, อินดริยะฺ - ประสาทสัมผัส, กุณะฺ - ของคุณสมบัติ, อาบฺาสัมฺ - แหล่งกำเนิดเดิม, สารวะฺ - ทั้งหลาย, อินดริยะฺ - ประสาทสัมผัส, วิวารจิทัมฺ - ปราศจาก, อสัค ทัมฺ - ไม่ยึดติด, สารวะฺ - บฺริทฺ - ผู้ค้ำจุนทุกคน, ชะฺ - เช่นกัน, เอวะฺ - แน่นอน, นิรกุณัมฺ - ไม่มีคุณสมบัติทางวัตถุ, กุณะ-โบฺคทริฺ - เจ้านายของกุณะ, ชะฺ - เช่นกัน
คำแปลฺ
องค์อภิวิญญาณทรงเป็นแหล่งกำเนิดเดิมของประสาทสัมผัสทั้งหมด ถึงกระนั้นพระองค์ทรงไม่มีประสาทสัมผัส ทรงไม่ยึดติด ถึงแม้ว่าทรงเป็นผู้ค้ำจุนมวลชีวิตพระองค์ทรงเป็นทิพย์อยู่เหนือระดับธรรมชาติ และในขณะเดียวกันทรงเป็นเจ้านายของระดับแห่งธรรมชาติวัตถุทั้งหมด
คำอธิบายฺ
องค์ภควานถึงแม้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของประสาทสัมผัสทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต พระองค์ทรงไม่มีประสาทสัมผัสวัตถุเหมือนพวกเรา อันที่จริงปัจเจกวิญญาณมีประสาทสัมผัสทิพย์ แต่ในพันธชีวิต พวกเราถูกปกคลุมด้วยธาตุวัตถุต่าง ๆ ดังนั้นกิจกรรมของประสาทสัมผัสแสดงออกผ่านทางวัตถุ ประสาทสัมผัสขององค์ภควานไม่ถูกปกคลุม ประสาทสัมผัสของพระองค์ทรงเป็นทิพย์ ฉะนั้น จึงเรียกว่า นิรกุณะ, กุณะฺหมายความถึงระดับวัตถุ แต่ประสาทสัมผัสของพระองค์ทรงไม่ถูกวัตถุปกคลุม ควรเข้าใจว่าประสาทสัมผัสของพระองค์ไม่เหมือนกับของพวกเรา ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งกิจกรรมทางประสาทสัมผัสของพวกเราทั้งหมด พระองค์ทรงมีประสาทสัมผัสทิพย์ซึ่งไม่มีวันเป็นมลทิน ได้อธิบายไว้อย่างสวยงามใน ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ (3.19) โศลก อพานิ-พาโด จะวะโน กระฮีทาฺ องค์ภควานทรงไม่มีพระกรที่แปดเปื้อนมลทินทางวัตถุ แต่พระองค์ทรงมีพระกรและทรงรับเครื่องบวงสรวงที่ถวายให้พระองค์ นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างพันธวิญญาณและอภิวิญญาณ พระองค์ทรงไม่มีพระเนตรวัตถุแต่ทรงมีพระเนตรทิพย์ มิฉะนั้น จะทรงเห็นได้อย่างไร? พระองค์ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อดีต ปัจจุบันและอนาคต พระองค์ประทับอยู่ภายในหัวใจของมวลชีวิตและทรงทราบว่า เราได้ทำอะไรไว้ในอดีต เรากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน และอะไรที่รอคอยเราอยู่ในอนาคต ได้ยืนยันไว้ใน ภควัต-คีตาฺ เช่นกันว่า พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่มีผู้ใดรู้พระองค์ กล่าวไว้ว่า องค์ภควานทรงไม่มีพระเพลาเหมือนพวกเรา แต่พระองค์ทรงสามารถเดินทางไปในอวกาศ เพราะว่าทรงมีพระเพลาทิพย์ อีกนัยหนึ่ง มิใช่ว่าจะไม่มีรูปลักษณ์ พระองค์ทรงมีพระเนตร พระเพลา พระกร และทุกสิ่งทุกอย่าง เนื่องจากเราเป็นละอองอณูขององค์ภควาน เราก็มีสิ่งเหล่านี้เช่นกัน แต่พระกรพระเพลา พระเนตร และประสาทสัมผัสของพระองค์ ไม่เปื้อนมลทินจากธรรมชาติวัตถุ
ภควัต-คีตาฺ ยืนยันไว้เช่นกันว่าเมื่อทรงปรากฏ พระองค์ทรงปรากฏในรูปลักษณ์เดิมด้วยพลังงานเบื้องสูงของพระองค์ โดยไม่แปดเปื้อนมลทินจากพลังงานทางวัตถุ เนื่องจากทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพลังงานวัตถุ ในวรรณกรรมพระเวท เราพบว่าทั่วทั้งพระวรกายของพระองค์ทรงเป็นทิพย์ ทรงมีรูปลักษณ์อมตะเรียกว่า สัช-ชิด-อา นันดะ-วิกระฮะฺ พระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยความมั่งคั่งทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นเจ้าของความร่ำรวยทั้งหมด และทรงเป็นเจ้าของพลังงานทั้งหมด ทรงเป็นผู้มีปัญญาสูงสุด และเปี่ยมไปด้วยความรู้ เหล่านี้คือลักษณะบางประการขององค์ภควาน พระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำจุนมวลชีวิตและทรงเป็นพยานของกิจกรรมทั้งหลาย เท่าที่เราสามารถเข้าใจจากวรรณกรรมพระเวทว่าองค์ภควานทรงเป็นทิพย์เสมอ ถึงแม้ว่า เราไม่เห็นพระเศียร พระพักตร์ พระกร หรือพระเพลาของพระองค์ พระองค์ทรงมีสิ่งเหล่านี้ และเมื่อเราพัฒนามาถึงสภาวะทิพย์ เราจะสามารถเห็นรูปลักษณ์ขององค์ภควาน เนื่องจากประสาทสัมผัสแปดเปื้อนไปด้วยมลทินทางวัตถุ เราจึงไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ของพระองค์ ดังนั้น พวกไม่เชื่อในรูปลักษณ์ที่ยังมีเชื้อโรคทางวัตถุอยู่ จะไม่สามารถเข้าใจองค์ภควาน
บะฮิร อันทัช ชะ บํูทานาม
อชะรัม ชะรัม เอวะ ชะฺ
สูคชมัทวาท ทัด อวิกเยยัม
ดูระ-สทัฺม ชานทิเค ชะ ทัทฺ
บะฮิฮฺ - ข้างนอก, อันทะฮฺ - ข้างใน, ชะฺ - เช่นกัน, บํูทานามฺ - ของมวลชีวิต, อชะรัมฺ - ไม่เคลื่อนที่, ชะรัมฺ - เคลื่อนที่, เอวะฺ - เช่นกัน, ชะฺ - และ, สูคชมัทวาทฺ - เนื่องจากมีความละเอียดอ่อน, ทัทฺ - นั้น, อวิกเยยัมฺ - ไม่สามารถรู้ได้, ดูระ-สทัฺมฺ - ไกลมาก, ชะฺ - เช่นกัน, อันทิเคฺ - ใกล้, ชะฺ - และ, ทัทฺ - นั้น
คำแปลฺ
สัจธรรมสูงสุดทรงอยู่ภายนอกและภายในของมวลชีวิต ทั้งที่เคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่ เนื่องจากพระองค์ทรงมีความละเอียดอ่อน จึงทรงอยู่เหนือพลังอำนาจของประสาทสัมผัสวัตถุที่จะเห็นหรือจะรู้ได้ ถึงแม้ว่าทรงอยู่ไกลแสนไกลพระองค์ก็ทรงอยู่ใกล้กับมวลชีวิต
คำอธิบายฺ
ในวรรณกรรมพระเวท เราเข้าใจว่าองค์ภควาน นารายะณะฺ ทรงประทับอยู่ทั้งภายนอกและภายในของทุก ๆ ชีวิต พระองค์ทรงประทับอยู่ทั้งในโลกทิพย์และในโลกวัตถุ ถึงแม้ว่าทรงอยู่ห่างไกลจากเรามาก แต่ก็ทรงอยู่ใกล้กับพวกเราเช่นกัน นี่คือข้อความจากวรรณกรรมพระเวท อาสีโน ดูรัม วระจะทิ ชะยาโน ยาทิ สารวะทะฮ (คะทฺะ อุพะนิชัดฺ 1.2.21) เนื่องจากพระองค์ทรงมีความสุขเกษมสำราญทิพย์เสมอ เราไม่สามารถเข้าใจว่าทรงรื่นเริงอยู่กับความมั่งคั่งอันสมบูรณ์ของพระองค์ได้อย่างไร เราไม่สามารถเห็นหรือเข้าใจด้วยประสาทสัมผัสวัตถุเหล่านี้ ดังนั้น ในภาษาพระเวทกล่าวไว้ว่า ในการเข้าใจพระองค์ จิตใจและประสาทสัมผัสวัตถุของเราใช้ไม่ได้ แต่ผู้ที่มีจิตใจและประสาทสัมผัสที่บริสุทธิ์ด้วยการปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกในการอุทิศตนเสียสละรับใช้จะสามารถเห็นพระองค์อยู่ตลอดเวลา ได้ยืนยันไว้ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ ว่า สาวกผู้พัฒนาความรักต่อองค์ภควานจะสามารถเห็นพระองค์ตลอดเวลา และได้ยืนยันไว้ใน ภควัต-คีตาฺ (11.54) ว่าการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่านั้นที่สามารถทำให้เข้าใจองค์ภควานได้ บัฺคธยา ทุ อนันยะยา ชัคยะฮฺ
อวิบัฺคทัม ชะ บํูเทชุ
วิบัฺคทัม อิวะ ชะ สทิฺทัมฺ
บํูทะ-บฺารทริ ชะ ทัจ กเยยัม
กระสิชณุ พระบฺะวิชณุ ชะฺ
