ภควัต-คีตา ฉบับเดิม

บทที่ สิบสาม

ธรรมชาติ ผู้รื่นเริง
และจิตสำนึก

โศลก 1-2

อารจุนะ อุวาชะฺ
พระคริทิม พุรุชัม ไชวะ
คเชทรัม คเชทระ-กยัม เอวะ ชะฺ

เอทัด เวดิทุม อิชชฺามิ
กยานัม กเยยัม ชะ เคชะวะฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
อิดัม ชะรีรัม คะอุนเทยะ
คเชทรัม อิทิ อบิฺดีฺยะเทฺ

เอทัด โย เวททิ ทัม พราฮุฮ
คเชทระ-กยะ อิทิ ทัด-วิดะฮฺ

อารจุนะฮ อุวาชะฺ  -  อารจุนะตรัสว่า, พระคริทิมฺ  -  ธรรมชาติ, พุรุชัมฺ  -  ผู้รื่นเริง, ชะฺ  -  เช่นกัน, เอวะฺ  -  แน่นอน, คเชทรัมฺ  -  สนาม, คเชทระ-กยัมฺ  -  ผู้รู้สนาม, เอวะฺ  -  แน่นอน, ชะฺ  -  เช่นกัน, เอทัทฺ  -  ทั้งหมดนี้, เวดิทุมฺ  -  เข้าใจ, อิชชฺามิฺ  -  ข้าพเจ้าปรารถนา, กยานัมฺ  -  ความรู้, กเยยัมฺ  -  เป้าหมายของความรู้, ชะฺ  -  เช่นกัน, เคชะวะฺ  -  โอ้ คริชณะ, ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ  -  องค์ภควานตรัส, อิดัมฺ  -  นี้, ชะรีรัมฺ  -  ร่างกาย, คะอุนเทยะฺ  -  โอ้ โอรสพระนางคุนที, คเช- ทรัมฺ  -  สนาม, อิทิฺ  -  ดังนั้น, อบิฺดีฺยะเทฺ  -  เรียกว่า, เอทัทฺ  -  นี้, ยะฮฺ  -  ผู้ซึ่ง, เวททิฺ  -  รู้, ทัมฺ  -  เขา, พราฮุฮฺ  -  เรียกว่า, คเชทระ-กยะฮฺ  -  ผู้รู้สนาม, อิทิฺ  -  ดังนั้น, ทัท-วิดะฮฺ  -  โดยพวกที่รู้สิ่งนี้

คำแปลฺ

อารจุนะตรัสว่า  โอ้  คริชณะที่รัก  ข้าปรารถนาจะรู้เกี่ยวกับพระคริทิ  (ธรรมชาติ)พุรุชะ  (ผู้รื่นเริง)  สนาม  และผู้รู้สนาม  ความรู้  และจุดมุ่งหมายแห่งความรู้องค์ภควานตรัสว่า  โอ้  โอรสพระนางคุนที  ร่างกายนี้เรียกว่าสนาม  และผู้ที่รู้ร่างกายนี้เรียกว่าผู้รู้สนาม

คำอธิบายฺ

อารจุนะทรงถามเกี่ยวกับ  พระคริทิฺ  (ธรรมชาติ)  พุรุชะฺ  (ผู้รื่นเริง)  คเชทระฺ(สนาม)  คเชทระ-กยะฺ  (ผู้รู้สนาม)  ความรู้และจุดมุ่งหมายแห่งความรู้  เมื่อทรงถามทั้งหมดนี้  คริชณะตรัสว่า  ร่างกายนี้เรียกว่าสนาม  และผู้รู้ร่างกายนี้เรียกว่าผู้รู้สนามร่างกายนี้เป็นสนามแห่งกิจกรรมสำหรับพันธวิญญาณ  พันธวิญญาณได้มาติดกับอยู่ในความเป็นอยู่ทางวัตถุ  พยายามเป็นเจ้าและครอบครองธรรมชาติวัตถุตามกำลังความสามารถของตน  จึงได้รับสนามแห่งกิจกรรม  สนามแห่งกิจกรรมนี้คือร่างกายและร่างกายนี้คืออะไร?  ร่างกายประกอบไปด้วยประสาทสัมผัสต่าง  ๆ  พันธวิญญาณปรารถนาจะรื่นเริงอยู่กับการสนองประสาทสัมผัส  ตามกำลังความสามารถที่จะรื่นเริงกับการสนองประสาทสัมผัส  เราจึงได้รับร่างกายหรือสนามแห่งกิจกรรมมา  ดังนั้นร่างกายจึงเรียกว่า  คเชทระฺ  หรือสนามแห่งกิจกรรมสำหรับพันธวิญญาณ  เช่นนี้บุคคลที่สำคัญตนเองกับร่างกายเรียกว่า  คเชทระ-กยะฺ  หรือผู้รู้สนาม  มิใช่เป็นสิ่งลำบากที่จะเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างสนามและผู้รู้สนาม  ร่างกายและผู้รู้ร่างกาย  ใคร  ๆ  ก็สามารถพิจารณาได้  ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา  เราได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมามากมาย  ถึงกระนั้น  เรายังคงเป็นบุคคลคนเดียวกัน  ดังนั้น  จึงมีข้อแตกต่างระหว่างผู้รู้สนามแห่งกิจกรรมและตัวสนามแห่งกิจกรรม  พันธวิญญาณผู้มีชีวิตสามารถเข้าใจว่าตนเองแตกต่างไปจากร่างกายได้อธิบายไว้ในตอนต้นว่า  -เดฮิโน  ่สมินฺ-  สิ่งมีชีวิตอยู่ภายในร่างกาย  และร่างกายเปลี่ยนแปลงจากทารกมาเป็นเด็ก  จากเด็กมาเป็นหนุ่มสาวและจากหนุ่มสาวมาเป็นผู้สูงอายุ  ผู้ที่เป็นเจ้าของร่างกายรู้ว่าร่างกายนี้เปลี่ยนแปลงเจ้าของคือ  คเชทระ-กยะฺ  ที่แตกต่างออกไป  บางครั้งเราคิดว่า  “ฉันมีความสุข”  “ฉันเป็นผู้ชาย”  “ฉันเป็นผู้หญิง”  “ฉันเป็นสุขนัข”  “ฉันเป็นแมว”  เหล่านี้เป็นชื่อระบุทางร่างกายของผู้รู้  แต่ผู้รู้แตกต่างไปจากร่างกาย  ถึงแม้ว่าเราอาจใช้สิ่งของมากมายเช่นเสื้อผ้าอาภรณ์ต่าง  ๆ  ฯลฯ  แต่เรารู้ว่าตัวเราแตกต่างไปจากสิ่งของที่เราใช้  ในทำนองเดียวกัน  จากการพิจารณาเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้ว่าเราแตกต่างไปจากร่างกายอาตมา  ท่าน  หรือผู้ใดที่เป็นเจ้าของร่างกายเรียกว่า  คเชทระ-กยะฺ  หรือผู้รู้สนามแห่งกิจกรรม  และร่างกายเรียกว่า  คเชทระฺ  หรือตัวสนามแห่งกิจกรรม

ในหกบทแรกของ  ภควัต-คีตาฺ  ได้อธิบายถึงผู้รู้ร่างกาย  (สิ่งมีชีวิต)  และตำแหน่งที่เขาสามารถเข้าใจองค์ภควาน  ในหกบทกลางของ  ภควัต-คีตาฺ  ได้อธิบายถึงบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าและความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการอุทิศตนเสียสละรับใช้  ได้นิยามสถานภาพที่สูงกว่าขององค์ภควาน  และสถานภาพที่ด้อยกว่าของปัจเจกวิญญาณอย่างชัดเจนในบทเหล่านี้  เนื่องจากลืมไปว่าตนเองด้อยกว่าในทุก  ๆ  สถานการณ์  สิ่งมีชีวิตจึงได้รับทุกข์  เมื่อสว่างไสวขึ้นด้วยบุญบารมี  สิ่งมีชีวิตจึงเข้าพบองค์ภควานในสภาวะที่แตกต่างกัน  เช่น  สภาวะที่มีความทุกข์สภาวะที่ต้องการเงิน  สภาวะชอบถาม  และสภาวะที่แสวงหาความรู้  ซึ่งได้อธิบายไว้เช่นกัน  เริ่มจากบทที่สิบสามจะอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตมาสัมผัสกับธรรมชาติวัตถุได้อย่างไร  และองค์ภควานทรงจัดส่งเขาด้วยวิธีต่าง  ๆ  อย่างไร  โดยผ่านทางกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุการพัฒนาความรู้  และการปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้  ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตแตกต่างจากร่างกายวัตถุโดยสิ้นเชิง  แต่ก็มีความสัมพันธ์กัน  ประเด็นนี้ได้อธิบายไว้เช่นเดียวกัน

โศลก 3

คเชทระ-กยัม ชาพิ มาม วิดดิฺ
สารวะ-คเชเทรชุ บฺาระทะฺ

คเชทระ-คเชทระยะโยร กยานัม
ยัท ทัจ กยานัม มะทัม มะมะฺ

คเชทระ-กยัมฺ  -  ผู้รู้สนาม, ชะฺ  -  เช่นกัน, อพิฺ  -  แน่นอน, มามฺ  -  ข้า, วิดดิฺฺ  -  รู้, สารวะฺ  -  ทั้งหมด, คเชเทรชฺุ  -  ในสนามแห่งร่างกาย, บฺาระทะฺ  -  โอ้ โอรสแห่ง บฺาระทะ, คเชทระฺ  -  สนามแห่งกิจกรรม (ร่างกาย), คเชทระ-กยะโยฮฺ  -  และผู้รู้สนาม, กยานัมฺ  -  ความรู้แห่ง, ยัทฺ  -  ซึ่ง, ทัทฺ  -  นั้น, กยานัมฺ  -  ความรู้, มะทัมฺ  -  ความเห็น, มะมะฺ  -  ของข้า

คำแปลฺ

โอ้  ผู้สืบราชวงศ์แห่งบฺาระทะ  เธอควรเข้าใจว่าข้าเป็นผู้รู้ร่างกายทั้งหมดเช่นกันการเข้าใจร่างกายและผู้รู้ร่างกายนี้เรียกว่าความรู้  นั่นคือความเห็นของข้า

คำอธิบายฺ

ขณะที่สนทนาถึงประเด็นเรื่องร่างกายและผู้รู้ร่างกาย  วิญญาณและอภิวิญญาณ  เราจะพบสามประเด็นในการศึกษาคือ  องค์ภควาน  สิ่งมีชีวิต  และวัตถุ  ในทุก  ๆสนามแห่งกิจกรรม  หรือในทุกร่างกายจะมีดวงวิญญาณอยู่สองดวงคือ  ปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณ  เพราะว่าอภิวิญญาณทรงเป็นภาคแบ่งแยกขององค์ภควานคริชณะคริชณะตรัสว่า  “ข้าเป็นผู้รู้เช่นกัน  แต่ไม่ใช่ปัจเจกผู้รู้แห่งร่างกาย  ข้าคืออภิผู้รู้ที่ประทับอยู่ในทุก  ๆ  ร่างกายในรูปของ  พระระมาทมาฺ  หรืออภิวิญญาณ”

ผู้ที่ศึกษาประเด็นของสนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้สนามอย่างละเอียดถี่ถ้วนตาม  ภควัต-คีตาฺ  นี้  จะสามารถบรรลุถึงความรู้

องค์ภควานตรัสว่า  “ข้าคือผู้รู้ของสนามแห่งกิจกรรมในทุกๆ  ปัจเจกร่างกาย”ปัจเจกวิญญาณอาจเป็นผู้รู้ร่างกายของตนเอง  แต่จะไม่มีความรู้ร่างกายของผู้อื่น  องค์ภควานทรงประทับอยู่ในทุก  ๆ  ร่างกายในฐานะอภิวิญญาณ  พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับทุก  ๆ  ร่างกาย  และทรงทราบร่างกายที่แตกต่างกันทั้งหมดของเผ่าพันธุ์อันหลากหลายแห่งชีวิตทั้งหลาย  ประชาชนอาจรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับผืนแผ่นดินของตนเท่านั้น  แต่พระเจ้าแผ่นดินทรงทราบไม่เพียงแต่พระราชวังของพระองค์  แต่ยังทรงทราบถึงแผ่นดินในราชอาณาจักรทุกแปลงที่ปัจเจกชนครอบครอง  ในทำนองเดียวกัน  เราอาจเป็นเจ้าของปัจเจกร่างกาย  แต่องค์ภควานทรงเป็นเจ้าของร่างกายทั้งหมด  พระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นเจ้าขององค์แรกของราชอาณาจักร  และประชาชนเป็นเจ้าของรองลงมา  ในลักษณะเดียวกัน  องค์ภควานทรงเป็นเจ้าของสูงสุดของร่างกายทั้งหมด

ร่างกายประกอบไปด้วยประสาทสัมผัสต่าง  ๆ  องค์ภควานคือ  ฮริชีเคชะฺ  ซึ่งหมายความว่า  “ผู้ควบคุมประสาทสัมผัส”  พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมประสาทสัมผัสองค์แรกเหมือนกับพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงเป็นผู้ควบคุมองค์แรกแห่งกิจกรรมทั้งหลายในรัฐ  ประชาชนเป็นผู้ควบคุมรองลงมา  องค์ภควานตรัสว่า  “ข้าคือผู้รู้เช่นกัน”  หมายความว่า  พระองค์ทรงเป็นผู้รู้สูงสุด  ปัจเจกวิญญาณรู้เฉพาะร่างกายของตนเองเท่านั้น  ในวรรณกรรมพระเวทได้กล่าวไว้ดังนี้

คเชทราณิ ฮิ ชะรีราณิ
บีจัม ชาพิ ชุบฺาชุเบฺฺ

ทานิ เวททิ สะ โยกาทมา
ทะทะฮ คเชทระ-กยะ อุชยะเทฺ

ร่างกายนี้เรียกว่าคเชทระฺ  องค์ภควานและเจ้าของร่างกายอยู่ภายในร่างกายนี้  พระองค์ทรงทราบทั้งร่างกายและเจ้าของร่างกาย  ดังนั้น  องค์ภควานทรงถูกเรียกว่าเป็นผู้รู้สนามทั้งหมด  ข้อแตกต่างระหว่างสนามแห่งกิจกรรม  ผู้รู้กิจกรรม  และผู้รู้สูงสุดแห่งกิจกรรมได้อธิบายไว้ดังนี้  ความรู้ที่สมบูรณ์แห่งพื้นฐานของร่างกาย  พื้นฐานของปัจเจกวิญญาณและพื้นฐานของอภิวิญญาณ  วรรณกรรมพระเวทเรียกว่า  กยานะฺ  นั่นคือความเห็นของคริชณะ  การเข้าใจทั้งดวงวิญญาณและอภิวิญญาณว่าเป็นหนึ่งแต่ก็ไม่เหมือนกันเรียกว่าความรู้  ผู้ที่ไม่เข้าใจสนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้กิจกรรมไม่มีความรู้ที่สมบูรณ์  เราต้องเข้าใจสถานภาพของพระคริทิ(ธรรมชาติ)  พุรุชะฺ  (ผู้รื่นเริงแห่งธรรมชาติ)  และ  อิชวะระฺ(ผู้รู้ที่ครอบครองหรือควบคุมธรรมชาติและปัจเจกวิญญาณ)  ไม่ควรสับสนกับศักยภาพที่แตกต่างกันของทั้งสามนี้  เราไม่ควรสับสนเกี่ยวกับจิตรกร  ภาพวาด  และขาตั้งภาพโลกวัตถุซึ่งเป็นสนามแห่งกิจกรรมนี้คือธรรมชาติ  ผู้รื่นเริงกับธรรมชาติคือสิ่งมีชีวิต  และเหนือไปกว่าทั้งสองคือผู้ควบคุมสูงสุดองค์ภควาน  ได้กล่าวไว้ในภาษาพระเวท  (ชเวทา  ชวะทะระ  อุพะนิชัดฺ  1.12)  ว่า  :  โบฺคทา  โบฺกยัม  เพรริทารัม  ชะ  มัทวา/  สารวัม  โพรคทัม  ทริ-วิดัฺม  บระฮมัน  เอทัทฺ  มีสามแนวคิดเกี่ยวกับ  บระฮมันฺ  คือ  พระคริทิฺ  เป็น  บระฮ-  มันฺ  ของสนามแห่งกิจกรรม  และ  จีวะฺ  (ปัจเจกวิญญาณ)  เป็น  บระฮมันฺ  เช่นกันและเขาพยายามควบคุมธรรมชาติวัตถุ  และผู้ควบคุมทั้งสองก็เป็นบระฮมัน  แต่องค์ภควานคือผู้ควบคุมที่แท้จริง

ในบทนี้จะอธิบายว่าทั้งสองคือผู้รู้  ผู้หนึ่งมีข้อผิดพลาด  และอีกผู้หนึ่งไร้ข้อผิดพลาด  ผู้หนึ่งเหนือกว่า  และอีกผู้หนึ่งด้อยกว่า  ผู้เข้าใจสองผู้รู้แห่งสนามว่าเป็นหนึ่งเดียวกันและเหมือนกัน  เป็นผู้ที่ขัดแย้งกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าซึ่งตรัสไว้อย่างชัดเจน  ณ  ที่นี้ว่า  “ข้าคือผู้รู้ของสนามแห่งกิจกรรมเช่นกัน”  ผู้เข้าใจผิดว่าเชือกคืองูเป็นผู้ไม่มีความรู้  มีร่างกายแตกต่างกันและมีเจ้าของร่างกายที่แตกต่างกัน  เนื่องจากแต่ละปัจเจกวิญญาณมีปัจเจกศักยภาพในการเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุ  จึงมีร่างกายที่แตกต่างกัน  แต่องค์ภควานทรงประทับอยู่ภายในพวกเขาในฐานะผู้ควบคุม  คำว่า  ชะฺ  มีความสำคัญ  แสดงถึงจำนวนของร่างกายทั้งหมด  นั่นคือความเห็นของ  ชรีละ  บะละเดวะวิดยาบูชะณะ  คริชณะทรงเป็นอภิวิญญาณในแต่ละและทุก  ๆ  ร่างกายซึ่งแตกต่างไปจากปัจเจกวิญญาณ  พระองค์ตรัสอย่างชัดเจน  ณ  ที่นี้ว่า  อภิวิญญาณทรงเป็นผู้ควบคุมทั้งสนามแห่งกิจกรรมและผู้รื่นเริงที่มีขีดจำกัด

โศลก 4

ทัท คเชทรัม ยัช ชะ ยาดริค ชะ
ยัด-วิคาริ ยะทัช ชะ ยัทฺ

สะ ชะ โย ยัท-พระบฺาวัช ชะ
ทัท สะมาเสนะ เม ชริณฺุ

ทัทฺ  -  นั้น, คเชทรัมฺ  -  สนามแห่งกิจกรรม, ยัทฺ  -  อะไร, ชะฺ  -  เช่นกัน, ยาดริคฺ  -  เหมือนเดิม, ชะฺ  -  เช่นกัน, ยัทฺ  -  มีอะไร, วิคาริฺ  -  เปลี่ยนแปลง. ยะทะฮฺ  -  จากอะไร, ชะฺ  -  เช่นกัน, ยัทฺ  -  อะไร, สะฮฺ  -  เขา, ชะฺ  -  เช่นกัน, ยะฮฺ  -  ผู้ซึ่ง, ยัทฺ  -  มีอะไร, พระบฺาวะฮฺ  -  อิทธิพล, ชะฺ  -  เช่นกัน, ทัทฺ  -  นั้น, สะมาเสนะฺ  -  โดยสรุป, เมฺ  -  จากข้า, ชริณฺุ  -  เข้าใจ

