บทที่ เก้า
ความรู้ที่ลับสุดยอด
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
อิดัม ทุ เท กุฮยะทะมัม
พระวัคชยามิ อนะสูยะเวฺ
กยานัม วิกยานะ-สะฮิทัม
ยัจ กยาทวา โมคชยะเส ‘ชุบฺาทฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัส, อิดัมฺ - นี้, ทฺุ - แต่, เทฺ - แด่เธอ,กุฮยะ-ทะมัมฺ - ลับสุดยอด, พระวัคชยามิฺ - ข้าพูด, อนะสูยะเวฺ - กับผู้ที่ไม่อิจฉาริษยา, กยานัมฺ - ความรู้, วิกยานะฺ - ความรู้แจ้ง, สะฮิทัมฺ - กับ, ยัทฺ - ซึ่ง, กยาทวาฺ - ทราบ, โมค- ชยะเสฺ - เธอจะได้รับการปลดเปลื้อง, อชุบฺาทฺ - จากความเป็นอยู่ทางวัตถุที่เป็นทุกข์นี้
คำแปลฺ
บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัสว่า อารจุนะที่รัก เนื่องจากเธอไม่เคยอิจฉาริษยาข้า ข้าจะถ่ายทอดความรู้อันลับสุดยอดและความรู้แจ้งนี้แด่เธอ เมื่อรู้แล้วเธอจะได้รับการปลดเปลื้องจากความทุกข์แห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุ
คำอธิบายฺ
เมื่อสาวกสดับฟังเกี่ยวกับองค์ภควานมากขึ้นก็จะได้รับแสงสว่างมากขึ้น วิธีการสดับฟังนี้ได้แนะนำไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ดังนี้ “สาส์นจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าเปี่ยมไปด้วยพลัง และพลังเหล่านี้รู้แจ้งได้ หากประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับองค์ภควานสนทนากันในหมู่สาวก การคบหาสมาคมกับนักคาดคะเนทางจิตหรือนักวิชาการทางโลกจะไม่ทำให้ประสบผลสำเร็จเนื่องจากเป็นความรู้แจ้ง”
สาวกปฏิบัติในการรับใช้องค์ภควานอยู่เสมอ พระองค์ทรงเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและความจริงใจของแต่ละคนที่ปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึก และพระองค์ทรงให้ปัญญาในการเข้าใจศาสตร์แห่งคริชณะ ในการคบหาสมาคมกับเหล่าสาวกการสนทนาเกี่ยวกับคริชณะมีพลังมาก หากผู้ใดโชคดีมีโอกาสได้คบหาสมาคมเช่นนี้และพยายามรับความรู้นี้เข้าไว้ แน่นอนว่าจะเจริญก้าวหน้าไปสู่ความรู้แจ้งทิพย์ เพื่อส่งเสริมอารจุนะให้เจริญมากยิ่งขึ้นในการรับใช้อันมีพลังของพระองค์ ในบทที่เก้านี้ คริชณะทรงอธิบายเนื้อหาสาระที่ลับมากยิ่งขึ้นกว่าบทอื่น ๆ ที่ทรงเปิดเผยไว้แล้ว
ในตอนต้นของ ภควัต-คีตาฺ บทที่หนึ่งเป็นการแนะนำเกี่ยวกับหนังสือทั้งเล่มบทที่สองและบทที่สามอธิบายความรู้ทิพย์เรียกว่าเป็นความลับ ประเด็นที่สนทนากันในบทที่เจ็ดและบทที่แปดสัมพันธ์กับการอุทิศตนเสียสละรับใช้โดยเฉพาะ เนื่องจากจะนำแสงสว่างแห่งคริชณะจิตสำนึกมาให้จึงเรียกว่าเป็นความลับยิ่งขึ้น แต่เรื่องราวที่อธิบายในบทที่เก้าเกี่ยวกับการอุทิศตนเสียสละที่บริสุทธิ์โดยไม่มีสิ่งใดเจือปน จึงเรียกว่าเป็นความลับสุดยอด ผู้สถิตในความรู้ขั้นลับสุดยอดของคริชณะเป็นทิพย์โดยธรรมชาติ ดังนั้น จึงไม่มีความเจ็บปวดทางวัตถุใด ๆ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในโลกวัตถุ ใน บัฺคธิ-ราสามริทะ-สินดํฺุ ได้กล่าวไว้ว่า แม้ผู้ที่มีความปรารถนาอย่างจริงใจในการถวายการรับใช้ด้วยความรักต่อองค์ภควานจะสถิตอยู่ในระดับสภาวะทางวัตถุ ถือว่าเขาผู้นี้หลุดพ้น ในทำนองเดียวกันใน ภควัต-คีตาฺ บทที่สิบ เราจะพบว่าผู้ใดที่ปฏิบัติเช่นนี้เป็นบุคคลที่หลุดพ้นแล้ว
