บทที่ สี่
ความรู้ทิพย์
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
อิมัม วิวัสวะเท โยกัม
โพรคทะวาน อฮัม อัพยะยัมฺ
วิวัสวาน มะนะเว พราฮะ
มะนุร อิคชวาคะเว บฺระวีทฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัส, อิมัมฺ - นี้, วิวัสวะเทฺ - แด่สุริยเทพ, โยกัมฺ - ศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างเรากับองค์ภควาน, โพรคทะวานฺ - สอน, อฮัมฺ - ข้า, อัพยะยัมฺ - อมตะ, วิวัสวานฺ - วิวัสวาน (พระนามของสุริยเทพ), มะนะเวฺ - แด่พระบิดาของมนุษยชาติ (มีพระนามว่า ไววัสวะทา), พราฮะฺ - บอก, มะนุฮฺ - พระบิดาแห่งมนุษยชาติ, อิคชวาคะเวฺ - แด่กษัตริย์อิคชวาคุ, อับฺราวีทฺ - ตรัส
คำแปลฺ
บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์ชรีคริชณะตรัสว่า ข้าได้สอนศาสตร์อมตะแห่งโยคะนี้แด่พระอาทิตย์ วิวัสวาน และวิวัสวานได้สอนแด่มะนุ พระบิดาแห่งมนุษยชาติ และมะนุได้สอนให้แด่อิคชวาคุ
คำอธิบายฺ
ณ ที่นี้เราพบประวัติศาสตร์แห่ง ภควัต-คีตาฺ ย้อนอดีตถึงกาลเวลาที่ได้ถ่ายทอดผ่านราชวงศ์กษัตริย์ของดาวเคราะห์ทั้งหลายเริ่มต้นจากดวงอาทิตย์ เจตนาโดยเฉพาะของกษัตริย์แห่งดาวเคราะห์ทั้งหลายก็เพื่อปกป้องคุ้มครองผู้อยู่อาศัย ฉะนั้นราชวงศ์กษัตริย์ควรเข้าใจศาสตร์แห่ง ภควัต-คีตาฺ เพื่อสามารถปกครองและคุ้มครองป้องกันประชากรจากราคะซึ่งเป็นพันธนาการทางวัตถุ จุดมุ่งหมายของชีวิตมนุษย์เพื่อพัฒนาความรู้ทิพย์ในความสัมพันธ์นิรันดรกับองค์ภควาน และมวลผู้นำรัฐแห่งดาวเคราะห์ทั้งหลายมีพันธกรณีในการถ่ายทอดบทเรียนนี้แด่ประชากรด้วยการศึกษาวัฒนธรรม และการอุทิศตนเสียสละ อีกนัยหนึ่ง เจตนาของมวลผู้นำรัฐคือเผยแพร่ศาสตร์แห่งคริชณะจิตสำนึกเพื่อประชากรอาจได้รับประโยชน์จากศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้และมุ่งหน้าอยู่บนหนทางแห่งความสำเร็จ ใช้ประโยชน์ที่ได้มีโอกาสมาอยู่ในร่างมนุษย์
ในกัปนี้ เจ้าแห่งดวงอาทิตย์ทรงมีพระนามว่าวิวัสวาน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของมวลดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ ได้กล่าวไว้ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ (5.52) ว่า
ยัช-ชัคชุร เอชะ สะวิทา สะคะละ-กระฮาณามฺ
ราจา สะมัสทะ-สุระ-มูรทิร อะเชชะ-เทจาฮฺ
ยัสยากยะยา บฺระมะทิ สัมบฺริทะ-คาละ-ชัคโครฺ
โกวินดัม อาดิ-พุรุชัม ทัม อะฮัม บฺะจามิฺ
พระพรหมตรัสว่า “ข้าพเจ้าขอบูชาบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า โกวินดะ (คริชณะ)ผู้ทรงเป็นบุคคลแรก จากคำสั่งของพระองค์ พระอาทิตย์ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งมวลดาวเคราะห์ได้รับพลังและความร้อนอย่างมหาศาล ดวงอาทิตย์เสมือนดุจดังพระเนตรขององค์ภควานและโคจรไปโดยรอบด้วยความเคารพในพระราชดำริของพระองค์”
พระอาทิตย์ทรงเป็นเจ้าแห่งมวลดาวเคราะห์ สุริยเทพ (องค์ปัจจุบันทรงพระนามว่าวิวัสวาน) ทรงเป็นผู้ปกครองดวงอาทิตย์ และควบคุมมวลดาวเคราะห์โดยการแจกจ่ายความร้อนและแสง พระองค์ทรงโคจรไปรอบ ๆ ภายใต้คำสั่งของคริชณะ เดิมทีองค์ชรีคริชณะทรงให้วิวัสวานเป็นสาวกองค์แรกที่เข้าใจศาสตร์แห่ง ภควัต-คีตาฺ ดังนั้น คีตาฺ จึงไม่ใช่ตำราคาดคะเนสำหรับนักวิชาการทางวัตถุผู้ไม่มีความสำคัญอันใด แต่เป็นหนังสือมาตรฐานที่ถ่ายทอดลงมาจากโบราณกาล
ในมหาภารตะ (ชานทิ-พารวะฺ 348.51-52) เราสามารถย้อนรอยประวัติศาสตร์ของ คีตาฺ ได้ดังนี้
เทรทา-ยุกาโด ชะ ทะโท
วิวัสวาน มะนะเว ดะโดฺ
มะนุช ชะ โลคะ-บฺริทิ-อารทฺัม
สุทาเยคชวาคะเว ดะโดฺ
อิชวาคุณา ชะ คะทฺิโท
วิยาพยะ โลคาน อวัสทฺิทะฮฺ
“ในตอนต้นของกัปที่มีชื่อว่า เทรทา-ยุกะฺ ศาสตร์แห่งความสัมพันธ์กับองค์ภควานนี้ได้ถ่ายทอดจากองค์วิวัสวานแด่มะนุ มะนุผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งมนุษยชาติทรงประทานศาสตร์นี้แด่โอรสมีนามว่า มะฮาราจะ อิคชวาคุ ผู้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งโลกนี้ และทรงเป็นบรรพบุรุษแห่งราชวงศ์ระกํุ ซึ่งพระรามชันดระทรงปรากฏพระวรกาย” ฉะนั้น ภควัต- คีตาฺ มีอยู่ในสังคมมนุษย์ตั้งแต่สมัย มะฮาราจะ อิคชวาคุ
ปัจจุบันเพิ่งผ่าน คะลิ-ยุกะฺ มาห้าพันปี คะลิ-ยุกะฺ นี้จะมีเวลายาวนานถึง 432,000 ปี ก่อนหน้านี้เป็น ดวาพะระ-ยุกะฺ (800,000 ปี) และก่อนหน้านั้นเป็น เทรทา-ยุกะฺ (1,200,000 ปี) ดังนั้น ประมาณ 2,005,000 ปีก่อนหน้านี้ มะนุตรัส ภควัต- คีตาฺ แด่สาวกและโอรสทรงพระนามว่า มะฮาราจะ อิคชวาคุ ผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งโลกนี้อายุขัยของมะนุองค์ปัจจุบันคำนวณได้ประมาณ 305,300,000 ปี ปัจจุบันได้ผ่านไปแล้ว120,400,000 ปี เรายอมรับว่าก่อนมะนุประสูติ องค์ภควานได้ตรัส คีตาฺ แด่สาวกสุริยเทพวิวัสวาน เราคำนวณอย่างคร่าว ๆ ได้ว่า คีตาฺ ได้ถูกตรัสขึ้นอย่างน้อย 120,400,000ปีก่อนและได้มีอยู่ในสังคมมนุษย์เป็นเวลาสองล้านปี ภควัต-คีตาฺ ได้ถูกตรัสขึ้นอีกครั้งแด่อารจุนะประมาณห้าพันปีก่อน ทั้งหมดนี้คือการประมาณประวัติของ คีตาอย่างคร่าวๆ ตามที่ คีตาฺ กล่าวและตามคำบอกเล่าของผู้ตรัสคือองค์ชรีคริชณะ คีตาฺ ได้ถูกตรัสแด่สุริยเทพวิวัสวาน เนื่องจากทรงเป็นกษัตริย์และทรงเป็นพระบิดาของกษัตริย์ทั้งหลายที่สืบราชวงศ์มาจากพระอาทิตย์หรือ สูรยะ-วัมชะ คชัทริยะฺ เพราะว่า ภควัต-คีตาฺ ดีเท่ากับพระเวทเนื่องจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นผู้ตรัส ความรู้นี้เป็นความรู้เหนือมนุษย์ อโพรุเชยะฺ และเนื่องจากคำสอนพระเวทเป็นที่ยอมรับตามที่ปรากฏโดยไม่มีการตีความตามโลกียวัตร นักถกเถียงทางโลกอาจคาดคะเน คีตาฺ ตามแนวความคิดของตน แต่นั่นมิใช่ ภควัต-คีตา ฉบับเดิมฺ ฉะนั้น ภควัต-คีตาฺ จะต้องยอมรับไว้ให้เหมือนต้นฉบับเดิมจากสาย พะรัมพะราฺ และได้อธิบาย ณ ที่นี้ว่าองค์ภควาน ตรัสแด่สุริยเทพและสุริยเทพตรัสแด่พระโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่ามะนุ และมะนุตรัสแด่พระโอรสของพระองค์ ทรงพระนามว่าอิคชวาคุ
เอวัม พะรัมพะรา-พราพทัม
อิมัม ราจารชะโย วิดุฮฺ
สะ คาเลเนฮะ มะฮะทา
โยโก นัชทะฮ พะรันทะพะฺ
เอวัมฺ - ดังนั้น, พะรัมพะราฺ - โดยพะระมพะราฺ, พราพทัมฺ - ได้รับ, อิมัมฺ - ศาสตร์นี้, ราจะฺ - ริชะยะฮฺ - กษัตริย์ผู้ทรงธรรม, วิดุฮฺ - เข้าใจ, สะฮฺ - ความรู้นั้น, คาเลนะฺ - กาลเวลาผ่านไป, อิฮะฺ - ในโลกนี้, มะฮะทาฺ - ยิ่งใหญ่, โยกะฮฺ - ศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างเรากับองค์ภควาน, นัชทะฮฺ - กระจัดกระจาย, พะรันทะพะฺ - โอ้ อารจุนะผู้กำราบศัตรู
คำแปลฺ
ฉะนั้น ศาสตร์สูงสุดนี้ได้รับสืบทอดผ่านทางสาย พะรัมพะรา และกษัตริย์ผู้ทรงธรรมทรงเข้าใจตามสายนี้ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปสาย พะรัมพะรา ได้ขาดตอนลง จึงดูเหมือนว่าศาสตร์นี้สูญหายไป
คำอธิบายฺ
ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า คีตาฺ มีไว้เฉพาะสำหรับกษัตริย์ผู้ทรงธรรม เพราะว่ากษัตริย์ผู้ทรงธรรมเหล่านี้จะนำเจตนารมณ์ของ คีตาฺ ไปบริหารปกครองประชากรแน่นอนว่าภควัต-คีตาฺ มิได้มีไว้สำหรับหมู่มารผู้ตัดทอนคุณค่าของ คีตาฺ เพื่อไม่ให้ผู้ใดได้รับประโยชน์ และจะออกอุบายต่างๆ นานาเพื่อตีความหมายตามอำเภอใจของตนเองทันทีที่จุดมุ่งหมายเดิมเลือนหายไปอันเนื่องมาจากเจตนาของนักวิจารณ์ผู้ไร้คุณธรรมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสถาปนาสาย พะรัมพะราฺ ขึ้นมาใหม่ โดยองค์ภควานทรงตรวจพบเมื่อห้าพันปีก่อนนี้ว่าสาย พะรัมพะราฺ ได้ขาดตอนลง ฉะนั้น พระองค์ทรงประกาศว่าจุดมุ่งหมายของ คีตาฺ ดูเหมือนจะสูญหายไป ในทำนองเดียวกัน ปัจจุบันมีหนังสือ คีตาฺ หลายเล่ม (โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ) แต่เกือบทั้งหมดไม่ใช่ตามสาย พะรัมพะราฺ ที่เชื่อถือได้ มีการแปลอย่างมากมายโดยนักวิชาการทางโลก แต่เกือบทั้งหมดบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าคริชณะทรงไม่ยอมรับ ถึงแม้ว่าพวกนักวิชาการทางโลกจะทำธุรกิจได้ดีจากคำดำรัสขององค์ชรีคริชณะ จิตวิญญาณเช่นนี้เป็นมาร เพราะมารไม่เชื่อในองค์ภควานแต่ชอบหาความสุขกับทรัพย์สมบัติของพระองค์เนื่องจากมีความต้องการหนังสือ คีตาฺ ที่เป็นภาษาอังกฤษเป็นอย่างมากในระบบพะรัม- พะราฺ จึงได้เกิดมีความพยายาม ณ ที่นี้เพื่อสนองความต้องการอันใหญ่หลวงนี้ ภควัต- คีตาฺ ที่ได้รับการยอมรับเหมือนต้นฉบับเดิมเป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาลต่อมนุษยชาติ แต่ถ้าหากว่าเรายอมรับ คีตาฺ ว่าเป็นเพียงหนังสือตำราแห่งการคาดคะเนทางปรัชญา จะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
สะ เอวายัม มะยา เท ดยะ
โยกะฮ โพรคทะฮ พุราทะนะฮฺ
บฺัคโท สิ เม สัคฮา เชทิ
ระฮัสยัม ฮิ เอทัด อุททะมัมฺ
สะฮฺ - เหมือนกัน, เอวะฺ - แน่นอน, อะยัมฺ - นี้, มะยาฺ - โดยข้า, เทฺ - แก่เธอ, อัดยะฺ - วันนี้, โยกะฮฺ - ศาสตร์แห่งโยคะ, โพรคทะฮฺ - ตรัส, พุราทะนะฮฺ - โบราณมาก, บฺัคธะฮฺ - สาวก, อะสิฺ - เธอเป็น, เมฺ - ของข้า, สัคฮาฺ - สหาย, ชะฺ - เช่นกัน, อิทิฺ - ฉะนั้น, ระฮัสยัมฺ - ลึกลับ, ฮิฺ - แน่นอน, เอทัทฺ - นี้, อุททะมัมฺ - ทิพย์
คำแปลฺ
ศาสตร์แห่งความสัมพันธ์กับองค์ภควานที่โบราณมากนั้น บัดนี้ ข้าตรัสแก่เธอเพราะว่าเธอเป็นทั้งสาวกและสหายของข้า ฉะนั้น เธอจึงสามารถเข้าใจความเร้นลับแห่งศาสตร์ทิพย์นี้
คำอธิบายฺ
มีบุคคลอยู่สองประเภทคือสาวกและมาร องค์ภควานทรงเลือกอารจุนะให้เป็นผู้รับศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้เนื่องจากอารจุนะทรงเป็นสาวกของพระองค์ แต่สำหรับมารเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจศาสตร์อันเร้นลับที่ยิ่งใหญ่นี้ มีหนังสือแห่งความรู้ยิ่งใหญ่นี้หลายเล่ม บางเล่มเป็นคำอธิบายของสาวกและบางเล่มเป็นคำอธิบายของมาร คำวิจารณ์ของสาวกเป็นความจริง ขณะที่คำวิจารณ์ของมารไร้ประโยชน์ อารจุนะทรงยอมรับองค์ชรีคริชณะว่าทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า และคำอธิบายใดๆ เกี่ยวกับ คีตาฺตามรอยพระบาทของอารจุนะเป็นการรับใช้อุทิศตนเสียสละต่อแหล่งกำเนิดของศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้ อย่างไรก็ดี มารไม่ยอมรับองค์ชรีคริชณะตามความเป็นจริง และกุเรื่องบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับคริชณะอันจะนำพาผู้อ่านโดยทั่วไปให้ห่างจากวิถีทางที่คริชณะทรงสั่งสอน ณ ที่นี้ได้เตือนเกี่ยวกับวิถีทางที่ผิดเช่นนี้ เราควรพยายามปฏิบัติตามสาย พะรัมพะราฺ จากอารจุนะ และได้รับประโยชน์จากศาสตร์อันยิ่งใหญ่แห่ง ชรีมัด ภควัต- คีตาฺ นี้
อารจุนะ อุวาชะฺ
อะพะรัม บฺะวะโท จันมะ
พะรัม จันมะ วิวัสวะทะฮฺ
คะทฺัม เอทัด วิจานียาม
ทวัม อาโด โพรคทะวาน อิทิฺ
อารจุนะฮ อุวาชะฺ - อารจุนะตรัส, อพะรัมฺ - อ่อนวัยกว่า, บฺะวะทะฮฺ - ของท่าน, จันมะฺ - เกิด, พะรัมฺ - อาวุโสกว่า, จันมะฺ - เกิด, วิวัสวะทะฮฺ - แห่งองค์สุริยเทพ, คะทฺัมฺ - อย่างไร, เอทัทฺ - นี้, วิจานียามฺ - ข้าพเจ้าจะเข้าใจ, ทวัมฺ - ท่าน, อาโดฺ - ในตอนต้น, โพรคทะวานฺ - สอน, อิทิฺ - ดังนั้น
คำแปลฺ
อารจุนะตรัสว่า สุริยเทพวิวัสวานทรงเป็นผู้อาวุโสกว่าและประสูติก่อนพระองค์ข้าพเจ้าจะทราบได้อย่างไรว่าในตอนแรกพระองค์ทรงสอนศาสตร์นี้แก่สุริยเทพ
คำอธิบายฺ
อารจุนะทรงได้รับการยอมรับว่าเป็นสาวกขององค์ภควาน ฉะนั้น จะทรงไม่เชื่อในคำดำรัสของคริชณะได้อย่างไร? อันที่จริงอารจุนะทรงมิได้ถามคำถามนี้เพื่อพระองค์เอง แต่ทรงถามเพื่อผู้ที่ไม่เชื่อในบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าหรือเพื่อหมู่มารผู้ไม่ชอบความคิดที่ว่าคริชณะควรได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าอารจุนะทรงถามคำถามนี้เพื่อพวกมารเท่านั้น ประหนึ่งว่าไม่ทราบเกี่ยวกับบุคลิกภาพแห่งพระเจ้าหรือคริชณะ ดังจะมีหลักฐานในบทที่สิบ อารจุนะทรงทราบเป็นอย่างดีว่าคริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างและทรงเป็นคำสุดท้ายในความเป็นทิพย์ แน่นอนว่าคริชณะทรงปรากฏพระวรกายเป็นโอรสของพระนางเดวะคีบนโลกนี้ แล้วคริชณะจะทรงรักษาความเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า บุคคลแรกผู้ทรงความเป็นอมตะได้อย่างไร เป็นสิ่งที่สามัญชนทั่วไปเข้าใจได้ยากมาก ดังนั้น เพื่อทำให้จุดนี้กระจ่างขึ้น อารจุนะทรงตั้งคำถามต่อหน้าพระพักตร์ของคริชณะ เพื่อให้พระองค์ตรัสเยี่ยงผู้ที่เชื่อถือได้และเป็นที่ยอมรับกันทั่วสากลโลกว่าคริชณะทรงเป็นผู้มีอำนาจเชื่อถือได้สูงสุด ไม่เพียงแต่ปัจจุบันนี้เท่านั้น แต่เป็นที่ยอมรับมาตั้งแต่โบราณกาล มีแต่พวกมารเท่านั้นที่ปฏิเสธพระองค์ อย่างไรก็ดีเนื่องจากคริชณะทรงเป็นผู้มีอำนาจเชื่อถือได้ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป อารจุนะทรงตั้งคำถามนี้ต่อหน้าพระองค์เพื่อให้คริชณะทรงอธิบายถึงตัวพระองค์เองโดยไม่ต้องให้พวกมารมาพรรณนาแล้วพยายามบิดเบือนคริชณะไปในทางที่พวกมารและสาวกของตนต้องการเข้าใจ มีความจำเป็นที่ทุกคนควรทราบศาสตร์แห่งคริชณะเพื่อประโยชน์แห่งตน ดังนั้น เมื่อคริชณะตรัสเกี่ยวกับตัวพระองค์เองจึงเป็นสิริมงคลแด่โลกทั้งหลายสำหรับพวกมารคำอธิบายของคริชณะเช่นนี้อาจดูแปลก เพราะว่ามารชอบศึกษาเกี่ยวกับคริชณะจากมุมมองของตนเอง แต่สาวกยินดีต้อนรับพระดำรัสของคริชณะด้วยหัวใจ เมื่อคริชณะทรงเป็นผู้ตรัสเอง สาวกจะเคารพบูชาพระดำรัสที่เชื่อถือได้ของพระองค์เสมอ เพราะสาวกมีความกระตือรือร้นที่จะทราบเกี่ยวกับคริชณะให้มากยิ่งขึ้น ผู้ไม่เชื่อในองค์ภควานคิดว่าคริชณะทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา ด้วยวิธีนี้อาจรู้ว่าพระองค์ทรงเหนือมนุษย์เป็น สัช- ชิด-อานันดะ-วิกระฮะฺ รูปลักษณ์อมตะแห่งความสุขเกษมสำราญและความรู้ ทรงเป็นทิพย์อยู่เหนือการครอบงำของสามลักษณะแห่งธรรมชาติวัตถุ และทรงอยู่เหนืออิทธิพลของเวลาและอวกาศ สาวกของคริชณะเช่นอารจุนะทรงอยู่เหนือความเข้าใจผิดทั้งปวงอย่างไร้ข้อกังขาเกี่ยวกับสภาวะความเป็นทิพย์ของคริชณะ อารจุนะทรงตั้งคำถามนี้ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ภควาน เป็นเพียงความพยายามของสาวกเพื่อท้าทายท่าทีของผู้ไม่เชื่อในองค์ภควาน ที่คิดว่าคริชณะทรงเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้อยู่ภายใต้อำนาจของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
บะฮูนิ เม วิยะทีทานิ
จันมานิ ทะวะ ชารจุนะฺ
ทานิ อะฮัม เวดะ สารวาณิ
นะ ทวัม เวททฺะ พะรันทะพะฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพแห่งพระเจ้าตรัส, บะฮูนิฺ - หลาย, เมฺ - ของข้า, วิยะทีทานิ-ได้ผ่านมา, จันมานิฺ - เกิด, ทะวะฺ - ของเธอ, ชะฺ - และเช่นกัน, อารจุนะฺ - โอ้ อารจุนะ,ทานิ-เหล่านั้น, อะฮัมฺ - ข้า, เวดะฺ - ทราบ, สารวาณิฺ - ทั้งหมด, นะฺ - ไม่, ทวัมฺ -เธอ, เวททฺะฺ - ทราบ, พะรันทะพะฺ - โอ้ ผู้กำราบศัตรู
คำแปลฺ
บุคลิกภาพแห่งพระเจ้าตรัสว่า หลายต่อหลายชาติทั้งเธอและข้าได้ผ่านมา ข้าสามารถระลึกได้ทุก ๆ ชาติ แต่เธอจำไม่ได้ โอ้ ผู้กำราบศัตรู
คำอธิบายฺ
ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ (5.33) เรามีข้อมูลเกี่ยวกับอวตารต่าง ๆ ขององค์ภควานมากมาย ได้กล่าวไว้ดังนี้
อดไวทัม อัชยุทัม อนาดิม อนันทะ-รูพัม
อาดยัม พุราณะ-พุรุชัม นะวะ-โยวะนัม ชะฺ
เวเดชุ ดุรลาบฺัม อดุรละบฺัม อาทมะ-บฺัคโท
โกวินดัม อาดิ-พุรุชัม ทัม อฮัม บฺะจามิฺ
“ข้าขอบูชาบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า โกวินดะ (คริชณะ) ผู้ทรงเป็นบุคคลแรกที่มีความสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่มีข้อผิดพลาด ไม่มีจุดเริ่มต้น แม้ว่าทรงอวตารมาในรูปลักษณ์ไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ยังทรงเป็นภควานองค์แรกเหมือนเดิม อาวุโสที่สุด และทรงปรากฏอยู่ในรูปของชายหนุ่มผู้สดใสอยู่เสมอ รูปลักษณ์ที่เป็นอมตะ เปี่ยมไปด้วยความสุขเกษมสำราญ และสัพพัญญูของพระองค์นี้ โดยทั่วไปแม้นักวิชาการพระเวทที่ดีที่สุดยังไม่เข้าใจ แต่รูปลักษณ์เหล่านี้จะปรากฏอยู่เสมอกับสาวกบริสุทธิ์ผู้ไร้มลทินเจือปน”
ได้กล่าวไว้ใน บระฮมะ-สะมฮิทาฺ (5.39) อีกเช่นกันว่า
รามาดิ-มูรทิชุ คะลา-นิยะเมนะ ทิชทฺัน
นานาวะทารัม อคะโรด บํุวะเนชู คินทฺุ
คริชณะฮ สวะยัม สะมะบฺะวัท พะระมะฮ พุมาน โย
โกวินดัม อาดิ-พุรุชัม ทัม อฮัม บฺะจะมฺ
“ข้าขอบูชาบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า โกวินดะ (คริชณะ) ผู้สถิตในอวตารต่าง ๆเสมอ เช่น รามะ นริสิมฮะ และในอนุอวตารอีกมากมายเช่นกัน แต่ทรงเป็นภควานองค์เดิมผู้ทรงพระนามว่าคริชณะ และทรงอวตารด้วยพระองค์เองเช่นกัน”