คำแปลฺ

บัดนี้จงฟังคำอธิบายโดยย่อจากข้าเกี่ยวกับสนามแห่งกิจกรรมนี้ว่าประกอบขึ้นอย่างไร  เปลี่ยนแปลงอย่างไร  ผลิตมาจากไหน  ใครคือผู้รู้สนามแห่งกิจกรรมและอิทธิพลของมันเป็นอย่างไร

คำอธิบายฺ

องค์ภควานทรงอธิบายถึงสนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้สนามแห่งกิจกรรมในสถานภาพเดิมแท้  เราต้องรู้วัตถุที่ผลิตร่างกายนี้ขึ้นมา  รู้ว่าร่างกายนี้ประกอบขึ้นอย่างไร  ใครคือผู้ควบคุมร่างกายนี้ให้ทำงาน  การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้อย่างไร  การเปลี่ยนแปลงมาจากไหน  อะไรคือสาเหตุ  อะไรคือเหตุผล  อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดของปัจเจกวิญญาณและรูปลักษณ์อันแท้จริงของปัจเจกวิญญาณคืออะไร  เราควรรู้ข้อแตกต่างระหว่างปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณ  อิทธิพลและศักยภาพที่แตกต่างของทั้งสอง  ฯลฯ  เราเพียงแต่ต้องเข้าใจ  ภควัต-คีตาฺ  นี้โดยตรงจากดำรัสของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  และทั้งหมดนี้จะชัดเจนขึ้น  แต่เราต้องระวังที่จะไม่พิจารณาว่าองค์ภควานผู้ทรงประทับในทุก  ๆ  ร่างเป็นหนึ่งเดียวกับ  จีวะฺ  หรือปัจเจกวิญญาณ  เช่นนี้เหมือนกับการเปรียบเทียบผู้มีอำนาจและผู้ไม่มีอำนาจว่าเท่าเทียมกัน

โศลก 5

ริชิบิฺร บะฮุดฺา กีทัม
ชฺานโดบิฺร วิวิไดฺฮ พริทัฺคฺ

บระฮมะ-สูทระ-พะไดช ไชวะ
เฮทุมัดบิฺร วินิชชิไทฮฺ

ริชิบิฺฮฺ  -  โดยปราชญ์ผู้มีปัญญา, บะฮุดฺาฺ  -  ในหลายทาง, กีทัมฺ  -  อธิบาย, ชัฺนโดบิฺฮฺ  -  โดยบทมนต์พระเวท, วิวิไดฺฮฺ  -  ต่าง ๆ, พริทัฺคฺ  -  แตกต่างกัน, บระฮมะ-สูทระฺ  -  ของเวดานธะ, พะไดฮฺ  -  โดยคำพังเพย, ชะฺ  -  เช่นกัน, เอวะ-แน่นอน, เฮทุ-มัดบิฺฮฺ  -  ด้วยเหตุและผล, วินิช ชิไทฮฺ  -  แน่นอน

คำแปลฺ

ความรู้สนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้กิจกรรมนั้น  นักปราชญ์หลายท่านได้อธิบายไว้ในบทความพระเวทต่าง  ๆ  ได้แสดงไว้โดยเฉพาะใน  เวดานธะ-สูทระ  ด้วยวิจารณญาณทั้งหมดของเหตุและผล

คำอธิบายฺ

องค์ภควานคริชณะทรงเป็นผู้เชื่อถือได้สูงสุดในการอธิบายความรู้นี้  ถึงกระนั้นเพื่อเป็นการศึกษา  นักวิชาการผู้คงแก่เรียนและผู้เชื่อถือได้ที่มีมาตรฐานจะอ้างอิงหลักฐานจากผู้เชื่อถือได้ในอดีตเสมอ  คริชณะทรงอธิบายถึงประเด็นที่ขัดแย้งกันมากที่สุดนี้  ซึ่งเกี่ยวกับปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณว่าเป็นหนึ่งดวงหรือสองดวง  โดยอ้างอิงคัมภีร์  เวดานธะฺ  ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเชื่อถือได้  ก่อนอื่นพระองค์ตรัสว่า  “เช่นนี้ตามนักปราชญ์ต่าง  ๆ”  เกี่ยวกับนักปราชญ์ต่าง  ๆ  นอกจากตัวพระองค์เอง  วิยาสะเดวะ(ผู้เขียน  เวดานธะ-สูทระฺ)  เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่  ความเป็นสองดวงนี้ได้อธิบายไว้อย่างสมบูรณ์ใน  เวดานธะ-สูทระฺ  พะราชะระผู้เป็นบิดาของวิยาสะเดวะก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่  ได้เขียนในหนังสือศาสนาของท่านว่า  อฮัม  ทวัม  ชะ  ทะทฺานเยฺ  ...  “พวกเรา  ท่าน  ข้าพเจ้า  และสิ่งมีชีวิต  ทั้งหมดเป็นทิพย์แม้อยู่ในร่างกายวัตถุ  บัดนี้เราตกลงมาอยู่ในวิถีทางของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุตามกรรมที่แตกต่างกันไป  ดังนั้น  บางคนอยู่ในระดับที่สูงกว่า  และบางคนอยู่ในธรรมชาติที่ต่ำกว่า  ธรรมชาติที่สูงกว่าและต่ำกว่าดำเนินไปก็เนื่องมาจากอวิชชา  และจะปรากฏอยู่ในจำนวนสิ่งมีชีวิตที่นับไม่ถ้วน  แต่อภิวิญญาณผู้ไม่มีความผิดพลาด  ไม่มีมลทินจากสามระดับแห่งธรรมชาติ  พระองค์ทรงเป็นทิพย์”  ทำนองเดียวกัน  ในคัมภีร์พระเวทฉบับเดิม  ข้อแตกต่างระหว่างดวงวิญญาณอภิวิญญาณ  และร่างกายได้กล่าวไว้โดยเฉพาะใน  คะทฺะ  อุพะนิชัดฺ  มีนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มากมายได้อธิบายไว้  และพะราชะระพิจารณาว่าเป็นบุคคลสำคัญในบรรดานักปราชญ์เหล่านี้

คำว่า  ชัฺนโดบิฺฮฺ  หมายถึง  วรรณกรรมพระเวทต่าง  ๆ  ตัวอย่างเช่น  ไททิรียะ  อุพะนิชัดฺ  ซึ่งแยกออกมาจาก  ยะจุรเวดะฺ  อธิบายถึงธรรมชาติ  สิ่งมีชีวิต  และองค์ภควาน

ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า  คเชทระฺ  คือสนามแห่งกิจกรรม  และมีสอง  คเชทระ-กยะฺคือปัจเจกดวงชีวิต  และดวงชีวิตสูงสุด  ดังที่ได้กล่าวไว้ใน  ไททิรียะ  อุพะนิชัดฺ  (2.9)  บระฮ-  มะ  พุชชัฺม  พระทิชทฺาฺ  มีปรากฎการณ์แห่งพลังงานขององค์ภควานเรียกว่า  อันนะ-มะยะฺซึ่งขึ้นอยู่กับอาหารเพื่อดำรงอยู่  เช่นนี้เป็นความรู้แจ้งแห่งองค์ภควานทางวัตถุ  จากนั้นใน  พราณะ-มะยะฺ  หลังจากรู้แจ้งสัจธรรมสูงสุดในอาหารเราสามารถรู้แจ้งสัจธรรมในอาการชีวิตหรือรูปลักษณ์ชีวิต  ใน  กยานะ-มะยะฺ  การรู้แจ้งขยายไปสูงกว่าอาการชีวิตโดยมาถึงจุดแห่งความคิด  ความรู้สึก  และความเต็มใจ  จากนั้นก็มีความรู้แจ้ง  บระฮ  มันฺ  เรียกว่า  วิกยานะ-มะยะ  ซึ่งจิตใจและอาการชีวิตของสิ่งมีชีวิตแตกต่างไปจากตัวสิ่งมีชีวิตเอง  ถัดไปเป็นระดับสูงสุดคือ  อนันดะฺ-มะยะฺ  รู้แจ้งแห่งธรรมชาติความปลื้มปีติสุขทั้งหมด  ดังนั้น  มีความรู้แจ้งแห่ง  บระฮมันฺ  ห้าระดับเรียกว่า  บระฮมะ  พุชชัฺมฺ  ทั้งหมดนี้สามระดับแรก  อันนะ-มะยะ,  พราณะ-มะยะ,  และกยานะ-มะยะฺ  เกี่ยวข้องกับสนามแห่งกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตผู้ที่เป็นทิพย์เหนือสนามแห่งกิจกรรมทั้งหมดเหล่านี้คือ  องค์ภควานสูงสุดซึ่งเรียกว่า  อานันดะ-มะยะ,  เวดานธะ-สูทระฺ  ยังอธิบายถึงพระองค์ด้วยการกล่าวว่า  อานันดะ-มะโย  ่บฺยาสารทฺ  องค์ภควานโดยธรรมชาติทรงเปี่ยมไปด้วยความรื่นเริงเพื่อเสวยสุขกับความสุขเกษมสำราญทิพย์ของพระองค์  พระองค์ทรงแบ่งแยกมาเป็น  วิกยานะ-มะยะ,  พราณะ-มะยะ,  กยานะ-มะยะ  และ  อันนะ-มะยะฺ  ในสนามแห่งกิจกรรม  สิ่งมีชีวิตถือว่าเป็นผู้รื่นเริง  ที่แตกต่างไปจากตัวเขาคือ  อานันดะ-มะยะฺนั่นหมายความว่าหากสิ่งมีชีวิตตัดสินใจจะเสวยสุขด้วยการประสานตนเองกับ  อานันดะ  -มะยะฺ  จะทำให้เขาสมบูรณ์  นี่คือภาพอันแท้จริงขององค์ภควานในฐานะที่เป็นผู้รู้สนามสูงสุด  สิ่งมีชีวิตในฐานะที่เป็นผู้รู้ที่รองลงมา  และธรรมชาติของสนามแห่งกิจกรรม  เราต้องค้นหาความจริงนี้ใน  เวดานธะ-สูทระฺ  หรือ  บระฮมะ-สูทระฺ

ได้กล่าวไว้  ณ  ที่นี้ว่า  การประมวล  บระฮมะ-สูทระฺ  ได้เรียบเรียงไว้อย่างดีตามเหตุและผล  บาง  สูทระฺ  หรือคำพังเพยต่าง  ๆ  เช่น  นะ  วิยัด  อัชรุเทฮฺ  (2.3.2)  นาทมา  ชรุเทฮฺ  (2.3.18)  และพะราท  ทุ  ทัช-ชฺรุเทฮฺ  (2.3.40)  คำพังเพยแรกแสดงถึงสนามแห่งกิจกรรม  คำพังเผยที่สองแสดงถึงสิ่งมีชีวิต  และคำพังเผยที่สามแสดงถึงองค์ภควาน  ผู้สูงสุดอย่างสมบูรณ์แบบในปรากฏการณ์ทั้งหลายแห่งชีวิตอันหลากหลาย

โศลก 6-7

มะฮา-บํูทานิ อฮังคาโร
บุดดิฺร อัพยัคทัม เอวะ ชะฺ

อินดริยาณิ ดะไชคัม ชะ
พันชะ เชนดริยะ-โกชะราฮฺ
อิชชฺา ดเวชะฮ สุคัฺม ดุฮคัฺม
สังกฺาทัช เชทะนา ดฺริทิฮฺ

เอทัท คเชทรัม สะมาเสนะ
สะ-วิคารัม อุดาฮริทัมฺ

มะฮา-บํูทานิฺ  -  ธาตุที่ยิ่งใหญ่, อฮังคาระฮฺ  -  อหังการ, บุดดิฺฮฺ  -  ปัญญา, อัพยัคทัมฺ  -  ไม่ปรากฏ, เอวะฺ  -  แน่นอน, ชะฺ  -  เช่นกัน, อินดริยาณิฺ  -  ประสาทสัมผัสต่าง ๆ, ดะชะ-เอคัมฺ  -  สิบเอ็ด, ชะฺ  -  เช่นกัน, พันชะฺ  -  ห้า, ชะฺ  -  เช่นกัน, อินดริยะ-โก-ชะราฮฺ  -  อายตนะภายนอก, อิชชฺาฺ  -  ความปรารถนา, ดเวชะฮฺ  -  ความเกลียด, สุคัฺมฺ  -  ความสุข, ดุฮคัฺมฺ  -  ความทุกข์, สังกฺาทะฮฺ  -  การรวมกัน, เชทะนาฺ  -  อาการแห่งชีวิต, ดฺริทิฮฺ  -  ความมั่นใจ, เอทัทฺ  -  ทั้งหมดนี้, คเชทรัมฺ  -  สนามแห่งกิจกรรม, สะมาเสนะฺ  -  โดยสรุป, สะ-วิคารัมฺ  -  มีผลกระทบซึ่งกันและกัน, อุดาฮริทัมฺ  -  ให้ตัวอย่างเพื่อแสดง

คำแปลฺ

ธาตุยิ่งใหญ่ทั้งห้า  อหังการ  ปัญญา  สิ่งที่ไม่ปรากฏ  ประสาทสัมผัสทั้งสิบและจิตใจ  อายตนะภายนอกทั้งห้า  ความต้องการ  ความเกลียดชัง  ความสุข  ความทุกข์  ผลรวม  อาการแห่งชีวิต  และความมั่นใจ  ทั้งหมดนี้โดยสรุปพิจารณาว่าเป็นสนามแห่งกิจกรรมและผลกระทบซึ่งกันและกันของมัน

คำอธิบายฺ

จากคำกล่าวของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เชื่อถือได้ทั้งหลาย  บทมนต์พระเวทและคำพังเพยของ  เวดานธะ-สูทระฺ  ในส่วนต่าง  ๆ  ของโลกนี้สามารถเข้าใจได้ดังนี้ก่อนอื่นมี  ดิน  น้ำ  ไฟ  ลมและอากาศเหล่านี้คือธาตุยิ่งใหญ่ทั้งห้า  (มะฮา-บํูทะฺ)  จากนั้นมีอหังการ  ปัญญา  และสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุในสภาวะที่ไม่ปรากฏ  จากนั้นมีประสาทสัมผัสทั้งห้าที่รับความรู้  เช่น  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  และผิวหนัง  จากนั้นมีประสาทสัมผัสที่ทำงานทั้งห้า  คือ  เสียง  ขา  มือ  ทวารหนัก  และอวัยวะสืบพันธุ์  จากนั้นที่เหนือไปกว่าประสาทสัมผัสมีจิตใจซึ่งอยู่ภายใน  และอาจเรียกว่าประสาทสัมผัสภายใน  ฉะนั้นเมื่อรวมจิตใจเข้าไปด้วยจะมีประสาทสัมผัสทั้งหมดสิบเอ็ด  จากนั้นมีอายตนะภายนอกห้าคือ  กลิ่น  รส  รูป  สัมผัส  และเสียง  ตอนนี้ผลรวมของธาตุทั้งยี่สิบสี่นี้เรียกว่า  สนามแห่งกิจกรรม  หากผู้ใดทำการศึกษาวิเคราะห์ยี่สิบสี่สาขาวิชานี้เขาจะสามารถเข้าใจสนามแห่งกิจกรรมได้เป็นอย่างดี  จากนั้นก็มีความต้องการ  ความเกลียดชัง  ความสุขและความทุกข์  ซึ่งเป็นผลกระทบซึ่งกันและกัน  และเป็นผู้แทนของธาตุยิ่งใหญ่ทั้งห้าในร่างกายอันหยาบ  ลักษณะอาการของชีวิตแสดงออกมาทางจิตสำนึกและความมั่นใจ  ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของร่างที่ละเอียด  เช่น  จิตใจ  อหังการ  และปัญญา  ธาตุอันละเอียดนี้รวมอยู่ในสนามแห่งกิจกรรม

ธาตุยิ่งใหญ่ทั้งห้าเป็นตัวแทนของอหังการ  ซึ่งเป็นตัวแทนของระดับพื้นฐานของอหังการเรียกทางเทคนิคว่า  แนวความคิดทางวัตถุหรือ  ทามะสะ-บุดดิฺฺ  หรือปัญญาในอวิชชา  ยิ่งไปกว่านั้น  ยังเป็นตัวแทนระดับที่ไม่ปรากฏของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ  ระดับที่ไม่ปรากฏของธรรมชาติวัตถุเรียกว่า  พระดานะฺ

ผู้ปรารถนาจะรู้ธาตุทั้งยี่สิบสี่โดยละเอียด  พร้อมทั้งผลกระทบซึ่งกันและกันควรศึกษาปรัชญาอย่างละเอียดถี่ถ้วน  ภควัต-คีตาฺ  นี้ให้ไว้แต่เพียงบทสรุปเท่านั้น

ร่างกายเป็นตัวแทนของปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้  และมีการเปลี่ยนแปลงหกขั้นตอนคือ  ร่างกายเกิดขึ้นมา  เจริญเติบโต  เป็นอยู่ชั่วขณะ  สืบพันธุ์  จากนั้นเริ่มเสื่อมลงและในที่สุดก็สูญสลายไป  ดังนั้น  สนามจึงเป็นวัตถุที่ไม่ถาวร  อย่างไรก็ดี  คเชทระ-กยะฺผู้รู้สนามหรือตัวเจ้าของสนามนั้นแตกต่างกัน

โศลก 8-12

อมานิทวัม อดัมบิฺทวัม
อฮิมสา คชานทิร อารจะวัมฺ

อาชาร โยพาสะนัม โชชัม
สไทรยัม อาทมะ-วินิกระฮะฮฺ
อินดริยารเทฺชุ ไวรากยัม
อนะฮังคาระ เอวะ ชะฺ

จันมะ-มริทยุ-จะรา-วิยาดิฺ
ดุฮคฺะ-โดชานุดารชะนัมฺ
อสัคทิร อนะบิฺชวังกะฮ
พุทระ-ดาระ-กริฮาดิชฺุ

นิทยัม ชะ สะมะ-ชิททัททวัม
อิชทานิชโทพะพัททิชฺุ
มะยิ ชานันยะ-โยเกนะ
บัฺคธิร อัพยะบิฺชาริณีฺ

วิวิคทะ-เดชะ-เสวิทวัม
อระทิร จะนะ-สัมสะดิฺ
อัดฺยาทมะ-กยานะ-นิทยัทวัม
ทัททวะ-กยานารทฺะ-ดารชะนัมฺ