อวิบัฺคทัมฺ - โดยไม่แบ่งแยก, ชะฺ - เช่นกัน, บํูเทชฺุ - ในมวลชีวิต, วิบัฺคทัมฺ - แบ่งแยก, อิวะฺ - ประหนึ่ง, ชะฺ - เช่นกัน, สทิฺทัมฺ - สถิต, บํูทะ-บฺารทริฺ - ผู้ค้ำจุนมวลชีวิต, ชะฺ - เช่นกัน, ทัทฺ - นั้น, กเยยัมฺ - เข้าใจ, กระสิชณฺุ - กลืน, พระบฺะวิชณฺุ - พัฒนา, ชะฺ - เช่นกัน
คำแปลฺ
ถึงแม้ว่าองค์อภิวิญญาณดูเหมือนจะแบ่งแยกในชีวิตทั้งหลาย พระองค์ทรงไม่เคยแบ่งแยก ทรงสถิตเสมือนเป็นหนึ่ง ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำจุนทุก ๆชีวิต เข้าใจว่าพระองค์ทรงกลืนและพัฒนาทั้งหมด
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงสถิตในหัวใจของทุก ๆ คนในฐานะอภิวิญญาณ เช่นนี้พระองค์ทรงแบ่งแยกใช่หรือไม่? ไม่ใช่ อันที่จริงพระองค์ทรงเป็นหนึ่ง ได้ให้ตัวอย่างดวงอาทิตย์ไว้ว่า ดวงอาทิตย์อยู่ที่เส้นทางโคจรของตนเอง แต่หากว่าเราไปห้าพันไมล์ทุก ๆ ทิศทางและถามว่า “ดวงอาทิตย์อยู่ที่ไหน?” ทุกคนจะกล่าวว่าดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงอยู่เหนือศีรษะ ตัวอย่างในวรรณกรรมพระเวทนี้แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงไม่แบ่งแยก แต่ดูเหมือนกับแบ่งแยก ได้กล่าวไว้ในวรรณกรรมพระเวทเช่นกันว่า วิชณุองค์เดียวทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วยพระเดชของพระองค์ เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่ปรากฏอยู่ในหลาย ๆ แห่งสำหรับหลาย ๆ คน และองค์ภควานถึงแม้ว่าทรงเป็นผู้ค้ำจุนมวลชีวิต พระองค์ทรงกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อถึงเวลาทำลายล้าง ได้ยืนยันไว้เช่นนี้ในบทที่สิบเอ็ดเมื่อตรัสว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อกลืนนักรบทั้งหลายที่มาชุมนุมกันที่ คุรุค เชทระฺ ทรงกล่าวด้วยว่า พระองค์ทรงกลืนพวกเขาในรูปของกาลเวลาเช่นกัน ทรงเป็นผู้ทำลายและผู้สังหารทั้งหมด เมื่อมีการสร้างพระองค์ทรงพัฒนาทุกสิ่งจากระดับพื้นฐานเดิมของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาทำลายล้างพระองค์ทรงกลืนพวกเขา บทมนต์พระเวทยืนยันความจริงว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของมวลชีวิต และส่วนอื่น ๆ ทั้งหมดหลังจากการสร้างทุกสิ่งทุกอย่างพำนักอยู่ในพลังอำนาจของพระองค์ และหลังจากการทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเข้าไปพำนักอยู่ในพระองค์อีกครั้งหนึ่ง มีคำยืนยันของบทมนต์พระเวทดังนี้ ยะโท วา อิมานิ บํูทานิ จายันเท เยนะ จาทานิ จีวันทิ ยัท พระยันทิ อบิฺ สัม-วิชันทิ ทัด บระฮมะ ทัด วิจิกยาสัสวะ (ไทททิรียะ อุพะนิชัดฺ 3.1)
จโยทิชาม อพิ ทัจ จโยทิส
ทะมะสะฮ พะรัม อุชยะเทฺ
กยานัม กเยยัม กยานะ-กัมยัม
ฮริดิ สารวัสยะ วิชทิฺทัมฺ
จโยทิชามฺ - ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจิดจรัส, อพิฺ - เช่นกัน, ทัทฺ - นั้น, จโยทิฮฺ - แหล่งกำเนิดของแสง, ทะมะสะฮฺ - ความมืด, พะรัมฺ - เหนือ, อุชยะเทฺ - กล่าวไว้ว่า, กยานัมฺ - ความรู้, กเยยัมฺ - ตัวรู้, กยานะฺ - กัมยัมฺ - เข้าพบได้ด้วยความรู้, ฮริดิฺ - ในหัวใจ, สารวัสยะฺ - ของทุกคน, วิชทิฺทัมฺ - สถิต
คำแปลฺ
พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแสงในสิ่งที่เจิดจรัสทั้งหลาย ทรงอยู่เหนือความมืดแห่งวัตถุ และทรงไม่ปรากฏ พระองค์คือความรู้ พระองค์คือตัวแห่งความรู้ และพระองค์คือจุดมุ่งหมายแห่งความรู้ พระองค์ทรงสถิตอยู่ภายในหัวใจของทุก ๆ ชีวิต
คำอธิบายฺ
อภิวิญญาณ บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแสงในสิ่งที่เจิดจรัสทั้งหมด เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และหมู่ดวงดาว ในวรรณกรรมพระเวทเราพบว่า ในอาณาจักรทิพย์ไม่มีความจำเป็นต้องมีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์เพราะว่ามีรัศมีขององค์ภควานอยู่ที่นั่น ในโลกวัตถุ บระฮมะจโยทิฺ หรือรัศมีทิพย์ของพระองค์ ถูก มะฮัท-ทัททวะฺ หรือธาตุวัตถุต่าง ๆ ปกคลุมอยู่ ดังนั้น ในโลกวัตถุนี้จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อให้แสงสว่าง แต่ในโลกทิพย์ไม่มีความจำเป็นกับสิ่งเหล่านี้ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในวรรณกรรมพระเวทว่า เนื่องจากรัศมีอันเจิดจรัสของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงสว่างไสว เป็นที่ชัดเจนว่า สถานภาพของพระองค์มิได้อยู่ในโลกวัตถุ พระองค์ทรงสถิตในโลกทิพย์ซึ่งอยู่ในท้องฟ้าทิพย์ที่ห่างไกลมาก ได้ยืนยันไว้ในวรรณกรรมพระเวทเช่นกันว่า อาดิทยะ-วารณัม ทะมะสะฮ พะรัสทาท (ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ 3.8) พระองค์ทรงเหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่ตลอดเวลา แต่ทรงอยู่เหนือจากความมืดแห่งโลกวัตถุนี้มากมายนัก
ความรู้ของพระองค์ทรงเป็นทิพย์ และวรรณกรรมพระเวทยืนยันว่า บระฮมันฺคือความรู้ทิพย์ที่มารวมกัน สำหรับผู้ที่กระตือรือร้นจะย้ายไปยังโลกทิพย์ องค์ภควานผู้สถิตในหัวใจของทุก ๆ คนทรงให้ความรู้ มนต์พระเวทบทหนึ่ง (ชเวทาชวะทะระ อุพะ นิชัดฺ 6.18 ) กล่าวว่า ทัม ฮะ เดวัม อาทมะ-บุดดิฺ-พระคาชัม มุมุคชุร ไว ชะระณัม อฮัม พระพัดเยฺ หากต้องการความหลุดพ้น เราต้องศิโรราบต่อบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าได้ยืนยันไว้ในวรรณกรรมพระเวทเช่นกันเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งความรู้ ทัม เอวะ วิดิทวาทิ มริทยุม เอทิฺ “ด้วยการรู้ถึงพระองค์เท่านั้นที่เราสามารถข้ามพ้นอาณาเขตแห่งการเกิดและการตายได้” (ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ 3.8)
องค์ภควานทรงสถิตในหัวใจของทุก ๆ ชีวิตในฐานะผู้ควบคุมสูงสุด ทรงมีพระเพลา และพระกรที่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง เราจะกล่าวเช่นนี้ไม่ได้กับปัจเจกวิญญาณ ดังนั้น จึงมีสองผู้รู้สนามแห่งกิจกรรม คือปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณเช่นนี้ ต้องยอมรับว่าแขนและขาของเราอยู่เฉพาะที่ตัวเราเท่านั้น แต่พระหัตถ์และพระเพลาของคริชณะทรงกระจายไปทุกหนทุกแห่ง ได้ยืนยันไว้ใน ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ(3.17) ว่า สารวัสยะ พระบํุม อีชานัม สารวัสยะ ชะระณัม บริฮัทฺ บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์อภิวิญญาณทรงเป็น พระบํฺุ หรือพระอาจารย์ของมวลชีวิต ทรงเป็นที่พักพิงสูงสุดของมวลชีวิต ดังนั้น จึงเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า องค์อภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณจะแตกต่างกันเสมอ
อิทิ คเชทรัม ทะทฺา กยานัมฺ
กเยยัม โชคทัม สะมาสะทะฮฺ
มัด-บัฺคธะ เอทัด วิกยายะ
มัด-บฺาวาโยพะพัดยะเทฺ