ในคัมภีร์พระเวทได้กล่าวไว้เช่นกันว่า องค์ภควานแม้ทรงเป็นหนึ่งไม่มีสอง ยังทรงปรากฏพระวรกายในรูปลักษณ์ต่าง ๆ มากมาย เหมือนกับมณี ไวดุรยะฺ ซึ่งเปลี่ยนสีแต่ยังคงเป็นหนึ่ง รูปลักษณ์อันหลากหลายทั้งหมดขององค์ภควาน สาวกบริสุทธิ์ผู้ไร้มลทินจึงจะเข้าใจ มิใช่เพียงแต่ศึกษาคัมภีร์พระเวท (เวเดชุ ดุรละบฺัม อดุรละบัม อาทมะ-บฺัคโทฺ) สาวกเช่นอารจุนะทรงเป็นสหายสนิทขององค์ภควานเสมอ เมื่อใดที่องค์ภควานทรงอวตารเหล่าสาวกจะอวตารมาร่วมด้วยเช่นเดียวกันเพื่อรับใช้พระองค์ในขีดความสามารถของตนที่แตกต่างกันไป อารจุนะทรงเป็นหนึ่งในจำนวนสาวกเหล่านี้ ในโศลกนี้เราเข้าใจได้ว่าหลายล้านปีมาแล้วเมื่อองค์ชรีคริชณะตรัส ภควัต-คีตาฺ แก่สุริยเทพวิวัสวาน อารจุนะในขีดความสามารถที่แตกต่างกันก็ทรงปรากฏเช่นเดียวกันข้อแตกต่างระหว่างองค์ภควานและอารจุนะคือ องค์ภควานทรงจำเหตุการณ์ได้ในขณะที่อารจุนะทรงจำไม่ได้ นี่คือข้อแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตผู้เป็นละอองอณูและองค์ภควาน แม้อารจุนะจะทรงได้รับการยกย่อง ณ ที่นี้ว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่สามารถกำราบศัตรู แต่ไม่สามารถเรียกความจำกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชาติก่อนให้กลับคืนมาได้ฉะนั้น สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหนในการประเมินค่าทางวัตถุจะไม่มีวันเทียบเท่าองค์ภควานได้ ผู้ใดเป็นสหายสนิทขององค์ภควานแน่นอนว่าเป็นบุคคลผู้หลุดพ้นแล้วแต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับองค์ภควานได้ บระฮมะ-สัมฮิทาฺ ได้อธิบายถึงองค์ภควานว่าทรงเป็นผู้ที่ไม่มีความผิดพลาด (อัชยุทะฺ) หมายความว่าทรงไม่เคยลืมพระองค์เองแม้จะมาสัมผัสกับวัตถุ ดังนั้น องค์ภควานและสิ่งมีชีวิตจะไม่มีวันเทียบเท่ากันได้ไม่ว่าในกรณีใด แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่หลุดพ้นแล้วเหมือนกับอารจุนะ แม้อารจุนะทรงเป็นสาวกขององค์ภควาน บางครั้งทรงลืมธรรมชาติขององค์ภควาน แต่ด้วยพระกรุณาธิคุณของพระองค์ สาวกสามารถเข้าใจสภาวะที่ไม่มีข้อผิดพลาดขององค์ภควานได้ทันที ในขณะที่ผู้ไม่ใช่สาวกหรือมารไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติทิพย์นี้ ฉะนั้นคำอธิบายใน คีตาฺ เหล่านี้สมองมารไม่สามารถเข้าใจได้ องค์ชรีคริชณะทรงจำสิ่งที่กระทำเมื่อล้าน ๆ ปีก่อนหน้านี้ แต่อารจุนะทรงไม่สามารถจำได้ ถึงแม้ว่าทั้งคริชณะและอารจุนะทรงเป็นอมตะโดยธรรมชาติ เราอาจพิจารณา ณ ที่นี้ว่า สิ่งมีชีวิตลืมทุกสิ่งทุกอย่างเนื่องมาจากการเปลี่ยนร่างกาย แต่องค์ภควานทรงจำได้เพราะทรงมิได้เปลี่ยนร่าง สัช-ชิด-อานันดะฺ ของพระองค์ ทรงเป็น อดไวทะฺ หมายความว่าไม่มีข้อแตกต่างระหว่างพระวรกายและวิญญาณของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมพันธ์กับพระองค์เป็นทิพย์ ในขณะที่พันธวิญญาณแตกต่างจากร่างวัตถุของตน และเนื่องจากร่างขององค์ภควานและดวงวิญญาณเหมือนกัน สภาวะขององค์ภควานจึงทรงแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปเสมอ แม้ในขณะที่พระองค์เสด็จมาในระดับวัตถุ พวกมารไม่สามารถปรับตนเองให้เข้ากับธรรมชาติทิพย์ขององค์ภควานได้ ซึ่งพระองค์จะทรงอธิบายในโศลกต่อไป
อโจ 'พิ สันน อัพยะยาทมา
บํูทานาม อีชวะโร 'พิ สันฺ
พระคริทิม สวาม อดฺิชทฺายะ
สัมบฺะวามิ อาทมะ-มายะยาฺ
อจะฮฺ - ไม่มีการเกิด, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, สันฺ - เป็นเช่นนั้น, อัพยะยะฺ - ไม่มีการเสื่อมสลาย, อาทมาฺ - ร่างกาย, บํูทานามฺ - ของผู้ที่เกิดทั้งหมด, อีชวะระฮฺ - องค์ภควาน, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, สันฺ - เป็นเช่นนั้น, พระคริทิมฺ - ในรูปทิพย์, สวามฺ - ของตัวข้า, อดฺิชทฺายะฺ - สถิตเช่นนั้น, สัมบฺะวามิฺ - ข้าอวตาร, อาทมะมายะยาฺ - ด้วยพลังเบื้องสูงของข้า
คำแปลฺ
แม้ไม่มีการเกิด ร่างทิพย์ของข้าไม่เคยเสื่อมสลาย และแม้เป็นเจ้าแห่งมวลชีวิตข้าก็ยังปรากฏในร่างทิพย์เดิมของข้าทุก ๆ กัป
คำอธิบายฺ
องค์ภควานตรัสเกี่ยวกับลักษณะพิเศษแห่งการเกิดของพระองค์ แม้ทรงอาจปรากฏพระวรกายคล้ายบุคคลธรรมดา แต่ทรงจำทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับ “การเสด็จมา” หลายต่อหลายชาติของพระองค์ในอดีตได้ ขณะที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจำได้ว่าได้ทำอะไรไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ หากมีใครมาถามว่าท่านได้ทำอะไรเมื่อวานนี้ในเวลาเดียวกัน สำหรับคนทั่วไปจะให้ตอบโดยทันทีได้ยากมาก แน่นอนว่าต้องเค้นความจำว่าเมื่อวานนี้และเวลาเดียวกันนี้ได้ทำอะไรอยู่ ถึงกระนั้น ยังมีบ่อยครั้งที่มนุษย์กล้าอ้างว่าตนเป็นองค์ภควานหรือคริชณะ เราไม่ควรหลงผิดกับคำกล่าวอ้างที่ไร้สาระเช่นนี้ จากนั้นองค์ภควานทรงอธิบายถึง พระคริทิฺ หรือพระวรกายของพระองค์ คำว่า พระคริทิฺ มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า สวะรูพะฺ “ธรรมชาติ” หรือ “รูปลักษณ์ของตนเอง” องค์ภควานตรัสว่าพระองค์ทรงปรากฏมาในพระวรกายของพระองค์เอง ทรงมิได้เปลี่ยนพระวรกายของพระองค์เยี่ยงสิ่งมีชีวิตทั่วไปที่เปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง พันธวิญญาณอาจมีร่างหนึ่งในชาตินี้แต่จะมีร่างอื่นในชาติหน้า ในโลกวัตถุสิ่งมีชีวิตไม่มีร่างกายที่ถาวร แต่จะเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง อย่างไรก็ดี องค์ภควานทรงมิได้เป็นเช่นนั้น เมื่อใดที่ทรงปรากฏ จะทรงปรากฏในร่างเดิมด้วยพลังเบื้องสูงของพระองค์ อีกนัยหนึ่ง คริชณะทรงปรากฏพระวรกายในโลกวัตถุนี้ในร่างอมตะเดิมแท้ของพระองค์ที่มีสองกร ทรงขลุ่ย ทรงปรากฏมาในร่างอมตะของพระองค์เหมือนเดิมโดยปราศจากมลทินของโลกวัตถุนี้ แม้ทรงปรากฏในร่างทิพย์เดิมและทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาล แต่ยังปรากฏว่าทรงประสูติเหมือนกับสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไป และแม้ว่าพระวรกายของพระองค์ทรงไม่เสื่อมสลายเหมือนร่างวัตถุ ยังปรากฏว่าองค์ชรีคริชณะทรงเจริญเติบโตจากวัยทารกมาเป็นวัยเด็ก และจากวัยเด็กมาเป็นวัยหนุ่ม แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าพระองค์ทรงไม่แก่ไปกว่าวัยหนุ่ม ขณะที่อยู่ในสมรภูมิคุรุคเชทระ ทรงมีพระราชนัดดาหลายองค์อยู่ที่พระราชวัง อีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงมีพระชนมายุค่อนข้างมากจากการคำนวณทางวัตถุ แต่ทรงดูเหมือนเด็กหนุ่มที่มีอายุประมาณยี่สิบถึงยี่สิบห้าพรรษา เราไม่เคยเห็นภาพของคริชณะในร่างของผู้สูงอายุ เพราะพระองค์ทรงไม่ชราเหมือนพวกเราถึงแม้ทรงเป็นบุคคลผู้อาวุโสที่สุดในขบวนการสร้างทั้งหมด ไม่ว่าในอดีตปัจจุบัน และอนาคต ทั้งพระวรกายและสติปัญญาของพระองค์ทรงไม่เคยเสื่อมสลายหรือเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น จึงปรากฏชัดเจนว่าถึงแม้จะทรงประทับอยู่ในโลกวัตถุ แต่ทรงอยู่ในร่างอมตะที่ไม่มีการเกิด เปี่ยมไปด้วยความสุขเกษมสำราญและความรู้ พระวรกายทิพย์และสติปัญญาของพระองค์ทรงไม่มีการเปลี่ยนแปลง อันที่จริงการปรากฏและไม่ปรากฏของพระองค์ทรงเปรียบเสมือนกับดวงอาทิตย์ขึ้น ที่ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านหน้าเราและหายลับจากสายตาของเราไป เมื่อดวงอาทิตย์ลับตาเราคิดว่าดวงอาทิตย์ตกและเมื่อดวงอาทิตย์อยู่ในสายตาของเรา เราคิดว่าดวงอาทิตย์อยู่บนขอบฟ้า อันที่จริงดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งถาวรเสมอ แต่เนื่องมาจากข้อบกพร่องของเราเอง ประสาทสัมผัสที่สมบูรณ์ไม่เพียงพอของเราคำนวณการปรากฏและไม่ปรากฏของดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า และเพราะว่าการปรากฏและไม่ปรากฏของคริชณะทรงแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตสามัญธรรมดาทั่วไปโดยสิ้นเชิง จึงเป็นหลักฐานว่าพระองค์ทรงเป็นอมตะ เปี่ยมไปด้วยความสุขเกษมสำราญและความรู้ อันเนื่องมาจากพลังอำนาจเบื้องสูงของพระองค์และปราศจากมลทินจากธรรมชาติวัตถุ คัมภีร์พระเวทได้ยืนยันไว้เช่นกันว่า บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงไม่มีการเกิด แต่ยังปรากฏว่าพระองค์ทรงเกิดมาในอวตารหลากหลายมากมาย ภาคผนวกของวรรณกรรมพระเวทยืนยันไว้เช่นกันว่า แม้ดูเหมือนว่าจะมีการเกิด แต่พระองค์ทรงไม่มีการเปลี่ยนแปลงพระวรกาย ใน บฺากะวะธัมฺ พระองค์ทรงปรากฏต่อหน้าพระพักตร์ของพระมารดาในรูปของพระนารายะณะสี่กร พร้อมทั้งเครื่องประดับหกชนิดด้วยความมั่งคั่งสมบูรณ์ การปรากฏมาในพระวรกายอมตะเดิมแท้ของพระองค์ทรงเป็นพระเมตตาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ทรงประทานแก่สิ่งมีชีวิต เพื่อให้พวกเราสามารถทำสมาธิอยู่ที่องค์ภควานได้ตามความเป็นจริง มิใช่เป็นการกุขึ้นหรือเป็นจินตนาการจากจิตใจของเรา ดังเช่นพวกมายาวาดีคิดผิด ๆ ว่าพระวรกายขององค์ภควานทรงควรเป็นเช่นนั้นหรือเช่นนี้ คำว่า มายาฺ หรือ อาทมะ-มายาฺ หมายถึงพระเมตตาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ขององค์ภควาน ตามพจนานุกรม วิชวะ-โคชะฺ องค์ภควานทรงมีจิตสำนึกถึงการปรากฏและไม่ปรากฏของพระองค์ในอดีต แต่สิ่งมีชีวิตจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับอดีตชาติทันทีที่ได้รับร่างใหม่ พระองค์ทรงเป็นองค์ภควานของมวลชีวิต เพราะทรงปฏิบัติกิจกรรมอันมหัศจรรย์เหนือมนุษย์ขณะที่ทรงประทับอยู่บนโลกนี้ ดังนั้น องค์ภควานทรงเป็นสัจธรรมเหมือนเดิมอยู่เสมอ และทรงเป็นสัจธรรมที่ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างพระวรกายและดวงวิญญาณของพระองค์ หรือระหว่างคุณสมบัติและพระวรกายของพระองค์ อาจมีคำถามว่าแล้วทำไมองค์ภควานจึงทรงปรากฏและไม่ปรากฏบนโลกนี้ คำถามนี้จะอธิบายในโศลกต่อไป
ยะดา ยะดา ฮิ ดฺารมัสยะ
กลานิร บฺะวะทิ บฺาระทะฺ
อับฺยุททฺานัม อดฺารมัสยะ
ทะดาทมานัม สริจามิ อฮัมฺ
ยะดา ยะดาฺ - เมื่อใดและที่ไหน, ฮิฺ - แน่นอน, ดฺารมัสยะฺ - ของศาสนา, กลานิฮฺ - ขัดแย้ง, บฺะ วะทิฺ - ปรากฏออกมา, บฺาระทะฺ - โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺาระทะ, อับฺยุททฺานัมฺ - มีอำนาจเหนือ, อดฺารมัสยะฺ - ไร้ศาสนา, ทะดาฺ - เวลานั้น, อาทมานัมฺ - ตัวข้า. สริจามิฺ - ปรากฏ, อฮัมฺ - ข้า
คำแปลฺ
เมื่อใดและที่ไหนที่การปฏิบัติตามหลักศาสนา (ธรรมะ) เสื่อมลง โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ และการปฏิบัติที่ผิดหลักศาสนา (อธรรม) มีอำนาจเหนือในขณะนั้นตัวข้าจะเสด็จลงมา
คำอธิบายฺ
คำว่า สริจามิฺ มีความสำคัญ ณ ที่นี้ สริจามิฺ มิใช่แปลว่าการสร้าง เพราะว่าโศลกก่อนหน้านี้ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีการสร้างรูปร่างหรือพระวรกายขององค์ภควาน เนื่องจากรูปลักษณ์ของพระองค์นั้นทรงมีอยู่ชั่วกัลปวสาน ฉะนั้นคำว่า สริจามิฺ หมายความว่าองค์ภควานทรงปรากฏมาตามความเป็นจริง แม้จะทรงปรากฏตามกำหนดเวลา เช่น ในปลาย ดวาพะระ-ยุกะฺ ของกัปที่ยี่สิบแปดแห่ง มะนฺุ องค์ที่เจ็ดในหนึ่งวันของพระพรหมพระองค์ทรงไม่มีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ เพราะทรงมีอิสระเสรีอย่างสมบูรณ์ในการปฏิบัตอย่างไรก็ได้ตามพระราชอัธยาศัย ฉะนั้น ทรงปรากฏด้วยความปรารถนาของพระองค์เอง เมื่ออธรรมเฟื่องฟูมีอำนาจเหนือ และศาสนาที่แท้จริงสูญหายไป หลักธรรมแห่งศาสนานี้ได้วางไว้ในคัมภีร์พระเวท การปฏิบัติใด ๆ ที่ขัดแย้งต่อกฎเกณฑ์อันถูกต้องของคัมภีร์พระเวทจะทำให้เราเป็นผู้ไร้คุณธรรม ใน บฺากะวะธัมฺได้กล่าวไว้ว่าหลักธรรมนี้คือกฎขององค์ภควาน พระองค์เท่านั้นที่ทรงสามารถสร้างระบบศาสนา เป็นที่ยอมรับกันว่าองค์ภควานทรงเป็นผู้ตรัสคัมภีร์พระเวทเข้าสู่หัวใจของพระพรหม ฉะนั้น หลัก ดฺารมะฺ หรือหลักศาสนาคือคำสั่งโดยตรงของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า (ดฺารมัม ทุ สาคชาด บฺะกะวัท-พระณีทัมฺ) หลักธรรมต่าง ๆ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนตลอดทั้งเล่มใน ภควัต-คีตาฺ จุดมุ่งหมายของคัมภีรพระเวทคือสถาปนาหลักธรรมเช่นนี้ภายใต้คำสั่งขององค์ภควาน และพระองค์ทรงสั่งโดยตรงในตอนท้ายของ คีตาฺ ว่าหลักธรรมสูงสุดของศาสนาคือศิโรราบต่อองค์ภควานเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ หลักธรรมของพระเวทจะส่งเสริมเราไปสู่การศิโรราบอย่างสมบูรณ์ต่อพระองค์และเมื่อใดที่มีมารมารังควานหลักธรรมนี้ องค์ภควานจะทรงปรากฏ จาก บฺากะวะธัมฺเราเข้าใจว่าคริชณะทรงอวตารลงมาเป็นองค์บุดดฺะขณะที่ลัทธิวัตถุนิยมแพร่หลาย และนักวัตถุนิยมได้ใช้ข้ออ้างจากอำนาจแห่งคัมภีร์พระเวท ถึงแม้ว่าจะมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเกี่ยวกับการบูชายัญสัตว์เพื่อจุดมุ่งหมายบางประการในคัมภีร์พระเวท แต่บุคคลผู้มีแนวโน้มไปในทางมารก็ยังทำการบูชายัญสัตว์โดยไม่มีการอ้างอิงถึงหลักธรรมของพระเวทองค์บุดดฺะทรงปรากฏเพื่อหยุดความเหลวไหลเช่นนี้ และทรงสถาปนาหลักอหิงสาแห่งพระเวท ดังนั้นทุก ๆ อวะทาระฺ หรืออวตารขององค์ภควานจะทรงมีพระภารกิจโดยเฉพาะ และทั้งหมดได้อธิบายไว้ในพระคัมภีร์อย่างเปิดเผย เราไม่ควรยอมรับผู้ใดว่าเป็นอวตารนอกจากพระคัมภีร์ได้อ้างอิงไว้ ไม่เป็นความจริงที่ว่าองค์ภควานทรงปรากฏบนแผ่นดินของประเทศอินเดียเท่านั้น พระองค์ทรงสามารถปรากฏพระวรกายได้ทุกหนทุกแห่งตามที่ทรงปรารถนา องค์ภควานในรูปของอวตารทุกพระองค์จะตรัสเกี่ยวกับศาสนามากเท่าที่ประชาชนในยุคและสถานการณ์นั้น ๆ จะเข้าใจได้ แต่พระภารกิจของทุกพระองค์ทรงเหมือนกัน คือทรงนำประชาชนมาสู่ภควานจิตสำนึก และเชื่อฟังปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งศาสนา บางครั้งพระองค์เสด็จลงมาเอง บางครั้งทรงส่งผู้แทนที่เชื่อถือได้มาในรูปของสาวกหรือผู้รับใช้ หรือทรงแปลงพระวรกายมา
หลักธรรมแห่ง ภควัต-คีตาฺ ได้ตรัสแก่อารจุนะ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการตรัสแก่บุคคลอื่น ๆ ผู้ที่เจริญแล้ว เนื่องจากอารจุนะทรงมีความเจริญก้าวหน้ามากเมื่อเปรียบเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป ในส่วนอื่น ๆ ของโลก สองบวกสองเป็นสี่คือหลักคณิตศาสตร์ที่เป็นความจริงไม่ว่าในชั้นคณิตศาสตร์เบื้องต้นหรือชั้นสูง ถึงกระนั้นก็ยังมีการคำนวณที่สูงกว่าและต่ำกว่า ดังนั้น อวตารทั้งหมดขององค์ภควานจะสอนหลักธรรมเดียวกัน แต่จะปรากฏว่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป หลักศาสนาที่สูงกว่าเริ่มจากการยอมรับสี่ระดับและสี่อาชีพแห่งชีวิตสังคม ดังจะอธิบายต่อไป จุดมุ่งหมายทั้งหมดแห่งพระภารกิจขององค์อวตารคือการรณรงค์คริชณะจิตสำนึกทั่วทุกหนทุกแห่ง จิตสำนึกเช่นนี้ปรากฏหรือไม่ปรากฏจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่แตกต่างกันเท่านั้น
พะริทราณายะ สาดํูนาม
วินาชายะ ชะ ดุชคริทามฺ
ดฺารมะ-สัมสทฺาพะนารทฺายะ
สัมบฺะวามิ ยุเก ยุเกฺ
พะรีทราณายะฺ - เพื่อการจัดส่ง, สาดํูนามฺ - สาวก, วินาชายะฺ - เพื่อการทำลาย, ชะฺ - และ, ดุชคริทามฺ - คนสารเลว, ดฺารมะฺ - หลักธรรมของศาสนา, สัมสทฺาพะนะ-อาทฺายะฺ - สถาปนาขึ้นใหม่, สัมบฺะวามิฺ - ข้าปรากฏตัว, ยุเกฺ - กัปแล้ว, ยุเกฺ - กัปเล่า
คำแปลฺ
เพื่อจัดส่งคนดีมีธรรมะและทำลายคนชั่ว พร้อมกับสถาปนาหลักธรรมแห่งศาสนาขึ้นมาใหม่ ตัวข้าจึงปรากฏกัปแล้วกัปเล่า
คำอธิบายฺ
ตาม ภควัต-คีตาฺ คำว่า สาดํฺุ (ผู้บริสุทธิ์) คือบุคคลในคริชณะจิตสำนึก บุคคลที่ดูเหมือนว่าทำผิดหลักศาสนาแต่หากว่ามีคุณสมบัติของคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ ผู้นี้คือสาดํฺุ และ ดุชคริทามฺ คือพวกที่ไม่สนใจใยดีกับคริชณะจิตสำนึก ดุชคริทามฺ หรือคนเลวเหล่านี้อธิบายไว้ว่าเป็นผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญา ต่ำสุดในหมู่มนุษย์ ถึงแม้จะประดับไปด้วยการศึกษาทางโลกที่สูงส่ง แต่บุคคลผู้ปฏิบัติตนในคริชณะจิตสำนึกร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นที่ยอมรับกันว่าคือ สาดํฺุ แม้ว่าบุคคลนี้อาจไม่ได้รับการศึกษาหรือมีวัฒนธรรมสูง สำหรับพวกที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน ไม่จำเป็นที่พระองค์ทรงต้องปรากฏพระวรกายมาทำลายพวกเขาดังที่ทรงปรากฏมาเพื่อทำลายมารเช่นราวะณะ (ทศกัณฑ์) และคัมสะ องค์ภควานทรงมีผู้แทนมากมายที่มีขีดความสามารถเพียงพอในการทำลายมาร แต่ทรงเสด็จลงมาโดยเฉพาะเพื่อปลอบใจสาวกผู้ไร้มลทินที่ถูกมารข่มเหงอยู่เสมอ มารชอบข่มเหงสาวกแม้เป็นญาติเกี่ยวดองกัน แม้ พระฮลาดะมะฮาราจะ ทรงเป็นโอรสของ หิรัณยะคะชิพุ ก็ยังถูกพระบิดาสั่งประหาร และแม้ว่าพระนางเดวะคี พระมารดาของคริชณะ ทรงเป็นพระขนิษฐภคินีของคัมสะ พระนางและพระสวามีวะสุเดวะยังถูกตามประหารเนื่องจากคริชณะจะทรงมาประสูติ ฉะนั้น คริชณะทรงปรากฏเพื่อจัดส่งพระนางเดวะคีมากกว่าที่จะมาสังหารคัมสะ แต่ทั้งสองสิ่งทรงกระทำควบคู่กันไป ดังนั้น จึงได้กล่าว ณ ที่นี้ว่าเพื่อจัดส่งสาวกและทำลายมารชั่ว องค์ภควานจึงทรงปรากฏในอวตารต่าง ๆ