เอทัจ กยานัม อิทิ โพรคทัม
อกยานัม ยัด อโท ่นยะทฺาฺ

อมานิทวัมฺ  -  การถ่อมตน, อดัมบิฺทวัมฺ  -  ไม่หยิ่งยะโส, อฮิมสาฺ  -  ไม่เบียดเบียน, คชานทิฮฺ  -  อดทน, อารจะวัมฺ  -  เรียบง่าย, อาชารยะ-อุพาสะนัมฺ  -  เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้มีความจริงใจ, โชชัมฺ  -  ความสะอาด, สไทฺรยัมฺ  -  ความมั่นคง, อาทมะ-วินิกระฮะฮฺ  -  ควบคุมตนเองได้, อินดริยะ-อารเทฺชฺุ  -  ในเรื่องของประสาทสัมผัสต่าง ๆ, ไวรากยัมฺ  -  การเสียสละ, อนะ ฮังคาระฮฺ  -  ไม่มีอหังการ, เอวะฺ  -  แน่นอน, ชะฺ  -  เช่นกัน, จันมะฺ  -  แห่งการเกิด, มริทยฺุ  -  การตาย, จะราฺ  -  ความชรา, วิยาดิฺฺ  -  และโรคภัยไข้เจ็บ, ดุฮคฺะฺ  -  แห่งความทุกข์, โดชะฺ  -  ความผิด, อนุดารชะนัมฺ  -  การสังเกต, อสัคทิฮฺ  -  ไม่ยึดติด, อนะบิฺชวังกะฮฺ  -  ไม่คบหาสมาคม, พุทระฺ  -  สำหรับบุตร, ดาระฺ  -  ภรรยา, กริฮะ-อาดิชฺุ  -  บ้าน ฯลฯ, นิทยัมฺ  -  เสมอ, ชะฺ  -  เช่นกัน, สะมะ-ชิทัทวัมฺ  -  เสมอภาค, อิชทะฺ  -  สิ่งที่ต้องการ, อนิชทะฺ  -  และสิ่งที่ไม่ต้องการ, อุพะพัท ทิชฺุ  -  ได้รับ, มะยิฺ  -  แด่ข้า, ชะฺ  -  เช่นกัน, อนันยะ-โยเกนะฺ  -  ด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์, บัฺคธิฮฺ  -  การอุทิศตนเสียสละ, อัพยะบิฺชาริณีฺ  -  ไม่ขาดตอน, วิวิคทะฺ  -  สันโดษ, เดชะฺ  -  สถานที่, เสวิทวัมฺ  -  ปรารถนา, อระทิฮฺ  -  ไม่ยึดติด, จะนะ-สัมสะดิฺ  -  ต่อผู้คนโดยทั่วไป, อัดฺยาทมะฺ  -  เกี่ยวกับชีวิต, กยานะฺ  -  ในความรู้, นิทยัทวัมฺ  -  เสมอ, ทัททวะ-กยานะฺ  -  ความรู้แห่งสัจจะ, อารทฺะฺ  -  เพื่อจุดมุ่งหมาย, ดารชะนัมฺ  -  ปรัชญา, เอทัทฺ  -  ทั้งหมดนี้, กยา นัมฺ  -  ความรู้, อิทิฺ  -  ดังนั้น, โพรคทัมฺ  -  ประกาศ, อกยานัมฺ  -  อวิชชา, ยัทฺ  -  ซึ่ง, อทะฮฺ  -  จากนี้, อันยะทฺาฺ  -  ผู้อื่น

คำแปลฺ

ถ่อมตน  ไม่หยิ่งยะโส  ไม่เบียดเบียน  อดทน  เรียบง่าย  เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้  สะอาด  มั่นคง  ควบคุมตนเองได้  ละทิ้งอายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส  ปราศจากอหังการ  มองเห็นโทษภัยแห่งการเกิด  แก่  เจ็บ  และตาย  ไม่ยึดติด  เป็นอิสระจากพันธนาการกับลูกหลาน  ภรรยา  บ้าน  ฯลฯ  เสมอภาคท่ามกลางเหตุการณ์ที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ  อุทิศตนเสียสละแก่ข้าด้วยความบริสุทธิ์  สม่ำเสมอ  ปรารถนาอยู่ในสถานที่สันโดษ  ไม่ยึดติดกับฝูงชนโดยทั่วไป  ยอมรับความสำคัญในการรู้แจ้งแห่งตน  และแสวงหาสัจธรรมทางปรัชญาข้าประกาศว่าทั้งหมดนี้คือความรู้  อะไรที่นอกเหนือไปจากนี้คืออวิชชา

คำอธิบายฺ

วิธีการแห่งความรู้นี้บางครั้งมนุษย์ผู้ด้อยปัญญาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลกระทบซึ่งกันและกันของสนามแห่งกิจกรรม  แต่อันที่จริงนี่คือวิธีการที่แท้จริงแห่งความรู้  หากเรายอมรับวิธีการนี้  ความเป็นไปได้ในการเข้าพบสัจธรรมก็บังเกิดขึ้น  นี่ไม่ใช่ผลกระทบซึ่งกันและกันของยี่สิบสี่ธาตุ  ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว  อันที่จริงนี่คือวิถีทางที่จะออกไปจากพันธนาการของธาตุเหล่านี้  วิญญาณในร่างติดกับอยู่ในร่างกายซึ่งเป็นกล่องที่ทำด้วยธาตุทั้งยี่สิบสี่  ได้อธิบายไว้  ณ  ที่นี้ว่า  วิธีการแห่งความรู้เป็นหนทางเพื่อที่จะออกไปจากมัน  วิธีการแห่งความรู้ที่กล่าวมาทั้งหมด  จุดสำคัญที่สุดได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรกของโศลกสิบเอ็ด  มะยิ  ชานันยะ-โยเกนะ  บัฺคธิร  อัพยะบิฺชาริณีฺ  วิธีการแห่งความรู้สิ้นสุดลงที่การอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานด้วยความบริสุทธิ์ใจ  ฉะนั้น  หากเราเข้าไปไม่ถึงหรือไม่สามารถเข้าถึงการรับใช้ทิพย์แห่งองค์ภควาน  อีกสิบเก้ารายการก็ไม่มีคุณค่าใด  ๆ  แต่ถ้าหากเรารับเอาการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกมาปฏิบัติอย่างสมบูรณ์  อีกสิบเก้ารายการจะพัฒนาขึ้นภายในตัวเราโดยปริยายดังที่ได้กล่าวไว้ใน  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  (5.18.12)  ยัสยาสทิ  บัฺคธิร  บฺะกะวะทิ  อคินชะนา  สารไวร  กุไณส  ทะทระ  สะมาสะเท  สูราฮฺ  คุณสมบัติดี  ๆ  ทั้งหลายแห่งความรู้  พัฒนาในบุคคลที่บรรลุถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้  หลักการในการยอมรับพระอาจารย์ทิพย์  ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกแปดนั้นสำคัญมาก  แม้สำหรับผู้ที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อยู่ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ชีวิตทิพย์เริ่มจากที่เรายอมรับพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้  องค์ภควานชรีคริชณะตรัสอย่างชัดเจน  ณ  ที่นี้ว่า  วิธีการแห่งความรู้นี้คือวิถีทางที่แท้จริง  สิ่งใดที่คาดคะเนนอกเหนือไปจากนี้เป็นสิ่งไร้สาระ

สำหรับความรู้ที่สรุปไว้นี้อาจวิเคราะห์ตามรายการได้ดังนี้  การถ่อมตนหมายความว่าเราไม่ควรกระตือรือร้นที่จะได้รับความพึงพอใจในการได้รับเกียรติจากผู้อื่น  แนวความคิดทางชีวิตวัตถุทำให้เรากระตือรือร้นมากที่จะได้รับเกียรติจากผู้อื่นแต่จากสายตาของผู้มีความรู้ที่สมบูรณ์  ผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่ใช่ร่างกายนี้  ไม่ว่าจะได้เกียรติหรือเสียเกียรติที่เกี่ยวกับร่างกายนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด  เราไม่ควรทะเยอทะยานอยากได้ภาพลวงตาทางวัตถุนี้  ผู้คนกระตือรือร้นมากที่จะมีชื่อเสียงเพื่อศาสนาของตน  ดังนั้นบางครั้งจะพบว่าแม้ปราศจากความเข้าใจหลักธรรมแห่งศาสนา  เราเข้าไปร่วมกับบางกลุ่มซึ่งอันที่จริงมิได้ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา  และต้องการโฆษณาตนเองว่าเป็นผู้ให้คำแนะนำทางศาสนา  สำหรับความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์อย่างแท้จริง  ควรตรวจสอบว่าตัวเราเจริญก้าวหน้าไปมากเพียงใด  ซึ่งสามารถพิจารณาตามรายการดังต่อไปนี้

การไม่เบียดเบียน  โดยทั่วไปคิดว่าหมายความถึงไม่ฆ่าหรือไม่ทำลายร่างกายแต่อันที่จริง  การไม่เบียดเบียนหมายความถึงไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับความทุกข์  ผู้คนโดยทั่วไปติดกับอยู่ในอวิชชา  อยู่ในแนวคิดชีวิตทางวัตถุ  และได้รับความเจ็บปวดทางวัตถุตลอดเวลา  เราจะเป็นผู้เบียดเบียนหากเราไม่พัฒนาความรู้ทิพย์ให้พวกเขา  เราควรพยายามอย่างดีที่สุดในการแจกจ่ายความรู้อันแท้จริงแก่ผู้อื่น  เพื่ออาจได้รับแสงสว่างและหลุดออกไปจากพันธนาการทางวัตถุนี้  นี่คือการไม่เบียดเบียน

ความอดทน  หมายความว่าเราควรฝึกความอดทนต่อการดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่น  หากเราปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้าแห่งความรู้ทิพย์  จะโดนดูถูกเหยียดหยามจากผู้อื่นมากมาย  เช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดา  เพราะว่าเป็นองค์ประกอบของธรรมชาติวัตถุ  แม้แต่เด็กน้อยเช่นพระฮลาดะมีอายุเพียงห้าขวบ  ปฏิบัติในการพัฒนาความรู้ทิพย์  ยังได้รับอันตรายเมื่อบิดาของตนเองมาเป็นปรปักษ์ต่อการอุทิศตนเสียสละของพระฮลาดะ  บิดาพยายามฆ่าบุตรน้อยด้วยวิธีการต่าง  ๆ  แต่พระฮลาดะก็ยังอดทนดังนั้น  อาจมีอุปสรรคกีดขวางมากมายในการที่จะเจริญก้าวหน้าในความรู้ทิพย์  แต่เราต้องอดทนและก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่องด้วยความมั่นใจ

ความเรียบง่าย  หมายความว่าไม่มีชั้นเชิงทางการทูต  เราควรปฏิบัติตนอย่างตรงไปตรงมาจนสามารถเปิดเผยความจริงใจให้แม้กระทั่งศัตรู  ในเรื่องการยอมรับพระอาจารย์ทิพย์  เรื่องนี้สำคัญเพราะว่าหากปราศจากคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เราจะไม่สามารถเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์  เราควรเข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยประการทั้งปวงและถวายการรับใช้ต่าง  ๆ  เพื่อให้ท่านยินดีและให้พรแก่สาวก  เนื่องจากพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เป็นผู้แทนคริชณะหากท่านให้พรแก่สาวกจะทำให้สาวกเจริญก้าวหน้าทันที  แม้สาวกยังไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม  หลักธรรมจะเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับผู้ที่รับใช้พระอาจารย์ทิพย์อย่างเต็มที่

ความสะอาด  มีความสำคัญเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  มีความสะอาดอยู่สองอย่างคือ  ภายนอกและภายใน  ความสะอาดภายนอกคือการอาบน้ำ  แต่สำหรับความสะอาดภายใน  เราต้องระลึกถึงคริชณะอยู่เสมอ  และสวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะฮะเร  คริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเร  ฮะเร/  ฮะเร  รามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเรฮะเร  วิธีนี้จะชะล้างฝุ่นแห่งกรรมเก่าในอดีตที่สะสมอยู่ภายในจิตใจ

ความมั่นคง  หมายความว่าเราควรมั่นใจ  เราควรมีความมุ่งมั่นมากที่จะเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  หากปราศจากความมุ่งมั่นเช่นนี้  เราจะไม่สามารถทำความเจริญก้าวหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม  การควบคุมตนเองหมายความว่า  เราไม่ควรยอมรับสิ่งใดที่จะมาเป็นอุปสรรคต่อหนทางเพื่อความก้าวหน้าในวิถีทิพย์  เราควรคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้  และปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่ขัดต่อวิถีทางเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  นี่คือการเสียสละที่แท้จริง  ประสาทสัมผัสนั้นแข็งแกร่งมากจะคอยกระตุ้นเพื่อให้เราสนองความต้องการของมันอยู่ตลอดเวลา  เราไม่ควรสนองตอบความต้องการที่ไม่จำเป็นเหล่านี้  ประสาทสัมผัสควรได้รับการสนองตอบเพียงเพื่อรักษาร่างกายนี้ให้พอเหมาะ  เพื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้เจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  ประสาทสัมผัสที่สำคัญและควบคุมยากที่สุดคือลิ้น  หากเราสามารถควบคุมลิ้นของเราได้ก็เป็นไปได้ที่จะควบคุมประสาทสัมผัสอื่น  ๆ  หน้าที่ของลิ้นคือรับรสและเปล่งเสียง  ฉะนั้น  ด้วยการควบคุมอย่างเป็นระบบลิ้นควรใช้ในการรับรสอาหารที่เป็นส่วนเหลือหลังจากถวายให้คริชณะ  และสวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  อยู่เสมอ  สำหรับดวงตาไม่ควรปล่อยให้ดูสิ่งอื่นใดนอกจากรูปลักษณ์อันสง่างามของคริชณะ  เช่นนี้คือการควบคุมดวงตา  ในทำนองเดียวกัน  หูควรใช้ไปในการสดับฟังเกี่ยวกับคริชณะ  และจมูกควรดมกลิ่นดอกไม้ที่ถวายให้คริชณะ  นี่คือวิธีการอุทิศตนเสียสละรับใช้  และเป็นที่เข้าใจ  ณ  ที่นี้ว่า  ภควัต-คีตาฺ  เพียงแต่ส่งเสริมศาสตร์แห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้เท่านั้น  การอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นจุดมุ่งหมายหลัก  และเป็นจุดมุ่งหมายเดียว  นักตีความ  ภควัต-คีตาฺ  ผู้ด้อยปัญญาพยายามเบี่ยงเบนจิตใจของผู้อ่านไปในประเด็นอื่น  แต่  ภควัต-คีตาฺ  ไม่มีประเด็นอื่นใด  นอกจาการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่านั้น

อหังการ  หมายถึงการยอมรับร่างกายนี้ว่าเป็นตนเอง  เมื่อเราเข้าใจว่าตัวเราไม่ใช่ร่างกายนี้  แต่เป็นจิตวิญญาณ  เท่ากับเราเข้าใจตนเองหรือสำคัญตนเองอย่างถูกต้อง  การสำคัญตนเองนั้นมีอยู่  การสำคัญตนเองที่ผิดหรือมีอหังการควรถูกยกเลิกและควรสำคัญตนเองให้ถูกต้อง  ในวรรณกรรมพระเวท  (บริฮัด-อารัณยะคะ  อุพะ-  นิชัดฺ  1.4.10)  กล่าวไว้ว่า  อฮัม  บระฮมาสมิฺ  ข้าคือ  บระฮมันฺ  ข้าคือดวงวิญญาณ  คำว่า  “ข้าคือ”  นี้มีความหมายถึงตัวเองและจะมีอยู่แม้ในระดับที่หลุดพ้นในความรู้แจ้งแห่งตนแล้ว  ความรู้สึกว่า  “ข้าคือ”  คือการสำคัญตัว  แต่เมื่อความรู้สึกว่า  “ข้าคือ”  ใช้กับร่างกายที่ผิดนี้จึงเป็นอหังการหรือการสำคัญตัวผิด  เมื่อความรู้สึกแห่งตัวเองใช้กับความเป็นจริง  นั่นเป็นการสำคัญตัวที่ถูกต้องอย่างแท้จริง  มีนักปราชญ์บางคนกล่าวว่าเราควรยกเลิกการสำคัญตัวของเรา  แต่เราไม่สามารถยกเลิกการสำคัญตัวของเราได้เพราะว่าการสำคัญตัวหมายถึงบุคลิกลักษณะ  แน่นอนว่าเราควรยกเลิกบุคลิกลักษณะที่ผิดแห่งร่างกาย

เราควรพยายามเข้าใจความทุกข์ในการยอมรับการเกิด  การตาย  ความแก่  และโรคภัยไข้เจ็บ  มีคำอธิบายในวรรณกรรมพระเวทมากมายเกี่ยวกับการเกิด  ใน  ชรีมัด-  บฺากะวะธัมฺ  ซึ่งเป็นโลกที่ไม่มีการเกิด  ได้อธิบายถึงทารกน้อยที่อยู่ในครรภ์มารดาและความทุกข์ทรมานของเด็กน้อย  ฯลฯ  อย่างเห็นภาพได้ชัด  เราควรเข้าใจอย่างชัดเจนว่า  การเกิดเป็นความทุกข์  เนื่องจากลืมไปว่าเราได้รับความทุกข์และเจ็บปวดมากเพียงใดขณะอยู่ในครรภ์มารดา  เราจึงไม่หาทางออกจากการเกิดและการตายซ้ำซาก  ในลักษณะเดียวกัน  ขณะตายก็มีความทุกข์ทรมานมากมาย  ซึ่งได้อธิบายไว้ในพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้เช่นกัน  ประเด็นเหล่านี้ควรนำมาปรึกษากัน  สำหรับโรคภัยไข้เจ็บและความชราภาพทุก  ๆ  คนมีประสบการณ์  ไม่มีผู้ใดต้องการโรคภัยไข้เจ็บและไม่มีผู้ใดต้องการความชราภาพ  แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้นอกจากเรามองเห็นชีวิตวัตถุในแง่ร้ายและพิจารณาเห็นความทุกข์ทรมานในการเกิด  การตาย  ความแก่  และความเจ็บ  มิฉะนั้นจะไม่มีแรงกระตุ้นเพื่อทำความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์

สำหรับการไม่ยึดติดกับลูกหลาน  ภรรยา  และบ้าน  มิได้หมายความว่าเราไม่ควรมีความรู้สึกใด  ๆ  เลย  บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่เราให้ความรัก  ผู้ที่เรารักและเอ็นดูโดยธรรมชาติ  แต่ถ้าหากไม่เอื้ออำนวยกับความก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  เราก็ไม่ควรยึดติด  วิธีที่ดีที่สุดในการทำให้บ้านมีความสุขคือมีคริชณะจิตสำนึก  หากอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์  จะสามารถทำให้บ้านของเรามีความสุขมาก  เนื่องจากวิธีแห่งคริชณะจิตสำนึกนี้ง่ายมาก  เราเพียงแต่สวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะคริชณะ  ฮะเร  ฮะเร/  ฮะเร  รามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร  รับประทานอาหารที่เหลือหลังจากถวายให้คริชณะ  สนทนาเกี่ยวกับหนังสือ  ภควัต-คีตาฺ  และ  ชรีมัด-  บฺากะวะธัมฺ  และปฏิบัติบูชาพระปฏิมา  สี่ประการนี้จะทำให้เรามีความสุข  เราควรฝึกฝนสมาชิกในครอบครัว  ดังนั้น  สมาชิกในครอบครัวสามารถนั่งรวมกันในตอนเช้าและตอนเย็น  แล้วสวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเร  ฮะเร  /  ฮะเรรามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร  ด้วยกัน  หากสามารถหล่อหลอมชีวิตครอบครัวของเราเช่นนี้  เพื่อพัฒนาคริชณะจิตสำนึก  และปฏิบัติตามหลักธรรมสี่ประการนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนจากชีวิตครอบครัวมาเป็นสันนยาสี  หรือผู้สละโลก  แต่หากไปด้วยกันไม่ได้หรือไม่เอื้ออำนวยต่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  ชีวิตครอบครัวก็ควรจะสละทิ้ง  เราต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรู้แจ้งหรือรับใช้คริชณะ  เหมือนกับที่อารจุนะปฏิบัติ  อารจุนะทรงไม่ปรารถนาสังหารสมาชิกในครอบครัว  แต่เมื่อเข้าใจว่าสมาชิกในครอบครัวเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความรู้แจ้งแห่งคริชณะ  ท่านจึงยอมรับคำสั่งสอน  ของคริชณะ  ลุกขึ้นต่อสู้และสังหารพวกเขา  ในทุก  ๆ  กรณี  เราไม่ควรยึดติดกับทั้งความสุขอย่างสมบูรณ์หรือความทุกข์ในชีวิตครอบครัว  เพราะว่าในโลกนี้เราไม่สามารถมีความสุขอย่างสมบูรณ์หรือมีความทุกข์อย่างบริบูรณ์ได้