อิทิฺ - ดังนั้น, คเชทรัมฺ - สนามแห่งกิจกรรม (ร่างกาย), ทะทฺาฺ - เช่นกัน, กยานัมฺ - ความรู้, กเยยัมฺ - สิ่งรู้, ชะฺ - เช่นกัน, อุคทัมฺ - อธิบาย, สะมาสะทะฮฺ - โดยสรุป, มัท-บัฺคธะฮฺ - สาวกของข้า, เอทัทฺ - ทั้งหมดนี้, วิกยายะฺ - หลังจากเข้าใจ, มัท-บฺาวายะฺ - ธรรมชาติของข้า, อุพะพัดยะเทฺ - บรรลุ
คำแปลฺ
ดังนั้น ข้าได้อธิบายโดยสรุปถึงสนามแห่งกิจกรรม (ร่างกาย) ความรู้ และสิ่งที่รู้ถึงได้ บรรดาสาวกของข้าเท่านั้นที่สามารถเข้าใจโดยตลอดและบรรลุถึงธรรมชาติของข้า
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงอธิบายถึงร่างกาย ความรู้ และสิ่งรู้โดยสรุป ความรู้นี้ประกอบด้วยสามสิ่งคือ ผู้รู้ สิ่งรู้ และวิธีที่จะรู้ ทั้งหมดนี้รวมกันเข้าเรียกว่า วิกยานะฺ หรือศาสตร์แห่งความรู้ สาวกผู้บริสุทธิ์ขององค์ภควานโดยตรงจึงสามารถเข้าใจความรู้โดยสมบูรณ์ บุคคลอื่นไม่สามารถเข้าใจได้ พวกที่เชื่อว่าเป็นหนึ่งเดียวกันกล่าวว่า ในระดับท้ายสุดทั้งสามสิ่งนี้กลายมาเป็นหนึ่ง แต่เหล่าสาวกไม่ยอมรับเช่นนี้ ความรู้และการพัฒนาความรู้หมายความว่าเข้าใจตนเองในคริชณะจิตสำนึก เราได้ถูกวัตถุจิตสำนึกนำพาไป แต่ทันทีที่เราย้ายจิตสำนึกทั้งหมดมาที่กิจกรรมของคริชณะ และรู้แจ้งว่าคริช ณะคือทุกสิ่งทุกอย่าง ตรงนี้จะทำให้เราบรรลุถึงความรู้ที่แท้จริง อีกนัยหนึ่งความรู้มิใช่อะไรอื่น นอกจากระดับพื้นฐานแห่งความเข้าใจการอุทิศตนเสียสละรับใช้โดยสมบูรณ์ ในบทที่สิบห้าจะอธิบายประเด็นนี้อย่างชัดเจน
โดยสรุปเราอาจเข้าใจว่าโศลก 6 และโศลก 7 เริ่มจาก มะฮา-บํูทานิฺ มาจนถึง เชทะนา ดฺริทิฮฺ ได้วิเคราะห์ธาตุวัตถุต่าง ๆ และปรากฏการณ์บางอย่างของลักษณะอาการแห่งชีวิตรวมกันเข้าเป็นร่างกายหรือสนามแห่งกิจกรรม และโศลก 8 ถึง โศลก12 จาก อมานิทวัมฺ จนถึง ทัททวะ-กยานารทฺะ-ดารชะนัมฺ ได้อธิบายวิธีแห่งความรู้เพื่อเข้าใจทั้งผู้รู้สนามแห่งกิจกรรมคือปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณ จากนั้นโศลก 13 ถึงโศลก 18 เริ่มจาก อนาดิ มัท-พะรัมฺ มาจนถึง ฮริดิ สารวัสยะ วิชทิฺทัมฺ ได้อธิบายถึงดวงวิญญาณและองค์ภควานหรืออภิวิญญาณ
ได้อธิบายถึงสามประเด็นดังนี้ สนามแห่งกิจกรรม (ร่างกาย) วิธีแห่งการเข้าใจทั้งดวงวิญญาณ และอภิวิญญาณ ณ ที่นี้ อธิบายโดยเฉพาะว่า เหล่าสาวกผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เท่านั้นจึงสามารถเข้าใจสามประเด็นนี้อย่างชัดเจน ดังนั้นสาวกเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จาก ภควัต-คีตาฺ อย่างสมบูรณ์ และสามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดนั่นคือธรรมชาติขององค์ภควานชรีคริชณะ อีกนัยหนึ่ง สาวกเท่านั้นที่สามารถเข้าใจ ภควัต-คีตาฺ และได้รับผลสมดังใจปรารถนา มิใช่บุคคลอื่น
พระคริทิม พุรุชัม ไชวะ
วิดดิฺ อนาดี อุบฺาพ อพิฺ
วิคารามช ชะ กุณามช ไชวะ
วิดดิฺ พระคริทิ-สัมบฺะวานฺ
พระคริทิมฺ - ธรรมชาติวัตถุ, พุรุชัมฺ - สิ่งมีชีวิต, ชะฺ - เช่นกัน, เอวะฺ - แน่นอน, วิดดิฺฺ - เธอต้องรู้, อนาดีฺ - ไม่มีจุดเริ่มต้น, อุโบฺฺ - ทั้งคู่, อพิฺ - เช่นกัน, วิคารานฺ - การเปลี่ยนแปลง, ชะฺ - เช่นกัน, กุณาณฺ - สามระดับของธรรมชาติ, ชะฺ - เช่นกัน, เอวะฺ - แน่นอน, วิดดิฺฺ - รู้, พระคริทิฺ - ธรรมชาติวัตถุ, สัมบฺะวานฺ - ผลิตจาก
คำแปลฺ
ควรเข้าใจว่าธรรมชาติวัตถุและสิ่งมีชีวิตไม่มีจุดเริ่มต้น การเปลี่ยนแปลงและระดับของวัตถุเป็นผลผลิตของธรรมชาติวัตถุ
คำอธิบายฺ
จากความรู้ที่ให้ไว้ในบทนี้ เราสามารถเข้าใจร่างกาย (สนามแห่งกิจกรรม)และผู้รู้ร่างกาย (ทั้งปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณ) ร่างกายเป็นสนามแห่งกิจกรรมซึ่งประกอบไปด้วยธรรมชาติวัตถุ ปัจเจกวิญญาณที่ถูกร่างกายปกคลุมและรื่นเริงไปกับกิจกรรมของร่างกายคือ พุรุชะฺ หรือสิ่งมีชีวิต เราเป็นผู้รู้ผู้หนึ่ง และผู้รู้อีกผู้หนึ่งคืออภิวิญญาณ เข้าใจว่าทั้งอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณเป็นปรากฏการณ์ที่ต่างกันของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า สิ่งมีชีวิตอยู่ในกลุ่มของพลังงานของพระองค์ และอภิวิญญาณอยู่ในกลุ่มของภาคที่แบ่งแยกส่วนมาจากองค์ภควาน
ทั้งธรรมชาติวัตถุและสิ่งมีชีวิตเป็นอมตะ หมายความว่าทั้งคู่มีอยู่ก่อนการสร้าง ปรากฏการณ์ทางวัตถุมาจากพลังงานขององค์ภควาน สิ่งมีชีวิตก็เช่นเดียวกันแต่สิ่งมีชีวิตเป็นพลังงานที่สูงกว่า ทั้งสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติวัตถุมีอยู่ก่อนที่จักรวาลนี้จะปรากฏ ธรรมชาติวัตถุถูกซึมซาบอยู่ในองค์ภควาน มะฮา-วิชณฺุ และเมื่อถึงเวลาจำเป็นจะปรากฏออกมาผ่านทางผู้แทน มะฮัท-ทัททวะฺ ในทำนองเดียวกัน สิ่งมีชีวิตก็อยู่ในพระองค์ เนื่องจากอยู่ภายใต้พันธสภาวะ จึงไม่ชอบรับใช้องค์ภควาน ดังนั้น จึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในท้องฟ้าทิพย์ แต่จากการที่ธรรมชาติวัตถุปรากฏออกมา สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติการในโลกวัตถุและเตรียมตัวเพื่อเข้าไปในโลกทิพย์ นั่นคือความเร้นลับแห่งการสร้างทางวัตถุนี้ อันที่จริงสิ่งมีชีวิตโดยเนื้อแท้เดิมทีเป็นละอองอณูทิพย์ขององค์ภควาน แต่เนื่องจากธรรมชาติที่ชอบต่อต้านจึงได้มาอยู่ในพันธสภาวะภายใต้ธรรมชาติวัตถุ ไม่สำคัญว่าสิ่งมีชีวิตหรือชีวิตที่สูงกว่าขององค์ภควานมาสัมผัสกับธรรมชาติวัตถุได้อย่างไร อย่างไรก็ดี บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงทราบว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไมมันจึงเกิดขึ้น ในพระคัมภีร์พระองค์ตรัสว่า ผู้ที่หลงใหลอยู่กับธรรมชาติวัตถุนี้จะต้องเผชิญกับการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดด้วยความยากลำบาก แต่จากไม่กี่โศลกนี้เราควรรู้อย่างแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงและอิทธิพลทั้งหลายของธรรมชาติวัตถุทั้งสามระดับก็เป็นผลผลิตของธรรมชาติวัตถุเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงและความหลากหลายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตก็เนื่องมาจากร่างกาย สำหรับดวงวิญญาณแล้วสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหมือนกัน
คารยะ-คาระณะ-คารทริทเว
เฮทุฮ พระคริทิร อุชยะเทฺ
พุรุชะฮ-สุคฺะ-ดุฮคฺานาม
โบฺคคริทเว เฮทุร อุชยะเทฺ
คารยะฺ - ของผล, คาระณะฺ - และเหตุ, คารทริทเวฺ - ในเรื่องของการสร้าง, เฮทุฮฺ - เครื่องมือ, พระคริทิฮฺ - ธรรมชาติวัตถุ, อุชยะเทฺ - กล่าวว่า, พุรุชะฮฺ - สิ่งมีชีวิต, สุคฺะฺ - ความสุข, ดุฮคฺานามฺ - และความทุกข์, โบฺคทริทเวฺ - ในความรื่นเริง, เฮทุฮฺ - เครื่องมือ-อุชยะเทฺ - กล่าวว่า