ใน เชธันญะ-ชะริทามริทะฺ ของ คริชณะดาสะ ดาวิราจะ โศลกต่อไปนี้ (มัดฺยะฺ20.263-264) จะสรุปหลักธรรมขององค์อวตาร
สริชทิ-เฮทุ เย มูรทิ พระพันเช อวะทะเร
เส อีชวะระ-มูรทิ อวะทาระ นามะ ดฺะเรฺ
มายาทีทะ พะรัพโยเม สะบาระ อวัสทฺานะ
วิชเว อวะทะริ ดฺะเร อวะทาระ นามะฺ
“อวะทาระฺ หรืออวตารขององค์ภควานเสด็จลงมาจากอาณาจักรของพระองค์เพื่อมาปรากฏที่โลกวัตถุ และรูปลักษณ์โดยเฉพาะของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าผู้เสด็จลงมา เรียกว่าอวตารหรือ อวะทาระฺ อวตารเหล่านี้ทรงสถิตอยู่ในโลกทิพย์ อาณาจักรแห่งองค์ภควาน เมื่อเสด็จลงมาในจักรวาลวัตถุทรงพระนามว่า อวะทาระฺ”
มีอวตารหลายรูปแบบ เช่น พุรุชาวะทาระ, กุณาวะทาระ, ลีลาวะทาระ, ชัคที-อาเวชะ อวะทาระ, มันวันทะระ-อวะทาระฺ และ ยุกาวะทาระฺ ทั้งหมดทรงปรากฏตามตารางเวลาในจักรวาลทั้งหลาย แต่องค์ชรีคริชณะทรงเป็นภควานองค์แรก ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของ อวะทาระฺ ทั้งมวล องค์ชรีคริชณะเสด็จลงมาเพื่อจุดประสงค์โดยเฉพาะ คือทรงขจัดความวิตกกังวลของสาวกผู้บริสุทธิ์ที่มีความกระตือรือร้นอยากพบพระองค์ในลีลาเดิมแห่งวรินดาวะนะ ดังนั้น จุดมุ่งหมายแรกของคริชณะอวตารคือทรงตอบสนองความปราถนาของสาวกผู้บริสุทธิ์ของพระองค์
องค์ภควานตรัสว่า พระองค์ทรงอวตารลงมาในทุก ๆ กัป เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าทรงอวตารลงมาใน คะลิฺ ยุคเช่นกัน ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ว่าอวตารใน คะลิฺ ยุคคือ องค์เชธันญะ มะฮาพระบํุ ผู้ทรงเผยแพร่การบูชาคริชณะด้วยขบวนการ สังคีร- ทะนะฺ (การชุมนุมร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควาน) และเผยแพร่คริชณะจิตสำนึกไปทั่วประเทศอินเดีย องค์เชธันญะทรงทำนายไว้ว่าวัฒนธรรมแห่ง สังคีรทะนะฺ จะขจรขจายไปทั่วโลก จากเมืองสู่เมือง และจากหมู่บ้านสู่หมู่บ้าน องค์เชธันญะทรงเป็นอวตารของคริชณะ บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ได้อธิบายไว้ในส่วนลับเฉพาะของพระคัมภีร์ที่เปิดเผย เช่น อุปนิษัท, มหาภารตะ.ฺ และ บฺากะวะธัมฺ ว่า สาวกของคริชณะรักขบวนการ สังคีรทะนะฺ ขององค์เชธันญะมาก อวตารของภควานองค์นี้ไม่สังหารคนเลว แต่จะจัดส่งพวกคนเลวให้หลุดพ้น ด้วยพระเมตตาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
จันมะ คารมะ ชะ เม ดิพยัม
เอวัม โย เวททิ ทัททวะทะฮฺ
ทยัคทวา เดฮัม พุนาร จันมะ
ไนทิ มาม เอทิ โส รจุนะฺ
จันมะฺ - เกิด, คารมะฺ - งาน, ชะฺ - เช่นกัน, เมฺ - ของข้า, ดิพยัมฺ - ทิพย์, เอวัมฺ - เหมือนนี้, ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, เวททิฺ - ทราบ, ทัททวะทะฮฺ - ในความเป็นจริง, ทยัคควาฺ - ปล่อยวาง, เดฮัมฺ - ร่างนี้, พุนะฮฺ - อีกครั้ง, จันมะฺ - เกิด, นะฺ - ไม่เคย, เอทิฺ - บรรลุ, มามฺ - แด่ข้า, เอทิฺ - บรรลุ, สะฮฺ - เขา, อารจุนะฺ - โอ้ อารจุนะ
คำแปลฺ
ผู้ที่รู้ธรรมชาติทิพย์แห่งการปรากฏและกิจกรรมของข้า เมื่อออกจากร่างไปแล้วจะไม่กลับมาเกิดในโลกวัตถุนี้อีก แต่บรรลุถึงอาณาจักรอมตะของข้า โอ้อารจุนะ
คำอธิบายฺ
การเสด็จลงมาขององค์ภควานจากอาณาจักรทิพย์ได้อธิบายไว้แล้วในโศลกที่หก ผู้ที่สามารถเข้าใจสัจธรรมแห่งการปรากฏของพระองค์เป็นผู้หลุดพ้นจากพันธนาการทางวัตถุ ฉะนั้น เขาจะกลับคืนสู่อาณาจักรแห่งองค์ภควานทันทีหลังจากออกจากร่างวัตถุปัจจุบันนี้ไป การหลุดพ้นของสิ่งมีชีวิตจากพันธนาการทางวัตถุเช่นนี้มิใช่ของง่าย มายาวดีฺ และ โยคีฺ ได้รับความหลุดพ้นหลังจากความยากลำบากมากมายหลายต่อหลายชาติ ถึงกระนั้น ความหลุดพ้นที่พวกเขาได้รับคือ การกลืนเข้าไปใน บระฮมะจโยทิฺ อันไร้รูปลักษณ์ขององค์ภควานซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระองค์เท่านั้นและยังเสี่ยงที่จะต้องกลับมาในโลกวัตถุนี้อีก แต่สาวกเพียงแต่เข้าใจธรรมชาติทิพย์แห่งพระวรกายและกิจกรรมของพระองค์ก็จะบรรลุถึงอาณาจักรแห่งองค์ภควานหลังจากจบสิ้นร่างกายนี้ และไม่ต้องเสี่ยงในการกลับมาโลกวัตถุนี้อีก ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ(5.33) ได้กล่าวไว้ว่า องค์ภควานทรงมีรูปลักษณ์และอวตารมากมาย อดไวทัม อัชยุทัม อนาดิม อนันทะ-รูพัมฺ แม้ทรงมีรูปลักษณ์ทิพย์มากมายทั้งหมดยังทรงเป็นหนึ่งเดียวกันคือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า เราต้องเข้าใจความจริงอันนี้ด้วยความมั่นใจแม้ว่าอาจจะเข้าใจยากสำหรับนักวิชาการและนักปราชญ์ช่างสังเกตทางโลก ดังที่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวท (พุรุชะ-โบดฺินี อุพะนิชัดฺ) ว่า
เอโค เดโว นิทยะ-ลีลานุรัคโท
บฺัคธะ-วิยาพี ฮริดิ อันทาร-อาทมาฺ
“บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์เดียวกันนี้ทรงมีกิจกรรมในรูปลักษณ์ทิพย์มากมายในความสัมพันธ์กับสาวกผู้บริสุทธิ์ของพระองค์” คำแปลของคัมภีร์พระเวทได้ยืนยันในโศลกนี้ของ คีตาฺ โดยองค์ภควานเอง ผู้ที่ยอมรับสัจธรรมนี้ภายใต้อำนาจที่เชื่อถือได้ของคัมภีร์พระเวทและบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า และไม่เสียเวลาไปในการคาดคะเนทางปรัชญา จะบรรลุถึงความสมบูรณ์สูงสุดแห่งอิสรภาพ เพียงแต่ยอมรับสัจธรรมนี้ด้วยความศรัทธา เราสามารถบรรลุถึงความหลุดพ้นได้โดยไม่ต้องสงสัย คำแปลของพระเวท ทัท ทวัม อสิฺ อันที่จริงใช้ในกรณีนี้ได้ ผู้ใดเข้าใจองค์ชรีคริชณะว่าสูงสุดหรือกล่าวต่อพระองค์ว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์เดียวกับ บระฮมันฺ สูงสุด บุคลิกภาพแห่งพระเจ้า” เป็นผู้หลุดพ้นโดยทันทีอย่างแน่นอน จากนั้น การเข้าสู่การคบหาสมาคมทิพย์กับพระองค์เป็นที่รับประกันหรืออีกนัยหนึ่ง สาวกขององค์ภควานผู้มีความศรัทธาเช่นนี้จะบรรลุความสมบูรณ์ ได้รับการยืนยันโดยคำอ้างอิงของพระเวทดังต่อไปนี้
ทัม เอวะ วิดิทวาทิ มริทยุม เอทิ
นานยะฮ พันทฺา วิดยะเท ‘ยะนายะฺ
“เราสามารถบรรลุถึงระดับสมบูรณ์แห่งอิสรภาพจากการเกิดและการตาย เพียงแต่รู้ถึงองค์ภควาน บุคลิกภาพสูงสุดแห้งพระเจ้า และไม่มีทางอื่นในการบรรลุถึงความสมบูรณ์นี้” (ชเวทาชะวะทะระ อุพะนิชัดฺ 3.8) ไม่มีทางเลือกอื่นหมายความว่าผู้ใดไม่เข้าใจองค์ชรีคริชณะว่าทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า แน่นอนว่าเขาอยู่ในรระดับแห่งอวิชชาและจะไม่บรรลุถึงความหลุดพ้น จากการพยายามที่จะลิ้มรสภายนอกของขวดน้ำผึ้งหรือจากการตีความ ภควัต-คีตาฺ ตามหลักวิชาการทางโลก นักปราชญ์ผู้คาดคะเนเช่นนี้อาจเล่นบทที่มีความสำคัญมากในโลกวัตถุ แต่ไม่มีสิทธิ์เพื่อความหลุดพ้นนักวิชาการทางโลกผู้ผยองเช่นนี้จะต้องรอพระเมตตาจากสาวกขององค์ภควาน ฉะนั้นเราควรปลูกฝังคริชณะจิตสำนึกด้วยความศรัทธาและความรู้ เช่นนี้จะทำให้เราบรรลุถึงความสมบูรณ์
วีทะ-รากะ-บฺะยะ-โครดฺา
มัน-มะยา มาม อุพาชริทาฮฺ
บะฮะโว กยานะ-ทะพะสา
พูทา มัด-บฺาวัม อากะทาฮฺ
วีทะฺ - อิสระจาก, รากะฺ - การยึดติด, บฺะยะฺ - ความกลัว, โครดฺาฮฺ - และความโกรธ, มัทฺ - มะยาฺ - ในข้าอย่างสมูรณ์, มามฺ - ในข้า, อุพาชริทาฮฺ - สถิตอย่างสมบูรณ์, บะฮะวะฮฺ - มากมาย, กยานะฺ - แห่งความรู้, ทะพะสาฺ - ด้วยการบำเพ็ญเพียร, พูทาฮฺ - บริสุทธิ์, มัด-บฺาวัมฺ - ความรักทิพย์ต่อข้า, อากะทาฮฺ - บรรลุถึง
คำแปลฺ
มีอิสรเสรีจากการยึดติด ความกลัว และความโกรธ ซึมซาบอย่างเต็มเปี่ยมในข้า และยึดข้าเป็นที่พึ่ง บุคคลมากมายในอดีตได้รับความบริสุทธิ์ด้วยความรู้แห่งข้า และบรรลุถึงความรักทิพย์ต่อข้า
คำอธิบายฺ
ดังที่ได้อธิบายก่อนหน้านี้ว่าเป็นการยากมากสำหรับผู้มีความเสน่หามากทางวัตถุที่จะเข้าใจธรรมชาติของบุคลิกภาพแห่งสัจธรรมสูงสุด โดยทั่วไปผู้ยึดติดกับแนวคิดชีวิตทางร่างกายจะซึมซาบอยู่ในลัทธิวัตถุนิยม เกือบเป็นไปไม่ได้สำหรับคนพวกนี้ที่จะเข้าใจว่าองค์ภควานทรงเป็นบุคคลได้อย่างไร นักวัตถุนิยมเช่นนี้ไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการว่ามีร่างทิพย์ที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย เต็มไปด้วยความรู้ และมีความปลื้มปิติสุขชั่วกัลปวสาน ในแนวคิดทางวัตถุ ร่างกายเสื่อมสลาย เต็มไปด้วยอวิชชาและความทุกข์ ฉะนั้น ผู้คนโดยทั่วไปจะรักษาแนวคิดเช่นเดียวกับร่างกายนี้อยู่ภายในใจเมื่อได้รับข้อมูลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ส่วนพระองค์ขององค์ภควาน สำหรับนักวัตถุนิยมประเภทนี้ ปรากฏการณ์ทางวัตถุที่ยิ่งใหญ่มโหฬารคือสิ่งสูงสุด ดังนั้น จึงพิจารณาว่าองค์ภควานไร้รูปลักษณ์ และเนื่องจากซึมซาบอยู่ในวัตถุมาก แนวคิดว่าจะมีบุคลิกภาพหลังหลุดพ้นจากโลกวัตถุแล้วทำให้เกิดความกลัว เมื่อได้รับข้อมูลว่าชีวิตทิพย์ยังเป็นปัจเจกบุคคลและมีบุคลิกภาพเช่นเดียวกัน รู้สึกกลัวที่จะมาเป็นบุคคลอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นโดยธรรมชาติพวกเขาชอบกลืนหายเข้าไปในความว่างเปล่าที่ไร้รูปลักษณ์มากกว่าโดยเปรียบเทียบสิ่งมีชีวิตเหมือนกับฟองน้ำในมหาสมุทรที่กลืนหายเข้าไปในมหาสมุทรนี่คือความสมบูรณ์สูงสุดแห่งชีวิตทิพย์ที่บรรลุโดยไร้ปัจเจกบุคลิกภาพ เช่นนี้ เป็นระดับชีวิตที่น่ากลัวแบบหนึ่ง ซึ่งขาดความรู้อย่างสมบูรณ์แห่งชีวิตทิพย์ นอกจากนั้นยังมีหลายคนที่ไม่สามารถเข้าใจชีวิตทิพย์ได้เลย พวกนี้รู้สึกอึดอัดจากหลายทฤษฎีและข้อขัดแย้งต่าง ๆ นานาในการคาดคะเนทางปรัชญา ในที่สุดก็รู้สึกเบื่อหน่าย โมโห และสรุปอย่างโง่ ๆ ว่าไม่มีแหล่งกำเนิดสูงสุด ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า บุคคลเช่นนี้อยู่ในสภาวะชีวิตที่ป่วยเป็นโรค บางคนยึดติดทางวัตถุมาก ดังนั้น จึงไม่ได้ให้ความสนใจกับชีวิตทิพย์ บางคนต้องการกลืนหายเข้าไปในแหล่งกำเนิดทิพย์สูงสุด และบางคนไม่เชื่อในทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยความหมดหวังจึงโมโหต่อการคาดคะเนในวิถีทิพย์ทั้งหมด คนกลุ่มสุดท้ายจะไปพึ่งยาเสพติดบางชนิด และบางครั้งเกิดภาพหลอนแต่กลับคิดว่าเป็นจักษุทิพย์ เราต้องขจัดการยึดติดในโลกวัตถุทั้งสามระดับ คือ ละเลยต่อชีวิตทิพย์กลัวต่อปัจเจกบุคลิกภาพทิพย์ และแนวคิดในความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นจากความผิดหวังในชีวิต การที่จะได้รับอิสรภาพจากสามระดับของแนวคิดชีวิตทางวัตถุ เราต้องยึดองค์ภควานเป็นที่พึ่งโดยสมบูรณ์ด้วยการนำทางของพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้ และปฏิบัติตามระเบียบวินัยและหลักธรรมแห่งชีวิตอุทิศตนเสียสละ ระดับสุดท้ายของชีวิตอุทิศตนเสียสละเรียกว่า บฺาวะฺ หรือความรักทิพย์ต่อองค์ภควาน
บฺัคธิ-ระสัมริทะ-สินดํฺุ (1.4.15-16) ศาสตร์แห่งกาอุทิศตนเสียสละรับใช้กล่าวว่า
อาโด ชรัดดฺา ทะทะฮ สาดํุ-
สังโก ทฺะ บฺะจะนะ-คริยาฺ
ทะโท นารทฺะ-นิวริททิฮ สยาท
ทะโท นิชทฺา รุชิส ทะทะฮฺ
อทฺาสัคทิส ทะโท บฺาวัส
ทะทะฮ เพรมาบฺยุดันชะทิฺ
สาดฺะคานาม อยัม เพรมณะฮ
พราดูรบฺาเว บฺะเวท คระมะฮฺ
“ในตอนต้นเราต้องมีความปรารถนาพื้นฐานเพื่อความรู้แจ้งแห่งตนจึงจะนำเรามาถึงจุดที่จะพยายามคบหาสมาคมกับบุคคลผู้มีความเจริญในวิถีทิพย์ ระดับต่อไปเราจะต้องอุปสมบทโดยพระอาจารย์ทิพย์ผู้เจริญแล้ว และภายใต้คำสั่งสอนของท่าน สาวกนวกะจึงเริ่มปฏิบัติตามขบวนการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ด้วยการปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ภายใต้คำแนะนำของพระอาจารย์ทิพย์ ทำให้เราเป็นอิสระจากการยึดติดทางวัตถุทั้งมวล บรรลุถึงความมั่นคงในการรู้แจ้งแห่งตน และได้รับรสแห่งการสดับฟังเกี่ยวกับองค์ภควานผู้สมบูรณ์ชรีคริชณะ รสนี้จะนำเราก้าวต่อไปถึงความยึดมั่นในคริชณะจิตสำนึก ซึ่งจะเจริญงอกงามจนถึง บฺาวะฺ หรือระดับพื้นฐานของความรักทิพย์แห่งองค์ภควาน ความรักที่แท้จริงต่อองค์ภควานเรียกว่า เพรมะฺ ซึ่งเป็นระดับสมบูรณ์สูงสุดแห่งชีวิต” ในระดับ เพรมะฺ จะมีการปฏิบัติรับใช้ด้วยความรักทิพย์ต่อองค์ภควานเสมอ ดังนั้น ด้วยขบวนการแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้คำแนะนำของพระอาจารย์ทิพย์ที่เชื่อถือได้ ทำให้เราสามารถบรรลุถึงระดับสูงสุดซึ่งมีอิสระจากการยึดติดทางวัตถุทั้งปวง และเสรีภาพจากความกลัวปัจเจกบุคลิกภาพทิพย์ของตนเอง รวมทั้งเสรีภาพจากความผิดหวังอันสืบเนื่องมาจากปรัชญาที่สูญเปล่า ในที่สุดเราจะสามารถบรรลุถึงอาณาจักรแห่งองค์ภควาน
เย ยะทฺา มาม พระพัดยันเท
ทามส ทะไทวะ บฺะจามิ อฮัมฺ
มะมะ วารทมานุวารทันเท
มะนุชยาฮ พารทฺะ สารวะชะฮฺ
เยฺ - ทั้งหมดผู้ซึ่ง, ยะทฺาฺ - ดังที่, มามฺ - แด่ข้า, พระพัดยันเทฺ - ศิโรราบ, ทานฺ - พวกเขา, ทะทาฺ - ดังนั้น, เอวะฺ - แน่นอน, บฺะจามิฺ - ได้รับรางวัล, อฮัมฺ - ข้า, มะมะฺ - ของข้า, วารทมะฺ - หนทาง, อนุวารทันเทฺ - ปฏิบัติตาม, มะนุชยาฮฺ - มวลมนุษย์, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, สารวะชะฮฺ - ด้วยประการทั้งปวง
คำแปลฺ
ดังที่ทั้งหมดศิโรราบต่อข้า ข้าให้รางวัลไปตามระดับแห่งการศิโรราบ ทุก ๆ คนปฏิบัติตามวิถีทางของข้าด้วยประการทั้งปวง โอ้ โอรสพระนางพริทฺา
คำอธิบายฺ
ทุกคนกำลังเสาะแสวงหาคริชณะในมุมมองต่าง ๆ แห่งปรากฏการณ์ของพระองค์ คริชณะบุลคิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงรู้แจ้งได้เพียงบางส่วนในรัศมี บระฮ- มะจโยทิฺ อันไร้รูปลักษณ์ของพระองค์ และทรงเป็นอภิวิญญาณที่แผ่กระจายไปทั่วและทรงประทับอยู่ภายในทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งภายในละอองปรมาณู แต่สาวกผู้บริสุทธิ์ของคริชณะเท่านั้นที่จะรู้แจ้งถึงพระองค์อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ ดังนั้น คริชณะจึงทรงเป็นจุดมุ่งหมายสำหรับทุกคนเพื่อความรู้แจ้ง และทุก ๆ คนจะได้รับความพึงพอใจตามที่ตนปรารถนาในองค์คริชณะ ในโลกทิพย์ก็เช่นเดียวกัน คริชณะทรงตอบสนองต่อสาวกผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ในท่าทีทิพย์ตามที่สาวกปรารถนาพระองค์ สาวกรูปหนึ่งอาจปรารถนาคริชณะมาเป็นพระอาจารย์สูงสุด สาวกอีกรูปหนึ่งอาจปรารถนาคริชณะมาเป็นเพื่อนสนิทของตน สาวกอีกรูปหนึ่งอาจปรารถนาคริชณะมาเป็นบุตร และสาวกอีกรูปหนึ่งอาจปรารถนาคริชณะมาเป็นคู่รัก คริชณะทรงประทานรางวัลแก่สาวกทั้งหลายอย่างเสมอภาคตามความแรงกล้าแห่งความรักที่แตกต่างกันของสาวกที่มีต่อพระองค์ในโลกวัตถุความรู้สึกในการสนองตอบเช่นเดียวกันนี้ก็มีอยู่ และการสนองตอบเช่นนี้องค์ภควานทรงแลกเปลี่ยนกับผู้บูชาที่แตกต่างกันอย่างเสมอภาค สาวกผู้บริสุทธิ์ทั้งในโลกนี้และในโลกทิพย์คบหาสมาคมกับคริชณะเป็นการส่วนตัว และสามารถปฏิบัติตนรับใช้พระองค์เป็นการส่วนตัว จึงได้รับความปลื้มปีติสุขทิพย์ในการรับใช้ด้วยความรักต่อพระองค์ สำหรับ มายาวาดีฺ และผู้ที่ต้องการฆ่าชีวิตทิพย์ของตนเองด้วยการทำลายปัจเจกบุคคลของสิ่งมีชีวิต คริชณะก็ทรงช่วยเช่นกันด้วยการดูดพวกเขาให้ไปอยู่ในรัศมีของพระองค์ พวก มายาวาดีฺ ไม่ยอมรับองค์ภควานผู้เป็นอมตะและมีแต่ความสุขเกษมสำราญ ดังนั้น จึงไม่สามารถรับรสแห่งความปลื้มปีติในการรับใช้ทิพย์ต่อพระองค์เป็นการส่วนตัว หลังจากที่ได้ดับขันธ์ปัจเจกบุคลิกภาพของตนเองบางคนที่ยังไม่สถิตใน มายาวาดีฺ อย่างมั่นคง จะกลับมาในสนามวัตถุนี้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสดงออกถึงความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน พวกนี้ไม่ได้รับการยอมรับให้ไปอยู่ในโลกทิพย์แต่จะได้รับโอกาสให้มาปฏิบัติอยู่ในโลกวัตถุอีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้ทำงานเพื่อหวังผลทางวัตถุ องค์ภควานทรงประทานผลที่พวกเขาปรารถนาตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ ในฐานะยะกเยชวะระฺ และพวกโยคีผู้ปรารถนาอิทธิฤทธิ์องค์ภควานทรงประทานอิทธิฤทธิ์นั้นให้ อีกนัยหนึ่ง ความสำเร็จของทุกคนขึ้นอยู่กับพระเมตตาขององค์ภควานเท่านั้นขบวนการในวิถีทิพย์ทั้งหมดคือระดับแห่งความสำเร็จที่แตกต่างกันบนเส้นทางเดียวกันดังนั้น นอกเสียจากว่าเรามาถึงจุดสมบูรณ์สูงสุดแห่งคริชณะจิตสำนึก ความพยายามอื่น ๆ ทั้งหมดถือว่าไม่สมบูรณ์ ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (2.3.10) ว่า
อคามะฮ สารวะ-คาโม วา
โมคชะ-คามะ อุดาระ-ดฺีฮฺ
ทีพเรณะ บฺัคธิ-โยเกนะ
ยะเจทะ พุรุชัม พะรัมฺ
“ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ที่ไม่มีความปรารถนา (สภาวะของสาวก) หรือปรารถนาผลทางวัตถุทั้งหมด หรือปรารถนาความหลุดพ้น ด้วยความพยายามทั้งปวงเราควรบูชาองค์ภควาน เพื่อความบริบูรณ์และมาถึงซึ่งจุดสมบูรณ์สูงสุดที่คริชณะจิตสำนึก”
คางคชันทะฮ คารมะณาม สิดดฺิม
ยะจันทะ อิฮะ เดวะทาฮฺ
คชิพรัม ฮิ มานุเช โลเค
สิดดฺิร บฺะวะทิ คารมะ-จาฺ