ความสุขและความทุกข์เป็นของคู่กันกับชีวิตวัตถุ  เราควรฝึกฝนความอดทนดังที่ได้แนะนำไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  เราไม่สามารถห้ามไม่ให้ความสุขและความทุกข์ไปหรือมาได้  ดังนั้น  เราจึงไม่ควรยึดติดกับวิถีชีวิตทางวัตถุ  และมีความเสมอภาคกับทั้งสองกรณีโดยปริยาย  โดยทั่วไปเมื่อได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราปรารถนา  เราจะมีความสุขมาก  และเมื่อได้รับบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ปรารถนาเราก็จะมีความทุกข์แต่ถ้าหากว่าเราอยู่ในสถานภาพทิพย์จริง  สิ่งเหล่านี้จะไม่รบกวนจิตใจเรา  ในการบรรลุถึงระดับนี้  เราต้องฝึกปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้โดยไม่ขาดตอน  การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อคริชณะโดยไม่เบี่ยงเบนหมายถึงปฏิบัติตนในเก้าวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้คือการสวดภาวนา  การสดับฟัง  การบูชา  การถวายความเคารพ  ฯลฯ  ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกสุดท้ายของบทที่เก้า  วิธีนี้เราควรปฏิบัติตาม

โดยธรรมชาติเมื่อเราปรับตัวกับวิถีชีวิตทิพย์  เราจะไม่ต้องการไปมั่วสุมกับนักวัตถุนิยม  เพราะจะเป็นการสวนทางกัน  เราอาจทดสอบตัวเองว่า  มีแนวโน้มที่จะอยู่อย่างสันโดษมากเพียงไรโดยไม่คบหาสมาคมกับผู้ไม่พึงปรารถนา  โดยธรรมชาติสาวกไม่ชอบกีฬาหรือไปโรงภาพยนตร์โดยไม่จำเป็น  หรือหรรษาไปกับงานรื่นเริงทางสังคม  เพราะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการเสียเวลา  มีนักวิชาการและนักปราชญ์มากมายที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับชีวิตเพศสัมพันธ์หรือประเด็นอื่น  ๆ  แต่ตาม  ภควัต-คีตาฺ  งานศึกษาวิจัยและคาดคะเนทางปรัชญาเหล่านี้ไม่มีคุณค่าใด  ๆ  เลย  เป็นสิ่งที่ไร้สาระทั้งสิ้น  ตาม  ภควัต-  คีตาฺ  เราควรศึกษาวิจัยด้วยการใคร่ครวญพิจารณาทางปรัชญาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับธรรมชาติของดวงวิญญาณ  เราควรค้นคว้าเพื่อให้เข้าใจดวงชีวิต  นี่คือคำแนะนำ  ณ  ที่นี้

สำหรับความรู้แจ้งแห่งตนได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน  ณ  ที่นี้ว่า  ภักดี-โยคะฺ  ปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรมได้โดยเฉพาะ  ทันทีที่มีคำถามเกี่ยวกับการอุทิศตนเสียสละ  เราต้องพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณ  ปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณไม่สามารถเป็นหนึ่ง  อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่แนวคิดของ  บัฺคธิฺ  หรือแนวคิดแห่งการอุทิศตนเสียสละของชีวิต  การรับใช้ของปัจเจกวิญญาณต่ออภิวิญญาณผู้สูงสุดเป็นอมตะ  นิทยัมฺ  ดังที่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน  ดังนั้น  บัฺคธิฺ  หรือการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นอมตะ  เราควรสถิตอย่างมั่นใจในปรัชญาเช่นนั้น

ใน  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  (1.2.11)อธิบายไว้ดังนี้  วะดันทิ  ทัท  ทัททวะ-วิดัส  ทัทท  วัม  ยัจ  กยานัม  อัดวะยัมฺ  “พวกที่เป็นผู้รู้สัจธรรมโดยแท้จริง  รู้ว่าองค์ภควานทรงรู้แจ้งได้ในสามระดับที่ไม่เหมือนกันคือ  บระฮมัน  พะระมาทมาฺ  และบฺะกะวานฺ”  บฺะกะวานฺ  เป็นคำสุดท้ายแห่งการรู้แจ้งสัจธรรม  ฉะนั้น  เราควรมาถึงระดับแห่งการเข้าใจองค์ภควานและปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์  นั่นคือความสมบูรณ์แห่งความรู้

เริ่มต้นจากการฝึกปฏิบัติความอ่อนน้อมถ่อมตนจนมาถึงจุดแห่งการรู้แจ้งสัจธรรมสูงสุด  องค์ภควานผู้สมบูรณ์  วิธีนี้เหมือนกับขั้นบันได  เริ่มต้นจากพื้นฐานขั้นแรกและขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุด  บนขั้นบันไดนี้มีหลายคนที่มาถึงชั้นหนึ่ง  ชั้นสอง  หรือชั้นสาม  ฯลฯ  แต่นอกจากเรามาถึงชั้นสูงสุดซึ่งเป็นการเข้าใจคริชณะ  มิฉะนั้น  เรายังอยู่ในความรู้ระดับที่ต่ำ  หากผู้ใดต้องการแข่งขันกับองค์ภควาน  และในขณะเดียวกันพยายามเจริญก้าวหน้าในความรู้ทิพย์  จะไม่สมหวัง  ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า  หากปราศจากความอ่อนน้อมถ่อมตนจะไม่มีทางเข้าใจ  การคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้าเป็นการผยองที่สุด  ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตถูกกฎอันเหนียวแน่นแห่งธรรมชาติวัตถุเตะอยู่ตลอดเวลา  เรายังคิดว่า  “ข้าคือพระเจ้า”  เนื่องมาจากอวิชชา  ฉะนั้น  จุดเริ่มต้นของความรู้คือ  อมานิทวะฺหรือความอ่อนน้อมถ่อมตน  เราควรถ่อมตนและรู้ว่าตัวเราต่ำกว่าองค์ภควาน  เนื่องจากฝ่าฝืนพระองค์  เราจึงต้องมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของธรรมชาติวัตถุ  เราควรรู้และมั่นใจความจริงเช่นนี้

โศลก 13

กเยยัม ยัท ทัท พระวัคชยามิ
ยัจ กยาทวามริทัม อัชนุเทฺ

อนาดิ มัท-พะรัม บระฮมะ
นะ สัท ทัน นาสัด อุชยะเทฺ

กเยยัมฺ  -  สิ่งควรรู้, ยัทฺ  -  ซึ่ง, ทัทฺ  -  นั้น, พระวัคชยามิฺ  -  บัดนี้ข้าจะอธิบาย, ยัทฺ  -  ซึ่ง, กยา ทวาฺ  -  รู้, อมริทัมฺ  -  น้ำทิพย์, อัชนุเทฺ  -  เขาได้รับรส, อนาดิฺ  -  ไม่มีจุดเริ่มต้น, มัท-พะรัมฺ  -  เป็นรองข้า, บระฮมะฺ  -  วิญญาณ, นะฺ  -  ไม่, สัทฺ  -  เหตุ, ทัทฺ  -  นั้น, นะฺ  -  ไม่, อสัทฺ  -  ผล, อุชยะเทฺ  -  กล่าวไว้ว่า

คำแปลฺ

บัดนี้  ข้าจะอธิบายถึงสิ่งที่ควรรู้  เมื่อรู้แล้วเธอจะได้รับรสอมตะว่า  บระฮมัน  หรือดวงวิญญาณไม่มีจุดเริ่มต้น  เป็นรองข้า  อยู่เหนือเหตุและผลของโลกวัตถุนี้

คำอธิบายฺ

องค์ภควานทรงอธิบายถึงสนามแห่งกิจกรรม  และผู้รู้สนาม  พระองค์ยังได้อธิบายถึงวิธีการเพื่อรู้ผู้รู้สนามแห่งกิจกรรม  บัดนี้ทรงเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่ควรรู้  ครั้งแรกทรงอธิบายถึงดวงวิญญาณ  จากนั้นอธิบายถึงอภิวิญญาณ  ด้วยความรู้ของผู้รู้ทั้งดวงวิญญาณและอภิวิญญาณ  ทำให้เราสามารถได้รับรสน้ำทิพย์แห่งชีวิต  ดังที่ได้อธิบายไว้ในบทที่สองว่า  สิ่งมีชีวิตเป็นอมตะ  ได้ยืนยันไว้  ณ  ที่นี้  โดยเฉพาะเช่นกันว่า  จีวะฺ  ไม่มีวันเกิด  และไม่มีผู้ใดสามารถสืบร่องรอยประวัติศาสตร์การปรากฏออกมาของ  จีวาทมาฺจากองค์ภควาน  ดังนั้น  จีวะฺ  จึงไม่มีจุดเริ่มต้น  วรรณกรรมพระเวทได้ยืนยันว่า  นะ  จายะ  เท  มริยะเท  วา  วิพัชชิทฺ  (คะทฺะ  อุพะนิชัดฺ  1.2.18)  ผู้รู้ร่างกายไม่เคยเกิด  ไม่เคยตาย  และเปี่ยมไปด้วยความรู้

ได้กล่าวไว้ในวรรณกรรมพระเวท  (ชเวทาชวะทะระ  อุพะนิชัดฺ  6.16)  ว่าองค์ภควานในฐานะอภิวิญญาณทรงเป็น  พระดฺานะ-คเชทระกยะ-พะทิร  กุเณชะฮฺ  ผู้รู้สูงสุดของร่างกาย  และเป็นเจ้านายของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ  ใน  สมริทิฺ  ได้กล่าวไว้ว่า  ดาสะ-บํูโทฮะเรร  เอวะ  นานยัสไววะ  คะดาชะนะฺ  สิ่งมีชีวิตเป็นผู้รับใช้องค์ภควานนิรันดรองค์เชธันญะทรงยืนยันในคำสอนของพระองค์เช่นกัน  ฉะนั้น  คำว่า  บระฮมันฺ  ที่กล่าวไว้ในโศลกนี้สัมพันธ์กับปัจเจกวิญญาณ  และเมื่อคำว่า  บระฮมันฺ  ใช้กับสิ่งมีชีวิต  เข้าใจได้ว่าเขาคือ  วิกยานะ-บระฮมะฺ  ซึ่งตรงข้ามกับ  อานันดะ-บระฮมะ,  อานันดะ-บระฮมะฺ  คือ  บระฮมันฺ  สูงสุดองค์ภควาน

โศลก 14

สารวะทะฮ พาณิ-พาดัม ทัท
สารวะโท ่คชิ-ชิโร-มุคัฺมฺ

สารวะทะฮ ชรุทิมัล โลเค
สารวัม อาพริทยะ ทิชทฺะทิฺ

สารวะทะฮฺ  -  ทุกหนทุกแห่ง, พาณิฺ  -  พระกร, พาดัมฺ  -  เพระเพลา, ทัทฺ  -  นั้น, สารวะทะฮฺ  -  ทุกหนทุกแห่ง, อัคชิฺ  -  พระเนตร, ชิระฮฺ  -  พระเศียร, มุคัฺมฺ  -  พระพักตร์, สารวะทะฮฺ  -  ทุกหนทุกแห่ง, ชรุทิ-มัทฺ  -  พระกรรณ, โลเคฺ  -  ในโลก, สารวัมฺ  -  ทุกสิ่ง, อาพริทยะฺ  -  ปกคลุม, ทิชทฺะทิฺ  -  เป็นอยู่

คำแปลฺ

ทุกแห่งหนเป็นพระกรและพระเพลาของพระองค์  พระเนตร  พระเศียร  และพระพักตร์ของพระองค์  พระองค์ทรงมีพระกรรณอยู่ทุกหนทุกแห่ง  องค์อภิวิญญาณทรงเป็นเช่นนี้  ทรงแผ่กระจายอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง

คำอธิบายฺ

เสมือนดังดวงอาทิตย์ที่แผ่กระจายรัศมีของตนเองไปโดยไม่มีขีดจำกัด  อภิวิญญาณหรือองค์ภควานก็เช่นเดียวกัน  ทรงมีรูปลักษณ์ที่แผ่กระจายไปทั่ว  และปัจเจกชีวิตทั้งหมดอยู่ในพระองค์  เริ่มต้นจากปฐมบรมครูคือ  พระพรหม  ลงมาจนถึงมดตัวเล็กๆ  มีพระเศียร  พระเพลา  พระกร  และพระเนตรนับจำนวนไม่ถ้วน  และมีสิ่งมีชีวิตนับจำนวนไม่ถ้วน  ทั้งหมดอยู่ทั้งภายในและบนอภิวิญญาณ  ฉะนั้น  อภิวิญญาณทรงแผ่กระจายไปทั่ว  อย่างไรก็ดี  ปัจเจกวิญญาณไม่สามารถกล่าวได้ว่า  ตนเองมีมือ  มีขาและมีตาอยู่ทุกหนทุกแห่ง  หากภายใต้อวิชชาโดยไม่รู้สึกตัว  คิดว่ามือและขาของตนแผ่กระจายไปทั่ว  ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้  แต่เมื่อได้รับความรู้ที่ถูกต้อง  ก็จะมาถึงระดับที่เข้าใจว่าความคิดของตนเองขัดแย้งกัน  เช่นนี้หมายความว่า  ปัจเจกวิญญาณผู้มาอยู่ภายใต้สภาวะของธรรมชาติวัตถุ  มิใช่เป็นผู้สูงสุด  องค์ภควานไม่เหมือนกับปัจเจกวิญญาณพระองค์ทรงสามารถยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกไปโดยไร้เขตจำกัด  ปัจเจกวิญญาณจะทำไม่ได้  ใน  ภควัต-คีตาฺ  พระองค์ตรัสว่า  หากผู้ใดถวายดอกไม้  ผลไม้  หรือน้ำเพียงเล็กน้อยแด่พระองค์  พระองค์จะทรงรับไว้  หากพระองค์ทรงอยู่ไกลมาก  แล้วจะสามารถรับสิ่งของไว้ได้อย่างไร?  นี่คือพระเดชของพระองค์  ถึงแม้ว่าจะทรงสถิตที่พระตำหนักซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกนี้มาก  ยังทรงสามารถยื่นพระหัตถ์มารับสิ่งของที่เราถวาย  นั่นคือพระเดชขององค์ภควาน  ใน  บระฮมะ-สัมฮิทาฺ  (5.37)  กล่าวไว้ว่า  โกโลคะ  เอวะ  นิวะสะทิ  อคิฺลาทมะ-บํูทะฮฺ  แม้ว่าทรงแสดงลีลาอยู่ในโลกทิพย์เสมอ  พระองค์ยังทรงแผ่กระจายไปทั่ว  ปัจเจกวิญญาณไม่สามารถอ้างว่าตนเองแผ่กระจายไปทั่ว  ดังนั้น  โศลกนี้ได้อธิบายถึงดวงวิญญาณสูงสุดซึ่งเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  ไม่ใช่ปัจเจกวิญญาณ

โศลก 15

สารเวนดริยะ-กุณาบฺาสัม
สารเวนดริยะ-วิวารจิทัมฺ

อสัคทัม สารวะ-บฺริช ไชวะ
นิรกุณัม กุณะ-โบฺคทริ ชะฺ

สารวะฺ  -  ทั้งหมด, อินดริยะฺ  -  ประสาทสัมผัส, กุณะฺ  -  ของคุณสมบัติ, อาบฺาสัมฺ  -  แหล่งกำเนิดเดิม, สารวะฺ  -  ทั้งหลาย, อินดริยะฺ  -  ประสาทสัมผัส, วิวารจิทัมฺ  -  ปราศจาก, อสัค ทัมฺ  -  ไม่ยึดติด, สารวะฺ  -  บฺริทฺ  -  ผู้ค้ำจุนทุกคน, ชะฺ  -  เช่นกัน, เอวะฺ  -  แน่นอน, นิรกุณัมฺ  -  ไม่มีคุณสมบัติทางวัตถุ, กุณะ-โบฺคทริฺ  -  เจ้านายของกุณะ, ชะฺ  -  เช่นกัน

คำแปลฺ

องค์อภิวิญญาณทรงเป็นแหล่งกำเนิดเดิมของประสาทสัมผัสทั้งหมด  ถึงกระนั้นพระองค์ทรงไม่มีประสาทสัมผัส  ทรงไม่ยึดติด  ถึงแม้ว่าทรงเป็นผู้ค้ำจุนมวลชีวิตพระองค์ทรงเป็นทิพย์อยู่เหนือระดับธรรมชาติ  และในขณะเดียวกันทรงเป็นเจ้านายของระดับแห่งธรรมชาติวัตถุทั้งหมด

คำอธิบายฺ

องค์ภควานถึงแม้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของประสาทสัมผัสทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต  พระองค์ทรงไม่มีประสาทสัมผัสวัตถุเหมือนพวกเรา  อันที่จริงปัจเจกวิญญาณมีประสาทสัมผัสทิพย์  แต่ในพันธชีวิต  พวกเราถูกปกคลุมด้วยธาตุวัตถุต่าง  ๆ  ดังนั้นกิจกรรมของประสาทสัมผัสแสดงออกผ่านทางวัตถุ  ประสาทสัมผัสขององค์ภควานไม่ถูกปกคลุม  ประสาทสัมผัสของพระองค์ทรงเป็นทิพย์  ฉะนั้น  จึงเรียกว่า  นิรกุณะ,  กุณะฺหมายความถึงระดับวัตถุ  แต่ประสาทสัมผัสของพระองค์ทรงไม่ถูกวัตถุปกคลุม  ควรเข้าใจว่าประสาทสัมผัสของพระองค์ไม่เหมือนกับของพวกเรา  ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งกิจกรรมทางประสาทสัมผัสของพวกเราทั้งหมด  พระองค์ทรงมีประสาทสัมผัสทิพย์ซึ่งไม่มีวันเป็นมลทิน  ได้อธิบายไว้อย่างสวยงามใน  ชเวทาชวะทะระ  อุพะนิชัดฺ  (3.19)  โศลก  อพานิ-พาโด  จะวะโน  กระฮีทาฺ  องค์ภควานทรงไม่มีพระกรที่แปดเปื้อนมลทินทางวัตถุ  แต่พระองค์ทรงมีพระกรและทรงรับเครื่องบวงสรวงที่ถวายให้พระองค์  นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างพันธวิญญาณและอภิวิญญาณ  พระองค์ทรงไม่มีพระเนตรวัตถุแต่ทรงมีพระเนตรทิพย์  มิฉะนั้น  จะทรงเห็นได้อย่างไร?  พระองค์ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง  อดีต  ปัจจุบันและอนาคต  พระองค์ประทับอยู่ภายในหัวใจของมวลชีวิตและทรงทราบว่า  เราได้ทำอะไรไว้ในอดีต  เรากำลังทำอะไรอยู่ในปัจจุบัน  และอะไรที่รอคอยเราอยู่ในอนาคต  ได้ยืนยันไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  เช่นกันว่า  พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  แต่ไม่มีผู้ใดรู้พระองค์  กล่าวไว้ว่า  องค์ภควานทรงไม่มีพระเพลาเหมือนพวกเรา  แต่พระองค์ทรงสามารถเดินทางไปในอวกาศ  เพราะว่าทรงมีพระเพลาทิพย์  อีกนัยหนึ่ง  มิใช่ว่าจะไม่มีรูปลักษณ์  พระองค์ทรงมีพระเนตร  พระเพลา  พระกร  และทุกสิ่งทุกอย่าง  เนื่องจากเราเป็นละอองอณูขององค์ภควาน  เราก็มีสิ่งเหล่านี้เช่นกัน  แต่พระกรพระเพลา  พระเนตร  และประสาทสัมผัสของพระองค์  ไม่เปื้อนมลทินจากธรรมชาติวัตถุ