คำแปลฺ
กล่าวไว้ว่าธรรมชาติเป็นแหล่งกำเนิดของเหตุและผลทางวัตถุทั้งหลาย ขณะที่สิ่งมีชีวิตเป็นแหล่งกำเนิดของความทุกข์และความสุขต่าง ๆ ในโลกนี้
คำอธิบายฺ
ปรากฏการณ์ที่ไม่เหมือนกันของร่างกายและประสาทสัมผัสในสิ่งมีชีวิตต่างๆก็เนื่องมาจากธรรมชาติวัตถุ มี 8,400,000 เผ่าพันธุ์ชีวิตที่แตกต่างกัน ความหลากหลายเหล่านี้เป็นการสร้างของธรรมชาติวัตถุ มันเกิดขึ้นมาจากความสุขทางประสาทสัมผัสที่ไม่เหมือนกันของสิ่งมีชีวิตผู้ปรารถนาจะอยู่ในร่างนี้หรือร่างนั้น เมื่อถูกส่งไปอยู่ในร่างกายต่าง ๆ เขารื่นเริงอยู่กับความสุขและความทุกข์ที่ไม่เหมือนกัน ความสุขและความทุกข์ทางวัตถุก็เนื่องมาจากร่างกาย ซึ่งตามความเป็นจริงไม่ใช่ตัวเขา ในระดับเดิมแท้ของตัวเขา ความรื่นเริงเป็นสิ่งแน่นอน เพราะนั่นคือสถานภาพอันแท้จริงของเขาเนื่องจากความปรารถนาที่จะเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุเขาจึงมาอยู่ในโลกวัตถุ ในโลกทิพย์ไม่มีสิ่งเหล่านี้ โลกทิพย์นั้นบริสุทธิ์ แต่ในโลกวัตถุทุกคนดิ้นรนด้วยความยากลำบากเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขทางร่างกาย อาจทำให้ชัดเจนขึ้นที่กล่าวว่า ร่างกายนี้คือผลของประสาทสัมผัสต่าง ๆ ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือเพื่อสนองความต้องการบัดนี้ผลมวลรวมคือ ร่างกายและประสาทสัมผัสที่เป็นเครื่องมือธรรมชาติวัตถุเป็นผู้ให้จะชัดเจนยิ่งขึ้นในโศลกต่อไป สิ่งมีชีวิตได้รับพรหรือถูกสาปในสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความปรารถนาและตามกรรมในอดีตของตน ธรรมชาติวัตถุได้วางเขาลง ณ ที่พำนักต่างๆ ตามความต้องการและตามกรรมของเขา สิ่งมีชีวิตเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ได้สถานที่พำนักเช่นนี้ และได้รับความสุขหรือความทุกข์ซึ่งเป็นผลที่ตามมา เมื่อถูกจับให้มาอยู่ในร่างกายโดยเฉพาะนี้ เขาได้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมชาติ เพราะว่าร่างกายเป็นวัตถุซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎแห่งธรรมชาติ ในขณะนั้น สิ่งมีชีวิตไม่มีอำนาจที่จะไปเปลี่ยนกฎเกณฑ์ สมมติว่าสิ่งมีชีวิตถูกจับให้ไปอยู่ในร่างสุนัขเขาต้องทำตัวให้เหมือนกับสุนัขทันที จะทำตัวเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ และหากว่าสิ่งมีชีวิตถูกจับให้ไปอยู่ในร่างสุกร เขาก็จะถูกบังคับให้กินอุจจาระและทำตัวเหมือนกับสุกร ในทำนองเดียวกัน หากสิ่งมีชีวิตถูกจับไปอยู่ในร่างเทวดา เขาจะต้องทำตัวตามสถานภาพทางร่างกายของเขา นี่คือกฎแห่งกฎแห่งธรรมชาติ แต่ในทุก ๆ กรณีอภิวิญญาณทรงอยู่กับปัจเจกวิญญาณ ได้อธิบายไว้ในคัมภีร์พระเวท (มุณดะคะ อุพะนิชัดฺ 3.1.1) ดังนี้ ดวา สุพารณา สะยุจา สะคฺายะฮฺ องค์ภควานทรงมีพระเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตจึงทรงอยู่ร่วมกับปัจเจกวิญญาณเสมอ และในทุกๆสถานการณ์พระองค์ทรงปรากฏในฐานะอภิวิญญาณหรือพระมาทมา
พุรุชะฮ พระคริทิ-สโทฺ ฮิ
บํุงคเท พระคริทิ-จาน กุณานฺ
คาระณัม กุณะ-สังโก ่สยะ
สัด-อสัด-โยนิ-จันมะสฺุ
พุรุชะฮฺ - สิ่งมีชีวิต, พระคริทิ-สทฺะฮฺ - สถิตในพลังงานวัตถุ, ฮิฺ - แน่นอน, บํุงคเทฺ - รื่นเริง, พระคริทิ-จานฺ - ผลิตโดยธรรมชาติวัตถุ, กุณานฺ - ระดับของธรรมชาติ, คาระณัมฺ - แหล่งกำเนิด, กุณะ-สังกะฮฺ - คบหาสมาคมกับระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติ, อัสยะ-ของสิ่งมีชีวิต, สัท-อสัทฺ - ในความดีและความชั่ว, โยนิฺ - เผ่าพันธุ์แห่งชีวิต, จันมะสฺุ - ในการเกิด
คำแปลฺ
สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติวัตถุปฏิบัติตามวิถีแห่งชีวิต รื่นเริงกับสามระดับของธรรมชาติ เป็นเช่นนี้เนื่องจากมาคบหาสมาคมกับธรรมชาติวัตถุนั้น ดังนั้น เขาจึงพบกับความดีและความชั่วในเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ
คำอธิบายฺ
โศลกนี้สำคัญมากในการที่จะเข้าใจว่า สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่ร่างหนึ่งได้อย่างไร ได้อธิบายไว้ในบทที่สองว่า สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งเหมือนกับการเปลี่ยนเสื้อผ้า การเปลี่ยนเสื้อผ้านี้เนื่องมาจากการยึดติดกับความเป็นอยู่ทางวัตถุ ตราบใดที่ยังหลงอยู่ในเสน่ห์แห่งการปรากฏที่ผิด ๆ นี้ เขาจะต้องเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งต่อไปเรื่อย ๆ เนื่องจากความปรารถนาที่จะเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุ จึงถูกจับให้มาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเช่นนี้ ภายใต้อิทธิพลแห่งความปรารถนาทางวัตถุ บางครั้งสิ่งมีชีวิตเกิดมาเป็นเทวดา บางครั้งเป็นมนุษย์ บางครั้งเป็นสัตว์ เป็นนก เป็นหนอน เป็นสัตว์น้ำ เป็นนักปราชญ์หรือเป็นแมลง ดำเนินต่อไปเช่นนี้ และในทุก ๆ กรณีสิ่งมีชีวิตคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายแห่งสถานการณ์ของตน แต่เขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของธรรมชาติวัตถุ
เขาถูกจับให้มาอยู่ภายในร่างกายต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างไร อธิบาย ณ ที่นี้เนื่องจากมาคบหาสมาคมกับระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติ ฉะนั้น เขาจะต้องทำความเจริญขึ้นให้อยู่เหนือสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ และสถิตในสถานภาพทิพย์เช่นนี้เรียกว่าคริชณะจิตสำนึก นอกจากสถิตในคริชณะจิตสำนึก มิฉะนั้น วัตถุจิตสำนึกของตนเองจะบังคับให้ย้ายจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง เนื่องจากมีความปรารถนาทางวัตถุตั้งแต่กาลสมัยดึกดำบรรพ์ จึงจำต้องเปลี่ยนแนวความคิดนั้น การเปลี่ยนแปลงจะเป็นผลดีก็จากการสดับฟังจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ อารจุนะทรงสดับฟังศาสตร์แห่งองค์ภควานจากคริชณะ หากสิ่งมีชีวิตยอมรับวิธีการสดับฟังนี้ เขาจะละทิ้งความปรารถนาที่หวังไว้เป็นเวลายาวนานว่าจะครอบครองธรรมชาติวัตถุ และจะค่อย ๆเปลี่ยนแปลงอย่างมีดุลยภาพ ในขณะที่ตัดทอนความปรารถนาอันยาวนานที่จะครอบครองธรรมชาติ เขาจะรื่นเริงกับความสุขทิพย์ บทมนต์พระเวทกล่าวไว้ว่า ขณะที่ได้รับความรู้ในการมาใกล้ชิดกับองค์ภควาน เขาได้รับรสชีวิตแห่งความปลื้มปีติสุขอมตะตามสัดส่วนนั้น ๆ
อุพะดรัชทานุมันทา ชะ
บฺารทา โบฺคทา มะเฮชวะระฮฺ
พะระมาทเมทิ ชาพิ อุคโท
เดเฮ ่สมิน พุรุชะฮ พะระฮฺ
อุพะดรัชทาฺ - ผู้ดูแล, อนุมันทาฺ - ผู้ให้อนุญาต, ชะฺ - เช่นกัน, บฺารทาฺ - เจ้านาย, โบฺคทาฺ - ผู้มีความรื่นเริงสูงสุด, มะฮา-อีชวะระฮฺ - องค์ภควานสูงสุด, พะระมะ-อาทมาฺ - อภิวิญญาณ, อิทิฺ - เช่นกัน, ชะฺ - และ, อพิฺ - แน่นอน, อุคทะฮฺ - กล่าวว่า, เดเฮฺ - ในร่างกาย, อัสมินฺ, นี้, พุรุชะฮฺ - ผู้รื่นเริง, พะระฮฺ - ทิพย์