คางคชันทะฮฺ - ปรารถนา, คารมะณามฺ - กิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุ, สิดดฺิมฺ - ความสมบูรณ์, ยะจันเทฺ - พวกเขาบูชาด้วยการเสียสละ, อิฮะฺ - ในโลกวัตถุ, เดวะทาฺ - เทวดา, คชิพรัมฺ - โดยเร็ว, ฮิ-แน่นอน, มานุเชฺ - ในสังคมมนุษย์, โลเคฺ - ภายในโลกนี้, สิดดฺิฮฺ - สำเร็จ, บฺะวะทิฺ - มา, คารมะ-จาฺ - จากงานเพื่อผลทางวัตถุ
คำแปลฺ
มนุษย์ในโลกนี้ปรารถนาความสำเร็จในกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุ ดังนั้น จึงบูชาเทวดา แน่นอนว่ามนุษย์จะได้รับผลโดยเร็วจากงานทางวัตถุในโลกนี้
คำอธิบายฺ
มีความคิดที่ผิดอย่างใหญ่หลวงเกี่ยวกับเหล่าเทวดาของโลกวัตถุนี้ มนุษย์ผู้ด้อยปัญญาแม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ แต่ยังคิดว่าเทวดาเหล่านี้คือภาพลักษณ์ต่าง ๆ ขององค์ภควาน อันที่จริงเทวดามิใช่ภาพลักษณ์ขององค์ภควาน แต่เป็นส่วนต่าง ๆ ของพระองค์ องค์ภควานทรงเป็นหนึ่งและทรงมีส่วนต่าง ๆ มากมายคัมภีร์พระเวทกล่าวว่า นิทโย นิทยานามฺ องค์ภควานทรงเป็นหนึ่ง อีชวะระฮ พะระ- มะฮ คริชณะฮฺ องค์ภควานทรงเป็นหนึ่งคือคริชณะ และเทวดาทรงเป็นผู้ได้รับพลังอำนาจให้ไปบริหารโลกวัตถุนี้ เทวดาเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมด (นิทยานามฺ) พร้อมด้วยพลังอำนาจทางวัตถุในระดับต่าง ๆ กัน เทวดาไม่สามารถเทียบเท่ากับองค์ภควานพระนารายณ์ พระวิชณุ หรือคริชณะได้ ผู้ใดที่คิดว่าองค์ภควานและเทวดาอยู่ในระดับเดียวกันได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในองค์ภควานหรือ พาชัณดีฺ แม้เทวดาผู้ยิ่งใหญ่เช่น พระพรหม และพระศิวะ ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับองค์ภควานได้ อันที่จริงเทวดาเช่นพระพรหม และพระศิวะ จะบูชาองค์ภควาน (ชิวะ-วิรินชิ-นุทัมฺ) แต่เป็นเรื่องน่าแปลกที่มนุษย์โง่เขาเบาปัญญาไปบูชาผู้นำมนุษย์ด้วยกันหลายคน ภายใต้ความเข้าใจผิดแห่งลัทธิการเปรียบเทียบรูปร่างลักษณะคนหรือลัทธิการดูรูปพรรณลักษณะของสัตว์ คำว่า อิฮะ เดวะทาฮฺ หมายความว่ามนุษย์ผู้มีอำนาจมากหรือเทวดาของโลกวัตถุนี้ แต่องค์นารายะณะ องค์วิชณุ หรือองค์คริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ทรงมิใช่เป็นของโลกวัตถุนี้ พระองค์ทรงอยู่เหนือการสร้างทางวัตถุ แม้ ชรีพาดะ ชังคะราชารยะผู้นำของพวก มายาวาดีฺ ยังยืนยันว่า องค์นารายะณะ หรือองค์คริชณะทรงอยู่เหนือการสร้างของโลกวัตถุนี้ อย่างไรก็ดี คนโง่ (ฮริทะ-กยานะฺ) จะบูชาเทวดาเพราะต้องการผลตอบแทนในทันที พวกเขาได้รับผลตอบแทน แต่ไม่รู้ว่าผลตอบแทนที่ตนเองได้รับนั้นเป็นสิ่งชั่วคราวและมีไว้สำหรับมนุษย์ผู้ด้อยปัญญา บุคคลผู้มีปัญญาอยู่ในคริชณะจิตสำนึกไม่จำเป็นต้องบูชาเทวดาที่ไม่สำคัญเพื่อผลประโยชน์อันรวดเร็วชั่วคราวบางประการเทวดาแห่งโลกวัตถุพร้อมทั้งเหล่าสาวกของตนจะถูกทำลายไปพร้อมกับโลกวัตถุนี้ ผลประโยชน์ที่เทวดาให้จะเป็นวัตถุและไม่ถาวร ทั้งโลกวัตถุและผู้อยู่อาศัยทั้งหมดรวมทั้งเทวดาและผู้บูชาเทวดาทั้งหลายเปรียบเสมือนฟองน้ำในมหาสมุทรแห่งจักรวาล อย่างไรก็ดี ในโลกสังคมมนุษย์คลั่งใคล้ในสิ่งที่ไม่ถาวร เช่น ความมั่งคั่งทางวัตถุด้วยการเป็นเจ้าของที่ดิน ครอบครัว และส่วนประกอบต่าง ๆ ที่อำนวยความสุข เพื่อจะได้รับสิ่งของชั่วคราวเหล่านี้ มนุษย์บูชาเทวดาหรือบูชามนุษย์ผู้มีอำนาจในสังคมมนุษย์ด้วยกัน หากใครได้ตำแหน่งในรัฐบาลด้วยการบูชาผู้นำนักการเมือง เขาคิดว่าได้รับผลตอบแทนอย่างใหญ่หลวง ดังนั้น พวกเขาจึงก้มลงกราบพวกผู้นำเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ชั่วคราว และได้รับผลประโยชน์เช่นนั้นจริง ๆ บุคคลผู้ด้อยปัญญาเช่นนี้ไม่สนใจในคริชณะจิตสำนึกเพื่อแก้ปัญหาอย่างถาวรกับการที่ต้องลำบากอยู่ในโลกวัตถุ พวกเขาเสาะแสวงหาความสุขทางประสาทสัมผัส และได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงเล็กน้อยเพื่อความสุขทางประสาทสัมผัส จึงหลงใหลไปในการบูชาสิ่งมีชีวิตผู้มีอำนาจหรือเทวดา โศลกนี้แสดงให้เห็นว่ามีอยู่น้อยคนนักที่จะสนใจในคริชณะจิตสำนึก เพระส่วนใหญ่แล้วจะสนใจอยู่กับความสุขทางวัตถุ ดังนั้น จึงบูชาสิ่งมีชีวิตผู้มีอำนาจ
ชาทุร-วารณยัม มะยา สริชทัม
กุณะ-คารมะ-วิบฺากะชะฮฺ
ทัสยะ ดารทารัม อพิ มาม
วิดดฺิ อคารทารัม อัพยะยัมฺ
ชาทฺุ - วารณยัมฺ - การแบ่งสังคมมนุษย์ออกเป็นสี่ส่วน, มะยาฺ - โดยข้า, สริชทัมฺ - ได้สร้าง, กุณะฺ - คุณสมบัติ, คารมะฺ - และงาน, วิบฺากะชะฮฺ - ในการแบ่งส่วน, ทัสยะฺ - ในนั้น, ดาร- ทารัมฺ - พระบิดา, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, มามฺ - ข้า, วิดดฺิฺ - เธออาจทราบ, อคารทารัมฺ - มิใช่ผู้ทำ, อัพยะยัมฺ - ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
คำแปลฺ
ตามสามระดับของธรรมชาติวัตถุและงานที่สัมพันธ์กับระดับต่าง ๆ นั้น ข้าเป็นผู้สร้างสี่ส่วนของสังคมมนุษย์ ถึงแม้ว่าข้าเป็นผู้สร้างระบบนี้ เธอควรรู้ว่าข้ามิใช่ผู้กระทำและข้าไม่เปลี่ยนแปลง
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างกำเนิดมาจากพระองค์พระองค์ทรงค้ำจุนทุกสิ่งทุกอย่าง และหลังจากการทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างจะพำนักอยู่ในพระองค์ ฉะนั้น องค์ภควานทรงเป็นผู้สร้างสี่ส่วนของสังคมมนุษย์ เริ่มจากระดับมนุษย์ผู้มีปัญญาเรียกทางเทคนิคว่าพราหมณ์หรือ บราฮมะณะฺ เนื่องจากสถิตในระดับแห่งความดี ถัดไปเป็นระดับบริหารเรียกทางเทคนิคว่ากษัตริย์หรือ คชัทริยะฺ เนื่องจากสถิตในระดับแห่งตัณหา พ่อค้าวาณิชหรือ ไวชยะฺ สถิตในระดับผสมผสานระหว่างตัณหาและอวิชชา และ ชูดระฺ หรือระดับใช้แรงงาน สถิตในระดับอวิชชาของธรรมชาติวัตถุ ถึงแม้ว่าองค์ชรีคริชณะทรงเป็นผู้สร้างสี่ส่วนของสังคมมนุษย์แต่พระองค์ทรงมิได้อยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่ง เนื่องจากพระองค์ทรงมิได้เป็นพันธวิญญาณที่อยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ สังคมมนุษย์นั้นคล้ายกับสังคมสัตว์ทั่วไป แต่เพื่อยกระดับสภาพความเป็นสัตว์ พระองค์จึงทรงสร้างการแบ่งส่วนเพื่อพัฒนาคริชณะจิตสำนึกอย่างเป็นระบบ นิสัยชอบหรือถนัดในเรื่องการทำงานขึ้นอยู่กับระดับของธรรมชาติวัตถุที่ตนได้รับลักษณะอาการของชีวิตตามระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุจะอธิบายในบทที่สิบแปดของหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ดี บุคคลในคริชณะจิตสำนึกอยู่เหนือแม้แต่พราหมณ์ แม้โดยคุณสมบัติพราหมณ์ควรทราบเกี่ยวกับ บระฮมันฺ หรือสัจธรรมสูงสุด แต่ส่วนใหญ่พวกพราหมณ์จะเข้าหา บระฮมันฺ อันไร้รูปลักษณ์ขององค์คริชณะเท่านั้น แต่ผู้ที่ข้ามพ้นขีดจำกัดแห่งความรู้ของพราหมณ์ และบรรลุถึงความรู้แห่งบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า องค์ชรีคริชณะ จะมาเป็นบุคคลในคริชณะจิตสำนึกหรือไวชณะวะ คริชณะจิตสำนึกจะรวมถึงความรู้แห่งองค์อวตารทั้งหลายของคริชณะ เช่น พระราม นริสิมฮะ วะราฮะ ฯลฯในฐานะที่คริชณะทรงเป็นทิพย์อยู่เหนือระบบสี่ส่วนแห่งสังคมมนุษย์นี้ บุคคลในคริชณะจิตสำนึกก็อยู่เหนือการแบ่งส่วนทั้งหลายในสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งส่วนในระดับกลุ่มชน ระดับชาติ หรือระดับเผ่าพันธุ์
นะ มาม คารมาณิ ลิมพันทิฺ
นะ เม คารมะ-พฺะเล สพริฮาฺ
อิทิ มาม โย บฺิจานาทิ
คารมะบฺีร นะ สะ บัดฺยะเทฺ
นะฺ - ไม่เคย, มามฺ - ข้า, คารมาณิฺ - งานทุกชนิด, ลิมพันทิฺ - มีผล, นะฺ - ไม่, เมฺ - ของข้า, คารมะ-พฺะเลฺ - ในการกระทำเพื่อผลทางวัตถุ, สพริฮาฺ - ปรารถนา, อิทิฺ - ดังนั้น, มามฺ - ข้า, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, อบฺิจานาทิฺ - ทราบ, คารมะบฺีฮฺ - ด้วยผลแห่งกรรมนี้, นะฺ - ไม่เคย, สะฮฺ - เขา, บัดฺยะเทฺ - ถูกพันธนาการ
คำแปลฺ
ไม่มีงานใดที่มีผลกระทบต่อข้า หรือว่าข้าปรารถนาผลแห่งการกระทำใด ๆ ผู้ที่เข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับตัวข้าเช่นนี้ จะไม่ถูกพันธนาการอยู่ในผลกรรมทางวัตถุ
คำอธิบายฺ
ดังเช่นมีกฎหมายธรรมนูญในโลกวัตถุกล่าวว่ากษัตริย์ทรงไม่ทำผิด หรือว่ากษัตริย์ทรงอยู่เหนือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในลักษณะเดียวกัน ถึงแม้ว่าองค์ภควานทรงเป็นผู้สร้างโลกวัตถุนี้ แต่พระองค์ทรงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากกิจกรรมในโลกวัตถุนี้เลย พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างและทรงอยู่นอกเหนือจากการสร้าง ในขณะที่สิ่งมีชีวิตถูกพันธนาการอยู่กับผลตอบแทนของกิจกรรมทางวัตถุเพราะมีนิสัยชอบเป็นเจ้าครองทรัพยากรวัตถุ เปรียบเทียบได้กับเจ้าของกิจการที่ไม่รับผิดชอบต่อกิจกรรมของคนงานไม่ว่าจะถูกหรือผิด แต่ตัวคนงานเองเป็นผู้รับผิดชอบ สิ่งมีชีวิตปฏิบัติในแต่ละกิจกรรมเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตน กิจกรรมเหล่านี้องค์ภควานทรงมิได้เป็นผู้บัญญัติ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในการสนองประสาทสัมผัสสิ่งมีชีวิตจึงปฏิบัติงานในโลกนี้ และใฝ่ฝันที่จะได้รับความสุขบนสวรรค์หลังจากตายไป องค์ภควานทรงเป็นผู้มีความเต็มเปี่ยมอยู่ในพระองค์เอง ไม่ทรงหลงใหลอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าความสุขบนสวรรค์เทวดาบนสรวงสวรรค์ทรงเป็นเพียงผู้ปฏิบัติรับใช้ของพระองค์ เจ้าของกิจการไม่เคยปรารถนาความสุขชั้นต่ำเหมือนเช่นพวกคนงานปรารถนา พระองค์ทรงปลีกตัวให้ห่างจากกิจกรรมและผลกรรมทางวัตถุ ตัวอย่างเช่น ฝนไม่ต้องรับผิดชอบต่อพืชพันธุ์ต่าง ๆที่ปรากฏบนโลก ถึงแม้ว่าหากไม่มีฝนพืชพันธุ์ต่าง ๆ ก็ไม่สามารถเจริญเติบโตขึ้นมาได้พระเวท สมริทิฺ ได้ยืนยันความจริงนี้ ดังต่อไปนี้
นิมิททะ-มาทรัม เอวาโส
สริจยานาม สารกะ-คารมะณิฺ
พระดฺานะ-คาระณี-บํูทา
ยะโท ไว สริจยะ-ชัคทะยะฮฺ
“ในการสร้างวัตถุ องค์ภควานทรงเป็นเพียงแหล่งกำเนิดสูงสุด แหล่งกำเนิดโดยตรงคือธรรมชาติวัตถุซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์แห่งจักรวาล” สิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นมามีมากมายเช่น เทวดา มนุษย์ และสัตว์ที่ต่ำกว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลกรรมในอดีตไม่ว่าดีหรือชั่วองค์ภควานทรงเพียงแต่ให้สิ่งอำนวยความสะดวกอันเหมาะสมสำหรับกิจกรรมเหล่านี้ และทรงให้กฎข้อบังคับตามระดับของธรรมชาติ แต่พระองค์ทรงไม่รับผิดชอบต่อกิจกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบันของพวกเขา ใน เวดานธะ-สูทระฺ (2.1.34) ได้ยืนยันไว้ว่า ไวชัมยะ-ไนรกฺริณเย นะ สาเพคชัทวาทฺ องค์ภควานทรงไม่เคยลำเอียงต่อสิ่งมีชีวิตใด ๆสิ่งมีชีวิตรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง พระองค์ทรงเพียงแต่ให้สิ่งอำนวยความสะดวกโดยผ่านผู้แทนทางธรรมชาติวัตถุหรือพลังงานเบื้องต่ำ ผู้ใดที่รอบรู้ความละเอียดอ่อนทั้งหลายของกฎแห่งกรรม หรือกิจกรรมเพื่อหวังผลนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากผลกรรม หรืออีกนัยหนึ่ง บุคคลผู้เข้าใจธรรมชาติทิพย์ขององค์ภควานเป็นผู้มีความชำนาญในคริชณะจิตสำนึก ดังนั้น เขาไม่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม ผู้ที่ไม่ทราบธรรมชาติทิพย์ของพระองค์ และคิดว่ากิจกรรมขององค์ภควานทรงมุ่งไปที่ผลทางวัตถุเหมือนดังเช่นกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไป แน่นอนว่าเขาจะถูกพันธนาการอยู่ในผลกรรมทางวัตถุ แต่ผู้ที่รู้สัจธรรมสูงสุดเป็นดวงวิญญาณที่หลุดพ้นและมั่นคงอยู่ในคริชณะจิตสำนึก
เอวัม กยาทวา คริทัม คารมะ
พูรไวร อพิ มุมุคชุบฺิฮฺ
คุรุ คารไมวะ ทัสมาท ทวัม
พูรไวฮ พูรวะทะรัม คริทัมฺ
เอวัมฺ - ดังนั้น, กยาทวาฺ - ทราบดี, คริทัมฺ - ปฏิบัติ, คารมะฺ - งาน, พูรไวฮฺ - โดยผู้ที่เชื่อถือได้ในอดีต, อพิฺ - ที่จริง, มุมุคชุบฺิฮฺ - ผู้บรรลุความหลุดพ้น, คุรฺุ - เพียงปฏิบัติ, คารมะฺ - งานที่กำหนดไว้, เอวะฺ - แน่นอน, ทัสมาทฺ - ดังนั้น, ทวัมฺ - เธอ, พูรไวฮฺ - โดยบรรพบุรุษ, พูรวะ- ทะรัมฺ - ในโบราณกาล, คริทัมฺ - ได้ปฎิบัติ
คำแปลฺ
ดวงวิญญาณผู้หลุดพ้นทั้งหลายในอดีตกาลปฏิบัติด้วยความเข้าใจในธรรมชาติทิพย์ของข้า ดังนั้น เธอควรปฏิบัติหน้าที่ของเธอ เจริญตามรอยพระบาทบรรพบุรุษ
คำอธิบายฺ
มีมนุษย์อยู่สองประเภท บางคนเต็มไปด้วยมลพิษทางวัตถุปกคลุมอยู่ในหัวใจและบางคนมีเสรีทางวัตถุ คริชณะจิตสำนึกจะมีคุณประโยชน์เท่ากันต่อบุคคลทั้งสองประเภทนี้ ผู้ที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกสามารถเข้ามาในสายของคริชณะจิตสำนึกเพื่อเข้าขบวนการชะล้างทีละน้อย โดยการปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ผู้ที่มีความสะอาดจากมลทินต่าง ๆ แล้วอาจปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกันในคริชณะจิตสำนึก เพื่อผู้อื่นอาจปฏิบัติกิจกรรมตามเป็นตัวอย่างและได้รับประโยชน์ คนโง่หรือนวกะในคริชณะจิตสำนึกชอบเกษียณตัวเองจากกิจกรรมต่าง ๆ โดยยังไม่มีความรู้ในคริชณะจิตสำนึก อารจุนะทรงปรารถนาที่จะเกษียณจากกิจกรรมในสมรภูมิ แต่องค์ภควานทรงไม่อนุมัติ เราควรรู้ว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไร สำหรับการเกษียณจากกิจกรรมในคริชณะจิตสำนึก และไปนั่งอยู่ห่าง ๆ แสดงท่าว่าตนเองมีคริชณะจิตสำนึก เช่นนี้ไม่สำคัญเท่ากับการปฏิบัติจริงในสนามกิจกรรมเพื่อคริชณะ ณ ที่นี้อารจุนะทรงได้รับการแนะนำให้ปฏิบัติตนในคริชณะจิตสำนึกตามรอยพระบาทสาวกของคริชณะ ในอดีต เช่น สุริยเทพองค์วิวัสวาน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า องค์ภควานทรงทราบกิจกรรมทั้งหลายในอดีตของพระองค์ รวมทั้งบุคคลต่าง ๆ ผู้ปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกในอดีต ดังนั้น พระองค์ทรงแนะนำการปฏิบัติของสุริยเทพผู้ทรงเรียนศิลปะนี้จากพระองค์เมื่อหลายล้านปีก่อน นักศึกษาเช่นนี้ของคริชณะได้ถูกกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า ทรงเป็นผู้หลุดพ้นและปฏิบัติตนตามหน้าที่ที่คริชณะทรงกำหนดให้
คิม คารมะ คิม อคารเมทิ
คะวะโย พิ อัทระ โมฮิทาฮฺ
ทัท เท คารมะ พระวัคชยามิ
ยัจ กยาทวา โมคชยะเส ชุบฺาทฺ
คิมฺ - คืออะไร, คารมะฺ - การกระทำ, คิมฺ - คืออะไร, อคารมะฺ - การไม่ทำอะไร, อิทิฺ - ดังนั้น, คะวะยะฮฺ - ผู้มีปัญญา, อพิฺ - เช่นกัน, อัทระฺ - ในเรื่องนี้, โมฮิทาฮฺ - สับสน, ทัทฺ - นั้น, เทฺ - แก่เธอ, คารมะฺ - งาน, พระวัคชยามิฺ - ข้าจะอธิบาย, ยัทฺ - ซึ่ง, กยาทวาฺ - รู้, โมคชยะเสฺ - เธอจะหลุดพ้น, อชุบฺาทฺ - จากโชคร้าย
คำแปลฺ
แม้แต่ผู้มีปัญญายังสับสนในการพิจารณาว่า อะไรคือการกระทำ และอะไรคือการไม่กระทำ บัดนี้ ข้าจะอธิบายแก่เธอว่ากรรมหรือการกระทำคืออะไร เมื่อรู้แล้วเธอจะหลุดพ้นจากโชคร้ายทั้งปวง
คำอธิบายฺ
งานในคริชณะจิตสำนึกต้องปฏิบัติตามตัวอย่างจากสาวกที่แท้จริงในอดีต ซึ่งได้แนะนำไว้แล้วในโศลกที่สิบห้า เหตุใดงานนี้ไม่ควรปล่อยให้เป็นอิสระเสรีจะได้อธิบายในโศลกต่อไป
การปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึก เราต้องปฏิบัติตามการนำทางของบุคคลผู้เชื่อถือได้ที่อยู่ในสาย พะรัมพะราฺ ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วในตอนต้นของบทนี้ ระบบคริชณะจิตสำนึกครั้งแรกได้บรรยายให้สุริยเทพ และสุริยเทพทรงอธิบายให้พระโอรสมะนุมะนุทรงอธิบายให้พระโอรสอิคชวาคุ และจากโบราณกาลระบบนี้ได้อยู่บนโลกมาจนถึงปัจจุบันนี้ ฉะนั้น เราต้องปฏิบัติตามรอยพระบาทของบุคคลผู้เชื่อถือได้ในสาย พะรัม- พะราฺ มิฉะนั้น แม้แต่บุคคลผู้มีสติปัญญาสูงสุดจะสับสนเกี่ยวกับมาตรฐานการปฏิบัติใน คริชณะจิตสำนึก ด้วยเหตุนี้องค์ภควานทรงตัดสินพระทัยสอนคริชณะจิตสำนึกแก่อารจุนะโดยตรง จากการตรัสสอนแก่อารจุนะโดยตรงเช่นนี้ หากผู้ใดปฏิบัติตามรอยพระบาทของอารจุนะแน่นอนว่าจะไม่สับสน
ได้กล่าวไว้ว่า เพียงความรู้จากการทดลองที่ไม่สมบูรณ์เราไม่สามารถค้นคว้าหาวิธีทางศาสนาได้ อันที่จริง องค์ภควานเท่านั้นที่ทรงสามารถวางหลักแห่งศาสนาได้ ดฺารมัม ทุ สาคชาด บฺะกะวัท-พระณีทัมฺ (บฺากะวะธัมฺ 6.3.19) ไม่มีผู้ใดสามารถสร้างหลักศาสนาจากการคาดคะเนที่ไม่สมบูรณ์ได้ เราต้องปฏิบัติตามรอยพระบาทของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่เชื่อถือได้ เช่น พระพรหม, พระศิวะ, นาระดะ, มะนุ, สี่กุมาร, คะ-พิละ, พระฮลาดะ, บฺีชมะ, ชุคะเดวะ โกสวามี, ยมราช, จะนะคะ, และบะลิ มะฮาราจะจากการคาดคะเนทางจิตเราไม่สามารถค้นคว้าว่าศาสนาหรือการรู้แจ้งแห่งตนนั้นคืออะไร ดังนั้น ด้วยพระเมตตาแก่สาวก องค์ภควานทรงอธิบายโดยตรงแก่อารจุนะว่าอะไรคือการปฏิบัติ และอะไรคือการไม่ปฏิบัติ การปฏิบัติตนในคริชณะจิตสำนึกเท่านั้นที่สามารถนำพาเราให้ออกจากพันธนาการแห่งชีวิตทางวัตถุ
คารมะโณ ฮิ อพิ โบดดฺัพยัม