ภควัต-คีตาฺ  ยืนยันไว้เช่นกันว่าเมื่อทรงปรากฏ  พระองค์ทรงปรากฏในรูปลักษณ์เดิมด้วยพลังงานเบื้องสูงของพระองค์  โดยไม่แปดเปื้อนมลทินจากพลังงานทางวัตถุ  เนื่องจากทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพลังงานวัตถุ  ในวรรณกรรมพระเวท  เราพบว่าทั่วทั้งพระวรกายของพระองค์ทรงเป็นทิพย์  ทรงมีรูปลักษณ์อมตะเรียกว่า  สัช-ชิด-อา  นันดะ-วิกระฮะฺ  พระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยความมั่งคั่งทั้งหลาย  พระองค์ทรงเป็นเจ้าของความร่ำรวยทั้งหมด  และทรงเป็นเจ้าของพลังงานทั้งหมด  ทรงเป็นผู้มีปัญญาสูงสุด  และเปี่ยมไปด้วยความรู้  เหล่านี้คือลักษณะบางประการขององค์ภควาน  พระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำจุนมวลชีวิตและทรงเป็นพยานของกิจกรรมทั้งหลาย  เท่าที่เราสามารถเข้าใจจากวรรณกรรมพระเวทว่าองค์ภควานทรงเป็นทิพย์เสมอ  ถึงแม้ว่า  เราไม่เห็นพระเศียร  พระพักตร์  พระกร  หรือพระเพลาของพระองค์  พระองค์ทรงมีสิ่งเหล่านี้  และเมื่อเราพัฒนามาถึงสภาวะทิพย์  เราจะสามารถเห็นรูปลักษณ์ขององค์ภควาน  เนื่องจากประสาทสัมผัสแปดเปื้อนไปด้วยมลทินทางวัตถุ  เราจึงไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ของพระองค์  ดังนั้น  พวกไม่เชื่อในรูปลักษณ์ที่ยังมีเชื้อโรคทางวัตถุอยู่  จะไม่สามารถเข้าใจองค์ภควาน

โศลก 16

บะฮิร อันทัช ชะ บํูทานาม
อชะรัม ชะรัม เอวะ ชะฺ

สูคชมัทวาท ทัด อวิกเยยัม
ดูระ-สทัฺม ชานทิเค ชะ ทัทฺ

บะฮิฮฺ  -  ข้างนอก, อันทะฮฺ  -  ข้างใน, ชะฺ  -  เช่นกัน, บํูทานามฺ  -  ของมวลชีวิต, อชะรัมฺ  -  ไม่เคลื่อนที่, ชะรัมฺ  -  เคลื่อนที่, เอวะฺ  -  เช่นกัน, ชะฺ  -  และ, สูคชมัทวาทฺ  -  เนื่องจากมีความละเอียดอ่อน, ทัทฺ  -  นั้น, อวิกเยยัมฺ  -  ไม่สามารถรู้ได้, ดูระ-สทัฺมฺ  -  ไกลมาก, ชะฺ  -  เช่นกัน, อันทิเคฺ  -  ใกล้, ชะฺ  -  และ, ทัทฺ  -  นั้น

คำแปลฺ

สัจธรรมสูงสุดทรงอยู่ภายนอกและภายในของมวลชีวิต  ทั้งที่เคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่  เนื่องจากพระองค์ทรงมีความละเอียดอ่อน  จึงทรงอยู่เหนือพลังอำนาจของประสาทสัมผัสวัตถุที่จะเห็นหรือจะรู้ได้  ถึงแม้ว่าทรงอยู่ไกลแสนไกลพระองค์ก็ทรงอยู่ใกล้กับมวลชีวิต

คำอธิบายฺ

ในวรรณกรรมพระเวท  เราเข้าใจว่าองค์ภควาน  นารายะณะฺ  ทรงประทับอยู่ทั้งภายนอกและภายในของทุก  ๆ  ชีวิต  พระองค์ทรงประทับอยู่ทั้งในโลกทิพย์และในโลกวัตถุ  ถึงแม้ว่าทรงอยู่ห่างไกลจากเรามาก  แต่ก็ทรงอยู่ใกล้กับพวกเราเช่นกัน  นี่คือข้อความจากวรรณกรรมพระเวท  อาสีโน  ดูรัม  วระจะทิ  ชะยาโน  ยาทิ  สารวะทะฮ  (คะทฺะ  อุพะนิชัดฺ  1.2.21)  เนื่องจากพระองค์ทรงมีความสุขเกษมสำราญทิพย์เสมอ  เราไม่สามารถเข้าใจว่าทรงรื่นเริงอยู่กับความมั่งคั่งอันสมบูรณ์ของพระองค์ได้อย่างไร  เราไม่สามารถเห็นหรือเข้าใจด้วยประสาทสัมผัสวัตถุเหล่านี้  ดังนั้น  ในภาษาพระเวทกล่าวไว้ว่า  ในการเข้าใจพระองค์  จิตใจและประสาทสัมผัสวัตถุของเราใช้ไม่ได้  แต่ผู้ที่มีจิตใจและประสาทสัมผัสที่บริสุทธิ์ด้วยการปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกในการอุทิศตนเสียสละรับใช้จะสามารถเห็นพระองค์อยู่ตลอดเวลา  ได้ยืนยันไว้ใน  บระฮมะ-สัมฮิทาฺ  ว่า  สาวกผู้พัฒนาความรักต่อองค์ภควานจะสามารถเห็นพระองค์ตลอดเวลา  และได้ยืนยันไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  (11.54)  ว่าการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่านั้นที่สามารถทำให้เข้าใจองค์ภควานได้  บัฺคธยา  ทุ  อนันยะยา  ชัคยะฮฺ

โศลก 17

อวิบัฺคทัม ชะ บํูเทชุ
วิบัฺคทัม อิวะ ชะ สทิฺทัมฺ

บํูทะ-บฺารทริ ชะ ทัจ กเยยัม
กระสิชณุ พระบฺะวิชณุ ชะฺ

อวิบัฺคทัมฺ  -  โดยไม่แบ่งแยก, ชะฺ  -  เช่นกัน, บํูเทชฺุ  -  ในมวลชีวิต, วิบัฺคทัมฺ  -  แบ่งแยก, อิวะฺ  -  ประหนึ่ง, ชะฺ  -  เช่นกัน, สทิฺทัมฺ  -  สถิต, บํูทะ-บฺารทริฺ  -  ผู้ค้ำจุนมวลชีวิต, ชะฺ  -  เช่นกัน, ทัทฺ  -  นั้น, กเยยัมฺ  -  เข้าใจ, กระสิชณฺุ  -  กลืน, พระบฺะวิชณฺุ  -  พัฒนา, ชะฺ  -  เช่นกัน

คำแปลฺ

ถึงแม้ว่าองค์อภิวิญญาณดูเหมือนจะแบ่งแยกในชีวิตทั้งหลาย  พระองค์ทรงไม่เคยแบ่งแยก  ทรงสถิตเสมือนเป็นหนึ่ง  ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ค้ำจุนทุก  ๆชีวิต  เข้าใจว่าพระองค์ทรงกลืนและพัฒนาทั้งหมด

คำอธิบายฺ

องค์ภควานทรงสถิตในหัวใจของทุก  ๆ  คนในฐานะอภิวิญญาณ  เช่นนี้พระองค์ทรงแบ่งแยกใช่หรือไม่?  ไม่ใช่  อันที่จริงพระองค์ทรงเป็นหนึ่ง  ได้ให้ตัวอย่างดวงอาทิตย์ไว้ว่า  ดวงอาทิตย์อยู่ที่เส้นทางโคจรของตนเอง  แต่หากว่าเราไปห้าพันไมล์ทุก  ๆ  ทิศทางและถามว่า  “ดวงอาทิตย์อยู่ที่ไหน?”  ทุกคนจะกล่าวว่าดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงอยู่เหนือศีรษะ  ตัวอย่างในวรรณกรรมพระเวทนี้แสดงให้เห็นว่า  ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงไม่แบ่งแยก  แต่ดูเหมือนกับแบ่งแยก  ได้กล่าวไว้ในวรรณกรรมพระเวทเช่นกันว่า  วิชณุองค์เดียวทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วยพระเดชของพระองค์  เช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่ปรากฏอยู่ในหลาย  ๆ  แห่งสำหรับหลาย  ๆ  คน  และองค์ภควานถึงแม้ว่าทรงเป็นผู้ค้ำจุนมวลชีวิต  พระองค์ทรงกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อถึงเวลาทำลายล้าง  ได้ยืนยันไว้เช่นนี้ในบทที่สิบเอ็ดเมื่อตรัสว่า  พระองค์เสด็จมาเพื่อกลืนนักรบทั้งหลายที่มาชุมนุมกันที่  คุรุค  เชทระฺ  ทรงกล่าวด้วยว่า  พระองค์ทรงกลืนพวกเขาในรูปของกาลเวลาเช่นกัน  ทรงเป็นผู้ทำลายและผู้สังหารทั้งหมด  เมื่อมีการสร้างพระองค์ทรงพัฒนาทุกสิ่งจากระดับพื้นฐานเดิมของพวกเขา  และเมื่อถึงเวลาทำลายล้างพระองค์ทรงกลืนพวกเขา  บทมนต์พระเวทยืนยันความจริงว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของมวลชีวิต  และส่วนอื่น  ๆ  ทั้งหมดหลังจากการสร้างทุกสิ่งทุกอย่างพำนักอยู่ในพลังอำนาจของพระองค์  และหลังจากการทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเข้าไปพำนักอยู่ในพระองค์อีกครั้งหนึ่ง  มีคำยืนยันของบทมนต์พระเวทดังนี้  ยะโท  วา  อิมานิ  บํูทานิ  จายันเท  เยนะ  จาทานิ  จีวันทิ  ยัท  พระยันทิ  อบิฺ  สัม-วิชันทิ  ทัด  บระฮมะ  ทัด  วิจิกยาสัสวะ  (ไทททิรียะ  อุพะนิชัดฺ  3.1)

โศลก 18

จโยทิชาม อพิ ทัจ จโยทิส
ทะมะสะฮ พะรัม อุชยะเทฺ

กยานัม กเยยัม กยานะ-กัมยัม
ฮริดิ สารวัสยะ วิชทิฺทัมฺ

จโยทิชามฺ  -  ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจิดจรัส, อพิฺ  -  เช่นกัน, ทัทฺ  -  นั้น, จโยทิฮฺ  -  แหล่งกำเนิดของแสง, ทะมะสะฮฺ  -  ความมืด, พะรัมฺ  -  เหนือ, อุชยะเทฺ  -  กล่าวไว้ว่า, กยานัมฺ  -  ความรู้, กเยยัมฺ  -  ตัวรู้, กยานะฺ  -  กัมยัมฺ  -  เข้าพบได้ด้วยความรู้, ฮริดิฺ  -  ในหัวใจ, สารวัสยะฺ  -  ของทุกคน, วิชทิฺทัมฺ  -  สถิต

คำแปลฺ

พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแสงในสิ่งที่เจิดจรัสทั้งหลาย  ทรงอยู่เหนือความมืดแห่งวัตถุ  และทรงไม่ปรากฏ  พระองค์คือความรู้  พระองค์คือตัวแห่งความรู้  และพระองค์คือจุดมุ่งหมายแห่งความรู้  พระองค์ทรงสถิตอยู่ภายในหัวใจของทุก  ๆ  ชีวิต

คำอธิบายฺ

อภิวิญญาณ  บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแสงในสิ่งที่เจิดจรัสทั้งหมด  เช่น  ดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  และหมู่ดวงดาว  ในวรรณกรรมพระเวทเราพบว่า  ในอาณาจักรทิพย์ไม่มีความจำเป็นต้องมีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์เพราะว่ามีรัศมีขององค์ภควานอยู่ที่นั่น  ในโลกวัตถุ  บระฮมะจโยทิฺ  หรือรัศมีทิพย์ของพระองค์  ถูก  มะฮัท-ทัททวะฺ  หรือธาตุวัตถุต่าง  ๆ  ปกคลุมอยู่  ดังนั้น  ในโลกวัตถุนี้จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากดวงอาทิตย์  ดวงจันทร์  ไฟฟ้า  ฯลฯ  เพื่อให้แสงสว่าง  แต่ในโลกทิพย์ไม่มีความจำเป็นกับสิ่งเหล่านี้  ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในวรรณกรรมพระเวทว่า  เนื่องจากรัศมีอันเจิดจรัสของพระองค์  ทุกสิ่งทุกอย่างจึงสว่างไสว  เป็นที่ชัดเจนว่า  สถานภาพของพระองค์มิได้อยู่ในโลกวัตถุ  พระองค์ทรงสถิตในโลกทิพย์ซึ่งอยู่ในท้องฟ้าทิพย์ที่ห่างไกลมาก  ได้ยืนยันไว้ในวรรณกรรมพระเวทเช่นกันว่า  อาดิทยะ-วารณัม  ทะมะสะฮ  พะรัสทาท  (ชเวทาชวะทะระ  อุพะนิชัดฺ  3.8)  พระองค์ทรงเหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่ตลอดเวลา  แต่ทรงอยู่เหนือจากความมืดแห่งโลกวัตถุนี้มากมายนัก

ความรู้ของพระองค์ทรงเป็นทิพย์  และวรรณกรรมพระเวทยืนยันว่า  บระฮมันฺคือความรู้ทิพย์ที่มารวมกัน  สำหรับผู้ที่กระตือรือร้นจะย้ายไปยังโลกทิพย์  องค์ภควานผู้สถิตในหัวใจของทุก  ๆ  คนทรงให้ความรู้  มนต์พระเวทบทหนึ่ง  (ชเวทาชวะทะระ  อุพะ  นิชัดฺ  6.18  )  กล่าวว่า  ทัม  ฮะ  เดวัม  อาทมะ-บุดดิฺ-พระคาชัม  มุมุคชุร  ไว  ชะระณัม  อฮัม  พระพัดเยฺ  หากต้องการความหลุดพ้น  เราต้องศิโรราบต่อบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าได้ยืนยันไว้ในวรรณกรรมพระเวทเช่นกันเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งความรู้  ทัม  เอวะ  วิดิทวาทิ  มริทยุม  เอทิฺ  “ด้วยการรู้ถึงพระองค์เท่านั้นที่เราสามารถข้ามพ้นอาณาเขตแห่งการเกิดและการตายได้”  (ชเวทาชวะทะระ  อุพะนิชัดฺ  3.8)

องค์ภควานทรงสถิตในหัวใจของทุก  ๆ  ชีวิตในฐานะผู้ควบคุมสูงสุด  ทรงมีพระเพลา  และพระกรที่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง  เราจะกล่าวเช่นนี้ไม่ได้กับปัจเจกวิญญาณ  ดังนั้น  จึงมีสองผู้รู้สนามแห่งกิจกรรม  คือปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณเช่นนี้  ต้องยอมรับว่าแขนและขาของเราอยู่เฉพาะที่ตัวเราเท่านั้น  แต่พระหัตถ์และพระเพลาของคริชณะทรงกระจายไปทุกหนทุกแห่ง  ได้ยืนยันไว้ใน  ชเวทาชวะทะระ  อุพะนิชัดฺ(3.17)  ว่า  สารวัสยะ  พระบํุม  อีชานัม  สารวัสยะ  ชะระณัม  บริฮัทฺ  บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์อภิวิญญาณทรงเป็น  พระบํฺุ  หรือพระอาจารย์ของมวลชีวิต  ทรงเป็นที่พักพิงสูงสุดของมวลชีวิต  ดังนั้น  จึงเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า  องค์อภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณจะแตกต่างกันเสมอ

โศลก 19

อิทิ คเชทรัม ทะทฺา กยานัมฺ
กเยยัม โชคทัม สะมาสะทะฮฺ
มัด-บัฺคธะ เอทัด วิกยายะ
มัด-บฺาวาโยพะพัดยะเทฺ

อิทิฺ  -  ดังนั้น, คเชทรัมฺ  -  สนามแห่งกิจกรรม (ร่างกาย), ทะทฺาฺ  -  เช่นกัน, กยานัมฺ  -  ความรู้, กเยยัมฺ  -  สิ่งรู้, ชะฺ  -  เช่นกัน, อุคทัมฺ  -  อธิบาย, สะมาสะทะฮฺ  -  โดยสรุป, มัท-บัฺคธะฮฺ  -  สาวกของข้า, เอทัทฺ  -  ทั้งหมดนี้, วิกยายะฺ  -  หลังจากเข้าใจ, มัท-บฺาวายะฺ  -  ธรรมชาติของข้า, อุพะพัดยะเทฺ  -  บรรลุ

คำแปลฺ

ดังนั้น  ข้าได้อธิบายโดยสรุปถึงสนามแห่งกิจกรรม  (ร่างกาย)  ความรู้  และสิ่งที่รู้ถึงได้  บรรดาสาวกของข้าเท่านั้นที่สามารถเข้าใจโดยตลอดและบรรลุถึงธรรมชาติของข้า

คำอธิบายฺ

องค์ภควานทรงอธิบายถึงร่างกาย  ความรู้  และสิ่งรู้โดยสรุป  ความรู้นี้ประกอบด้วยสามสิ่งคือ  ผู้รู้  สิ่งรู้  และวิธีที่จะรู้  ทั้งหมดนี้รวมกันเข้าเรียกว่า  วิกยานะฺ  หรือศาสตร์แห่งความรู้  สาวกผู้บริสุทธิ์ขององค์ภควานโดยตรงจึงสามารถเข้าใจความรู้โดยสมบูรณ์  บุคคลอื่นไม่สามารถเข้าใจได้  พวกที่เชื่อว่าเป็นหนึ่งเดียวกันกล่าวว่า  ในระดับท้ายสุดทั้งสามสิ่งนี้กลายมาเป็นหนึ่ง  แต่เหล่าสาวกไม่ยอมรับเช่นนี้  ความรู้และการพัฒนาความรู้หมายความว่าเข้าใจตนเองในคริชณะจิตสำนึก  เราได้ถูกวัตถุจิตสำนึกนำพาไป  แต่ทันทีที่เราย้ายจิตสำนึกทั้งหมดมาที่กิจกรรมของคริชณะ  และรู้แจ้งว่าคริช  ณะคือทุกสิ่งทุกอย่าง  ตรงนี้จะทำให้เราบรรลุถึงความรู้ที่แท้จริง  อีกนัยหนึ่งความรู้มิใช่อะไรอื่น  นอกจากระดับพื้นฐานแห่งความเข้าใจการอุทิศตนเสียสละรับใช้โดยสมบูรณ์  ในบทที่สิบห้าจะอธิบายประเด็นนี้อย่างชัดเจน

โดยสรุปเราอาจเข้าใจว่าโศลก  6  และโศลก  7  เริ่มจาก  มะฮา-บํูทานิฺ  มาจนถึง  เชทะนา  ดฺริทิฮฺ  ได้วิเคราะห์ธาตุวัตถุต่าง  ๆ  และปรากฏการณ์บางอย่างของลักษณะอาการแห่งชีวิตรวมกันเข้าเป็นร่างกายหรือสนามแห่งกิจกรรม  และโศลก  8  ถึง  โศลก12  จาก  อมานิทวัมฺ  จนถึง  ทัททวะ-กยานารทฺะ-ดารชะนัมฺ  ได้อธิบายวิธีแห่งความรู้เพื่อเข้าใจทั้งผู้รู้สนามแห่งกิจกรรมคือปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณ  จากนั้นโศลก  13  ถึงโศลก  18  เริ่มจาก  อนาดิ  มัท-พะรัมฺ  มาจนถึง  ฮริดิ  สารวัสยะ  วิชทิฺทัมฺ  ได้อธิบายถึงดวงวิญญาณและองค์ภควานหรืออภิวิญญาณ