คำแปลฺ
ในร่างกายนี้ มีผู้รื่นเริงทิพย์อีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นองค์ภควาน ทรงเป็นเจ้าของสูงสุด ประทับอยู่ในฐานะผู้ดูแลและผู้ให้อนุญาต ที่รู้กันว่าเป็นองค์อภิวิญญาณ
คำอธิบายฺ
ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า อภิวิญญาณผู้ประทับอยู่กับปัจเจกวิญญาณเสมอ ทรงเป็นผู้แทนขององค์ภควาน ทรงมิใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดา เพราะว่าเหล่านักปราชญ์ผู้เชื่อว่าเป็นหนึ่งเดียวกันคิดว่า ผู้รู้ร่างกายเป็นหนึ่ง โดยไม่มีข้อแตกต่างระหว่างอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณ เพื่อให้ประเด็นนี้กระจ่างขึ้น ทรงตรัสว่า พระองค์ทรงมีผู้แทนในฐานะพะระมาทมาอยู่ในทุก ๆ ร่าง พระองค์ทรงแตกต่างจากปัจเจกวิญญาณ ทรงเป็น พะระฺ หรือเป็นทิพย์ ปัจเจกวิญญาณได้รับความสุขกับสนามเฉพาะของตน แต่อภิวิญญาณทรงปรากฏไม่ใช่ในฐานะผู้มีความสุขที่มีขีดจำกัด หรือผู้ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางร่างกาย แต่ในฐานะพยานผู้ดูแล ผู้ให้อนุญาต และผู้มีความสุขสูงสุด พระองค์ทรงพระนามว่า พะระมาทมาฺ ไม่ใช่อาทมาและทรงเป็นทิพย์ ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า อาทมาฺ และ พะระมาทมาฺ แตกต่างกัน อภิวิญญาณ พะระมาทมาฺ มีพระเพลาและพระกรทุกหนทุกแห่ง แต่ปัจเจกวิญญาณไม่มี และเนื่องจาก พะระมาทมาฺ ทรงเป็นองค์ภค วานผู้ประทับอยู่ภายในเพื่ออนุมัติความสุขทางวัตถุตามที่ปัจเจกวิญญาณปรารถนาหากปราศจากการอนุมัติของอภิวิญญาณ ปัจเจกวิญญาณจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยปัจเจกวิญญาณเป็น บํุคทะฺ หรือผู้ได้รับการอนุเคราะห์ และพระองค์คือ โบฺคทาฺ หรือผู้อนุเคราะห์ มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน และพระองค์ทรงประทับอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาในฐานะเป็นสหาย
ความจริงคือทุก ๆ ปัจเจกชีวิตเป็นละอองอณูนิรันดรขององค์ภควานและทั้งคู่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันมากในฐานะเพื่อน แต่สิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธการอนุมัติของพระองค์ และทำไปโดยพละการเพื่อพยายามที่จะครอบครองธรรมชาติเนื่องจากมีแนวโน้มเช่นนี้เขาจึงถูกเรียกว่าเป็นพลังงานพรมแดนของพระองค์ สิ่งมีชีวิตสามารถสถิตในพลังงานวัตถุหรือในพลังงานทิพย์ ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้พันธสภาวะของพลังงานวัตถุ องค์ภควานหรืออภิวิญญาณในฐานะสหายจะอยู่กับเขาเพื่อให้เขากลับคืนสู่พลังงานทิพย์ พระองค์ทรงมีความกระตือรือร้นที่จะนำเขากลับไปยังพลังงานทิพย์เสมอ แต่เนื่องจากเสรีภาพเพียงนิดเดียว ทำให้ปัจเจกชีวิตปฏิเสธการมาอยู่ใกล้ชิดกับประทีปทิพย์อยู่ตลอดเวลา การใช้เสรีภาพไปในทางที่ผิดเช่นนี้ ทำให้ต้องดิ้นรนทางวัตถุในสภาวะธรรมชาติ ดังนั้น พระองค์ทรงให้คำสั่งสอนทั้งจากภายในและภายนอกเสมอ จากภายนอกทรงให้คำสั่งสอนดังที่ตรัสไว้ใน ภควัต-คีตาฺ และจากภายในทรงพยายามทำให้สิ่งมีชีวิตมั่นใจว่า กิจกรรมของเขาในสนามวัตถุจะไม่นำมาซึ่งความสุขอันแท้จริง โดยตรัสว่า “จงยกเลิกมันเสียและหันความศรัทธามาที่ข้า แล้วเจ้าจะมีความสุข” ดังนั้น ปัญญาชนผู้มอบความศรัทธาให้แก่ พะระมาทมาฺ หรือองค์ภควาน จะเริ่มเจริญก้าวหน้าไปสู่ชีวิตแห่งความปลื้มปีติสุขที่เป็นอมตะ และเปี่ยมไปด้วยความรู้
ยะ เอวัม เวททิ พุรุชัม
พระคริทิม ช กุไณฮ สะฮะฺ
สารวะทฺา วารทะมาโน ่พิ
นะ สะ บํูโย ่บิฺจายะเทฺ
ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, เอวัมฺ - ดังนั้น, เวททิฺ - เข้าใจ, พุรุชัมฺ - สิ่งมีชีวิต, พระคริทิมฺ - ธรรมชาติวัตถุ, ชะฺ - และ, กุไนฮฺ - ระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุ, สะฮะฺ - กับ, สารวะทฺาฺ - ในทุก ๆ วิธี, วารทะมานะฮฺ - สถิต, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, นะฺ - ไม่เคย, สะฮฺ - เขา, บํูยะฮฺ - อีกครั้งหนึ่ง, อบิฺจา ยะเทฺ - เกิด
คำแปลฺ
ผู้เข้าใจปรัชญาเกี่ยวกับธรรมชาติวัตถุ สิ่งมีชีวิต และผลกระทบซึ่งกันและกันของระดับต่าง ๆ แห่งธรรมชาตินี้ แน่นอนว่าจะได้รับอิสรภาพ เขาจะไม่มาเกิดที่นี่อีก ไม่ว่าสถานภาพปัจจุบันเป็นเช่นไร
คำอธิบายฺ
การเข้าใจธรรมชาติวัตถุ อภิวิญญาณ ปัจเจกวิญญาณ และผลกระทบซึ่งกันและกันของทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน ทำให้มีสิทธิ์ได้รับเสรีภาพและกลับคืนสู่บรรยากาศทิพย์ โดยไม่ต้องถูกบังคับให้กลับคืนมาสู่ธรรมชาติวัตถุนี้อีก นั่นคือผลแห่งความรู้ จุดมุ่งหมายแห่งความรู้คือการเข้าใจอย่างชัดเจนว่า โดยบังเอิญสิ่งมีชีวิตได้ตกลงมามีความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้ แต่ด้วยความพยายามส่วนตัวที่มาคบหาสมาคมกับบุคคลผู้เชื่อถือได้เช่น นักบุญและพระอาจารย์ทิพย์ทำให้เข้าใจสถานภาพของตนเองจากนั้นก็กลับคืนไปสู่จิตสำนึกทิพย์หรือคริชณะจิตสำนึก ด้วยการเข้าใจ ภควัต-คีตาฺ ตามที่องค์ภควานทรงอธิบาย จึงเป็นที่แน่นอนว่าเราจะไม่กลับมามีความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้อีกครั้ง และจะถูกย้ายไปยังโลกทิพย์เพื่อชีวิตอมตะที่มีความปลื้มปีติสุขและเปี่ยมไปด้วยความรู้
ดฺยาเนนาทมะนิ พัชยันทิ
เคชิด อาทมานัม อาทมะนาฺ
อันเย สางคฺเยนะ โยเกนะ
คารมะ-โยเกนะ ชาพะเรฺ
ดฺยาเนนะฺ - ด้วยการทำสมาธิ, อาทมะนิฺ - ภายในตนเอง, พัชยันทิฺ - เห็น, เคชิทฺ - บางคน, อาทมานัมฺ - อภิวิญญาณ, อาทมะนาฺ - ด้วยจิต, อันเยฺ - ผู้อื่น, สางคฺเยนะฺ - ของการสนทนาปรัชญา, โยเกนะฺ - ด้วยระบบโยคะ, คารมะ-โยเกนะฺ - ด้วยกิจกรรมที่ปราศจากความต้องการผลทางวัตถุ, ชะฺ - เช่นกัน, อพะเรฺ - ผู้อื่น
คำแปลฺ
บางคนสำเหนียกองค์อภิวิญญาณภายในตนเองด้วยการทำสมาธิ บางคนสำเหนียกด้วยการพัฒนาความรู้ และยังมีผู้อื่นที่สำเหนียกด้วยการทำงานโดยไม่ต้องการผลทางวัตถุ