โบดดฺัพยัม ชะ วิคารมะณะฮฺ
อคารมะนัช ชะ โบดดฺัพยัม
กะฮะนา คารมะโน กะทิฮฺ
คารมะณะฮฺ - ของงาน, ฮิฺ - แน่นอน, อพิฺ - เช่นกัน, โบดดฺัพยัมฺ - ควรเข้าใจ, โบดดฺัพยัมฺ - ควรเข้าใจ, ชะฺ - เช่นกัน, วิคารมะณะฮฺ - ของงานต้องห้าม, อคารมะณะฮฺ - ของการไม่ทำ, ชะฺ - เช่นกัน, โบดดฺัพยัมฺ - ควรเข้าใจ, กะฮะนาฺ - ยากมาก, คารมะณะฮฺ - ของงาน, กะทิฮฺ - เข้า
คำแปลฺ
ความละเอียดอ่อนของการปฏิบัติเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากมาก ดังนั้น เราควรรู้อย่างถูกต้องว่ากรรมคืออะไร วิกรรมคืออะไร และอกรรมคืออะไร
คำอธิบายฺ
หากเรามีความจริงจังเกี่ยวกับความหลุดพ้นจากพันธนาการทางวัตถุ เราต้องเข้าใจข้อแตกต่างระหว่าง การกระทำ การไม่กระทำ และสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำ เราต้องใช้สติปัญญาของเราเองในการวิเคราะห์เรื่อง กรรม ผลแห่งกรรม และกรรมที่ต้องห้าม เพราะว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจยากมาก ในการเข้าใจคริชณะจิตสำนึกและการปฏิบัติตามระดับของตัวเอง เราต้องเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับองค์ภควานตัวอย่างเช่นผู้ที่ได้ฝึกฝนเล่าเรียนจนรอบรู้ ทราบดีว่าทุก ๆ ชีวิตคือผู้รับใช้นิรันดรของพระองค์ และผลที่ตามมาคือเราต้องปฏิบัติตนในคริชณะจิตสำนึก ตลอดเล่ม ภควัต- คีตาฺ จะนำเรามาถึงจุดสรุปนี้ จุดสรุปใด ๆ ที่ขัดต่อจิตสำนึกนี้และมีการปฏิบัติที่ตามมาเรียกว่า วิคารมะฺ หรือการปฏิบัติที่ต้องห้าม เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างถ่องแท้เราต้องคบหาสมาคมกับบุคคลผู้เชื่อถือได้ในคริชณะจิตสำนึก และศึกษาความลับจากท่านเหล่านี้ การกระทำเช่นนี้ ดีเท่า ๆ กับการเรียนจากองค์ภควานโดยตรง มิฉะนั้นแม้บุคคลผู้มีปัญญาสูงสุดก็จะยังสับสน
คารมะณิ อคารมะ ยะฮ พัชเยด
อคารมะณิ ชะ คารมะ ยะฮฺ
สะ บุดดฺิมาน มะนุชเยชุ
สะ ยุคทะฮ คริทสนะ-คารมะ-คริทฺ
คารมะณิฺ - ในกรรม, อคารมะ-อกรรม, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, พัชเยทฺ - สังเกต, อคารมะณิฺ - ในอกรรม, ชะฺ - เช่นกัน, คารมะฺ - การกระทำเพื่อหวังผลทางวัตถุ, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, สะฮฺ - เขา, บุดดฺิ-มานฺ - มีปัญญา, มะนุชเยชฺุ - ในสังคมมนุษย์, สะฮฺ - เขา, ยุคทะฮฺ - อยู่ในสถานภาพทิพย์, คริทสนะฺ - คารมะ-คริทฺ - แม้ปฏิบัติอยู่ในกิจกรรมทั้งหลาย
คำแปลฺ
ผู้ที่เห็นอกรรมในกรรม และกรรมในอกรรม เป็นผู้มีปัญญาในหมู่มนุษย์ และอยู่ในสถานภาพทิพย์แม้จะปฏิบัติอยู่ในกิจกรรมทั้งหลาย
คำอธิบายฺ
บุคคลผู้ปฏิบัติอยู่ในคริชณะจิตสำนึก โดยธรรมชาติจะหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งกรรม กิจกรรมของเขาทั้งหมดปฏิบัติไปเพื่อคริชณะ ดังนั้น จะไม่ได้รับความสุขหรือความทุกข์จากผลของงาน จึงเป็นผู้มีปัญญาในสังคมมนุษย์แม้ขณะปฏิบัติกิจกรรมอยู่มากมายเพื่อคริชณะ อกรรมหมายถึงไม่มีผลกรรมจากการทำงาน มายา วาดีฺ หยุดกิจกรรมเพื่อหวังผลทางวัตถุ อันเนื่องมาจากความกลัวและเพื่อผลกรรมจะไม่มากีดขวางทางเพื่อความรู้แจ้งตนเอง แต่ บฺัคธะฺ จะทราบดีถึงสถานภาพของตนเองว่าเป็นผู้รับใช้นิรันดรของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ฉะนั้น จึงปฏิบัติอยู่ในกิจกรรมของคริชณะจิตสำนึก เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างกระทำไปเพื่อคริชณะเขาจึงได้รับรสแห่งความสุขทิพย์อยู่กับการปฏิบัติรับใช้เช่นนี้เท่านั้น ผู้ที่ปฏิบัติอยู่ในขบวนการนี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีความปรารถนาเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตนเอง ความรู้สึกที่ว่าตนเองเป็นผู้รับใช้นิรันดรของคริชณะทำให้เขาปลอดภัยจากผลกรรมทั้งปวง
ยัสยะ สารเว สะมารัมบฺาฮ
คามะ-สังคัลพะ-วารจิทาฮฺ
กยานากนิ-ดักดฺะ-คารมาณัม
ทัม อาฮุฮ พัณดิทัม บุดฺาฮฺ
ยัสยะ-ผู้ซึ่ง, สารเว-ทั้งหมด, สะมารัมบฺาฮฺ - พยายาม, คามะฺ - บนฐานแห่งความปรารถนาเพื่อสนองประสาทสัมผัส, สังคัลพะฺ - ตั้งใจแน่วแน่, วารจิทาฮฺ - ปราศจาก, กยานะฺ - ความรู้อันสมบูรณ์, อักนิฺ - โดยไฟ, ดักดฺะฺ - เผาไหม้, คารมาณัมฺ - งานของเขา, ทัมฺ - เขา, อาฮุฮฺ - ประกาศ, พัณดิทัมฺ - บัณฑิต, บุดฺาฮฺ - หมู่ผู้รู้
คำแปลฺ
ผู้ที่มีความรู้ถ่องแท้ ผู้ที่ความพยายามทั้งหมดปราศจากความปรารถนาเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตนเอง เหล่านักปราชญ์กล่าวไว้ว่าเป็นผู้ทำงานที่ผลกรรมได้ถูกเผาไหม้ไปจนหมดด้วยไฟแห่งความรู้อันสมบูรณ์
คำอธิบายฺ
บุคคลผู้มีความรู้ถ่องแท้เท่านั้นที่สามารถเข้าใจกิจกรรมของบุคคลในคริชณะจิตสำนึก เพราะว่าบุคคลในคริชณะจิตสำนึกปราศจากนิสัยที่ชอบสนองประสาทสัมผัสของตนเองทุกชนิด เป็นที่เข้าใจว่าเขาได้เผาไหม้ผลกรรมจากการทำงานด้วยความรู้อันสมบูรณ์และรู้ซึ้งถึงสถานภาพพื้นฐานของตนว่าเป็นผู้รับใช้นิรันดรของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ผู้ที่มีความรู้อย่างถ่องแท้จึงจะสามารถบรรลุถึงความรู้อันสมบูรณ์เช่นนี้การพัฒนาความรู้แห่งการเป็นผู้รับใช้นิรันดรขององค์ภควานเปรียบเสมือนไฟ และไฟนี้เมื่อถูกจุดขึ้นมาแล้วจะสามารถเผาผลาญผลกรรมทั้งปวงได้
ทยัคทวา คารมะ-พฺะลาสังกัม
นิทยะ-ทริพโท นิราชระยะฮฺ
คารมะณิ อบฺิพระวริทโท พิ
ไนวะ คินชิท คะโรทิ สะฮฺ
ทยัคทวาฺ - ได้ยกเลิก, คารมะ-พฺะละ-อสังกัมฺ - การยึดติดต่อผลทางวัตถุ, นิทยะฺ - เสมอ, ทริพทะฮฺ - มีความพึงพอใจ, นิราชระยะฮฺ - ไม่มีที่พึ่ง, คารมะณิฺ - ในกิจกรรม, อบฺิพระ- วริททะฮฺ - ปฏิบัติอย่างเต็มที่, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, นะฺ - ไม่, เอวะฺ - แน่นอน, คินชิทฺ - ทุกสิ่ง, คะโรทิฺ - ทำ, สะฮฺ - เขา
คำแปลฺ
ปล่อยวางการยึดติดต่อผลของกิจกรรมทั้งปวง มีความพึงพอใจและมีอิสระเสรีอยู่เสมอ เขาไม่กระทำสิ่งใด ๆ เพื่อผลทางวัตถุ ถึงแม้จะปฏิบัติงานนานัปการ
คำอธิบายฺ
ความหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งกรรมเป็นไปได้ในคริชณะจิตสำนึกเท่านั้นเมื่อเราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคริชณะ บุคคลผู้มีคริชณะจิตสำนึกจะปฏิบัติตนด้วยความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ดังนั้น เขาไม่มีความเสน่หาต่อผลของการกระทำ และไม่ยึดติดแม้แต่การดำรงชีวิตส่วนตัวของเขาเอง เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับคริชณะเสมอ เขาจึงไม่กระตือรือร้นที่จะสะสมสิ่งของหรือปกป้องสิ่งที่มีอยู่ แต่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดตามความสามารถของตนเอง นอกจากนั้นจะปล่อยให้ขึ้นอยู่กับคริชณะ ผู้ที่ไม่ยึดติดเช่นนี้มีความหลุดพ้นจากผลกรรมไม่ว่าดีหรือชั่ว ประหนึ่งว่าตัวเขามิได้ทำอะไรเลย นี่คือเครื่องหมายของอกรรม หรือการกระทำที่ปราศจากผลกรรมทางวัตถุ ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่ปราศจากคริชณะจิตสำนึกจะพันธนาการผู้กระทำ และนี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า วิคารมะฺ หรือวิกรรม ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว
นิราชีร ยะทะ-ชิททาทมา
ทยัคทะ-สารวะ-พะริกระฮะฮฺ
ชารีรัม เควะลัม คารมะ
คุรวัน นาพโนทิ คิลบิชัมฺ
นิราชีฮฺ - ไม่ปรารถนาผล, ยะทะฺ - ควบคุม, ชิททะ-อาทมาฺ - จิตใจและปัญญา, ทยัคทะฺ - ยกเลิก, สารวะฺ - ทั้งหมด, พะริกระฮะฮฺ - ความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ, ชารีรัมฺ - ในการรักษาร่างกายและวิญญาณให้อยู่ด้วยกัน, เควะลัมฺ - เท่านั้น, คารมะฺ - งาน, คุรวันฺ - ทำ, นะฺ - ไม่เคย, อาพโนทิฺ - ได้รับ, คิลบิชัมฺ - ผลบาป
คำแปลฺ
ผู้ที่มีความเข้าใจเช่นนี้ จะทำงานด้วยจิตใจและปัญญาที่ควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ยกเลิกความรู้สึกที่ว่าเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ ทั้งมวล และทำงานเท่าที่จำเป็นจริง ๆเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น ด้วยการทำงานเช่นนี้เขาจะไม่ได้รับผลบาป
คำอธิบายฺ
บุคคลผู้มีคริชณะจิตสำนึกไม่คาดหวังผลดีหรือผลชั่วในกิจกรรมของตนเองจิตใจและปัญญาอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์ ตระหนักดีว่าส่วนที่เขากระทำเป็นเพียงเศษย่อย ๆ ของส่วนทั้งหมด เนื่องจากเป็นละอองอณูขององค์ภควาน มันจึงไม่ใช่กิจกรรมของเขาเองแต่ถูกกระทำผ่านตัวเขาโดยพระองค์ เมื่อมือเคลื่อนไหวมันไม่ได้เคลื่อนด้วยตัวมันเอง แต่ด้วยความพยายามของทั่วทั้งเรือนร่าง ผู้มีคริชณะจิตสำนึกจะประสานตนเองกับความปรารถนาของพระองค์เสมอ เพราะไม่มีความปรารถนาเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตนเอง เขาเคลื่อนไหวไปเหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์เฉกเช่นส่วนของเครื่องยนต์จำเป็นต้องมีการหล่อลื่นและทำความสะอาดเพื่อให้ดำรงอยู่ได้ บุคคลในคริชณะจิตสำนึกก็เช่นเดียวกัน จะดำรงรักษาตนเองไว้ด้วยการทำงานเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีไว้คอยทำงานรับใช้ด้วยความรักทิพย์ต่อพระองค์ ฉะนั้น จึงปลอดภัยจากผลกรรมทั้งมวลในความพยายามของตน เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้เป็นเจ้าของแม้แต่ร่างกายของตัวมันเอง เจ้าของสัตว์ผู้โหดร้ายบางครั้งฆ่าสัตว์เลี้ยงของตนเอง ถึงกระนั้น มันก็ไม่เคยต่อต้านหรือว่ามีเสรีภาพอย่างแท้จริง บุคคลในคริชณะจิตสำนึกปฏิบัติตนอย่างสมบูรณ์เพื่อความรู้แจ้งแห่งตน จึงมีเวลาน้อยมากที่จะมาคิดอย่างผิด ๆว่าตนเองเป็นเจ้าของวัตถุใด ๆ ในการดำรงรักษาให้ร่างกายและดวงวิญญาณให้อยู่ด้วยกัน เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ไม่เป็นธรรมเพื่อสะสมเงินทอง ดังนั้น จึงไม่มีมลทินอันเนื่องมาจากความบาปทางวัตถุนี้ เขาเป็นอิสระจากผลกรรมทั้งปวงอันเนื่องมาจากการปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึก
ยัดริชชฺา-ลาบฺะ-สันทุชโท
ดวันดวาทีโท วิมาทสะระฮฺ
สะมะฮ สิดดฺาพ อสิดโดฺ ชะ
คริทวาพิ นะ นิบัดฺยะเทฺ
ยะดริชชฺาฺ - จากครรลองของตัวมันเอง, ลาบฺะฺ - กับผลกำไร, สันทุชทะฮฺ - พึงพอใจ, ดวัน ดวะฺ - สิ่งคู่, อทีทะฮฺ - ข้ามพ้น, วิมัทสะระฮฺ - ปราศจากความอิจฉาริษยา, สะมะฮฺ - มั่นคง, สิดโดฺฺ - ในความสำเร็จ, อสิดโดฺฺ - ความล้มเหลว, ชะฺ - เช่นกัน. คริทวาฺ - ทำ, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, นะฺ - ไม่เคย, นิบัดฺยะเทฺ - มีผลกระทบ
คำแปลฺ
ผู้มีความพึงพอใจกับผลกำไรที่ได้มาตามครรลองของตัวมันเอง ผู้เป็นอิสระจากสิ่งคู่และไม่อิจฉาริษยา ผู้มีความมั่นคงทั้งในความสำเร็จและล้มเหลว ถึงแม้ปฏิบัติงานแต่จะไม่มีวันถูกพันธนาการ
คำอธิบายฺ
บุคคลในคริชณะจิตสำนึกจะไม่พยายามมากแม้ในการดำรงรักษาร่างกายพึงพอใจกับผลกำไรที่ได้รับตามครรลองของตัวมันเอง เขาไม่ขอหรือว่าขอยืม แต่จะทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตามกำลังความสามารถของตน และมีความพึงพอใจกับสิ่งที่ตนได้รับจากการทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ฉะนั้น จึงเป็นอิสระในการหาเลี้ยงชีพ เขาไม่ปล่อยให้สิ่งใดมากีดขวางการรับใช้ในคริชณะจิตสำนึก อย่างไรก็ดี สำหรับการรับใช้องค์ภควานเขาสามารถร่วมขบวนด้วยไม่ว่างานใด ๆ โดยไม่ให้สิ่งคู่ในโลกวัตถุมารบกวน สิ่งคู่ในโลกวัตถุรู้สึกได้เช่น ความร้อนและความเย็น ความทุกข์และความสุข บุคคลในคริชณะจิตสำนึกอยู่เหนือสิ่งคู่ เพราะไม่เคยลังเลที่จะปฏิบัติสิ่งใดก็ได้เพื่อความพึงพอพระทัยขององค์ชรีคริชณะ ฉะนั้น เขาจึงมีความมั่นคงทั้งในความสำเร็จและล้มเหลว ลักษณะเหล่านี้ปรากฏให้เห็นเมื่อเรามีความรู้ทิพย์อย่างถ่องแท้
กะทะ-สังกัสยะ มุคทัสยะ
กยานาวัสทฺิทะ-เชทะสะฮฺ
ยะกยายาชะระทะฮ คารมะ
สะมะกรัม พระวิลียะเทฺ
กะทะ-สังกัสยะฺ - ของผู้ที่ไม่ยึดติดกับสามระดับของธรรมชาติวัตถุ, มุคทัสยะฺ - ของผู้หลุดพ้น, กยานะ-อวัสทฺิทะฺ - สถิตในความเป็นทิพย์, เชทะสะฮฺ - ปัญญาของเขา, ยะกยายะฺ - เพื่อ ยะกยะฺ (คริชณะ), อาชะระทะฮฺ - กระทำ, คารมะฺ - งาน, สะมะกรัมฺ - รวมทั้งหมด, พระวิลียะเทฺ - กลืนไปทั้งหมด
คำแปลฺ
งานของผู้ที่ไม่ยึดติดอยู่กับสามระดับของธรรมชาติวัตถุ และเป็นผู้สถิตในความรู้ทิพย์อย่างสมบูรณ์ ทั้งหมดจะรวมเข้าไปในความเป็นทิพย์
คำอธิบายฺ
การอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ทำให้เป็นอิสระจากสิ่งคู่ทั้งมวล ดังนั้น จึงเป็อิสระจากมลทินของระดับต่าง ๆ ทางวัตถุและสามารถหลุดพ้นได้ เพราะว่าเขาทราบถึงสถานภาพพื้นฐานของตนในความสัมพันธ์กับคริชณะ ดังนั้น จิตใจของเขาจึงไม่หันเหไปจากคริชณะจิตสำนึก หลังจากนั้นไม่ว่าสิ่งใดที่ทำเขาจะทำเพื่อคริชณะผู้ทรงเป็นพระวิชณองค์แรก ฉะนั้น งานทั้งหมดโดยเทคนิคแล้วจะเป็นการบูชา เพราะว่าการบูชามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้องค์ภควาน วิชณุ หรือ คริชณะทรงพอพระทัย ผลกรรมทั้งหมดจากการทำงานเช่นนี้แน่นอนว่าจะรวมเข้าไปในความเป็นทิพย์ และเขาไม่ต้องรับทุกข์จากผลกระทบทางวัตถุ
บระฮมารพะณัม บระฮมะ ฮะวิร
บระฮมากโน บระฮมะณา ฮุทัมฺ
บระฮไมวะ เทนะ กันทัพยัม
บระฮมะ-คารมะ-สะมาดฺินาฺ
บระฮมะฺ - เป็นทิพย์โดยธรรมชาติ, อารพะณัมฺ - ช่วยเหลือสนับสนุน, บระฮมะฺ - องค์ภควาน, ฮะวิฮฺ - เนย, บระฮมะฺ - ทิพย์, อักโนฺ - ในไฟแห่งจุดมุ่งหมายที่บริบูรณ์, บระฮมะณาฺ - โดยดวงวิญญาณ, ฮุทัมฺ - ถวาย, บระฮมะฺ - อาณาจักรทิพย์, เอวะฺ - แน่นอน, เทนะฺ - โดยเขา, กันทัพยัมฺ - บรรลุถึง, บระฮมะฺ - ทิพย์, คารมะฺ - ในกิจกรรม, สะมาดฺินาฺ - ในสมาธิที่สมบูรณ์
คำแปลฺ
บุคคลผู้ซึมซาบอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์แน่นอนว่าจะบรรลุถึงอาณาจักรทิพย์ เพราะการช่วยเหลือสนับสนุนในกิจกรรมทิพย์อย่างสมบูรณ์ซึ่งจุดมุ่งหมายคือสัจธรรม และสิ่งที่ถวายก็เป็นธรรมชาติทิพย์เช่นเดียวกัน
คำอธิบายฺ
กิจกรรมในคริชณะจิตสำนึก ในที่สุดสามารถนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางทิพย์ได้อย่างไรนั้น ได้อธิบายไว้ ณ ที่นี้ มีกิจกรรมมากมายในคริชณะจิตสำนึกซึ่งทั้งหมดจะอธิบายในโศลกต่อ ๆ ไป แต่ในปัจจุบันจะอธิบายเพียงหลักของคริชณะจิตสำนึก พันธวิญญาณถูกพันธนาการอยู่ในมลทินทางวัตถุ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ อยู่ในบรรยากาศวัตถุ ถึงกระนั้น ก็ยังต้องการอิสรภาพจากสิ่งแวดล้อมนี้ วิธีการที่พันธวิญญาณสามารถออกจากบรรยากาศวัตถุได้คือคริชณะจิตสำนึก ตัวอย่างเช่น คนไข้ได้รับความทุกข์จากโรคท้องเดินอันเนื่องมาจากดื่มผลิตภัณฑ์นมมากเกินไป วิธีรักษาคือต้องใช้ผลิตภัณฑ์นมอีกชนิดหนึ่งคือนมที่ข้นแข็ง (CURDS) พันธวิญญาณผู้ซึมซาบอยู่ในวัตถุสามารถรักษาได้ด้วยคริชณะจิตสำนึกดังที่ได้วางหลักการไว้ในหนังสือ ภควัตฺ-คีตาฺ เล่มนี้ วิธีการนี้โดยทั่วไปเรียกว่า ยะกยะฺหรือกิจกรรม (การบูชา) เพียงเพื่อให้วิชณุหรือคริชณะทรงพอพระทัยเท่านั้น กิจกรรมในโลกวัตถุที่ทำถวายให้พระวิชณุ หรือในคริชณะจิตสำนึกด้วยการซึมซาบมากเพียงใดก็จะเปลี่ยนบรรยากาศให้กลายมาเป็นทิพย์มากเพียงนั้น คำว่า บระฮมะฺ มีความหมายว่า “ทิพย์” องค์ภควาน ทรงเป็นทิพย์และรัศมีจากพระวรกายทิพย์ของพระองค์เรียกว่า บระฮมะจโยทิฺ รัศมีทิพย์ของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่สถิตใน บระฮมะ- จโยทินั้นฺ แต่เมื่อ จโยทิฺ นั้น ถูกปกคลุมไปด้วยความหลงแห่ง มายาฺ หรือการสนองประสาทสัมผัสจึงเรียกว่าวัตถุ ม่านแห่งวัตถุนี้สามารถถูกรูดออกไปได้ทันทีด้วยคริชณะจิตสำนึก ฉะนั้น การถวายเพื่อคริชณะจิตสำนึก กรรมวิธีในการถวาย ผู้ถวาย และผลทั้งหมดเมื่อรวมกันคือ บระฮมันฺ หรือสัจธรรมที่สมบูรณ์ สัจธรรมที่สมบูรณ์ถูกปกคลุมด้วย มายาฺ เรียกว่าวัตถุ เมื่อวัตถุมาประสานกับสัจธรรมที่สมบูรณ์จะได้รับคุณสมบัติทิพย์ของตนเองกลับคืนมา คริชณะจิตสำนึกจึงเป็นวิธีเปลี่ยนสภาพจิตสำนึกที่หลงผิดมาเป็น บระฮมันฺ หรือองค์ภควาน เมื่อจิตใจซึมซาบอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์เรียกว่าอยู่ในสมาธิหรือ สะมาดฺิฺ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปด้วยจิตสำนึกทิพย์เช่นนี้เรียกว่า ยะกยะฺ หรือการบูชาเพื่อสัจธรรมที่สมบูรณ์ ในสภาวะจิตสำนึกทิพย์นี้ ผู้ช่วยเหลือสนับสนุน การช่วยเหลือสนับสนุน การบริโภค ผู้ปฏิบัติ หรือผู้นำการปฏิบัติ และผล หรือผลที่ได้รับสูงสุดคือ-ทุกสิ่งทุกอย่าง-กลายมาเป็นหนึ่งในสัจธรรมที่สมบูรณ์ บระฮมันฺ สูงสุด นั่นคือวิธีการของคริชณะจิตสำนึก
ไดวัม เอวาทพะเร ยะกยัม
โยกินะฮ พารยุพาสะเทฺ
บระฮมากนาพ อพะเร ยะกยัม
ยะกเยไนโวพะจุฮวะทิฺ
ไดวัมฺ - ในการบูชาเทวดา, เอวะฺ - เช่นนี้, อพะเรฺ - บุคคลอื่นๆ, ยะกยัมฺ - การบูชา, โยกินะฮฺ-โยคี, พารยุพาสะเทฺ - บูชาอย่างสมบูรณ์, บระฮมะฺ - ของสัจธรรมสูงสุด, อักโนฺ - ในไฟ, อพะเรฺ - ผู้อื่น, ยะกยัมฺ - บูชา, ยะกเยนะฺ - ด้วยการบูชา เอวะฺ - ดังนั้น, อุพะจุฮวะทิฺ - ถวาย