ได้อธิบายถึงสามประเด็นดังนี้  สนามแห่งกิจกรรม  (ร่างกาย)  วิธีแห่งการเข้าใจทั้งดวงวิญญาณ  และอภิวิญญาณ  ณ  ที่นี้  อธิบายโดยเฉพาะว่า  เหล่าสาวกผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เท่านั้นจึงสามารถเข้าใจสามประเด็นนี้อย่างชัดเจน  ดังนั้นสาวกเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จาก  ภควัต-คีตาฺ  อย่างสมบูรณ์  และสามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดนั่นคือธรรมชาติขององค์ภควานชรีคริชณะ  อีกนัยหนึ่ง  สาวกเท่านั้นที่สามารถเข้าใจ  ภควัต-คีตาฺ  และได้รับผลสมดังใจปรารถนา  มิใช่บุคคลอื่น

โศลก 20

พระคริทิม พุรุชัม ไชวะ
วิดดิฺ อนาดี อุบฺาพ อพิฺ

วิคารามช ชะ กุณามช ไชวะ
วิดดิฺ พระคริทิ-สัมบฺะวานฺ

พระคริทิมฺ  -  ธรรมชาติวัตถุ, พุรุชัมฺ  -  สิ่งมีชีวิต, ชะฺ  -  เช่นกัน, เอวะฺ  -  แน่นอน, วิดดิฺฺ  -  เธอต้องรู้, อนาดีฺ  -  ไม่มีจุดเริ่มต้น, อุโบฺฺ  -  ทั้งคู่, อพิฺ  -  เช่นกัน, วิคารานฺ  -  การเปลี่ยนแปลง, ชะฺ  -  เช่นกัน, กุณาณฺ  -  สามระดับของธรรมชาติ, ชะฺ  -  เช่นกัน, เอวะฺ  -  แน่นอน, วิดดิฺฺ  -  รู้, พระคริทิฺ  -  ธรรมชาติวัตถุ, สัมบฺะวานฺ  -  ผลิตจาก

คำแปลฺ

ควรเข้าใจว่าธรรมชาติวัตถุและสิ่งมีชีวิตไม่มีจุดเริ่มต้น  การเปลี่ยนแปลงและระดับของวัตถุเป็นผลผลิตของธรรมชาติวัตถุ

คำอธิบายฺ

จากความรู้ที่ให้ไว้ในบทนี้  เราสามารถเข้าใจร่างกาย  (สนามแห่งกิจกรรม)และผู้รู้ร่างกาย  (ทั้งปัจเจกวิญญาณและอภิวิญญาณ)  ร่างกายเป็นสนามแห่งกิจกรรมซึ่งประกอบไปด้วยธรรมชาติวัตถุ  ปัจเจกวิญญาณที่ถูกร่างกายปกคลุมและรื่นเริงไปกับกิจกรรมของร่างกายคือ  พุรุชะฺ  หรือสิ่งมีชีวิต  เราเป็นผู้รู้ผู้หนึ่ง  และผู้รู้อีกผู้หนึ่งคืออภิวิญญาณ  เข้าใจว่าทั้งอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณเป็นปรากฏการณ์ที่ต่างกันของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  สิ่งมีชีวิตอยู่ในกลุ่มของพลังงานของพระองค์  และอภิวิญญาณอยู่ในกลุ่มของภาคที่แบ่งแยกส่วนมาจากองค์ภควาน

ทั้งธรรมชาติวัตถุและสิ่งมีชีวิตเป็นอมตะ  หมายความว่าทั้งคู่มีอยู่ก่อนการสร้าง  ปรากฏการณ์ทางวัตถุมาจากพลังงานขององค์ภควาน  สิ่งมีชีวิตก็เช่นเดียวกันแต่สิ่งมีชีวิตเป็นพลังงานที่สูงกว่า  ทั้งสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติวัตถุมีอยู่ก่อนที่จักรวาลนี้จะปรากฏ  ธรรมชาติวัตถุถูกซึมซาบอยู่ในองค์ภควาน  มะฮา-วิชณฺุ  และเมื่อถึงเวลาจำเป็นจะปรากฏออกมาผ่านทางผู้แทน  มะฮัท-ทัททวะฺ  ในทำนองเดียวกัน  สิ่งมีชีวิตก็อยู่ในพระองค์  เนื่องจากอยู่ภายใต้พันธสภาวะ  จึงไม่ชอบรับใช้องค์ภควาน  ดังนั้น  จึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในท้องฟ้าทิพย์  แต่จากการที่ธรรมชาติวัตถุปรากฏออกมา  สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติการในโลกวัตถุและเตรียมตัวเพื่อเข้าไปในโลกทิพย์  นั่นคือความเร้นลับแห่งการสร้างทางวัตถุนี้  อันที่จริงสิ่งมีชีวิตโดยเนื้อแท้เดิมทีเป็นละอองอณูทิพย์ขององค์ภควาน  แต่เนื่องจากธรรมชาติที่ชอบต่อต้านจึงได้มาอยู่ในพันธสภาวะภายใต้ธรรมชาติวัตถุ  ไม่สำคัญว่าสิ่งมีชีวิตหรือชีวิตที่สูงกว่าขององค์ภควานมาสัมผัสกับธรรมชาติวัตถุได้อย่างไร  อย่างไรก็ดี  บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงทราบว่า  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไมมันจึงเกิดขึ้น  ในพระคัมภีร์พระองค์ตรัสว่า  ผู้ที่หลงใหลอยู่กับธรรมชาติวัตถุนี้จะต้องเผชิญกับการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดด้วยความยากลำบาก  แต่จากไม่กี่โศลกนี้เราควรรู้อย่างแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงและอิทธิพลทั้งหลายของธรรมชาติวัตถุทั้งสามระดับก็เป็นผลผลิตของธรรมชาติวัตถุเช่นกัน  การเปลี่ยนแปลงและความหลากหลายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตก็เนื่องมาจากร่างกาย  สำหรับดวงวิญญาณแล้วสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหมือนกัน

โศลก 21

คารยะ-คาระณะ-คารทริทเว
เฮทุฮ พระคริทิร อุชยะเทฺ

พุรุชะฮ-สุคฺะ-ดุฮคฺานาม
โบฺคคริทเว เฮทุร อุชยะเทฺ

คารยะฺ  -  ของผล, คาระณะฺ  -  และเหตุ, คารทริทเวฺ  -  ในเรื่องของการสร้าง, เฮทุฮฺ  -  เครื่องมือ, พระคริทิฮฺ  -  ธรรมชาติวัตถุ, อุชยะเทฺ  -  กล่าวว่า, พุรุชะฮฺ  -  สิ่งมีชีวิต, สุคฺะฺ  -  ความสุข, ดุฮคฺานามฺ  -  และความทุกข์, โบฺคทริทเวฺ  -  ในความรื่นเริง, เฮทุฮฺ  -  เครื่องมือ-อุชยะเทฺ  -  กล่าวว่า

คำแปลฺ

กล่าวไว้ว่าธรรมชาติเป็นแหล่งกำเนิดของเหตุและผลทางวัตถุทั้งหลาย  ขณะที่สิ่งมีชีวิตเป็นแหล่งกำเนิดของความทุกข์และความสุขต่าง  ๆ  ในโลกนี้

คำอธิบายฺ

ปรากฏการณ์ที่ไม่เหมือนกันของร่างกายและประสาทสัมผัสในสิ่งมีชีวิตต่างๆก็เนื่องมาจากธรรมชาติวัตถุ  มี  8,400,000  เผ่าพันธุ์ชีวิตที่แตกต่างกัน  ความหลากหลายเหล่านี้เป็นการสร้างของธรรมชาติวัตถุ  มันเกิดขึ้นมาจากความสุขทางประสาทสัมผัสที่ไม่เหมือนกันของสิ่งมีชีวิตผู้ปรารถนาจะอยู่ในร่างนี้หรือร่างนั้น  เมื่อถูกส่งไปอยู่ในร่างกายต่าง  ๆ  เขารื่นเริงอยู่กับความสุขและความทุกข์ที่ไม่เหมือนกัน  ความสุขและความทุกข์ทางวัตถุก็เนื่องมาจากร่างกาย  ซึ่งตามความเป็นจริงไม่ใช่ตัวเขา  ในระดับเดิมแท้ของตัวเขา  ความรื่นเริงเป็นสิ่งแน่นอน  เพราะนั่นคือสถานภาพอันแท้จริงของเขาเนื่องจากความปรารถนาที่จะเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุเขาจึงมาอยู่ในโลกวัตถุ  ในโลกทิพย์ไม่มีสิ่งเหล่านี้  โลกทิพย์นั้นบริสุทธิ์  แต่ในโลกวัตถุทุกคนดิ้นรนด้วยความยากลำบากเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขทางร่างกาย  อาจทำให้ชัดเจนขึ้นที่กล่าวว่า  ร่างกายนี้คือผลของประสาทสัมผัสต่าง  ๆ  ประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือเพื่อสนองความต้องการบัดนี้ผลมวลรวมคือ  ร่างกายและประสาทสัมผัสที่เป็นเครื่องมือธรรมชาติวัตถุเป็นผู้ให้จะชัดเจนยิ่งขึ้นในโศลกต่อไป  สิ่งมีชีวิตได้รับพรหรือถูกสาปในสถานการณ์ต่าง  ๆ  ตามความปรารถนาและตามกรรมในอดีตของตน  ธรรมชาติวัตถุได้วางเขาลง  ณ  ที่พำนักต่างๆ  ตามความต้องการและตามกรรมของเขา  สิ่งมีชีวิตเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ได้สถานที่พำนักเช่นนี้  และได้รับความสุขหรือความทุกข์ซึ่งเป็นผลที่ตามมา  เมื่อถูกจับให้มาอยู่ในร่างกายโดยเฉพาะนี้  เขาได้มาอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมชาติ  เพราะว่าร่างกายเป็นวัตถุซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎแห่งธรรมชาติ  ในขณะนั้น  สิ่งมีชีวิตไม่มีอำนาจที่จะไปเปลี่ยนกฎเกณฑ์  สมมติว่าสิ่งมีชีวิตถูกจับให้ไปอยู่ในร่างสุนัขเขาต้องทำตัวให้เหมือนกับสุนัขทันที  จะทำตัวเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้  และหากว่าสิ่งมีชีวิตถูกจับให้ไปอยู่ในร่างสุกร  เขาก็จะถูกบังคับให้กินอุจจาระและทำตัวเหมือนกับสุกร  ในทำนองเดียวกัน  หากสิ่งมีชีวิตถูกจับไปอยู่ในร่างเทวดา  เขาจะต้องทำตัวตามสถานภาพทางร่างกายของเขา  นี่คือกฎแห่งกฎแห่งธรรมชาติ  แต่ในทุก  ๆ  กรณีอภิวิญญาณทรงอยู่กับปัจเจกวิญญาณ  ได้อธิบายไว้ในคัมภีร์พระเวท  (มุณดะคะ  อุพะนิชัดฺ  3.1.1)  ดังนี้  ดวา  สุพารณา  สะยุจา  สะคฺายะฮฺ  องค์ภควานทรงมีพระเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตจึงทรงอยู่ร่วมกับปัจเจกวิญญาณเสมอ  และในทุกๆสถานการณ์พระองค์ทรงปรากฏในฐานะอภิวิญญาณหรือพระมาทมา

โศลก 22

พุรุชะฮ พระคริทิ-สโทฺ ฮิ
บํุงคเท พระคริทิ-จาน กุณานฺ

คาระณัม กุณะ-สังโก ่สยะ
สัด-อสัด-โยนิ-จันมะสฺุ

พุรุชะฮฺ  -  สิ่งมีชีวิต, พระคริทิ-สทฺะฮฺ  -  สถิตในพลังงานวัตถุ, ฮิฺ  -  แน่นอน, บํุงคเทฺ  -  รื่นเริง, พระคริทิ-จานฺ  -  ผลิตโดยธรรมชาติวัตถุ, กุณานฺ  -  ระดับของธรรมชาติ, คาระณัมฺ  -  แหล่งกำเนิด, กุณะ-สังกะฮฺ  -  คบหาสมาคมกับระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติ, อัสยะ-ของสิ่งมีชีวิต, สัท-อสัทฺ  -  ในความดีและความชั่ว, โยนิฺ  -  เผ่าพันธุ์แห่งชีวิต, จันมะสฺุ  -  ในการเกิด

คำแปลฺ

สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติวัตถุปฏิบัติตามวิถีแห่งชีวิต  รื่นเริงกับสามระดับของธรรมชาติ  เป็นเช่นนี้เนื่องจากมาคบหาสมาคมกับธรรมชาติวัตถุนั้น  ดังนั้น  เขาจึงพบกับความดีและความชั่วในเผ่าพันธุ์ต่าง  ๆ

คำอธิบายฺ

โศลกนี้สำคัญมากในการที่จะเข้าใจว่า  สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่ร่างหนึ่งได้อย่างไร  ได้อธิบายไว้ในบทที่สองว่า  สิ่งมีชีวิตเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งเหมือนกับการเปลี่ยนเสื้อผ้า  การเปลี่ยนเสื้อผ้านี้เนื่องมาจากการยึดติดกับความเป็นอยู่ทางวัตถุ  ตราบใดที่ยังหลงอยู่ในเสน่ห์แห่งการปรากฏที่ผิด  ๆ  นี้  เขาจะต้องเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งต่อไปเรื่อย  ๆ  เนื่องจากความปรารถนาที่จะเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุ  จึงถูกจับให้มาอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเช่นนี้  ภายใต้อิทธิพลแห่งความปรารถนาทางวัตถุ  บางครั้งสิ่งมีชีวิตเกิดมาเป็นเทวดา  บางครั้งเป็นมนุษย์  บางครั้งเป็นสัตว์  เป็นนก  เป็นหนอน  เป็นสัตว์น้ำ  เป็นนักปราชญ์หรือเป็นแมลง  ดำเนินต่อไปเช่นนี้  และในทุก  ๆ  กรณีสิ่งมีชีวิตคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายแห่งสถานการณ์ของตน  แต่เขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของธรรมชาติวัตถุ

เขาถูกจับให้มาอยู่ภายในร่างกายต่าง  ๆ  เหล่านี้ได้อย่างไร  อธิบาย  ณ  ที่นี้เนื่องจากมาคบหาสมาคมกับระดับต่าง  ๆ  ของธรรมชาติ  ฉะนั้น  เขาจะต้องทำความเจริญขึ้นให้อยู่เหนือสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ  และสถิตในสถานภาพทิพย์เช่นนี้เรียกว่าคริชณะจิตสำนึก  นอกจากสถิตในคริชณะจิตสำนึก  มิฉะนั้น  วัตถุจิตสำนึกของตนเองจะบังคับให้ย้ายจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง  เนื่องจากมีความปรารถนาทางวัตถุตั้งแต่กาลสมัยดึกดำบรรพ์  จึงจำต้องเปลี่ยนแนวความคิดนั้น  การเปลี่ยนแปลงจะเป็นผลดีก็จากการสดับฟังจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น  ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ  อารจุนะทรงสดับฟังศาสตร์แห่งองค์ภควานจากคริชณะ  หากสิ่งมีชีวิตยอมรับวิธีการสดับฟังนี้  เขาจะละทิ้งความปรารถนาที่หวังไว้เป็นเวลายาวนานว่าจะครอบครองธรรมชาติวัตถุ  และจะค่อย  ๆเปลี่ยนแปลงอย่างมีดุลยภาพ  ในขณะที่ตัดทอนความปรารถนาอันยาวนานที่จะครอบครองธรรมชาติ  เขาจะรื่นเริงกับความสุขทิพย์  บทมนต์พระเวทกล่าวไว้ว่า  ขณะที่ได้รับความรู้ในการมาใกล้ชิดกับองค์ภควาน  เขาได้รับรสชีวิตแห่งความปลื้มปีติสุขอมตะตามสัดส่วนนั้น  ๆ

โศลก 23

อุพะดรัชทานุมันทา ชะ
บฺารทา โบฺคทา มะเฮชวะระฮฺ

พะระมาทเมทิ ชาพิ อุคโท
เดเฮ ่สมิน พุรุชะฮ พะระฮฺ

อุพะดรัชทาฺ  -  ผู้ดูแล, อนุมันทาฺ  -  ผู้ให้อนุญาต, ชะฺ  -  เช่นกัน, บฺารทาฺ  -  เจ้านาย, โบฺคทาฺ  -  ผู้มีความรื่นเริงสูงสุด, มะฮา-อีชวะระฮฺ  -  องค์ภควานสูงสุด, พะระมะ-อาทมาฺ  -  อภิวิญญาณ, อิทิฺ  -  เช่นกัน, ชะฺ  -  และ, อพิฺ  -  แน่นอน, อุคทะฮฺ  -  กล่าวว่า, เดเฮฺ  -  ในร่างกาย, อัสมินฺ, นี้, พุรุชะฮฺ  -  ผู้รื่นเริง, พะระฮฺ  -  ทิพย์

คำแปลฺ

ในร่างกายนี้  มีผู้รื่นเริงทิพย์อีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นองค์ภควาน  ทรงเป็นเจ้าของสูงสุด  ประทับอยู่ในฐานะผู้ดูแลและผู้ให้อนุญาต  ที่รู้กันว่าเป็นองค์อภิวิญญาณ

คำอธิบายฺ

ได้กล่าวไว้  ณ  ที่นี้ว่า  อภิวิญญาณผู้ประทับอยู่กับปัจเจกวิญญาณเสมอ  ทรงเป็นผู้แทนขององค์ภควาน  ทรงมิใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดา  เพราะว่าเหล่านักปราชญ์ผู้เชื่อว่าเป็นหนึ่งเดียวกันคิดว่า  ผู้รู้ร่างกายเป็นหนึ่ง  โดยไม่มีข้อแตกต่างระหว่างอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณ  เพื่อให้ประเด็นนี้กระจ่างขึ้น  ทรงตรัสว่า  พระองค์ทรงมีผู้แทนในฐานะพะระมาทมาอยู่ในทุก  ๆ  ร่าง  พระองค์ทรงแตกต่างจากปัจเจกวิญญาณ  ทรงเป็น  พะระฺ  หรือเป็นทิพย์  ปัจเจกวิญญาณได้รับความสุขกับสนามเฉพาะของตน  แต่อภิวิญญาณทรงปรากฏไม่ใช่ในฐานะผู้มีความสุขที่มีขีดจำกัด  หรือผู้ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางร่างกาย  แต่ในฐานะพยานผู้ดูแล  ผู้ให้อนุญาต  และผู้มีความสุขสูงสุด  พระองค์ทรงพระนามว่า  พะระมาทมาฺ  ไม่ใช่อาทมาและทรงเป็นทิพย์  ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า  อาทมาฺ  และ  พะระมาทมาฺ  แตกต่างกัน  อภิวิญญาณ  พะระมาทมาฺ  มีพระเพลาและพระกรทุกหนทุกแห่ง  แต่ปัจเจกวิญญาณไม่มี  และเนื่องจาก  พะระมาทมาฺ  ทรงเป็นองค์ภค  วานผู้ประทับอยู่ภายในเพื่ออนุมัติความสุขทางวัตถุตามที่ปัจเจกวิญญาณปรารถนาหากปราศจากการอนุมัติของอภิวิญญาณ  ปัจเจกวิญญาณจะไม่สามารถทำอะไรได้เลยปัจเจกวิญญาณเป็น  บํุคทะฺ  หรือผู้ได้รับการอนุเคราะห์  และพระองค์คือ  โบฺคทาฺ  หรือผู้อนุเคราะห์  มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน  และพระองค์ทรงประทับอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาในฐานะเป็นสหาย