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงให้ข้อมูลแด่อารจุนะว่าพันธวิญญาณผู้เสาะแสวงหาความรู้แจ้งแห่งตนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน ไม่เชื่อว่ามีนรกสวรรค์และมีความเคลือบแคลงสงสัย บุคคลเหล่านี้ความเข้าใจวิถีทิพย์อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดของพวกตน และมีอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความศรัทธาในการเข้าใจชีวิตทิพย์เรียกว่าสาวกผู้ใคร่ครวญ นักปราชญ์ และผู้ที่ทำงานสละผลทางวัตถุ ผู้ที่พยายามสถาปนาลัทธิความเชื่อว่าเป็นหนึ่งเดียวกันก็นับอยู่ในกลุ่มที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน และไม่เชื่อในนรกสวรรค์ อีกนัยหนึ่ง บรรดาสาวกของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าเท่านั้นที่สถิตดีที่สุดในการเข้าใจวิถีทิพย์ เพราะมีความเข้าใจว่าสูงกว่าธรรมชาติวัตถุนี้ยังมีโลกทิพย์และองค์ภควานผู้ทรงแบ่งภาคมาเป็น พะระมาทมาฺ หรือ องค์อภิวิญญาณภายในหัวใจของทุกๆคน ผู้ทรงแผ่กระจายไปทั่ว แน่นอนว่ามีบุคคลที่พยายามเข้าใจสัจธรรมสูงสุดด้วยการพัฒนาความรู้ ซึ่งนับว่าอยู่ในกลุ่มของผู้มีศรัทธา บรรดานักปราชญ์ สางคฺยะฺ วิเคราะห์โลกวัตถุนี้ว่ามียี่สิบสี่ธาตุ และจัดปัจเจกวิญญาณว่าเป็นรายการที่ยี่สิบห้า เมื่อสามารถเข้าใจธรรมชาติของปัจเจกวิญญาณว่าเป็นทิพย์เหนือธาตุวัตถุต่าง ๆ พวกนี้ก็สามารถเข้าใจเช่นกันว่า เหนือไปกว่าปัจเจกวิญญาณยังมีบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นธาตุที่ยี่สิบหก ดังนั้น พวกนี้จะค่อย ๆ มาถึงมาตรฐานแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึก พวกที่ทำงานโดยไม่หวังผลทางวัตถุก็มีความสมบูรณ์ในท่าทีของตนเองเช่นกัน และได้รับโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้ามาสู่ระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึก ณ ที่นี้กล่าวไว้ว่า มีบางคนที่มีจิตสำนึกบริสุทธิ์ พยายามค้นหาอภิวิญญาณด้วยการทำสมาธิ และเมื่อค้นพบอภิวิญญาณภายในตนเองแล้ว จะสถิตในระดับทิพย์ ในลักษณะเดียวกัน มีผู้พยายามเข้าใจดวงวิญญาณสูงสุดด้วยการพัฒนาความรู้ และยังมีผู้ที่พัฒนาระบบ ฮะทฺะ-โยกะฺ และพยายามทำให้บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยกิจกรรมแบบเด็ก ๆ
อันเย ทุ เอวัม อจานันทะฮ
ชรุทวานเยบฺยะ อุพาสะเทฺ
เท ่พิ ชาทิทะรันทิ เอวะ
มริทยุม ชุรทิ-พะรายะณาฮฺ
อันเยฺ - ผู้อื่น, ทุ-แต่, เอวัมฺ - ดังนั้น, อจานันทะฮฺ - โดยปราศจากความรู้ทิพย์, ชรุทวาฺ - ด้วยการสดับฟัง, อันเยบฺยะฮฺ - จากผู้อื่น, อุพาสะเทฺ - เริ่มบูชา, เทฺ - พวกเขา, อพิฺ - เช่นกัน, ชะฺ - และ, อทิทะรันทิฺ - ข้ามพ้น, เอวะฺ - แน่นอน, มริทยุมฺ - วิถีทางแห่งความตาย, ชรุทิฺ - พะรา ยะณาฮฺ - ชอบวิธีการสดับฟัง
คำแปลฺ
ยังมีพวกที่ถึงแม้ไม่ชำนาญในความรู้ทิพย์ แต่เมื่อสดับฟังเกี่ยวกับองค์ภควานจากผู้อื่นก็เริ่มบูชาพระองค์ เนื่องจากมีแนวโน้มชอบสดับฟังจากผู้ที่เชื่อถือได้พวกเขาจะข้ามพ้นวิถีแห่งการเกิดและการตายเช่นเดียวกัน
คำอธิบายฺ
โศลกนี้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบันโดยเฉพาะ เพราะว่าสังคมปัจจุบันเกือบไม่มีการศึกษาในเรื่องทิพย์เลย บางคนอาจดูเหมือนว่าเป็นผู้ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่เชื่อในนรกสวรรค์ หรือไม่เชื่อในปรัชญา แต่อันที่จริงไม่มีความรู้ปรัชญา สำหรับคนธรรมดาทั่วไป หากผู้ใดเป็นดวงวิญญาณที่ดีก็จะมีโอกาสเจริญก้าวหน้าด้วยการสดับฟังวิธีการสดับฟังนี้สำคัญมาก องค์เชธันญะผู้ตรัสสอนคริชณะจิตสำนึกในโลกปัจจุบันทรงเน้นการสดับฟังเป็นอย่างมาก หากคนธรรมดาเพียงแต่สดับฟังจากแหล่งที่เชื่อถือได้เขาก็สามารถเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะ หากสดับฟังคลื่นเสียงทิพย์ ฮะเร คริชณะ ฮะเรคริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร ตามที่องค์เชธันญะตรัส ดังนั้น จึงกล่าวไว้ว่ามนุษย์ทั้งหลายควรถือโอกาสในการสดับฟังจากจิตวิญญาณผู้รู้แจ้ง เมื่อค่อย ๆ เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง การบูชาองค์ภควานจะบังเกิดขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย องค์เชธันญะตรัสว่าในยุคนี้ไม่มีผู้ใดจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานภาพของตนเอง แต่เราควรยกเลิกความพยายามที่จะเข้าใจสัจธรรมด้วยเหตุผลจากการคาดคะเน เราควรเรียนรู้และมาเป็นผู้รับใช้ของผู้ที่มีความรู้แห่งองค์ภควาน หากโชคดีพอที่ได้มาพึ่งสาวกผู้บริสุทธิ์ สดับฟังจากท่านเกี่ยวกับความรู้แจ้งแห่งตน และปฏิบัติตามรอยพระบาทของท่าน เราจะค่อย ๆ พัฒนามาสู่สถานภาพของสาวกผู้บริสุทธิ์ ในโศลกนี้ได้แนะนำวิธีการสดับฟังมากเป็นพิเศษซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่มีความสามารถเทียบเท่านักปราชญ์ แต่ด้วยความศรัทธาในการสดับฟังจากบุคคลที่เชื่อถือได้ จะช่วยเราให้ข้ามพ้นไปจากความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้ และกลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควาน
ยาวัท สันจายะเท คินชิท
สัททวัม สทฺาวะระ-จังกะมัมฺ
คเชทระ-คเชทระกยะ-สัมโยกาท
ทัด วิดดิฺ-บฺะระทารชะบฺะฺ
ยาวัทฺ - อะไรก็แล้วแต่, สันจายะเทฺ - มามีชีวิต, คินชิทฺ - สิ่งใด, สัททวัมฺ - เป็นอยู่, สทฺาวะ ระฺ - ไม่เคลื่อนที่, จังกะมัมฺ - เคลื่อนที่, คเชทระฺ - ของร่างกาย, คเชทระ-กยะฺ - และผู้รู้ร่างกาย, สัมโยกาทฺ - จากการรวมกันระหว่าง, ทัท วิดดิฺฺ - เธอต้องรู้, บฺะระทะ-ริชะบฺะฺ - โอ้ผู้นำแห่งบฺาระทะ
คำแปลฺ
โอ้ ผู้นำแห่งบฺาระทะ จงรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเห็นปรากฏอยู่ทั้งเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่ เป็นเพียงการรวมตัวของสนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้สนาม
คำอธิบายฺ
ทั้งธรรมชาติวัตถุและสิ่งมีชีวิตซึ่งมีอยู่ก่อนการสร้างจักรวาลอธิบายไว้ในโศลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างขึ้นมาเป็นเพียงการผสมผสานระหว่างสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติวัตถุ มีปรากฏการณ์มากมาย เช่น ต้นไม้ ภูเขา และเนินเขาซึ่งไม่เคลื่อนที่และมีสิ่งที่ปรากฏอยู่มากมายที่เคลื่อนที่ ทั้งหมดเป็นเพียงการผสมผสานของธรรมชาติวัตถุ และสิ่งมีชีวิตจะดำเนินต่อไปชั่วกัลปวสาน องค์ภควานทรงทำให้การผสมผสานกันนี้เกิดเป็นผล ดังนั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมทั้งธรรมชาติที่สูงกว่าต่ำกว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างธรรมชาติวัตถุและธรรมชาติที่สูงกว่าถูกวางลงไปในธรรมชาติวัตถุนี้ ดังนั้นกิจกรรมและปรากฏการณ์ทั้งหลายเหล่านี้จึงบังเกิดขึ้น
สะมัม สารเวชุ บํูเทชุ
ทิชฮันทัม พะระเมชวะรัมฺ
วินัชยัทสุ อวินัชยันทัม
ยะฮ พัชยะทิ สะ พัชยะทิฺ
สะมัมฺ - เสมอภาค, สารเวชฺุ - ในทั้งหมด, บํูเทชฺุ - สิ่งมีชีวิต, ทิชทัฺนทัมฺ - อาศัยอยู่, พะระมะ- อีชวะรัมฺ - องค์อภิวิญญาณ, วินัชยัทสฺุ - ในการทำลาย, อวินัชยันทัมฺ - ไม่ถูกทำลาย, ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, พัชยะทิฺ - เห็น, สะฮฺ - เขา, พัชยะทิฺ - เห็นโดยแท้จริง