คำแปลฺ
โยคีบางท่านบูชาเทวดาอย่างสมบูรณ์ด้วยการถวายเครื่องบูชาต่าง ๆ ให้เทวดาและโยคีบางท่านถวายการบูชาในไฟแห่ง บระฮมัน สูงสุด
คำอธิบายฺ
ดังที่ได้อธิบายไว้ข้างต้น บุคคลผู้ปฏิบัติหน้าที่ในคริชณะจิตสำนึกเรียกว่าโยคีผู้สมบูรณ์หรือนักทิพย์นิยมชั้นหนึ่ง มีผู้อื่นที่ปฏิบัติการบูชาคล้ายคลึงกันนี้แต่บูชาเทวดาและยังมีผู้อื่นอีกที่บูชา บระฮมันฺ สูงสุดหรือลักษณะที่ไร้รูปลักษณ์ขององค์ภควานดังนั้น จึงมีการบูชาประเภทต่าง ๆ กัน ประเภทของการบูชาที่ต่างกันโดยผู้ปฏิบัติที่ต่างกันแสดงให้เห็นว่าการบูชาที่หลากหลาย แตกต่างกันโดยผิวเผินเท่านั้น อันที่จริงการบูชาหมายถึงการทำให้องค์ภควาน พระวิชณุผู้ทรงมีอีกพระนามหนึ่งว่า ยะกยะฺทรงพอพระทัย การบูชาที่หลากหลายทั้งหมดนี้จัดเข้าอยู่ในสองประเภทหลักคือ การบูชาด้วยสิ่งของวัตถุทางโลก และการบูชาเพื่อผลแห่งความรู้ทิพย์ ผู้ที่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกสละความเป็นเจ้าของวัตถุทั้งหลาย เป็นการบูชาเพื่อให้องค์ภควานทรงพอพระทัย ในขณะที่ผู้อื่นต้องการความสุขชั่วคราวทางวัตถุ บูชาสิ่งของวัตถุเพื่อให้เทวดาเช่นพระอินทร์ พระอาทิตย์ ฯลฯ ทรงพอพระทัย และยังมี มายาวาดีฺ บูชารูปลักษณ์ของตนเองให้กลืนเข้าไปในความเป็นอยู่แห่ง บระฮมันฺ อันไร้รูปลักษณ์ เทวดาคือสิ่งมีชีวิตผู้มีพลังอำนาจที่องค์ภควานทรงแต่งตั้งให้ดำรงรักษาและบริหารหน้าที่ทั้งหลายในโลกวัตถุ เช่น ความร้อน น้ำ และแสงของจักรวาล ผู้ที่สนใจในผลประโยชน์ทางวัตถุจะบูชาเทวดาด้วยพิธีบูชาต่าง ๆ ตามพิธีกรรมพระเวท พวกนี้เรียกว่า บะฮุ-อีชวะระ- วาดีฺ หรือผู้เชื่อในเทวดาหลายองค์ แต่พวกที่บูชาสัจธรรมสูงสุดที่ไร้รูปลักษณ์ และคิดว่ารูปลักษณ์ของเทวดาไม่ถาวรจะบูชาปัจเจกชีวิตของตนเองไปในไฟสูงสุด ดังนั้น จึงจบปัจเจกชีวิตของตนด้วยการกลืนหายเข้าไปในความเป็นอยู่ขององค์ภควาน มายาวา ดีพวกนี้บูชาเวลาของพวกตนไปกับการคาดคะเนทางปรัชญาเพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติฺทิพย์ของพระองค์ หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้ทำงานเพื่อหวังผลบูชาวัตถุสิ่งของของตนเพื่อความสุขทางวัตถุ ขณะที่ มายาวาดีฺ ถวายบูชาชื่อระบุต่าง ๆ ทางวัตถุด้วยแนวคิดที่จะกลืนเข้าไปในความเป็นอยู่ขององค์ภควาน สำหรับ มายาวาดีฺ แท่นบูชาแห่งการบูชาไฟคือ บระฮมันฺ สูงสุด และสิ่งของบูชาคือชีวิตของตนเองที่ถูกเผาผลาญไปในไฟแห่ง บระฮมันฺ อย่างไรก็ดี บุคคลในคริชณะจิตสำนึกเช่นอารจุนะทรงบูชาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้คริชณะทรงพอพระทัย ดังนั้น ความเป็นเจ้าของวัตถุทั้งหลายรวมทั้งชีวิตของตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเครื่องบูชาสำหรับคริชณะ ดังนั้น จึงเป็นโยคีชั้นหนึ่ง แต่ท่านมิได้สูญเสียความเป็นปัจเจกบุคคล
ชโรทราดีนีนดริยาณิ อันเย
สัมยะมากนิชุ จุฮวะทิฺ
ชับดาดีน วิชะยาน อันยะ
อินดริยากนิชุ จุฮวะทิฺ
ชโรทระ-อาดีนิฺ - เช่นวิธีการฟัง,อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, อันเยฺ - ผู้อื่น, สัมยะมะฺ - หน่วงเหนี่ยว, อักนิชฺุ - ในไฟ, จุฮวะทิฺ - ถวาย, ชับดะฺ - อาดีนฺ - คลื่นเสียง ฯลฯ, วิชะยานฺ - อายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส, อันเยฺ - ผู้อื่น, อินดริยะฺ - ประสาทสัมผัส, อักนิชฺุ -ในไฟ, จุฮวะทิฺ - พวกเขาบูชา
คำแปลฺ
บางคน (บระฮมะชารี ผู้บริสุทธิ์) บูชาวิธีการสดับฟังและประสาทสัมผัสไปในเพลิงแห่งการควบคุมจิตใจ และบางคน (คฤหัสถ์ผู้มีวินัย) ถวายอายตนะภายนอกไปในเพลิงแห่งประสาทสัมผัส
คำอธิบายฺ
สมาชิกของสี่ระดับแห่งชีวิตมนุษย์ เช่น บระฮมะชารี, กริฮัสทฺะ. วานะพรัสทฺะฺและ สันนยาสีฺ ทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อมาเป็นโยคีหรือนักทิพย์นิยมที่สมบูรณ์ เพราะว่าชีวิตมนุษย์มิได้มีไว้เพื่อหาความสุขด้วยการสนองประสาทสัมผัสเหมือนพวกสัตว์ ชีวิตมนุษย์จึงถูกจัดแบ่งไว้สี่ระดับ เพื่อเราอาจบรรลุถึงความสมบูรณ์ในชีวิตทิพย์ บระฮ- มะชารีฺ หรือนักศึกษาภายใต้การดูแลของพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้ ควบคุมจิตใจของตนเองด้วยการละเว้นการสนองประสาทสัมผัส บระฮมะชารีฺ สดับฟังเฉพาะคำพูดที่เกี่ยวกับคริชณะจิตสำนึก การสดับฟังคือหลักปฏิบัติพื้นฐานเพื่อความเข้าใจ ดังนั้น บระฮมะชารีฺ ผู้บริสุทธิ์จะต้องปฏิบัติตนอย่างเต็มที่ใน ฮะเรร นามานุคีรทะนัมฺ หรือการสวดมนต์ภาวนาและการสดับฟังคำสรรเสริญพระบารมีขององค์ภควาน โดยจะหลีกเลี่ยงคลื่นเสียงวัตถุ และสดับฟังเฉพาะคลื่นเสียงทิพย์ของ ฮะเร คริชณะ ฮะเรคริชณะ ในลักษณะเดียวกันคฤหัสถ์ผู้ได้รับอนุญาตในการสนองประสาทสัมผัสปฏิบัติตนด้วยความอดกลั้นเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปสังคมมนุษย์มีนิสัยชอบชีวิตเพศสัมพันธ์ยาเสพติด และรับประทานเนื้อสัตว์แต่คฤหัสถ์ผู้มีวินัยจะไม่ปล่อยตัวตามใจไปกับชีวิตเพศสัมพันธ์ และการสนองประสาทสัมผัสที่ไร้วินัย ฉะนั้น การสมรสตามหลักของชีวิตทางศาสนาจึงปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ในสังคมที่มีอารยธรรม เพราะว่านั่นคือชีวิตเพศสัมพันธ์ที่มีระเบียบวินัย ชีวิตเพศสัมพันธ์ที่มีวินัยและไม่ยึดติดเช่นนี้ก็เป็น ยะกยะฺชนิดหนึ่ง เพราะว่าคฤหัสถ์ผู้มีระเบียบวินัยจะถวายนิสัยชอบสนองประสาทสัมผัสของตนเองโดยทั่วไป เพื่อชีวิตทิพย์ที่สูงกว่า
สารวาณินดริยะ-คารมาณิ
พราณะ-คารมาณิ ชาพะเรฺ
อาทมะ-สัมยะมะ-โยกากโน
จุฮวะทิ กยานะ-ดีพิเทฺ
สารวาณิฺ - ของทั้งหมด, อินดริยะฺ - ประสาทสัมผัส, คารมาณิฺ - หน้าที่, พราณะ- คารมาณิฺ - หน้าที่ของลมหายใจแห่งชีวิต, ชะฺ - เช่นกัน, อพะเรฺ - คนอื่นๆ, อาทมะ-สัม ยะมะฺ - ของการควบคุมจิตใจ, โยกะฺ - วิธีการเชื่อม, อักโนฺ - ในไฟแห่ง, จุฮวะทิฺ - ถวาย, กยานะ-ดีพิเทฺ - เพราะแรงกระตุ้นเพื่อความรู้แจ้งแห่งตน
คำแปลฺ
คนอื่นผู้สนใจการบรรลุความรู้แจ้งแห่งตนด้วยการควบคุมจิตใจและประสาทสัมผัส ถวายหน้าที่ของประสาทสัมผัสทั้งหมดและลมปราณแห่งชีวิต เพื่อเป็นการบวงสรวงไปในไฟแห่งการควบคุมจิตใจ
คำอธิบายฺ
ระบบโยคะที่เริ่มโดย พะทันจะลิ ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ ใน โยกะ-สูทระฺ ของพะทันจะลิ เรียกดวงวิญญาณว่า พรัทยัก-อาทมาฺ และ พะราก-อาทมาฺ ตราบใดที่ดวงวิญญาณยึดติดอยู่กับความสุขทางประสาทสัมผัส เรียกว่า พะราก-อาทมาฺ แต่ในทันทีที่วิญญาณดวงเดียวกันนี้ไม่ยึดติดกับความสุขทางประสาทสัมผัสเรียกว่า พรัทยัก-อาทมาฺ ดวงวิญญาณอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของลมสิบชนิดที่ทำงานอยู่ภายในร่างกาย สำเหนียกได้โดยผ่านทางระบบการหายใจ ระบบโยคะ พะทันจะลิสอนเราให้ควบคุมหน้าที่ของลมภายในร่างกาย แบบใช้เทคนิคเพื่อในที่สุดหน้าที่ทั้งหมดของลมภายในจะเอื้ออำนวยให้ดวงวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นจากการยึดติดกับวัตถุ ตามระบบโยคะนี้ พรัทยัก-อาทมาฺ คือจุดมุ่งหมายสูงสุด พรัทยัก-อาทมาฺ นี้ถอนตัวจากกิจกรรมทางวัตถุ การกระทบกันระหว่างอายตนะภายในและอายตนะภายนอกเช่น หูกับการฟังจมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส มือกับสัมผัส ทั้งหมดเป็นการปฏิบัติกิจกรรมนอกตัวเรา เรียกว่าหน้าที่ของ พราณะ-วายฺุ ลม อพานะ-วายฺุ ลงข้างล่าง วยานะ-วายฺุ หดตัวและขยายตัว สะมานะ-วายฺุ ปรับสมดุล อุดานะ-วายฺุ ขึ้นข้างบน และเมื่อได้รับแสงสว่างเราจะทำทั้งหมดนี้เพื่อค้นหาความรู้แจ้งแห่งตน
ดรัพยะ-ยะกยาส ทะโพ-ยะกยา
โยกะ-ยะกยาส ทะทฺาพะเรฺ
สวาดฮยายะ-กยานะ-ยะกยาช ชะ
ยะทะยะฮ สัมชิทะ-วระทาฮฺ
ดรัพยะ-ยะกยาฮฺ - บูชาสิ่งของของตน, ทะพะฮ-ยะกยาฮฺ - บูชาในความสมถะ, โยกะ- ยะกยาฮฺ - บูชาในระบบเข้าฌานทั้งแปด, ทะทฺาฺ - ดังนั้น, อพะเรฺ - ผู้อื่น, สวาดฺยายะฺ - บูชาในการศึกษาคัมภีร์พระเวท, กยานะ-ยะกยาชฮฺ - ถวายในการพัฒนาความรู้ทิพย์, ชะฺ - เช่นกัน, ยะทะยะฮฺ - ผู้ได้รับแสงสว่าง, สัมชิทะ-วระทาฮฺ - ปฏิญาณตนโดยเคร่งครัด
คำแปลฺ
จากการถือคำปฏิญาณโดยเคร่งครัด บางคนรู้แจ้งด้วยการบูชาสิ่งของของตนและบางคนปฏิบัติสมถะความเพียรอย่างเคร่งครัด ด้วยการฝึกโยคะอิทธิฤทธิ์แปดวิธี หรือด้วยการศึกษาคัมภีรพระเวทเพื่อพัฒนาความรู้ทิพย์
คำอธิบายฺ
การบูชาทั้งหมดนี้อาจจัดอยู่ในประเภทต่าง ๆ กัน มีบุคคลผู้บูชาสิ่งของของตนในรูปของการบริจาคทานต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย กลุ่มนักธุรกิจคนรวยหรือกลุ่มผู้มียศเป็นเจ้าจะเปิดสถาบันการกุศลต่าง ๆ เช่น ดฺารมะ-ชาลา, อันนะ-คเชทระ, อทิทฺิ- ชาลา, อนา ทฺาละยะฺ และ วิดยา-พีทฺะฺ ในประเทศต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกันมีโรงพยาบาลบ้านผู้สูงอายุ และมูลนิธิการกุศลในทำนองนี้มากมายที่แจกจ่ายอาหาร การศึกษาและรักษาโรคฟรีสำหรับคนจน กิจกรรมการกุศลทั้งหมดนี้เรียกว่า ดรัพยยะมะยะ- ยะกยะฺ มีบางคน เพื่อความเจริญสูงขึ้นในชีวิต หรือเพื่อส่งเสริมให้ไปสู่โลกที่สูงกว่าภายในจักรวาล อาสาปฏิบัติสมถะมากมาย เช่น ชันดรายะณะฺ และ ชาทุรมาสยะฺ วิธีการเหล่านี้มีเงื่อนไขคำอธิฐานที่เคร่งครัดในการใช้ชีวิตภายใต้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกวดขัน ตัวอย่างเช่น ภายใต้คำปฏิญาณ ชาทุรมาสยะฺ ผู้อาสาจะไม่โกนหนวดเป็นเวลาสี่เดือนในหนึ่งปี (กรกฎาคม ถึง ตุลาคม) ไม่รับประทานอาหารบางชนิด ไม่รับประทานวันละสองมื้อ และไม่ออกไปจากบ้าน การถวายบูชาความสะดวกสบายของชีวิตเช่นนี้เรียกว่า ทะโพมะยะ-ยะกยะฺ ยังมีบางคนปฏิบัติโยคะการเข้าฌานต่าง ๆ เช่น ระบบ พะทันจะลิฺ (เพื่อกลืนเข้าไปในความเป็นอยู่แห่งสัจธรรม) หรือ ฮะทฺะ-โยกะฺ หรือ อัชทังกะ-โยกะฺ (เพื่อความสมบูรณ์บางอย่างโดยเฉพาะ) และบางคนเดินทางไปตามสถานที่ทางศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ของนักบุญ การปฏิบัติทั้งหมดนี้เรียกว่า โยกะ-ยะกยะฺถวายการบูชาเพื่อความสมบูรณ์บางประการในโลกวัตถุ มีบางคนศึกษาวรรณกรรมพระเวทต่าง ๆ โดยเฉพาะ เช่น อุพะนิชัดฺ และ เวดานธะ-สูทระฺ หรือปรัชญา สางคยฺะฺทั้งหมดนี้เรียกว่า สวาดฺยายะ-ยะกยะฺ หรือปฏิบัติตนถวายบูชาด้วยการศึกษา โยคีทั้งหมดนี้ปฏิบัติด้วยความศรัทธาในการถวายการบูชาต่างๆ นานา และค้นหาสภาวะชีวิตที่สูงกว่า อย่างไรก็ดี คริชณะจิตสำนึกแตกต่างจากสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าเป็นการรับใช้องค์ภควานโดยตรงเราไม่สามารถบรรลุถึงคริชณะจิตสำนึกได้ด้วยการถวายบูชาวิธีหนึ่งวิธีใดดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ แต่เราสามารถบรรลุได้โดยพระเมตตาธิคุณขององค์ภควานและสาวกผู้เชื่อถือได้ของพระองค์เท่านั้น ดังนั้น คริชณะจิตสำนึกจึงเป็นทิพย์
อพาเน จุฮวะทิ พราณัม
พราเณ พานัม ทะทฺาพะเรฺ
พราณาพานะ-กะที รุดดฺวา
พราณายามะ-พะรายะณาฮฺ
อพะเร นิยะทาฮาราฮ
พราณาน พราเณชุ จุฮวะทิฺ
อพาเนฺ - ในลมซึ่งเดินลงข้างล่าง, จุฮวะทิฺ - ถวาย, พราณัมฺ - ลมเดินออกข้างนอก, พราเณฺ - ในลมที่เดินออก, อพานัมฺ - ลมเดินลงข้างล่าง, ทะทฺาฺ - เป็นเช่นเดียวกัน, อพะเรฺ - คนอื่น, พราณะฺ - ของลมเดินออก, อพานะฺ - และลมเดินลงข้างล่าง, กะทีฺ - การเคลื่อนไหว, รุดดฺวาฺ - ตรวจสอบ, พราณะ-อายามะฺ - ฌานอันเกิดจากการกลั้นลมหายใจทั้งหมด, พะรายะณาฮฺ - เอนเอียง, อพะเรฺ - คนอื่น, นิยะทะฺ - ควบคุม, อาฮาราฮฺ - การรับประทาน, พราณานฺ - ลมที่เดินออก, พราเณชฺุ -ในลมที่เดินออก, จุฮวะทิฺ - บูชา
คำแปลฺ
ยังมีผู้อื่นที่ชอบวิธีการกลั้นลมหายใจให้อยู่ในฌาน ปฏิบัติด้วยการถวายการเคลื่อนไหวของลมหายใจออกไปในลมหายใจเข้า และถวายลมหายใจเข้าไปในลมหายใจออก เช่นนี้ในที่สุดจะอยู่ในฌาน หยุดการหายใจทั้งหมด และยังมีผู้อื่นตัดทอนวิธีการรับประทานอาหาร ถวายลมหายใจออกไปในตัวมันเองเป็นการบูชา
คำอธิบายฺ
ระบบโยคะแห่งการควบคุมขบวนการหายใจนี้เรียกว่า พราณายามะฺ ในตอนต้นฝึกปฏิบัติในระบบ ฮะทฺะ-โยกะฺ ด้วยท่านั่งต่าง ๆ วิธีการทั้งหมดนี้แนะนำเพื่อให้ควบคุมประสาทสัมผัสและพัฒนาในความรู้แจ้งทิพย์ การปฏิบัติเช่นนี้เกี่ยวกับการควบคุมลมต่าง ๆ ภายในร่างกายเพื่อให้มันเดินไปในทางตรงกันข้าม ลม อพานะฺ เดินลงข้างล่าง และลม พราณะฺ เดินขึ้นข้างบน พราณายามะ-โยกีฺ ฝึกปฏิบัติการหายใจไปในทางตรงกันข้ามจนกว่ากระแสลมจะเป็นกลางอยู่ใน พูระคะฺ หรือดุลยภาพสงบนิ่ง การถวายลมหายใจออกไปในลมหายใจเข้าเรียกว่า เรชะคะฺ เมื่อลมทั้งสองกระแสหยุดแน่นิ่งกล่าวได้ว่าผู้นั้นอยู่ใน คุมบฺะคะ-โยกะฺ ด้วยการฝึกปฏิบัติ คุมบฺะคะ-โยกะฺเราสามารถเพิ่มเวลาให้แก่ชีวิตเพื่อความสมบูรณ์แห่งความรู้แจ้งทิพย์ โยคีผู้มีปัญญาสนใจในการบรรลุความสมบูรณ์ในชาติเดียวโดยไม่ต้องรอชาติหน้า ด้วยการฝึกปฏิบัติ คุมบฺะคะ-โยกะฺ พวกโยคีสามารถเพิ่มเวลาให้แก่ชีวิตได้หลายต่อหลายปี อย่างไรก็ดีบุคคลในคริชณะจิตสำนึกสถิตในการปฏิบัติรับใช้ทิพย์ด้วยความรักต่อองค์ภควาน และเป็นผู้ควบคุมประสาทสัมผัสได้โดยปริยาย ประสาทสัมผัสของท่านปฏิบัติรับใช้คริชณะเสมอ โดยไม่เปิดโอกาสให้ไปทำอย่างอื่น ดังนั้น ในบั้นปลายของชีวิตจะถูกย้ายไปสู่ระดับทิพย์แห่งองค์คริชณะโดยธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้จึงไม่พยายามต่ออายุ ท่านได้ยกระดับมาถึงจุดหลุดพ้นทันที ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ภควัต-คีตาฺ (14.26 )
มาม ชะ โย วยะบฺิชาเรณะ
บฺัคธิ-โยเกนะ เสวะเทฺ
สะ กุณาน สะมะทีทไยทาน
บระฮมะ-บํูยายะ คัลพะเทฺ
“ผู้ที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานด้วยความบริสุทธิ์ใจได้ข้ามพ้นระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุ และพัฒนามาสู่ระดับทิพย์โดยทันที” บุคคลในคริชณะจิตสำนึกเริ่มต้นจากระดับทิพย์ และจะอยู่ในจิตสำนึกเช่นนี้เสมอ ดังนั้นจึงไม่มีการตกต่ำลง และในที่สุดจะบรรลุถึงอาณาจักรขององค์ภควานโดยไม่ล่าช้า การฝึกปฏิบัติตัดทอนการรับประทานอาหารทำไปโดยปริยายเมื่อเรารับประทาน คริชณะ-พระสาดัมฺหรืออาหารที่ถวายให้องค์ภควานก่อนเท่านั้น วิธีการลดอาหารช่วยได้มากในเรื่องของการควบคุมประสาทสัมผัส ปราศจากการควบคุมประสาทสัมผัสเป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดออกจากพันธนาการทางวัตถุ
สารเว พิ เอเท ยะกยะ-วิโด
ยะกยะ-คชะพิทะ-คัลมะชาฮฺ
ยะกยะ-ชิชทามริทะ-บํุโจ
ยานทิ บระฮมะ สะนาทะนัมฺ
สารเวฺ - ทั้งหมด, อพิฺ - แม้ว่าดูเหมือนแตกต่างกัน, เอเทฺ - เหล่านี้, ยะกยะ-วิดะฮฺ - รอบรู้กับจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติพิธีบวงสรวง, ยะกยะ-คชะพิทะฺ - บริสุทธิ์ขึ้นจากผลของการปฏิบัติเช่นนี้, คัลมะชาฮฺ - ของผลบาป, ยะกยะ-ชิชทะฺ - ของผลแห่งการปฏิบัติ ยะกยะฺเช่นนี้, อมริทะ-บํุจะฮฺ - ผู้ที่ได้รับรสน้ำทิพย์นี้, ยานทิฺ - เข้าพบ, บระฮมะฺ - สูงสุด, สะนา- ทะนัมฺ - บรรยากาศนิรันดร
คำแปลฺ
ผู้ปฏิบัติทั้งหลายที่ทราบความหมายของการถวายบูชาทำให้บริสุทธิ์จากผลบาปและได้รับรสน้ำทิพย์จากผลแห่งการถวายบูชา พวกเขาพัฒนาไปสู่บรรยากาศสูงสุดนิรันดร
คำอธิบายฺ
การอธิบายวิธีการถวายบูชาต่าง ๆ ข้างบนนี้ (เช่น การถวายบูชาสิ่งของของตน การศึกษาคัมภีร์พระเวทหรือคำสอนปรัชญา และการปฏิบัติตามระบบโยคะ) เราได้พบว่าจุดมุ่งหมายทั้งหมดนี้เพื่อควบคุมประสาทสัมผัส การสนองประสาทสัมผัสคือสาเหตุแห่งการเป็นอยู่ทางวัตถุ ฉะนั้น นอกจากเราจะสถิตในระดับที่ปลีกตัวออกห่างจากการสนองประสาทสัมผัส มิฉะนั้น จะไม่มีโอกาสพัฒนามาถึงระดับอมตะแห่งความรู้อันสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความปลื้มปีติสุข และเต็มไปด้วยชีวิตทิพย์ ระดับนี้อยู่ในบรรยากาศนิรันดร หรือบรรยากาศแห่ง บระฮมันฺ การถวายบูชาที่กล่าวมาทั้งหมดช่วยให้เราบริสุทธิ์จากผลบาปแห่งการเป็นอยู่ทางวัตถุ ด้วยการพัฒนาชีวิตเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้เรามีความสุขและมั่งคั่งในชีวิตนี้ แต่ในที่สุดเราจะบรรลุถึงอาณาจักรนิรันดรแห่งองค์ภควานด้วย ไม่ว่าจะกลืนเข้าไปใน บระฮมันฺ อันไร้รูปลักษณ์หรือไปคบหาสมาคมกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า องค์ชรีคริชณะ
นายัม โลโค สทิ อยะกยัสยะ
อุโท นยะฮ คุรุ-สัททะมะฺ
นะฺ - ไม่เคย, อยัมฺ - นี้, โลคะฮฺ - โลก, อัสทิฺ - มี, อยะกยัสยะฺ - สำหรับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติการถวายบูชา, คุทะฮฺ - มีที่ไหน, อันยะฮฺ - ผู้อื่น, คุรุ-สัท-ทะมะฺ - โอ้ ผู้ยอดเยี่ยมในหมู่คุรุ
คำแปลฺ
โอ้ ผู้ยอดเยี่ยมแห่งราชวงศ์คุรุ ปราศจากการถวายบูชาเราจะไม่มีความสุขอยู่บนโลกนี้หรือในชีวิตนี้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นในชาติหน้า?