ความจริงคือทุก  ๆ  ปัจเจกชีวิตเป็นละอองอณูนิรันดรขององค์ภควานและทั้งคู่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกันมากในฐานะเพื่อน  แต่สิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มที่จะปฏิเสธการอนุมัติของพระองค์  และทำไปโดยพละการเพื่อพยายามที่จะครอบครองธรรมชาติเนื่องจากมีแนวโน้มเช่นนี้เขาจึงถูกเรียกว่าเป็นพลังงานพรมแดนของพระองค์  สิ่งมีชีวิตสามารถสถิตในพลังงานวัตถุหรือในพลังงานทิพย์  ตราบใดที่ยังอยู่ภายใต้พันธสภาวะของพลังงานวัตถุ  องค์ภควานหรืออภิวิญญาณในฐานะสหายจะอยู่กับเขาเพื่อให้เขากลับคืนสู่พลังงานทิพย์  พระองค์ทรงมีความกระตือรือร้นที่จะนำเขากลับไปยังพลังงานทิพย์เสมอ  แต่เนื่องจากเสรีภาพเพียงนิดเดียว  ทำให้ปัจเจกชีวิตปฏิเสธการมาอยู่ใกล้ชิดกับประทีปทิพย์อยู่ตลอดเวลา  การใช้เสรีภาพไปในทางที่ผิดเช่นนี้  ทำให้ต้องดิ้นรนทางวัตถุในสภาวะธรรมชาติ  ดังนั้น  พระองค์ทรงให้คำสั่งสอนทั้งจากภายในและภายนอกเสมอ  จากภายนอกทรงให้คำสั่งสอนดังที่ตรัสไว้ใน  ภควัต-คีตาฺ  และจากภายในทรงพยายามทำให้สิ่งมีชีวิตมั่นใจว่า  กิจกรรมของเขาในสนามวัตถุจะไม่นำมาซึ่งความสุขอันแท้จริง  โดยตรัสว่า  “จงยกเลิกมันเสียและหันความศรัทธามาที่ข้า  แล้วเจ้าจะมีความสุข”  ดังนั้น  ปัญญาชนผู้มอบความศรัทธาให้แก่  พะระมาทมาฺ  หรือองค์ภควาน  จะเริ่มเจริญก้าวหน้าไปสู่ชีวิตแห่งความปลื้มปีติสุขที่เป็นอมตะ  และเปี่ยมไปด้วยความรู้

โศลก 24

ยะ เอวัม เวททิ พุรุชัม
พระคริทิม ช กุไณฮ สะฮะฺ

สารวะทฺา วารทะมาโน ่พิ
นะ สะ บํูโย ่บิฺจายะเทฺ

ยะฮฺ  -  ผู้ใดซึ่ง, เอวัมฺ  -  ดังนั้น, เวททิฺ  -  เข้าใจ, พุรุชัมฺ  -  สิ่งมีชีวิต, พระคริทิมฺ  -  ธรรมชาติวัตถุ, ชะฺ  -  และ, กุไนฮฺ  -  ระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุ, สะฮะฺ  -  กับ, สารวะทฺาฺ  -  ในทุก ๆ วิธี, วารทะมานะฮฺ  -  สถิต, อพิฺ  -  ถึงแม้ว่า, นะฺ  -  ไม่เคย, สะฮฺ  -  เขา, บํูยะฮฺ  -  อีกครั้งหนึ่ง, อบิฺจา ยะเทฺ  -  เกิด

คำแปลฺ

ผู้เข้าใจปรัชญาเกี่ยวกับธรรมชาติวัตถุ  สิ่งมีชีวิต  และผลกระทบซึ่งกันและกันของระดับต่าง  ๆ  แห่งธรรมชาตินี้  แน่นอนว่าจะได้รับอิสรภาพ  เขาจะไม่มาเกิดที่นี่อีก  ไม่ว่าสถานภาพปัจจุบันเป็นเช่นไร

คำอธิบายฺ

การเข้าใจธรรมชาติวัตถุ  อภิวิญญาณ  ปัจเจกวิญญาณ  และผลกระทบซึ่งกันและกันของทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน  ทำให้มีสิทธิ์ได้รับเสรีภาพและกลับคืนสู่บรรยากาศทิพย์  โดยไม่ต้องถูกบังคับให้กลับคืนมาสู่ธรรมชาติวัตถุนี้อีก  นั่นคือผลแห่งความรู้  จุดมุ่งหมายแห่งความรู้คือการเข้าใจอย่างชัดเจนว่า  โดยบังเอิญสิ่งมีชีวิตได้ตกลงมามีความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้  แต่ด้วยความพยายามส่วนตัวที่มาคบหาสมาคมกับบุคคลผู้เชื่อถือได้เช่น  นักบุญและพระอาจารย์ทิพย์ทำให้เข้าใจสถานภาพของตนเองจากนั้นก็กลับคืนไปสู่จิตสำนึกทิพย์หรือคริชณะจิตสำนึก  ด้วยการเข้าใจ  ภควัต-คีตาฺ  ตามที่องค์ภควานทรงอธิบาย  จึงเป็นที่แน่นอนว่าเราจะไม่กลับมามีความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้อีกครั้ง  และจะถูกย้ายไปยังโลกทิพย์เพื่อชีวิตอมตะที่มีความปลื้มปีติสุขและเปี่ยมไปด้วยความรู้

โศลก 25

ดฺยาเนนาทมะนิ พัชยันทิ
เคชิด อาทมานัม อาทมะนาฺ

อันเย สางคฺเยนะ โยเกนะ
คารมะ-โยเกนะ ชาพะเรฺ

ดฺยาเนนะฺ  -  ด้วยการทำสมาธิ, อาทมะนิฺ  -  ภายในตนเอง, พัชยันทิฺ  -  เห็น, เคชิทฺ  -  บางคน, อาทมานัมฺ  -  อภิวิญญาณ, อาทมะนาฺ  -  ด้วยจิต, อันเยฺ  -  ผู้อื่น, สางคฺเยนะฺ  -  ของการสนทนาปรัชญา, โยเกนะฺ  -  ด้วยระบบโยคะ, คารมะ-โยเกนะฺ  -  ด้วยกิจกรรมที่ปราศจากความต้องการผลทางวัตถุ, ชะฺ  -  เช่นกัน, อพะเรฺ  -  ผู้อื่น

คำแปลฺ

บางคนสำเหนียกองค์อภิวิญญาณภายในตนเองด้วยการทำสมาธิ  บางคนสำเหนียกด้วยการพัฒนาความรู้  และยังมีผู้อื่นที่สำเหนียกด้วยการทำงานโดยไม่ต้องการผลทางวัตถุ

คำอธิบายฺ

องค์ภควานทรงให้ข้อมูลแด่อารจุนะว่าพันธวิญญาณผู้เสาะแสวงหาความรู้แจ้งแห่งตนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม  คือกลุ่มที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน  ไม่เชื่อว่ามีนรกสวรรค์และมีความเคลือบแคลงสงสัย  บุคคลเหล่านี้ความเข้าใจวิถีทิพย์อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดของพวกตน  และมีอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความศรัทธาในการเข้าใจชีวิตทิพย์เรียกว่าสาวกผู้ใคร่ครวญ  นักปราชญ์  และผู้ที่ทำงานสละผลทางวัตถุ  ผู้ที่พยายามสถาปนาลัทธิความเชื่อว่าเป็นหนึ่งเดียวกันก็นับอยู่ในกลุ่มที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน  และไม่เชื่อในนรกสวรรค์  อีกนัยหนึ่ง  บรรดาสาวกของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าเท่านั้นที่สถิตดีที่สุดในการเข้าใจวิถีทิพย์  เพราะมีความเข้าใจว่าสูงกว่าธรรมชาติวัตถุนี้ยังมีโลกทิพย์และองค์ภควานผู้ทรงแบ่งภาคมาเป็น  พะระมาทมาฺ  หรือ  องค์อภิวิญญาณภายในหัวใจของทุกๆคน  ผู้ทรงแผ่กระจายไปทั่ว  แน่นอนว่ามีบุคคลที่พยายามเข้าใจสัจธรรมสูงสุดด้วยการพัฒนาความรู้  ซึ่งนับว่าอยู่ในกลุ่มของผู้มีศรัทธา  บรรดานักปราชญ์  สางคฺยะฺ  วิเคราะห์โลกวัตถุนี้ว่ามียี่สิบสี่ธาตุ  และจัดปัจเจกวิญญาณว่าเป็นรายการที่ยี่สิบห้า  เมื่อสามารถเข้าใจธรรมชาติของปัจเจกวิญญาณว่าเป็นทิพย์เหนือธาตุวัตถุต่าง  ๆ  พวกนี้ก็สามารถเข้าใจเช่นกันว่า  เหนือไปกว่าปัจเจกวิญญาณยังมีบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  พระองค์ทรงเป็นธาตุที่ยี่สิบหก  ดังนั้น  พวกนี้จะค่อย  ๆ  มาถึงมาตรฐานแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึก  พวกที่ทำงานโดยไม่หวังผลทางวัตถุก็มีความสมบูรณ์ในท่าทีของตนเองเช่นกัน  และได้รับโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้ามาสู่ระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึก  ณ  ที่นี้กล่าวไว้ว่า  มีบางคนที่มีจิตสำนึกบริสุทธิ์  พยายามค้นหาอภิวิญญาณด้วยการทำสมาธิ  และเมื่อค้นพบอภิวิญญาณภายในตนเองแล้ว  จะสถิตในระดับทิพย์  ในลักษณะเดียวกัน  มีผู้พยายามเข้าใจดวงวิญญาณสูงสุดด้วยการพัฒนาความรู้  และยังมีผู้ที่พัฒนาระบบ  ฮะทฺะ-โยกะฺ  และพยายามทำให้บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยกิจกรรมแบบเด็ก  ๆ

โศลก 26

อันเย ทุ เอวัม อจานันทะฮ
ชรุทวานเยบฺยะ อุพาสะเทฺ

เท ่พิ ชาทิทะรันทิ เอวะ
มริทยุม ชุรทิ-พะรายะณาฮฺ

อันเยฺ  -  ผู้อื่น, ทุ-แต่, เอวัมฺ  -  ดังนั้น, อจานันทะฮฺ  -  โดยปราศจากความรู้ทิพย์, ชรุทวาฺ  -  ด้วยการสดับฟัง, อันเยบฺยะฮฺ  -  จากผู้อื่น, อุพาสะเทฺ  -  เริ่มบูชา, เทฺ  -  พวกเขา, อพิฺ  -  เช่นกัน, ชะฺ  -  และ, อทิทะรันทิฺ  -  ข้ามพ้น, เอวะฺ  -  แน่นอน, มริทยุมฺ  -  วิถีทางแห่งความตาย, ชรุทิฺ  -  พะรา ยะณาฮฺ  -  ชอบวิธีการสดับฟัง

คำแปลฺ

ยังมีพวกที่ถึงแม้ไม่ชำนาญในความรู้ทิพย์  แต่เมื่อสดับฟังเกี่ยวกับองค์ภควานจากผู้อื่นก็เริ่มบูชาพระองค์  เนื่องจากมีแนวโน้มชอบสดับฟังจากผู้ที่เชื่อถือได้พวกเขาจะข้ามพ้นวิถีแห่งการเกิดและการตายเช่นเดียวกัน

คำอธิบายฺ

โศลกนี้เหมาะสมกับสังคมปัจจุบันโดยเฉพาะ  เพราะว่าสังคมปัจจุบันเกือบไม่มีการศึกษาในเรื่องทิพย์เลย  บางคนอาจดูเหมือนว่าเป็นผู้ไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่เชื่อในนรกสวรรค์  หรือไม่เชื่อในปรัชญา  แต่อันที่จริงไม่มีความรู้ปรัชญา  สำหรับคนธรรมดาทั่วไป  หากผู้ใดเป็นดวงวิญญาณที่ดีก็จะมีโอกาสเจริญก้าวหน้าด้วยการสดับฟังวิธีการสดับฟังนี้สำคัญมาก  องค์เชธันญะผู้ตรัสสอนคริชณะจิตสำนึกในโลกปัจจุบันทรงเน้นการสดับฟังเป็นอย่างมาก  หากคนธรรมดาเพียงแต่สดับฟังจากแหล่งที่เชื่อถือได้เขาก็สามารถเจริญก้าวหน้า  โดยเฉพาะ  หากสดับฟังคลื่นเสียงทิพย์  ฮะเร  คริชณะ  ฮะเรคริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเร  ฮะเร/  ฮะเร  รามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร  ตามที่องค์เชธันญะตรัส  ดังนั้น  จึงกล่าวไว้ว่ามนุษย์ทั้งหลายควรถือโอกาสในการสดับฟังจากจิตวิญญาณผู้รู้แจ้ง  เมื่อค่อย  ๆ  เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง  การบูชาองค์ภควานจะบังเกิดขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย  องค์เชธันญะตรัสว่าในยุคนี้ไม่มีผู้ใดจำเป็นต้องเปลี่ยนสถานภาพของตนเอง  แต่เราควรยกเลิกความพยายามที่จะเข้าใจสัจธรรมด้วยเหตุผลจากการคาดคะเน  เราควรเรียนรู้และมาเป็นผู้รับใช้ของผู้ที่มีความรู้แห่งองค์ภควาน  หากโชคดีพอที่ได้มาพึ่งสาวกผู้บริสุทธิ์  สดับฟังจากท่านเกี่ยวกับความรู้แจ้งแห่งตน  และปฏิบัติตามรอยพระบาทของท่าน  เราจะค่อย  ๆ  พัฒนามาสู่สถานภาพของสาวกผู้บริสุทธิ์  ในโศลกนี้ได้แนะนำวิธีการสดับฟังมากเป็นพิเศษซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่ง  ถึงแม้ว่าคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่จะไม่มีความสามารถเทียบเท่านักปราชญ์  แต่ด้วยความศรัทธาในการสดับฟังจากบุคคลที่เชื่อถือได้  จะช่วยเราให้ข้ามพ้นไปจากความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้  และกลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควาน

โศลก 27

ยาวัท สันจายะเท คินชิท
สัททวัม สทฺาวะระ-จังกะมัมฺ

คเชทระ-คเชทระกยะ-สัมโยกาท
ทัด วิดดิฺ-บฺะระทารชะบฺะฺ

ยาวัทฺ  -  อะไรก็แล้วแต่, สันจายะเทฺ  -  มามีชีวิต, คินชิทฺ  -  สิ่งใด, สัททวัมฺ  -  เป็นอยู่, สทฺาวะ ระฺ  -  ไม่เคลื่อนที่, จังกะมัมฺ  -  เคลื่อนที่, คเชทระฺ  -  ของร่างกาย, คเชทระ-กยะฺ  -  และผู้รู้ร่างกาย, สัมโยกาทฺ  -  จากการรวมกันระหว่าง, ทัท วิดดิฺฺ  -  เธอต้องรู้, บฺะระทะ-ริชะบฺะฺ  -  โอ้ผู้นำแห่งบฺาระทะ

คำแปลฺ

โอ้  ผู้นำแห่งบฺาระทะ  จงรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเห็นปรากฏอยู่ทั้งเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่  เป็นเพียงการรวมตัวของสนามแห่งกิจกรรมและผู้รู้สนาม

คำอธิบายฺ

ทั้งธรรมชาติวัตถุและสิ่งมีชีวิตซึ่งมีอยู่ก่อนการสร้างจักรวาลอธิบายไว้ในโศลกนี้  ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างขึ้นมาเป็นเพียงการผสมผสานระหว่างสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติวัตถุ  มีปรากฏการณ์มากมาย  เช่น  ต้นไม้  ภูเขา  และเนินเขาซึ่งไม่เคลื่อนที่และมีสิ่งที่ปรากฏอยู่มากมายที่เคลื่อนที่  ทั้งหมดเป็นเพียงการผสมผสานของธรรมชาติวัตถุ  และสิ่งมีชีวิตจะดำเนินต่อไปชั่วกัลปวสาน  องค์ภควานทรงทำให้การผสมผสานกันนี้เกิดเป็นผล  ดังนั้น  พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมทั้งธรรมชาติที่สูงกว่าต่ำกว่า  พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างธรรมชาติวัตถุและธรรมชาติที่สูงกว่าถูกวางลงไปในธรรมชาติวัตถุนี้  ดังนั้นกิจกรรมและปรากฏการณ์ทั้งหลายเหล่านี้จึงบังเกิดขึ้น

โศลก 28

สะมัม สารเวชุ บํูเทชุ
ทิชฮันทัม พะระเมชวะรัมฺ

วินัชยัทสุ อวินัชยันทัม
ยะฮ พัชยะทิ สะ พัชยะทิฺ

สะมัมฺ  -  เสมอภาค, สารเวชฺุ  -  ในทั้งหมด, บํูเทชฺุ  -  สิ่งมีชีวิต, ทิชทัฺนทัมฺ  -  อาศัยอยู่, พะระมะ- อีชวะรัมฺ  -  องค์อภิวิญญาณ, วินัชยัทสฺุ  -  ในการทำลาย, อวินัชยันทัมฺ  -  ไม่ถูกทำลาย, ยะฮฺ  -  ผู้ใดซึ่ง, พัชยะทิฺ  -  เห็น, สะฮฺ  -  เขา, พัชยะทิฺ  -  เห็นโดยแท้จริง

คำแปลฺ

ผู้เห็นองค์อภิวิญญาณพร้อมกับปัจเจกวิญญาณในทุก  ๆ  ร่าง  และเข้าใจว่าทั้งดวงวิญญาณและอภิวิญญาณภายในร่างกายที่สูญสลายนี้ไม่มีวันถูกทำลาย  เป็นผู้เห็นโดยแท้จริง

คำอธิบายฺ

ผู้ใดคบกัลยาณมิตรจะสามารถเห็นสามสิ่งรวมกันคือ  ร่างกาย  เจ้าของร่างกายหรือปัจเจกวิญญาณ  และสหายของปัจเจกวิญญาณ  ผู้เห็นเช่นนี้เป็นผู้มีความรู้ที่แท้จริงนอกจากมาคบหาสมาคมกับผู้รู้วิชาทิพย์โดยแท้จริง  มิฉะนั้น  เราจะไม่สามารถเห็นสามสิ่งนี้  ผู้ที่ไม่มีการคบหาสมาคมเช่นนี้อยู่ในอวิชชา  เพราะเห็นแต่เพียงร่างกายและคิดว่าเมื่อร่างกายถูกทำลายทุกสิ่งทุกอย่างก็จบลง  อันที่จริงไม่เป็นเช่นนั้น  หลังจากร่างกายถูกทำลายลง  ทั้งดวงวิญญาณและอภิวิญญาณยังคงอยู่  ทั้งคู่ยังคงดำเนินต่อไปในร่างต่าง  ๆ  มากมาย  ทั้งเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่  คำสันสกฤต  พะระเมชวะระฺ  บางครั้งแปลเป็น  “ปัจเจกวิญญาณ”  เพราะว่าดวงวิญญาณเป็นเจ้าของร่างกาย  และหลังจากร่างกายถูกทำลายลง  ดวงวิญญาณจะย้ายไปสู่อีกร่างหนึ่ง  เช่นนี้เขาเป็นเจ้านาย  แต่มีผู้อื่นแปลคำว่า  พะระเมชวะระฺ  นี้เป็นอภิวิญญาณ  ทั้งสองกรณี  ทั้งอภิวิญญาณและปัจเจกวิญญาณยังคงดำเนินต่อไป  ทั้งคู่ไม่ถูกทำลายผู้สามารถเห็นเช่นนี้เป็นผู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