คำแปลฺ
ผู้เห็นองค์อภิวิญญาณพร้อมกับปัจเจกวิญญาณในทุก ๆ ร่าง และเข้าใจว่าทั้งดวงวิญญาณและอภิวิญญาณภายในร่างกายที่สูญสลายนี้ไม่มีวันถูกทำลาย เป็นผู้เห็นโดยแท้จริง
คำอธิบายฺ
ผู้ใดคบกัลยาณมิตรจะสามารถเห็นสามสิ่งรวมกันคือ ร่างกาย เจ้าของร่างกายหรือปัจเจกวิญญาณ และสหายของปัจเจกวิญญาณ ผู้เห็นเช่นนี้เป็นผู้มีความรู้ที่แท้จริงนอกจากมาคบหาสมาคมกับผู้รู้วิชาทิพย์โดยแท้จริง มิฉะนั้น เราจะไม่สามารถเห็นสามสิ่งนี้ ผู้ที่ไม่มีการคบหาสมาคมเช่นนี้อยู่ในอวิชชา เพราะเห็นแต่เพียงร่างกายและคิดว่าเมื่อร่างกายถูกทำลายทุกสิ่งทุกอย่างก็จบลง อันที่จริงไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากร่างกายถูกทำลายลง ทั้งดวงวิญญาณและอภิวิญญาณยังคงอยู่ ทั้งคู่ยังคงดำเนินต่อไปในร่างต่าง ๆ มากมาย ทั้งเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่ คำสันสกฤต พะระเมชวะระฺ บางครั้งแปลเป็น “ปัจเจกวิญญาณ” เพราะว่าดวงวิญญาณเป็นเจ้าของร่างกาย และหลังจากร่างกายถูกทำลายลง ดวงวิญญาณจะย้ายไปสู่อีกร่างหนึ่ง เช่นนี้เขาเป็นเจ้านาย แต่มีผู้อื่นแปลคำว่า พะระเมชวะระฺ นี้เป็นอภิวิญญาณ ทั้งสองกรณี ทั้งอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณยังคงดำเนินต่อไป ทั้งคู่ไม่ถูกทำลายผู้สามารถเห็นเช่นนี้เป็นผู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
สะมัม พัชยัน ฮิ สารวะทระ
สะมะวัสทิฺทัม อีชวะรัมฺ
นะ ฮินัสทิ อาทมะนาทมานัม
ทะโท ยาทิ พะราม กะทิมฺ
สะมัมฺ - เสมอภาค, พัชยันฺ - เห็น, ฮิฺ - แน่นอน, สารวะทระฺ - ทุกหนทุกแห่ง, สะมะวัสทิฺทัมฺ - สถิตเสมอภาค, อีชวะรัมฺ - อภิวิญญาณ, นะฺ - ไม่, ฮินัสทิฺ - ตกต่ำ, อาทมะนาฺ - ด้วยจิต, อาทมานัมฺ - ดวงวิญญาณ, ทะทะฮฺ - จากนั้น, ยาทิฺ - มาถึง, พะรามฺ - ทิพย์, กะทิมฺ - จุดมุ่งหมาย
คำแปลฺ
ผู้เห็นอภิวิญญาณปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งอย่างเสมอภาคภายในทุก ๆ ชีวิต ไม่ปล่อยให้จิตของตนทำให้ตัวเองตกลงต่ำ ดังนั้น เขาจึงบรรลุถึงจุดมุ่งหมายทิพย์
คำอธิบายฺ
จากการยอมรับความเป็นอยู่ทางวัตถุ สิ่งมีชีวิตจึงมาสถิตแตกต่างจากความเป็นอยู่ทิพย์ของตน แต่เมื่อเข้าใจว่าองค์ภควานทรงสถิตในรูป พะระมาทมาฺ อยู่ทุกหนทุกแห่ง นั่นคือ หากสามารถเห็นว่าบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงปรากฏอยู่ภายในทุก ๆ ชีวิต เราจะไม่ทำตัวเองให้ตกต่ำด้วยความคิดในการทำลาย จากนั้นจะค่อย ๆพัฒนาไปสู่โลกทิพย์ โดยทั่วไปจิตใจจะเสพติดอยู่กับวิธีกรรมเพื่อสนองประสาทสัมผัสแต่เมื่อจิตใจหันไปหาองค์อภิวิญญาณ เขาจะก้าวหน้าในความเข้าใจวิถีทิพย์
พระคริทไยวะ ชะ คารมาณิ
คริยะมาณานิ สารวะชะฮฺ
ยะฮ พัชยะทิ ทะทฺาทมานัม
อคารทารัม สะ พัชยะทิฺ
พระคริทยาฺ - โดยธรรมชาติวัตถุ, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - เช่นกัน, คารมาณิฺ - กิจกรรม, คริยะ มาณานิฺ - ปฏิบัติ, สารวะชะฮฺ - ในทุก ๆ ด้าน, ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, พัชยะทิฺ - เห็น, ทะทฺฺาฺ - เช่นกัน, อาทมานัมฺ - ตัวเขา, อคารทารัมฺ - ไม่ใช่ผู้ทำ, สะฮฺ - เขา, พัชยะทิฺ - เห็นโดยสมบูรณ์
คำแปลฺ
ผู้สามารถเห็นว่ากิจกรรมทั้งหลายที่ร่างกายกระทำ ธรรมชาติวัตถุเป็นผู้สร้างและเห็นว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นผู้เห็นที่แท้จริง
คำอธิบายฺ
ร่างกายนี้ผลิตมาจากธรรมชาติวัตถุภายใต้การกำกับของอภิวิญญาณ และกิจกรรมใด ๆ ที่ดำเนินไปเกี่ยวกับร่างกาย ไม่ใช่เป็นการกระทำของตัวเรา สิ่งที่ทำไม่ว่าจะเพื่อความสุขหรือความทุกข์ เราถูกบังคับให้ทำเนื่องมากจากพื้นฐานของร่างกายอย่างไรก็ดี ตัวเราเองอยู่ภายนอกกิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้ ร่างกายนี้ได้มาตามความปรารถนาของเราในอดีต เพื่อสนองกับความต้องการเราจึงได้ร่างกายซึ่งแสดงออกไปตามนั้น อันที่จริงร่างกายคือเครื่องจักรที่องค์ภควานทรงออกแบบให้เพื่อสนองความต้องการ เนื่องมาจากความต้องการ เราจึงถูกจับให้มาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพื่อให้ได้รับความทุกข์หรือความสุข วิสัยทัศน์ทิพย์ของสิ่งมีชีวิตเมื่อพัฒนาขึ้น จะทำให้เราแยกออกมาจากกิจกรรมทางร่างกาย ผู้มีวิสัยทัศน์เช่นนี้เป็นผู้เห็นโดยแท้จริง
ยะดาบํูทะ-พริทัฺก-บฺาวัม
เอคะ-สทัฺม อนุพัชยะทิฺ
ทะทะ เอวะ ชะ วิสทารัม
บระฮมะ สัมพัดยะเท ทะดาฺ
ยะดาฺ - เมื่อ, บํูทะฺ - ของสิ่งมีชีวิต, พริทัฺค-บฺาวัมฺ - ลักษณะที่แยกออก, เอคะ-สทัฺมฺ - สถิตเป็นหนึ่ง, อนุพัชยะทิฺ - ผู้พยายามเห็นผ่านทางผู้เชื่อถือได้, ทะทะฮ เอวะฺ - หลังจากนั้น, ชะฺ - เช่นกัน, วิสทารัมฺ - ภาคแบ่งแยก, บระฮมะฺ - สมบูรณ์, สัมพัดยะเทฺ - เขาบรรลุ, ทะดาฺ - ในขณะนั้น
คำแปลฺ
เมื่อมนุษย์ผู้มีเหตุผล หยุดการเห็นลักษณะที่แตกต่างกันอันเนื่องมาจากร่างกายที่ไม่เหมือนกัน และเห็นว่าสิ่งมีชีวิตแผ่กระจายไปทุกหนทุกแห่งได้อย่างไร เขาบรรลุถึงแนวคิดบระฮมัน
คำอธิบายฺ
เมื่อเห็นว่าร่างกายต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาได้ เนื่องมาจากความต้องการที่แตกต่างกันของปัจเจกวิญญาณ และแท้ที่จริงไม่ใช่เป็นของดวงวิญญาณ เราจะเป็นผู้เห็นที่แท้จริง ในแนวคิดชีวิตทางวัตถุ เราพบบางคนเป็นเทวดา บางคนเป็นมนุษย์ เป็นสุนัข เป็นแมว ฯลฯ นี่คือวิสัยทัศน์ทางวัตถุซึ่งไม่ใช่วิสัยทัศน์ที่แท้จริง ความแตกต่างทางวัตถุนี้เนื่องมาจากแนวคิดชีวิตทางวัตถุ หลังจากร่างวัตถุถูทำลายลงดวงวิญญาณเป็นหนึ่ง เนื่องจากมาสัมผัสกับธรรมชาติวัตถุดวงวิญญาณจึงได้รับร่างกายที่แตกต่างกัน เมื่อเห็นเช่นนี้เขาบรรลุถึงวิสัยทัศน์ทิพย์ เมื่อเป็นอิสระจากความแตกต่างเช่น มนุษย์สัตว์ สูง ต่ำ ฯลฯ จิตสำนึกของเราบริสุทธิ์ขึ้นและจะพัฒนาคริชณะจิตสำนึกในบุคลิกทิพย์แห่งตนเอง เขาเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างไรนั้นจะอธิบายในโศลกต่อไป
อนาดิทวาน นิรกุณัทวาท
พะระมาทมายัม อัพยะยะฮฺ
ชะรีระ-สโทฺ ่พิ คะอุนเทยะ
นะ คะโรทิ นะ ลิพยะเทฺ
อนาดิทวาทฺ - เนื่องจากความเป็นอมตะ, นิรกุณัทวาทฺ - เนื่องจากเป็นทิพย์, พะระมะฺ - เหนือธรรมชาติวัตถุ, อาทมาฺ - ดวงวิญญาณ, อยัมฺ - นี้, อัพยะยะฮฺ - ไม่รู้จักหมด, ชะรีระ- สทฺะฮฺ - อาศัยอยู่ในร่างกาย, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, นะ คะ โรทิฺ - ไม่เคยทำสิ่งใด, นะ ลิพยะเทฺ - ไม่ถูกพันธนาการ
คำแปลฺ
พวกที่มีวิสัยทัศน์แห่งความเป็นอมตะสามารถเห็นว่าดวงวิญญาณที่ไม่มีวันสูญสลาย เป็นทิพย์ เป็นอมตะ และอยู่เหนือระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติ ถึงแม้มาสัมผัสกับร่างวัตถุ โอ้ อารจุนะ ดวงวิญญาณมิได้ทำอะไร และไม่ได้ถูกพันธนาการ