คำอธิบายฺ
ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่ทางวัตถุในรูปใด แน่นอนว่าเราจะอยู่ในอวิชชาเกี่ยวกับสถานการณ์อันแท้จริงของเรา หรืออีกนัยหนึ่ง การมีชีวิตอยู่ในโลกวัตถุเนื่องมาจากผลกรรมมากมายจากความบาปหลาย ๆ ชาติของเรา อวิชชาคือต้นเหตุของชีวิตบาปและชีวิตบาปคือต้นเหตุที่ฉุดให้เราอยู่ต่อไปในชีวิตทางวัตถุ ชีวิตในร่างมนุษย์เป็นหนทางเดียวที่อาจจะออกไปจากพันธนาการเช่นนี้ได้ ฉะนั้น คัมภีร์พระเวทเปิดโอกาสให้เราหลบหนีโดยการชี้วิถีทางแห่งศาสนา ความสะดวกทางเศรษฐกิจ การประมาณการสนองประสาทสัมผัส และในที่สุด วิถีทางที่จะออกจากสภาวะแห่งความทุกข์ทั้งหมดวิถีทางแห่งศาสนาหรือการถวายบูชาต่าง ๆ ที่ได้แนะนำมาแล้วข้างต้นจะแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้โดยปริยาย ด้วยการปฏิบัติ ยะกยะฺ เราจะมีอาหาร นม ฯลฯ เพียงพอแม้จะมีสิ่งที่เรียกว่าประชากรเพิ่มมากขึ้น เมื่อร่างกายได้รับอาหารเพียงพอโดยธรรมชาติขั้นต่อไปจะสนองประสาทสัมผัส ดังนั้น คัมภีร์พระเวทจึงแนะนำพิธีสมรสอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อประมาณการสนองประสาทสัมผัส จากนั้นเราจะค่อย ๆ พัฒนามาถึงระดับที่ปล่อยวางจากพันธนาการทางวัตถุ และความสมบูรณ์สูงสุดแห่งชีวิตอิสรเสรี คือการมาคบหาสมาคมกับองค์ภควาน ความสมบูรณ์บรรลุได้ด้วยการปฏิบัติ ยะกยะฺ (การถวายบูชา)ดังที่ได้อธิบายมาข้างต้น หากเรายังไม่ชอบการปฏิบัติ ยะกยะฺ ตามคัมภีร์พระเวท เราคาดหวังชีวิตที่มีความสุขแม้ในร่างนี้ยังไม่ได้ แล้วจะพูดถึงร่างหน้าในโลกหน้าได้อย่างไรมีระดับแห่งความสะดวกสบายทางวัตถุที่แตกต่างกันในโลกสวรรค์ และทั้งหมดมีความสุขอย่างมหาศาลสำหรับผู้ปฏิบัติ ยะกยะฺ ต่าง ๆ แต่ความสุขสูงสุดที่มนุษย์สามารถบรรลุได้คือได้รับการส่งเสริมให้ไปถึงโลกทิพย์ด้วยการปฏิบัติคริชณะจิตสำนึก ดังนั้นชีวิตของคริชณะจิตสำนึกคือผลสรุปในการแก้ปัญหาชีวิตทางวัตถุทั้งปวง
เอวัม บะฮุ-วิดฺา ยะกยะ
วิทะทา บระฮมะโณ มุคเฮฺ
คารมะ-จาน วิดดฺิ ทาน สารวาน
เอวัม กยาทวา วิโมคชยะเสฺ
เอวัมฺ - ดังนั้น, บะฮุ-วิดฺาฮฺ - ชนิดต่าง ๆ ของ, ยะกยาฮฺ - การบูชา, วิทะทาฮฺ - เผยแพร่, บระฮมะณะฮฺ - ของคัมภีร์พระเวท, มุคเฮฺ - ผ่านทางพระโอษฐ์, คารมะ-จานฺ - เกิดจากงาน, วิดดฺิฺ - เธอควรรู้, ทานฺ - พวกเขา, สารวานฺ - ทั้งหมด, เอวัมฺ - ดังนั้น, กยาทวาฺ - รู้, วิมุคชยะเสฺ - เธอจะเป็นอิสระเสรี
คำแปลฺ
การบูชาต่าง ๆ ทั้งหมดนี้คัมภีร์พระเวทรับรอง และทั้งหมดเกิดขึ้นจากงานที่แตกต่างกันไป เมื่อทราบเช่นนี้เธอจะมีอิสรภาพ
คำอธิบายฺ
การถวายเพื่อเป็นการบูชาต่าง ๆ ดังที่ได้อธิบายข้างต้น ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวทเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน เพราะว่ามนุษย์ซึมซาบอย่างลึกซึ้งในแนวคิดทางร่างกาย การถวายบูชาเหล่านี้จัดไว้เพื่อให้เราสามารถปฏิบัติได้ไม่ว่าในทางร่างกาย ทางจิตใจ หรือทางปัญญา แต่ทั้งหมดแนะนำให้เราได้รับอิสรเสรีภาพจากร่างกายในที่สุด ณ ที่นี้ องค์ภควานทรงยืนยันด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง
ชเรยาน ดรัพยะ-มะยาด ยะกยาจ
กยานะ-ยะกยะฮ พะรันทะพะฺ
สารวัม คารมาคฺิลัม พารทฺะ
กยาเน พะริสะมาพยะเทฺ
ชเรยานฺ - ยิ่งใหญ่กว่า, ดรัพยะ-มะยาทฺ - ของความเป็นเจ้าของวัตถุ, ยะกยาทฺ - กว่าการถวายการบูชา, กยานะ-ยะกยะฮฺ - ถวายในความรู้, พะรันทะพะฺ - โอ้ ผู้กำราบศัตรู, สารวัมฺ - ทั้งหมด, คารมะฺ - กิจกรรม, อคฺิลัมฺ - ในทั้งหมด, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสของพระนางพริทฺา, กยาเนฺ - ในความรู้, พะริสะมาพยะเทฺ - สุดท้าย
คำแปลฺ
โอ้ ผู้กำราบศัตรู การบูชาปฏิบัติไปด้วยความรู้ดีกว่าถวายการบูชาด้วยเพียงสิ่งของวัตถุเท่านั้น โอ้ โอรสพระนางพริทฺา ในที่สุดการถวายการบูชาของงานทั้งหมดจะมาจบลงที่ความรู้ทิพย์
คำอธิบายฺ
จุดมุ่งหมายของการถวายบูชาทั้งหมดเพื่อให้มาถึงระดับแห่งความรู้อันสมบูรณ์ หลุดพ้นจากความทุกข์ทางวัตถุ และในที่สุดจะมาปฏิบัติรับใช้ทิพย์ต่อองค์ภควาน (คริชณะจิตสำนึก) ด้วยความรัก มีความเร้นลับเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ในการถวายบูชาทั้งหมดนี้ และเราควรทราบความเร้นลับนี้ บางครั้งการถวายบูชามาในรูปแบบต่าง ๆ กันตามความศรัธทาโดยเฉพาะของผู้ปฏิบัติ เมื่อความศรัทธาของเรามาถึงระดับแห่งความรู้ทิพย์ ผู้ปฏิบัติการถวายบูชาควรพิจารณาได้ว่าเป็นผู้ที่เจริญกว่าพวกที่เพียงแต่ถวายบูชาสิ่งของโดยไม่มีความรู้เช่นนี้ ปราศจากความรู้การถวายบูชายังคงอยู่ในระดับวัตถุ และไม่ได้รับผลประโยชน์ทิพย์ ความรู้ที่แท้จริงคือการมาถึงจุดสุดยอดในคริชณะจิตสำนึก ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของความรู้ทิพย์ ปราศจากการพัฒนาความรู้ การถวายบูชาเป็นเพียงกิจกรรมทางวัตถุ อย่างไรก็ดี เมื่อพัฒนามาถึงระดับความรู้ทิพย์ กิจกรรมทั้งหมดขึ้นไปสู่ระดับทิพย์ มันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกที่แตกต่างกันกิจกรรมถวายการบูชาบางครั้งเรียกว่า คารมะ-คาณดะฺ (กิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุ)และบางครั้งเป็น กยานะ-คาณดะฺ (ความรู้เพื่อแสวงหาสัจธรรม) เมื่อในที่สุดมาจบลงที่ความรู้จะดีกว่า
ทัด วิดดฺิ พระณิพาเทนะ
พะริพรัชเนนะ เสวะยาฺ
อุพะเดคชยันทิ เท กยานัม
กยานินัส ทัททวะ-ดารชินะฮฺ
ทัทฺ - ความรู้แห่งการถวายบูชาต่าง ๆ, วิดดฺิฺ - พยายามเข้าใจ, พระณิพาเทนะฺ - ด้วยการเข้าพบพระอาจารย์ทิพย์. พะริพรัชเนนะฺ - ด้วยคำถามที่อ่อนน้อม, เสวะยาฺ - ด้วยการถวายการรับใช้, อุพะเดคชยันทิฺ - ท่านจะเริ่มสอน, เทฺ - เธอ, กยานัมฺ - ในความรู้, กยานินะฮฺ - ผู้รู้แจ้งแห่งตน, ทัททวะฺ - ของสัจธรรม, ดารชินะฮฺ - ผู้เห็น
คำแปลฺ
เพียงแต่พยายามเรียนรู้สัจธรรมด้วยการเข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ ถามท่านด้วยความอ่อนน้อมยอมจำนน และถวายการรับใช้แด่ท่าน ดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งแห่งตนสามารถถ่ายทอดความรู้ให้แด่เธอ เพราะท่านได้พบเห็นสัจธรรมแล้ว
คำอธิบายฺ
หนทางแห่งความรู้แจ้งทิพย์เป็นสิ่งที่ยากโดยไม่ต้องสงสัย ฉะนั้น ทรงแนะนำเราให้เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้ที่อยู่ในสาย พะรัมพะราฺ เริ่มต้นจากองค์ภควานเอง ไม่มีใครสามารถเป็นพระอาจารย์ทิพย์ที่เชื่อถือได้โดยปราศจากการปฏิบัติตามหลักธรรมแห่ง พะรัมพะราฺ นี้ องค์ภควานทรงเป็นพระอาจารย์ทิพย์องค์แรก และบุคคลในสายพะรัมพะราสามารถถ่ายทอดสาสน์แห่งองค์ภควานที่เหมือนเดิมให้แกฺ่สาวก ไม่มีผู้ใดสามารถรู้แจ้งทิพย์ได้ด้วยการผลิตวิธีการของตนเอง เหมือนดังที่เป็นแฟชั่นของพวกจอมปลอมผู้ด้อยปัญญา บฺากะวะธัมฺ (6.3.19) กล่าวว่า ดฺารมัม ทุสาด ชาด บฺะกะวัท-พระณีทัมฺ องค์ภควานทรงเป็นผู้กำหนดวิถีทางแห่งศาสนาโดยตรง ดังนั้น การคาดคะเนทางจิตใจหรือการถกเถียงอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ไม่สามารถช่วยนำเราไปสู่หนทางที่ถูกต้องได้ หรือด้วยการศึกษาหนังสือแห่งความรู้โดยเสรีก็ไม่สามารถทำให้เจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ได้ เราต้องเข้าพบพระอาจารย์ผู้เชื่อถือได้และรับความรู้จากท่าน พระอาจารย์ทิพย์เช่นนี้ควรได้รับการยอมรับด้วยการศิโรราบอย่างราบคาบ และเราควรรับใช้พระอาจารย์ทิพย์เหมือนกับคนรับใช้โดยปราศจากการถือศักดิ์ศรีที่ผิด ๆการทำให้พระอาจารย์ทิพย์ผู้รู้แจ้งแห่งตนพึงพอใจคือเคล็ดลับแห่งความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ คำถามและความอ่อนน้อมยอมจำนนเป็นปัจจัยอย่างดีที่รวมกันเพื่อให้เราเข้าใจวิถีทิพย์ นอกจากมีการยอมจำนนและการรับใช้ เฉพาะคำถามอย่างเดียวจากพระอาจารย์ทิพย์ผู้ทรงคุณวุฒิจะไม่ได้รับผล เราจะต้องผ่านการทดสอบของพระอาจารย์ทิพย์ และเมื่อเห็นความปรารถนาอันบริสุทธิ์ใจของสาวก ท่านจะประทานพรแก่สาวกให้เข้าใจวิถีทิพย์อย่างถ่องแท้โดยปริยาย โศลกนี้ การปฏิบัติตามเยี่ยงคนตาบอด และคำถามที่เหลวไหลไร้สาระไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่เพียงแต่เราสดับฟังด้วยการยอมจำนนต่อพระอาจารย์ทิพย์เท่านั้น แต่เรายังต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้จากท่านอีกด้วย จากการยอมจำนน การรับใช้ และคำถาม โดยธรรมชาติ พระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้จะมีความเมตตากรุณามากต่อสาวก ฉะนั้น เมื่อนักศึกษายอมจำนน และพร้อมที่จะถวายการรับใช้อยู่เสมอ การตอบสนองความรู้และคำถามก็จะสมบูรณ์
ยัจ กยาทวา นะ พุนาร โมฮัม
เอวัม ยาสยะสิ พาณดะวะฺ
เยนะ บํูทานิ อเชชาณิ
ดรัคชยะสิ อาทมะนิ อโทฺ มะยิฺ
ยัทฺ - ซึ่ง, กยาทวาฺ - รู้, นะฺ - ไม่เคย, พุนะฮฺ - อีกครั้ง, โมฮัมฺ - ความหลง, เอวัมฺ - เหมือนนี้, ยาสยะสิฺ - เธอจะไป, พาณดะวะฺ - โอ้ โอรสของพาณดุ, เยนะฺ - โดยซึ่ง, บํูทานิฺ - สิ่งมีชีวิต, อเชชาณิฺ - ทั้งหมด, ดรัคชยะสิฺ - เธอจะเห็น, อาทมะนิฺ -ในดวงวิญญาณสูงสุด, อโทฺฺ - หรืออีกนัยหนึ่ง, มะยิฺ - ในข้า
คำแปลฺ
เมื่อได้รับความรู้ที่แท้จริงจากดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งตนเอง เธอจะไม่ตกลงไปในความหลงนี้อีก ด้วยความรู้นี้ เธอจะเห็นว่ามวลชีวิตเป็นส่วนขององค์ภควานหรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาเป็นของข้า
คำอธิบายฺ
ผลของการได้รับความรู้จากดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งแห่งตน หรือจากผู้รู้สิ่งต่าง ๆตามความเป็นจริง คือการเรียนรู้ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลเป็นละอองอณูของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์ชรีคริชณะ ความรู้สึกที่ว่ามีชีวิตอยู่แยกจากคริชณะเรียกว่า มายาฺ (มาฺ-ไม่, ยาฺ-นี้) บางคนคิดว่าตัวเราไม่มีอะไรสัมพันธ์กับคริชณะ คริชณะทรงเป็นเพียงบุคลิกภาพในประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งเท่านั้น และสัจธรรมคือ บระฮมันฺที่ไร้รูปลักษณ์ อันที่จริง ได้กล่าวไว้แล้วใน ภควัต-คีตาฺ ว่า บระฮมันฺ ที่ไร้รูปลักษณ์นี้เป็นรัศมีส่วนพระองค์ของคริชณะ องค์ภควาน คริชณะทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า คริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า แหล่งกำเนิดของแหล่งกำเนิดทั้งปวง แม้อวตารเป็นล้าน ๆ องค์ทรงเป็นเพียงภาคที่แบ่งแยกออกมาจากคริชณะเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน สิ่งมีชีวิตก็เป็นส่วนที่แยกออกมาจากคริชณะเช่นเดียวกัน นักปราชญ์ มายาวาดีฺ คิดผิด ๆ ว่าคริชณะทรงสูญเสียความเป็นตัวของพระองค์เองไปในอวตารต่าง ๆ มากมาย ความคิดเช่นนี้โดยธรรมชาติเป็นแนวคิดทางวัตถุ เรามีประสบการณ์ในโลกวัตถุว่าสิ่งของสิ่งหนึ่งเมื่อถูกแบ่งแยกแจกจ่ายออกไป จะสูญเสียบุคลิกภาพเดิมของตัวเองแต่นักปราชญ์ มายา วาดีฺ ไม่เข้าใจว่าความสมบูรณ์หมายความว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับหนึ่ง และหนึ่งลบหนึ่งก็เท่ากับหนึ่ง นี่คือกรณีในโลกแห่งความสมบูรณ์
เนื่องจากมีความต้องการความรู้ให้เพียงพอในศาสตร์แห่งความสมบูรณ์ แต่บัดนี้เราถูกครอบคลุมไปด้วยความหลง ดังนี้ จึงทำให้เราคิดว่าตัวเราไม่เกี่ยวข้องกับคริชณะถึงแม้ว่าเราจะเป็นส่วนที่แยกมาจากคริชณะ แต่เรามิได้แตกต่างไปจากพระองค์ความแตกต่างทางร่างกายของสิ่งมีชีวิตคือ มายาฺ หรือไม่ใช่ความจริง เราทั้งหมดมีชีวิตอยู่เพื่อทำให้คริชณะทรงพอพระทัย มายาฺ เท่านั้นที่ทำให้อารจุนะทรงคิดว่าความสัมพันธ์ทางร่างกายชั่วคราวกับวงศาคณาญาติของพระองค์มีความสำคัญมากกว่าความสัมพันธ์ทิพย์นิรันดรกับคริชณะ คำสอนทั้งหมดของ คีตาฺ ตั้งเป้าอยู่ที่จุดหมายนี้ว่า สิ่งมีชีวิตเป็นผู้รับใช้นิรันดรของคริชณะ ไม่สามารถแยกไปจากคริชณะได้ และความรู้สึกที่ว่าตัวเขาไม่เกี่ยวข้องกับคริชณะเรียกว่า มายาฺ สิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูขององค์ภควาน มีจุดมุ่งหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ จากการลืมจุดมุ่งหมายเดิมตั้งแต่สมัยดึกคำบรรพ์ ทำให้สถิตในร่างต่าง ๆ เช่น ร่างมนุษย์ ร่างสัตว์ ร่างเทวดา ฯลฯ ร่างกายที่แตกต่างกันเช่นนี้เกิดขึ้นจากการลืมการรับใช้ทิพย์ต่อพระองค์ แต่เมื่อปฏิบัติรับใช้ทิพย์ผ่านทางคริชณะจิตสำนึก ทันใดนั้นจะเป็นอิสระเสรีจากความหลง เขาสามารถได้รับความรู้อันบริสุทธิ์นี้จากพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้เท่านั้น จากนั้นก็หลีกเลี่ยงความหลงที่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นเทียบเท่ากับคริชณะ ความรู้อันสมบูรณ์คือดวงวิญญาณสูงสุดองค์ชรีคริชณะทรงเป็นที่พึ่งสูงสุดของมวลชีวิต และการยกเลิกที่พึ่งนี้เนื่องจากสิ่งมีชีวิตถูกพลังงานวัตถุทำให้หลงผิดคิดว่าตนเองมีบุคลิกภาพที่แยกออกไป ดังนั้น ภายใต้มาตรฐานต่าง ๆ ของบุคลิกภาพทางวัตถุพวกเขาจึงลืมคริชณะ อย่างไรก็ดี เมื่อสิ่งมีชีวิตผู้อยู่ในความหลงนี้สถิตในคริชณะจิตสำนึก เข้าใจได้ว่าพวกเขาอยู่บนหนทางเพื่อความหลุดพ้น ดังที่ได้ยืนยันไว้ใน บฺากะวะธัมฺ (2.10.6) มุคทิร ฮิทวานยะทฺา-รูพัม สวารูเพณะ วิยะวัสทฺิทิฮฺ ความหลุดพ้นหมายถึงสถิตในสถานภาพพื้นฐานเดิมของตนเองว่าเป็นผู้รับใช้นิรันดรของคริชณะ (คริชณะจิตสำนึก)
อพิ เชด อสิ พาเพบฺยะฮ
สารเวบฺยะฮ พาพะ-คริท-ทะมะฮฺ
สารวัม กยานะ-พลาเวไนวะ
วริจินัม สันทะริชยะสิฺ
อพิฺ - ถึงแม้, เชดฺ - ถ้า, อสิฺ - เธอเป็น, พาเพบฺยะฮฺ - ของคนบาป, สารเวบฺยะฮฺ - ทั้งหมด, พาพะ-คริท-ทะมะฮฺ - คนบาปที่สุด, สารวัมฺ - ผลบาปทั้งหมดนี้, กยานะ-พละเวนะฺ - ด้วยนาวาแห่งความรู้ทิพย์, เอวะฺ - แน่นอน. วริจินัมฺ - มหาสมุทรแห่งความทุกข์, สันทะริชยะ- สิฺ - เธอจะข้ามได้อย่างสมบูรณ์