โศลก 29

สะมัม พัชยัน ฮิ สารวะทระ
สะมะวัสทิฺทัม อีชวะรัมฺ

นะ ฮินัสทิ อาทมะนาทมานัม
ทะโท ยาทิ พะราม กะทิมฺ

สะมัมฺ  -  เสมอภาค, พัชยันฺ  -  เห็น, ฮิฺ  -  แน่นอน, สารวะทระฺ  -  ทุกหนทุกแห่ง, สะมะวัสทิฺทัมฺ  -  สถิตเสมอภาค, อีชวะรัมฺ  -  อภิวิญญาณ, นะฺ  -  ไม่, ฮินัสทิฺ  -  ตกต่ำ, อาทมะนาฺ  -  ด้วยจิต, อาทมานัมฺ  -  ดวงวิญญาณ, ทะทะฮฺ  -  จากนั้น, ยาทิฺ  -  มาถึง, พะรามฺ  -  ทิพย์, กะทิมฺ  -  จุดมุ่งหมาย

คำแปลฺ

ผู้เห็นอภิวิญญาณปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งอย่างเสมอภาคภายในทุก  ๆ  ชีวิต  ไม่ปล่อยให้จิตของตนทำให้ตัวเองตกลงต่ำ  ดังนั้น  เขาจึงบรรลุถึงจุดมุ่งหมายทิพย์

คำอธิบายฺ

จากการยอมรับความเป็นอยู่ทางวัตถุ  สิ่งมีชีวิตจึงมาสถิตแตกต่างจากความเป็นอยู่ทิพย์ของตน  แต่เมื่อเข้าใจว่าองค์ภควานทรงสถิตในรูป  พะระมาทมาฺ  อยู่ทุกหนทุกแห่ง  นั่นคือ  หากสามารถเห็นว่าบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงปรากฏอยู่ภายในทุก  ๆ  ชีวิต  เราจะไม่ทำตัวเองให้ตกต่ำด้วยความคิดในการทำลาย  จากนั้นจะค่อย  ๆพัฒนาไปสู่โลกทิพย์  โดยทั่วไปจิตใจจะเสพติดอยู่กับวิธีกรรมเพื่อสนองประสาทสัมผัสแต่เมื่อจิตใจหันไปหาองค์อภิวิญญาณ  เขาจะก้าวหน้าในความเข้าใจวิถีทิพย์

โศลก 30

พระคริทไยวะ ชะ คารมาณิ
คริยะมาณานิ สารวะชะฮฺ

ยะฮ พัชยะทิ ทะทฺาทมานัม
อคารทารัม สะ พัชยะทิฺ

พระคริทยาฺ  -  โดยธรรมชาติวัตถุ, เอวะฺ  -  แน่นอน, ชะฺ  -  เช่นกัน, คารมาณิฺ  -  กิจกรรม, คริยะ มาณานิฺ  -  ปฏิบัติ, สารวะชะฮฺ  -  ในทุก ๆ ด้าน, ยะฮฺ  -  ผู้ใดซึ่ง, พัชยะทิฺ  -  เห็น, ทะทฺฺาฺ  -  เช่นกัน, อาทมานัมฺ  -  ตัวเขา, อคารทารัมฺ  -  ไม่ใช่ผู้ทำ, สะฮฺ  -  เขา, พัชยะทิฺ  -  เห็นโดยสมบูรณ์

คำแปลฺ

ผู้สามารถเห็นว่ากิจกรรมทั้งหลายที่ร่างกายกระทำ  ธรรมชาติวัตถุเป็นผู้สร้างและเห็นว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรเลย  เป็นผู้เห็นที่แท้จริง

คำอธิบายฺ

ร่างกายนี้ผลิตมาจากธรรมชาติวัตถุภายใต้การกำกับของอภิวิญญาณ  และกิจกรรมใด  ๆ  ที่ดำเนินไปเกี่ยวกับร่างกาย  ไม่ใช่เป็นการกระทำของตัวเรา  สิ่งที่ทำไม่ว่าจะเพื่อความสุขหรือความทุกข์  เราถูกบังคับให้ทำเนื่องมากจากพื้นฐานของร่างกายอย่างไรก็ดี  ตัวเราเองอยู่ภายนอกกิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้  ร่างกายนี้ได้มาตามความปรารถนาของเราในอดีต  เพื่อสนองกับความต้องการเราจึงได้ร่างกายซึ่งแสดงออกไปตามนั้น  อันที่จริงร่างกายคือเครื่องจักรที่องค์ภควานทรงออกแบบให้เพื่อสนองความต้องการ  เนื่องมาจากความต้องการ  เราจึงถูกจับให้มาอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพื่อให้ได้รับความทุกข์หรือความสุข  วิสัยทัศน์ทิพย์ของสิ่งมีชีวิตเมื่อพัฒนาขึ้น  จะทำให้เราแยกออกมาจากกิจกรรมทางร่างกาย  ผู้มีวิสัยทัศน์เช่นนี้เป็นผู้เห็นโดยแท้จริง

โศลก 31

ยะดาบํูทะ-พริทัฺก-บฺาวัม
เอคะ-สทัฺม อนุพัชยะทิฺ

ทะทะ เอวะ ชะ วิสทารัม
บระฮมะ สัมพัดยะเท ทะดาฺ

ยะดาฺ  -  เมื่อ, บํูทะฺ  -  ของสิ่งมีชีวิต, พริทัฺค-บฺาวัมฺ  -  ลักษณะที่แยกออก, เอคะ-สทัฺมฺ  -  สถิตเป็นหนึ่ง, อนุพัชยะทิฺ  -  ผู้พยายามเห็นผ่านทางผู้เชื่อถือได้, ทะทะฮ เอวะฺ  -  หลังจากนั้น, ชะฺ  -  เช่นกัน, วิสทารัมฺ  -  ภาคแบ่งแยก, บระฮมะฺ  -  สมบูรณ์, สัมพัดยะเทฺ  -  เขาบรรลุ, ทะดาฺ  -  ในขณะนั้น

คำแปลฺ

เมื่อมนุษย์ผู้มีเหตุผล  หยุดการเห็นลักษณะที่แตกต่างกันอันเนื่องมาจากร่างกายที่ไม่เหมือนกัน  และเห็นว่าสิ่งมีชีวิตแผ่กระจายไปทุกหนทุกแห่งได้อย่างไร  เขาบรรลุถึงแนวคิดบระฮมัน

คำอธิบายฺ

เมื่อเห็นว่าร่างกายต่าง  ๆ  ของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาได้  เนื่องมาจากความต้องการที่แตกต่างกันของปัจเจกวิญญาณ  และแท้ที่จริงไม่ใช่เป็นของดวงวิญญาณ  เราจะเป็นผู้เห็นที่แท้จริง  ในแนวคิดชีวิตทางวัตถุ  เราพบบางคนเป็นเทวดา  บางคนเป็นมนุษย์  เป็นสุนัข  เป็นแมว  ฯลฯ  นี่คือวิสัยทัศน์ทางวัตถุซึ่งไม่ใช่วิสัยทัศน์ที่แท้จริง  ความแตกต่างทางวัตถุนี้เนื่องมาจากแนวคิดชีวิตทางวัตถุ  หลังจากร่างวัตถุถูทำลายลงดวงวิญญาณเป็นหนึ่ง  เนื่องจากมาสัมผัสกับธรรมชาติวัตถุดวงวิญญาณจึงได้รับร่างกายที่แตกต่างกัน  เมื่อเห็นเช่นนี้เขาบรรลุถึงวิสัยทัศน์ทิพย์  เมื่อเป็นอิสระจากความแตกต่างเช่น  มนุษย์สัตว์  สูง  ต่ำ  ฯลฯ  จิตสำนึกของเราบริสุทธิ์ขึ้นและจะพัฒนาคริชณะจิตสำนึกในบุคลิกทิพย์แห่งตนเอง  เขาเห็นสิ่งต่าง  ๆ  เหล่านี้ได้อย่างไรนั้นจะอธิบายในโศลกต่อไป

โศลก 32

อนาดิทวาน นิรกุณัทวาท
พะระมาทมายัม อัพยะยะฮฺ

ชะรีระ-สโทฺ ่พิ คะอุนเทยะ
นะ คะโรทิ นะ ลิพยะเทฺ

อนาดิทวาทฺ  -  เนื่องจากความเป็นอมตะ, นิรกุณัทวาทฺ  -  เนื่องจากเป็นทิพย์, พะระมะฺ  -  เหนือธรรมชาติวัตถุ, อาทมาฺ  -  ดวงวิญญาณ, อยัมฺ  -  นี้, อัพยะยะฮฺ  -  ไม่รู้จักหมด, ชะรีระ- สทฺะฮฺ  -  อาศัยอยู่ในร่างกาย, อพิฺ  -  ถึงแม้ว่า, คะอุนเทยะฺ  -  โอ้ โอรสพระนางคุนที, นะ คะ โรทิฺ  -  ไม่เคยทำสิ่งใด, นะ ลิพยะเทฺ  -  ไม่ถูกพันธนาการ

คำแปลฺ

พวกที่มีวิสัยทัศน์แห่งความเป็นอมตะสามารถเห็นว่าดวงวิญญาณที่ไม่มีวันสูญสลาย  เป็นทิพย์  เป็นอมตะ  และอยู่เหนือระดับต่าง  ๆ  ของธรรมชาติ  ถึงแม้มาสัมผัสกับร่างวัตถุ  โอ้  อารจุนะ  ดวงวิญญาณมิได้ทำอะไร  และไม่ได้ถูกพันธนาการ

คำอธิบายฺ

สิ่งมีชีวิตดูเหมือนเกิด  เนื่องมาจากการเกิดของร่างวัตถุ  แต่อันที่จริงสิ่งมีชีวิตเป็นอมตะ  ไม่มีการเกิดถึงแม้สถิตในร่างวัตถุ  แต่เป็นทิพย์และเป็นอมตะ  ดังนั้น  สิ่งมีชีวิตจึงไม่มีวันถูกทำลาย  โดยธรรมชาติจะเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติสุข  และไม่ปฏิบัติตนเองในกิจกรรมทางวัตถุใด  ๆ  ทั้งสิ้น  ดังนั้น  กิจกรรมที่กระทำไปอันเนื่องจากมาสัมผัสกับร่างกายวัตถุ  จะไม่สามารถพันธนาการตัวเขาได้

โศลก 33

ยะทฺา สารวะ-กะทัม โสคชมยาด
อาคาชัม โนพะลิพยะเทฺ

สารวะทราวัสทิฺโท เดเฮ
ทะทฺาทมา โนพะลิพยะเทฺ

ยะทฺาฺ  -  เหมือนกับ, สารวะ-กะทัมฺ  -  แผ่กระจายไปทั่ว, โสคชมยาทฺ  -  เนื่องจากความละเอียดอ่อน, อาคาชัมฺ  -  ท้องฟ้า, นะฺ  -  ไม่เคย, อุพะลิพยะเทฺ  -  ผสม, สารวะทระฺ  -  ทุกหนทุกแห่ง, อวัสทิฺทะฮ-สถิต, เดเฮฺ  -  ในร่างกาย, ทะทฺาฺ  -  ดังนั้น, อาทมาฺ  -  ตัวเขา, นะฺ  -  ไม่เคย, อุพะลิพยะเทฺ  -  ผสม

คำแปลฺ

เนื่องด้วยธรรมชาติที่ละเอียดอ่อน  ท้องฟ้ามิได้ผสมกับสิ่งใด  ถึงแม้จะแผ่กระจายไปทั่ว  ในทำนองเดียวกัน  ดวงวิญญาณผู้สถิตในวิสัยทัศน์บระฮมัน  ก็มิได้ผสมกับร่างกาย  ถึงแม้สถิตในร่างกายนั้น

คำอธิบายฺ

ลมเข้าไปในน้ำ  เข้าไปในดิน  ในอุจจาระ  และในทุกสิ่งทุกอย่าง  ถึงกระนั้นลมก็มิได้ผสมกับสิ่งใด  ในทำนองเดียวกัน  สิ่งมีชีวิตถึงแม้สถิตในร่างกายต่าง  ๆ  แต่ก็อยู่ห่างจากร่างกายเหล่านี้  เนื่องจากธรรมชาติอันละเอียดอ่อน  ดังนั้น  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นด้วยดวงตาวัตถุว่าสิ่งมีชีวิตมาสัมผัสกับร่างนี้ได้อย่างไร  และเราจะออกจากร่างนี้ได้อย่างไรหลังจากร่างนี้ถูกทำลายลง  ไม่มีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้

โศลก 34

ยะทฺา พระคาชะยะทิ เอคะฮ
คริทสนัม โลคัม อิมัม ระวิฮฺ

คเชทรัม คเชทรี ทะทฺา คริทสนัม
พระคาชะยะทิ บฺาระทะฺ

ยะทฺาฺ  -  เหมือน, พระคาชะยะทิฺ  -  ส่องแสง, เอคะฮฺ  -  หนึ่ง, คริทสนัมฺ  -  ทั้งหมด, โลคัมฺ  -  จักรวาล, อิมัมฺ  -  นี้, ระวิฮฺ  -  ดวงอาทิตย์, คเชทรัมฺ  -  ร่างกายนี้, คเชทรีฺ  -  ดวงวิญญาณ, ทะทฺาฺ  -  ในทำนองเดียวกัน, คริทสนัมฺ  -  ทั้งหมด, พระคาชะยะทิฺ  -  ส่องแสง, บฺาระทะฺ  -  โอ้โอรสแห่งบฺาระทะ

คำแปลฺ

โอ้  โอรสแห่งบฺาระทะ  ดังเช่นดวงอาทิตย์ดวงเดียวส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งจักรวาลนี้  สิ่งมีชีวิตภายในร่างกายก็เช่นเดียวกัน  แผ่กระจายไปทั่วร่างกายด้วยจิตสำนึก

คำอธิบายฺ

มีทฤษฎีต่าง  ๆ  เกี่ยวกับจิตสำนึก  ใน  ภควัต-คีตาฺ  ได้ให้ตัวอย่างดวงอาทิตย์และแสงอาทิตย์  เสมือนดังดวงอาทิตย์สถิต  ณ  ที่นี้แต่ส่องแสงไปทั่วทั้งจักรวาล  ละอองเล็ก  ๆ  ของดวงวิญญาณก็เช่นเดียวกัน  ถึงแม้สถิตในหัวใจของร่างกายนี้  แต่ส่องแสงไปทั่วร่างกายด้วยจิตสำนึก  ฉะนั้น  จิตสำนึกคือข้อพิสูจน์การปรากฏของดวงวิญญาณเช่นเดียวกับรัศมีหรือแสงอาทิตย์  พิสูจน์ให้เห็นถึงการปรากฏของดวงอาทิตย์  เนื่องจากดวงวิญญาณอยู่ในร่าง  จึงทำให้มีจิตสำนึกไปทั่วร่างกาย  ทันทีที่ดวงวิญญาณออกจากร่าง  จะไม่มีจิตสำนึกอีกต่อไป  ผู้ใดมีปัญญาจะสามารถเข้าใจประเด็นนี้ได้โดยง่าย  ฉะนั้นจิตสำนึกไม่ใช่ผลผลิตจากการมารวมตัวกันของวัตถุ  แต่เป็นลักษณะอาการของสิ่งมีชีวิต  จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตถึงแม้ว่ามีคุณสมบัติเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตสำนึกสูงสุด  ตัวเขาไม่ใช่จิตสำนึกสูงสุด  เพราะว่าจิตสำนึกของร่างหนึ่งโดยเฉพาะไม่ได้แบ่งความรู้สึกไปให้อีกร่างหนึ่ง  แต่องค์อภิวิญญาณผู้สถิตในทุก  ๆ  ร่างในฐานะที่เป็นสหายของปัจเจกวิญญาณ  มีจิตสำนึกของทุก  ๆ  ร่าง  นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างจิตสำนึกสูงสุดและปัจเจกจิตสำนึก

โศลก 35

คเชทระ-คเชทระกยะโยร เอวัม
อันทะรัม กยานะ-ชัคชุชาฺ

บํูทะ-พระคริทิ-โมคชัม ชะ
เย วิดุร ยานทิ เท พะรัมฺ

คเชทระฺ  -  ของร่างกาย, คเชทระ-กยะโยฮฺ  -  ของเจ้าของร่างกาย, เอวัมฺ  -  ดังนั้น, อันทะ รัมฺ  -  แตกต่าง, กยานะ-ชัคชุชาฺ  -  ด้วยวิสัยทัศน์แห่งความรู้, บํูทะฺ  -  ของสิ่งมีชีวิต, พระคริทิฺ-จากธรรมชาติวัตถุ, โมคชัมฺ  -  ความหลุดพ้น, ชะฺ  -  เช่นกัน, เยฺ  -  พวกซึ่ง, วิดุฮ-รู้, ยาน ทิฺ  -  เข้าพบ, เทฺ  -  พวกเขา, พะรัมฺ  -  องค์ภควาน

คำแปลฺ

พวกที่เห็นด้วยดวงตาแห่งความรู้  ถึงข้อแตกต่างระหว่างร่างกายและผู้รู้ร่างกายและยังสามารถเข้าใจวิธีกรรมแห่งความหลุดพ้นจากพันธนาการในธรรมชาติวัตถุ  บรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุด

คำอธิบายฺ

คำอธิบายของบทที่สิบสามนี้คือ  เราควรรู้ข้อแตกต่างระหว่างร่างกาย  เจ้าของร่างกาย  และองค์อภิวิญญาณ  เราควรรู้วิธีการเพื่อความหลุดพ้น  ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกแปดถึงโศลกสิบสอง  จากนั้น  เราจะสามารถไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุด

บุคคลผู้มีความศรัทธา  ก่อนอื่นควรคบหากัลยาณมิตรเพื่อสดับฟังเกี่ยวกับองค์ภควาน  และค่อย  ๆ  ได้รับแสงสว่าง  หากยอมรับพระอาจารย์ทิพย์  เราจะเรียนรู้ข้อแตกต่างระหว่างวัตถุและดวงวิญญาณ  และความรู้นี้จะกลายมาเป็นขั้นบันไดเพื่อความรู้แจ้งทิพย์ต่อไป  คำสั่งสอนมากมายจากพระอาจารย์ทิพย์เพื่อให้เราเป็นอิสระจากแนวคิดชีวิตทางวัตถุ  ตัวอย่างเช่นใน  ภควัต-คีตาฺ  เราพบว่าคริชณะทรงสั่งสอนอารจุนะให้เป็นอิสระจากการพิจารณาทางวัตถุ

เราสามารถเข้าใจว่าร่างกายนี้เป็นวัตถุ  วิเคราะห์ได้ว่ามียี่สิบสี่ธาตุ  ร่างกายเป็นปรากฏการณ์ที่หยาบ  ปรากฏการณ์ที่ละเอียดคือจิตใจและผลกระทบทางจิตวิทยาลักษณะอาการของชีวิตคือผลกระทบซึ่งกันและกันของปัจจัยเหล่านี้  แต่เหนือไปจากนี้มีดวงวิญญาณและยังมีอภิวิญญาณ  ดวงวิญญาณและอภิวิญญาณเป็นสอง  โลกวัตถุนี้ทำงานด้วยการร่วมกันของดวงวิญญาณและธาตุวัตถุทั้งยี่สิบสี่  ผู้ที่สามารถเห็นหลักพื้นฐานของปรากฏการณ์ทางวัตถุทั้งหมดว่าเป็นการรวมกันของดวงวิญญาณและธาตุวัตถุ  และยังสามารถเห็นสถานภาพของดวงวิญญาณสูงสุด  ได้กลายมาเป็นผู้มีสิทธิ์เพื่อโอนย้ายไปสู่โลกทิพย์  สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อการเพ่งพิจารณาดู  เพื่อความรู้แจ้งและเราควรเข้าใจบทนี้โดยสมบูรณ์ด้วยการช่วยเหลือจากพระอาจารย์ทิพย์

ดังนั้น ได้จบคำอธิบายโดย บัฺคธิเวดันธะ บทที่สิบสามของหนังสือฺ ชรีมัด บฺะกะวัด-กีทา ในหัวข้อเรื่องธรรมชาติ ผู้รื่นเริง และจิตสำนึกฺ