คำอธิบายฺ
สิ่งมีชีวิตดูเหมือนเกิด เนื่องมาจากการเกิดของร่างวัตถุ แต่อันที่จริงสิ่งมีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีการเกิดถึงแม้สถิตในร่างวัตถุ แต่เป็นทิพย์และเป็นอมตะ ดังนั้น สิ่งมีชีวิตจึงไม่มีวันถูกทำลาย โดยธรรมชาติจะเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติสุข และไม่ปฏิบัติตนเองในกิจกรรมทางวัตถุใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น กิจกรรมที่กระทำไปอันเนื่องจากมาสัมผัสกับร่างกายวัตถุ จะไม่สามารถพันธนาการตัวเขาได้
ยะทฺา สารวะ-กะทัม โสคชมยาด
อาคาชัม โนพะลิพยะเทฺ
สารวะทราวัสทิฺโท เดเฮ
ทะทฺาทมา โนพะลิพยะเทฺ
ยะทฺาฺ - เหมือนกับ, สารวะ-กะทัมฺ - แผ่กระจายไปทั่ว, โสคชมยาทฺ - เนื่องจากความละเอียดอ่อน, อาคาชัมฺ - ท้องฟ้า, นะฺ - ไม่เคย, อุพะลิพยะเทฺ - ผสม, สารวะทระฺ - ทุกหนทุกแห่ง, อวัสทิฺทะฮ-สถิต, เดเฮฺ - ในร่างกาย, ทะทฺาฺ - ดังนั้น, อาทมาฺ - ตัวเขา, นะฺ - ไม่เคย, อุพะลิพยะเทฺ - ผสม
คำแปลฺ
เนื่องด้วยธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน ท้องฟ้ามิได้ผสมกับสิ่งใด ถึงแม้จะแผ่กระจายไปทั่ว ในทำนองเดียวกัน ดวงวิญญาณผู้สถิตในวิสัยทัศน์บระฮมัน ก็มิได้ผสมกับร่างกาย ถึงแม้สถิตในร่างกายนั้น
คำอธิบายฺ
ลมเข้าไปในน้ำ เข้าไปในดิน ในอุจจาระ และในทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงกระนั้นลมก็มิได้ผสมกับสิ่งใด ในทำนองเดียวกัน สิ่งมีชีวิตถึงแม้สถิตในร่างกายต่าง ๆ แต่ก็อยู่ห่างจากร่างกายเหล่านี้ เนื่องจากธรรมชาติอันละเอียดอ่อน ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นด้วยดวงตาวัตถุว่าสิ่งมีชีวิตมาสัมผัสกับร่างนี้ได้อย่างไร และเราจะออกจากร่างนี้ได้อย่างไรหลังจากร่างนี้ถูกทำลายลง ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้
ยะทฺา พระคาชะยะทิ เอคะฮ
คริทสนัม โลคัม อิมัม ระวิฮฺ
คเชทรัม คเชทรี ทะทฺา คริทสนัม
พระคาชะยะทิ บฺาระทะฺ
ยะทฺาฺ - เหมือน, พระคาชะยะทิฺ - ส่องแสง, เอคะฮฺ - หนึ่ง, คริทสนัมฺ - ทั้งหมด, โลคัมฺ - จักรวาล, อิมัมฺ - นี้, ระวิฮฺ - ดวงอาทิตย์, คเชทรัมฺ - ร่างกายนี้, คเชทรีฺ - ดวงวิญญาณ, ทะทฺาฺ - ในทำนองเดียวกัน, คริทสนัมฺ - ทั้งหมด, พระคาชะยะทิฺ - ส่องแสง, บฺาระทะฺ - โอ้โอรสแห่งบฺาระทะ
คำแปลฺ
โอ้ โอรสแห่งบฺาระทะ ดังเช่นดวงอาทิตย์ดวงเดียวส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งจักรวาลนี้ สิ่งมีชีวิตภายในร่างกายก็เช่นเดียวกัน แผ่กระจายไปทั่วร่างกายด้วยจิตสำนึก
คำอธิบายฺ
มีทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับจิตสำนึก ใน ภควัต-คีตาฺ ได้ให้ตัวอย่างดวงอาทิตย์และแสงอาทิตย์ เสมือนดังดวงอาทิตย์สถิต ณ ที่นี้แต่ส่องแสงไปทั่วทั้งจักรวาล ละอองเล็ก ๆ ของดวงวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้สถิตในหัวใจของร่างกายนี้ แต่ส่องแสงไปทั่วร่างกายด้วยจิตสำนึก ฉะนั้น จิตสำนึกคือข้อพิสูจน์การปรากฏของดวงวิญญาณเช่นเดียวกับรัศมีหรือแสงอาทิตย์ พิสูจน์ให้เห็นถึงการปรากฏของดวงอาทิตย์ เนื่องจากดวงวิญญาณอยู่ในร่าง จึงทำให้มีจิตสำนึกไปทั่วร่างกาย ทันทีที่ดวงวิญญาณออกจากร่าง จะไม่มีจิตสำนึกอีกต่อไป ผู้ใดมีปัญญาจะสามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้โดยง่าย ฉะนั้นจิตสำนึกไม่ใช่ผลผลิตจากการมารวมตัวกันของวัตถุ แต่เป็นลักษณะอาการของสิ่งมีชีวิต จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตถึงแม้ว่ามีคุณสมบัติเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตสำนึกสูงสุด ตัวเขาไม่ใช่จิตสำนึกสูงสุด เพราะว่าจิตสำนึกของร่างหนึ่งโดยเฉพาะไม่ได้แบ่งความรู้สึกไปให้อีกร่างหนึ่ง แต่องค์อภิวิญญาณผู้สถิตในทุก ๆ ร่างในฐานะที่เป็นสหายของปัจเจกวิญญาณ มีจิตสำนึกของทุก ๆ ร่าง นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างจิตสำนึกสูงสุดและปัจเจกจิตสำนึก
คเชทระ-คเชทระกยะโยร เอวัม
อันทะรัม กยานะ-ชัคชุชาฺ
บํูทะ-พระคริทิ-โมคชัม ชะ
เย วิดุร ยานทิ เท พะรัมฺ
คเชทระฺ - ของร่างกาย, คเชทระ-กยะโยฮฺ - ของเจ้าของร่างกาย, เอวัมฺ - ดังนั้น, อันทะ รัมฺ - แตกต่าง, กยานะ-ชัคชุชาฺ - ด้วยวิสัยทัศน์แห่งความรู้, บํูทะฺ - ของสิ่งมีชีวิต, พระคริทิฺ-จากธรรมชาติวัตถุ, โมคชัมฺ - ความหลุดพ้น, ชะฺ - เช่นกัน, เยฺ - พวกซึ่ง, วิดุฮ-รู้, ยาน ทิฺ - เข้าพบ, เทฺ - พวกเขา, พะรัมฺ - องค์ภควาน
คำแปลฺ
พวกที่เห็นด้วยดวงตาแห่งความรู้ ถึงข้อแตกต่างระหว่างร่างกายและผู้รู้ร่างกายและยังสามารถเข้าใจวิธีกรรมแห่งความหลุดพ้นจากพันธนาการในธรรมชาติวัตถุ บรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุด
คำอธิบายฺ
คำอธิบายของบทที่สิบสามนี้คือ เราควรรู้ข้อแตกต่างระหว่างร่างกาย เจ้าของร่างกาย และองค์อภิวิญญาณ เราควรรู้วิธีการเพื่อความหลุดพ้น ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกแปดถึงโศลกสิบสอง จากนั้น เราจะสามารถไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุด
บุคคลผู้มีความศรัทธา ก่อนอื่นควรคบหากัลยาณมิตรเพื่อสดับฟังเกี่ยวกับองค์ภควาน และค่อย ๆ ได้รับแสงสว่าง หากยอมรับพระอาจารย์ทิพย์ เราจะเรียนรู้ข้อแตกต่างระหว่างวัตถุและดวงวิญญาณ และความรู้นี้จะกลายมาเป็นขั้นบันไดเพื่อความรู้แจ้งทิพย์ต่อไป คำสั่งสอนมากมายจากพระอาจารย์ทิพย์เพื่อให้เราเป็นอิสระจากแนวคิดชีวิตทางวัตถุ ตัวอย่างเช่นใน ภควัต-คีตาฺ เราพบว่าคริชณะทรงสั่งสอนอารจุนะให้เป็นอิสระจากการพิจารณาทางวัตถุ
เราสามารถเข้าใจว่าร่างกายนี้เป็นวัตถุ วิเคราะห์ได้ว่ามียี่สิบสี่ธาตุ ร่างกายเป็นปรากฏการณ์ที่หยาบ ปรากฏการณ์ที่ละเอียดคือจิตใจและผลกระทบทางจิตวิทยาลักษณะอาการของชีวิตคือผลกระทบซึ่งกันและกันของปัจจัยเหล่านี้ แต่เหนือไปจากนี้มีดวงวิญญาณและยังมีอภิวิญญาณ ดวงวิญญาณและอภิวิญญาณเป็นสอง โลกวัตถุนี้ทำงานด้วยการร่วมกันของดวงวิญญาณและธาตุวัตถุทั้งยี่สิบสี่ ผู้ที่สามารถเห็นหลักพื้นฐานของปรากฏการณ์ทางวัตถุทั้งหมดว่าเป็นการรวมกันของดวงวิญญาณและธาตุวัตถุ และยังสามารถเห็นสถานภาพของดวงวิญญาณสูงสุด ได้กลายมาเป็นผู้มีสิทธิ์เพื่อโอนย้ายไปสู่โลกทิพย์ สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อการเพ่งพิจารณาดู เพื่อความรู้แจ้งและเราควรเข้าใจบทนี้โดยสมบูรณ์ด้วยการช่วยเหลือจากพระอาจารย์ทิพย์
ดังนั้น ได้จบคำอธิบายโดย บัฺคธิเวดันธะ บทที่สิบสามของหนังสือฺ ชรีมัด บฺะกะวัด-กีทา ในหัวข้อเรื่องธรรมชาติ ผู้รื่นเริง และจิตสำนึกฺ