คำแปลฺ
ถึงแม้ว่าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนบาปที่สุดในหมู่คนบาปทั้งหลาย แต่เมื่อสถิตในนาวาแห่งความรู้ทิพย์ เธอจะสามารถข้ามพ้นมหาสมุทรแห่งความทุกข์ได้
คำอธิบายฺ
การเข้าใจสถานภาพพื้นฐานอันแท้จริงของตนเองอย่างถูกต้องในความสัมพันธ์กับคริชณะเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะความเข้าใจเช่นนี้สามารถนำเราให้ออกจากการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดที่กำลังดำเนินอยู่ในมหาสมุทรแห่งอวิชชาได้โดยทันที โลกวัตถุนี้บางครั้งถือว่าเป็นมหาสมุทรแห่งอวิชชา บางครั้งถือว่าเป็นป่าที่กำลังถูกไฟเผาไหม้ เราอาจเป็นนักว่ายน้ำที่เก่งมาก แต่ในมหาสมุทรการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก ถ้าหากว่ามีใครคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาอุ้มนักว่ายน้ำที่กำลังดิ้นรนต่อสู้อยู่ให้ออกจากมหาสมุทร ท่านผู้นี้เป็นผู้ช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความรู้อันสมบูรณ์ที่ได้รับจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าคือวิถีทางแห่งความหลุดพ้น นาวาแห่งคริชณะจิตสำนึกนั้นเรียบง่ายมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ประเสริฐที่สุด
ยะไทฺดฺามสิ สะมิดโดฺ กนิร
บฺัสมะ-สาท คุรุเท รจุนะฺ
กยานากนิฮ สารวะ-คารมาณิ
บฺัสมะ-สาท คุรุเท ทะทฺาฺ
ยะทฺาฺ - ดังเช่น, เอดฺามสิฺ - ไม้ฟืน, สะมิดดฺะฮฺ - เผาไหม้, อักนิฮฺ - ไฟ, บฺัสมะ-สาทฺ - เถ้าถ่าน, คุรุเทฺ - เปลี่ยน, อารจุนะฺ - โอ้ อารจุนะ, กยานะ-อักนิฮฺ - ไฟแห่งความรู้, สารวะ- คารมาณิฺ - ผลกรรมจากกิจกรรมทางวัตถุทั้งหมด, บฺัสมะ-สาทฺ - เป็นเถ้าถ่าน, คุรุเทฺ - มันกลับกลาย, ทะทฺาฺ - ในทำนองเดียวกัน
คำแปลฺ
ดังเช่นเปลวไฟเปลี่ยนสภาพไม้ฟืนให้เป็นเถ้าถ่านได้ฉันใด โอ้ อารจุนะ ไฟแห่งความรู้ก็สามารถเผาผลาญผลกรรมทั้งมวลจากกิจกรรมทางวัตถุได้ฉันนั้น
คำอธิบายฺ
ความรู้อันสมบูรณ์แห่งตัวเราพร้อมทั้งองค์ภควาน และความสัมพันธ์ของทั้งสองเปรียบเทียบได้กับไฟ ณ ที่นี้ ไฟไม่เพียงเผาผลาญผลกรรมจากกิจกรรมบาปทั้งมวล แต่ยังเผาผลาญผลกรรมจากกิจกรรมบุญทั้งมวลด้วย เผาผลาญทั้งหมดให้เป็นเถ้าถ่าน มีผลกรรมอยู่หลายลักษณะ เช่น ผลกรรมที่กำลังก่ออยู่ ผลกรรมที่กำลังบังเกิดผล ผลกรรมที่ได้รับเรียบร้อยแล้ว และผลกรรมก่อนหน้านี้ แต่ความรู้สถานภาพพื้นฐานอันแท้จริงของสิ่งมีชีวิตเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นจุณ เมื่อเรามีความรู้อันสมบูรณ์ ผลกรรมทั้งหมดทั้งตั้งแต่ก่อนหน้านี้และหลังจากนี้ จะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น ในคัมภีร์พระเวท (บริฮัด-อารัณยะคะ อุพะนิชัดฺ 4.4.22) กล่าวไว้ว่า อุเบฺ อุไฮไวชะ เอเท ทะระทิ อัมริทะฮ สาดํุ-อสาดํูนีฺ “เราได้รับชัยชนะจากผลกรรมทั้งสอง คือจากผลบุญและผลบาป“
นะ ฮิ กยาเนนะ สะดริชัม
พะวิทรัม อิฮะ วิดยะเทฺ
ทัท สวะยัม โยกะ-สัมสิดดฺะฮ
คาเลนาทมะนิ วินดะทิฺ
นะฺ - ไม่มีสิ่งใด, ฮิฺ - แน่นอน, กยาเนนะฺ - ด้วยความรู้, สะดริชัมฺ - ในการเปรียบเทียบ, พะวิทรัมฺ - ทำให้ถูกต้อง, อิฮะฺ - ในโลกนี้, วิดยะเทฺ - มีอยู่, ทัทฺ - นั้น, สวะยัมฺ - ตัวเขา, โยกะฺ - ในการอุทิศตนเสียสละ, สัมสิดดฺะฮฺ - ผู้ที่มีวุฒิภาวะ, คาเลนะฺ - ตามกาลเวลา, อาทมะนิฺ - ในตัวเขา, วินดะทิฺ - ได้รับความสุข
คำแปลฺ
ในโลกนี้ไม่มีอะไรประเสริฐและบริสุทธิ์เท่ากับความรู้ทิพย์ ความรู้เช่นนี้คือผลอันสมบูรณ์จากการเข้าฌานทั้งหลาย และผู้ที่ได้รับผลสำเร็จในการปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ จะได้รับความสุขกับความรู้นี้ภายในตัวเขาเองตามกาลเวลา
คำอธิบายฺ
เมื่อพูดถึงความรู้ทิพย์ เราพูดถึงความเข้าใจทางจิตวิญญาณ ฉะนั้น จึงไม่มีสิ่งใดประเสริฐและบริสุทธิ์ไปกว่าความรู้ทิพย์ อวิชชาคือต้นเหตุแห่งการพันธนาการและความรู้คือต้นเหตุแห่งความหลุดพ้น ความรู้นี้คือผลอันสมบูรณ์แห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ และเมื่อเราสถิตในความรู้ทิพย์ เราไม่จำเป็นต้องแสวงหาความสงบที่ไหนอีก เพราะเราได้รับความสุขจากความสงบภายในตัวเรา หรืออีกนัยหนึ่ง ความรู้และความสงบนี้เกิดขึ้นในคริชณะจิตสำนึก และนี่คือคำสุดท้ายใน ภควัต-คีตาฺ
ชรัดดฺาวาล ลาบฺะเท กยานัม
ทัท-พะระฮ สัมยะเทนดริยะฮฺ
กยานัม ลับดฺวา พะราม ชานทิม
อชิเรณาดฺิกัชชฺะทิฺ
ชรัดดฺา-วานฺ - ผู้ที่มีความศรัทธา, ลาบฺะเทฺ - ได้รับ, กยานัมฺ - ความรู้, ทัท-พะระฮฺ - ยึดติดมากกับมัน, สัมยะทะฺ - ควบคุม, อินดริยะฮฺ - ประสาทสัมผัส, กยานัมฺ - ความรู้, ลับดฺวาฺ - ได้รับแล้ว, พะรามฺ - ทิพย์, ชานทิมฺ - ความสงบ, อชิเรณะฺ - เร็ว ๆ นี้, อดฺิกัชชฺะทิฺ - ได้รับ
คำแปลฺ
ผู้มีความศรัทธาที่อุทิศตนให้กับความรู้ทิพย์ และเป็นผู้ปรามประสาทสัมผัสของตนเองได้ มีสิทธิ์ที่จะได้รับความรู้เช่นนี้ และเมื่อได้รับความรู้นี้แล้วเขาจะบรรลุถึงความสงบสูงสุดทางจิตวิญญาณโดยเร็ว
คำอธิบายฺ
ผู้มีความศรัทธาอย่างแน่วแน่ในคริชณะสามารถได้รับความรู้นี้ในคริชณะจิตสำนึก บุคคลที่ได้ชื่อว่ามีความศรัทธาคือผู้ที่คิดว่าความเชื่อว่าเพียงแต่ปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึก เขาจะบรรลุถึงความสมบูรณ์สูงสุด ความศรัทธานี้บรรลุได้ด้วยการปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ และด้วยการสวดภาวนา ฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะคริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร ซึ่งทำให้หัวใจเขาบริสุทธิ์จากความสกปรกทางวัตถุทั้งมวล นอกเหนือไปจากนี้เขาควรควบคุมประสาทสัมผัส บุคคลผู้มีความศรัทธาต่อคริชณะและควบคุมประสาทสัมผัสได้ สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์อย่างง่ายดายในความรู้แห่งคริชณะจิตสำนึกโดยไม่ล่าช้า
อกยัช ชาชรัดดะดฺานัช ชะ
สัมชะยาทมา วินัชยะทิฺ
นายัม โลโค สทิ นะ พะโร
นะ สุคฺัม สัมชะยาทมะนะฮฺ
อกยะฮฺ - ผู้อยู่ในอวิชชาไม่มีความรู้ในพระคัมภีร์มาตรฐาน, ชะฺ - และ, อัชรัดดะดฺานะฮฺ - ไม่มีความศรัทธาในพระคัมภีร์ที่เปิดเผย, ชะฺ - เช่นกัน, สัมชะยะฺ - แห่งความสงสัย, อาท- มาฺ - บุคคล, วินัชยะทิฺ - ตกต่ำ, นะฺ - ไม่เคย, อยัมฺ - ในนี้, โลคะฮฺ - โลก, อัสทิฺ - มี, นะฺ - ไม่, พะระฮฺ - ในชาติหน้า, นะฺ - ไม่, สุคฺัมฺ -ความสุข, สัมชะยะฺ - สงสัย, อาทมะนะฮฺ - ของบุคคล
คำแปลฺ
แต่บุคคลผู้อยู่ในอวิชชา ไม่มีความศรัทธา และสงสัยในพระคัมภีร์ที่เปิดเผย จะไม่บรรลุถึงจิตสำนึกแห่งองค์ภควาน พวกเขาตกต่ำลง สำหรับดวงวิญญาณผู้มีความสงสัยจะไม่มีความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
คำอธิบายฺ
จากพระคัมภีร์มาตรฐานและเชื่อถือได้ที่เปิดเผยมากมาย ภควัต-คีตาฺ ดีที่สุดบุคคลผู้ด้อยปัญญาที่เกือบเหมือนสัตว์ไม่มีทั้งความศรัทธาและความรู้ในพระคัมภีร์มาตรฐานที่เปิดเผยเหล่านี้ บางคนถึงแม้มีความรู้หรือสามารถท่องบทมนต์ต่าง ๆ จากพระคัมภีร์ที่เปิดเผยได้ แต่อันที่จริงไม่มีความศรัทธาในคำพูดเหล่านี้ และถึงแม้ว่าบางคนมีความศรัทธาในพระคัมภีร์เช่น ภควัต-คีตาฺ แต่ไม่เชื่อหรือไม่บูชาบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ชรีคริชณะ บุคคลเช่นนี้ไม่มีจุดยืนในคริชณะจิตสำนึก พวกเขาตกต่ำลง จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ พวกที่ไม่มีความศรัทธาและมีความสงสัยอยู่เสมอจะไม่พัฒนาเลย มนุษย์ผู้ไม่มีความศรัทธาในองค์ภควานและพระราชดำรัสที่เปิดเผยของพระองค์จะไม่มีอะไรดีในโลกนี้หรือโลกหน้าและจะไม่มีความสุขอันใดเลย ฉะนั้น เราควรปฏิบัติตามหลักธรรมของพระคัมภีร์ที่เปิดเผยด้วยความศรัทธา จากนั้นยกระดับขึ้นไปสู่ระดับแห่งความรู้ ความรู้นี้เท่านั้นจะช่วยส่งเสริมเราไปสู่ระดับทิพย์แห่งความเข้าใจจิตวิญญาณ อีกนัยหนึ่ง บุคคลผู้มีความสงสัยจะไม่มีจุดยืนในความหลุดพ้นของดวงวิญญาณ ดังนั้น เราควรปฏิบัติตามรอยพระบาทของ อาชาระยะฺ ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในสาย พะรัมพะราฺ และบรรลุถึงความสำเร็จ
โยกะ-สันนยัสทะ-คารมาณัม
กยานะ-สันชฺินนะ-สัมชะยัมฺ
อาทมะวันทัม นะ คารมาณิ
นิบัดฺนันทิ ดฺะนันจะยะฺ
โยกะฺ - ด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคารมะ-โยกะฺ, สันนยัสทะฺ - ผู้ที่สละทางโลก, คารมาณัมฺ - ผลของการกระทำ, กยานะฺ - ด้วยความรู้, สันชฺินนะฺ - ตัด, สัมชะยัมฺ - สงสัย, อาทมะ-วันทัมฺ - สถิตในตนเอง, นะฺ - ไม่เคย, คารมาณิฺ - ทำงาน, นิบัดฺนันทิฺ - พันธนาการ, ดฺะนันจะยะฺ - โอ้ ผู้ชนะความร่ำรวย
คำแปลฺ
ผู้ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ สละผลการกระทำของตนเอง และความสงสัยของเขาได้ถูกทำลายไปด้วยความรู้ทิพย์ สถิตอย่างแท้จริงในตัวเอง ฉะนั้นเขาไม่ถูกพันธนาการด้วยผลกรรมจากงาน โอ้ ผู้ชนะความร่ำรวย
คำอธิบายฺ
ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของ ภควัต-คีตาฺ ตามที่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นผู้ถ่ายทอดด้วยพระองค์เอง จะได้รับอิสรภาพจากความสงสัยทั้งปวงด้วยพระกรุณาธิคุณแห่งความรู้ทิพย์ ในฐานะที่เป็นละอองอณูขององค์ภควานตัวเขาจะอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ สถิตในความรู้แห่งตนเรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงอยู่เหนือพันธนาการแห่งกรรมโดยไม่ต้องสงสัย
ทัสมาด อกยานะ-สัมบํูทัม
ฮริท-สทฺัม กยานาสินาทมะนะฮฺ
ชฺิทไวนัม สัมชะยัม โยกัม
อาทิชโทฺททิชทฺะ บฺาระทะฺ
ทัสมาทฺ - ดังนั้น, อกยานะ-สัมบํูทัมฺ - เกิดจากอวิชชา, ฮริท-สทฺัมฺ - สถิตในหัวใจ, กยา นะฺ - แห่งความรู้, อสินาฺ - ด้วยอาวุธ, อาทมะนะฮฺ - ของชีวิต, ชฺิทวาฺ - ตัดออก, เอนัมฺ - นี้, สัมชะยัมฺ - สงสัย, โยกัมฺ - ในโยคะ, อาทิชทฺะฺ - สถิต, อุททิชทฺะฺ - ลุกขึ้นมาสู้, บฺาระทะฺ - โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺาระทะ
คำแปลฺ
ฉะนั้น ความสงสัยที่เกิดขึ้นในหัวใจของเธออันเนื่องมาจากอวิชชาควรถูกตัดออกด้วยอาวุธแห่งความรู้ เตรียมพร้อมด้วยโยคะ จงลุกขึ้นมาและสู้ โอ้ บฺาระทะ
คำอธิบายฺ
ระบบโยคะที่สอนในบทนี้เรียกว่า สะนาทะนะ-โยกะฺ หรือกิจกรรมอมตะที่สิ่งมีชีวิตปฏิบัติ โยคะนี้แบ่งเป็นการปฏิบัติบูชาได้สองส่วน ส่วนหนึ่งเรียกว่าการถวายบูชาสิ่งของวัตถุของตน และอีกส่วนหนึ่งเรียกว่าความรู้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นกิจกรรมทิพย์ที่บริสุทธิ์ หากถวายบูชาสิ่งของวัตถุของตนโดยไม่ประสานกับความรู้แจ้งทิพย์การถวายเช่นนี้เป็นวัตถุ แต่ผู้ที่ปฏิบัติการถวายบูชาเช่นนี้ด้วยจุดมุ่งหมายทิพย์หรือในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ทำให้การถวายบูชาสมบูรณ์ เมื่อเรามาถึงกิจกรรมทิพย์จะพบว่าแบ่งเป็นสองส่วนอีกเช่นกัน คือ การเข้าใจตัวเราเอง (หรือเข้าใจสถานภาพพื้นฐานอันแท้จริงของเรา) และเข้าใจสัจธรรมเกี่ยวกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ผู้ปฏิบัติตามวิธีของ ภควัต-คีตาฺ ฉบับเดิม สามารถเข้าใจสองส่วนสำคัญแห่งความรู้ทิพย์นี้ สำหรับบุคคลนี้ไม่เป็นการยากที่จะบรรลุถึงความรู้ที่สมบูรณ์แห่งตนว่าเป็นละอองอณูขององค์ภควาน ดังนั้น การเข้าใจเช่นนี้จึงเป็นประโยชน์ เพราะบุคคลนี้สามารถเข้าใจกิจกรรมทิพย์ของพระองค์ได้อย่างง่ายดาย ในตอนต้นของบทนี้องค์ภควานทรงกล่าวถึงกิจกรรมทิพย์ของพระองค์ด้วยตัวพระองค์เอง ผู้ที่ไม่เข้าใจคำสั่งสอนของ คีตาฺ คือผู้ไม่มีความศรัทธา และถือว่าได้ใช้เสรีภาพส่วนน้อยนิดที่พระองค์ทรงประทานให้ไปในทางที่ผิดแม้มีคำสอนเหล่านี้เราก็ยังไม่เข้าใจธรรมชาติอันแท้จริงขององค์ภควานว่าทรงเป็นบุคลิกภาพที่มีความเป็นอมตะเต็มไปด้วยความสุขเกษมสำราญและความรู้ ผู้ไม่รู้เช่นนี้แน่นอนว่าเป็นคนโง่อันดับหนึ่ง อวิชชาสามารถลบออกได้ด้วยการค่อย ๆ ยอมรับหลักธรรมของคริชณะจิตสำนึก คริชณะจิตสำนึกฟื้นฟูขึ้นมาได้ด้วยวิธีการถวายบูชาต่างๆ แด่เทวดา ถวายบูชาแด่ บระฮมันฺ ถวายบูชาในการถือเพศพรหมจรรย์ ถวายบูชาในชีวิตคฤหัสถ์ ถวายบูชาในการควบคุมประสาทสัมผัส ถวายบูชาในการฝึกปฏิบัติโยคะเข้าฌานสมาธิ ถวายบูชาด้วยการบำเพ็ญเพียร ถวายบูชาด้วยการยอมสละสิ่งของวัตถุถวายบูชาด้วยการศึกษาคัมภีร์พระเวท และถวายบูชาด้วยการมีส่วนร่วมในสถาบันสังคมที่เรียกว่า วารณาชระมะ-ดฺารมะฺ ทั้งหมดนี้เรียกว่าการถวายบูชา และทั้งหมดมีพื้นฐานอยู่ที่การประมาณการปฏิบัติ แต่ภายในกิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้ ปัจจัยสำคัญคือการรู้แจ้งแห่งตน ผู้แสวงหาจุดมุ่งหมายนี้คือนักศึกษาที่แท้จริงของ ภควัต- คีตาฺ แต่ผู้ที่สงสัยความน่าเชื่อถือได้ของคริชณะจะถอยหลัง ฉะนั้น จึงแนะนำให้เราศึกษา ภควัต-คีตาฺ หรือพระคัมภีร์เล่มใดก็ได้ ภายใต้การแนะนำของพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้ด้วยการรับใช้และศิโรราบ พระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้อยู่ในสาย พะรัม- พะราฺ ตั้งแต่โบราณกาล ท่านจะไม่บิดเบือนจากคำสั่งสอนขององค์ภควานเลยแม้แต่น้อย ดังที่ได้ถูกถ่ายทอดมาเป็นเวลาหลาย ๆ ล้านปีมาแล้วแด่สุริยเทพ จากสุริยเทพคำสั่งสอนของ ภควัต-คีตาฺ ได้ถูกส่งลงมายังอาณาจักรโลก ดังนั้น เราควรปฏิบัติตามวิธีของ ภควัต-คีตาฺ ให้เหมือนเดิมดังที่ได้กล่าวไว้ใน คีตาฺ เอง และโปรดจงระวังคนเห็นแก่ตัวที่พยายามคุยโวหาเสียงให้แก่ตนเอง และหันเหผู้อื่นไปจากวิถีทางที่แท้จริง องค์ภควานทรงเป็นบุคลิกภาพที่สูงสุดอย่างแน่นอน และกิจกรรมของพระองค์ทรงเป็นทิพย์ผู้ใดที่เข้าใจเช่นนี้เป็นผู้ที่หลุดพ้นแล้วตั้งแต่เริ่มศึกษา ภควัต-คีตาฺ
ฉะนั้น ได้จบคำอธิบายโดย บฺัคธิเวดันธะ บทที่สี่ของหนังสือฺ ชรีมัด บฺะกะวัด-กีทา ในหัวข้อเรื่องความรู้ทิพย์ฺ