โศลกแรกมีความสำคัญโดยเฉพาะคำว่า อิดัม กยานัมฺ (“ความรู้นี้”) หมายถึงการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เก้าอย่างคือ สดับฟัง ภาวนา จำ รับใช้ บูชา สวดมนต์ ปฏิบัติตาม รักษามิตรภาพ และศิโรราบทุกสิ่งทุกอย่าง จากการฝึกปฏิบัติเก้าวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เราจะพัฒนาไปสู่จิตสำนึกทิพย์คือคริชณะจิตสำนึก เมื่อหัวใจของเราใสสะอาดจากมลทินทางวัตถุ เราจะสามารถเข้าใจศาสตร์แห่งคริชณะนี้ได้ เพียงเข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เป็นวัตถุนั้นไม่เพียงพอ เพราะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นแห่งความรู้แจ้งทิพย์เท่านั้น เราควรรู้ถึงข้อแตกต่างระหว่างกิจกรรมของร่างกาย และกิจกรรมทิพย์นอกเหนือไปจากที่เข้าใจว่าตัวเราไม่ใช่ร่างกาย
ในบทที่เจ็ด ได้กล่าวถึงพลังอันมั่งคั่งของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า พลังงานต่าง ๆ ของพระองค์ เช่น ธรรมชาติเบื้องต่ำ ธรรมชาติเบื้องสูง และปรากฏการณ์ทางวัตถุนี้ทั้งหมด ในบทที่เก้าจะได้วิเคราะห์ถึงพระบารมีขององค์ภควาน
คำสันสกฤต อนะสูยะเวฺ ในโศลกนี้ มีความสำคัญมากเช่นกัน โดยทั่วไปถึงแม้ว่านักวิจารณ์มีการศึกษาสูงมาก แต่ทั้งหมดมีความอิจฉาริษยาองค์ภควานคริชณะแม้แต่นักวิชาการผู้คงแก่เรียนที่สุดยังเขียน ภควัต-คีตาฺ ผิดพลาดเป็นอย่างมากเนื่องจากมีความอิจฉาริษยาคริชณะ คำวิจารณ์ของพวกนี้จึงไร้ประโยชน์ คำวิจารณ์ของสาวกเป็นที่เชื่อถือได้ ไม่มีผู้ใดสามารถอธิบาย ภควัต-คีตาฺ หรือให้ความรู้ของคริชณะโดยสมบูรณ์ได้ หากเขามีความอิจฉา ผู้ที่วิจารณ์บุคลิกของคริชณะโดยไม่รู้จักพระองค์เป็นคนโง ดังนั้น คำวิจารณ์เช่นนี้ควรหลีกเลี่ยงด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่เข้าใจว่าคริชณะคือองค์ภควาน ผู้ทรงมีบุคลิกภาพทิพย์และบริสุทธิ์ คำอธิบายจากบทเหล่านี้จะมีประโยชน์มาก
ราจะ-วิดยา ราจะ-กุฮยัม
พะวิทรัม อิดัม อุททะมัมฺ
พรัทยัคชาวะกะมัม ดฺารมยัม
สุ-สุคัฺม คารทุม อัพยะยัมฺ
ราจะ-วิดยาฺ - ราชาแห่งการศึกษา, ราจะ-กุฮยัมฺ - เจ้าแห่งความรู้ที่ลับเฉพาะ, พะวิทรัมฺ - บริสุทธิ์ที่สุด, อิดัมฺ - นี้, อุททะมัมฺ - ทิพย์, พรัทยัคชะฺ - ด้วยประสบการณ์โดยตรง, อวะกะมัมฺ - เข้าใจ, ดารมยัมฺ - หลักศาสนา, สุ-สุคัฺมฺ - มีความสุขมาก, คารทุมฺ - ปฏิบัติ, อัพยะยัมฺ - เป็นอมตะ
คำแปลฺ
ความรู้นี้เป็นราชาแห่งการศึกษา เป็นความลับสุดยอดในความลับทั้งหลาย เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ที่สุด เนื่องจากสำเหนียกได้โดยตรงเกี่ยวกับตนเองด้วยการรู้แจ้งจึงเป็นความสมบูรณ์แห่งศาสนา เป็นสิ่งนิรันดร และปฏิบัติได้ด้วยความรื่นเริง
คำอธิบายฺ
ภควัต-คีตาฺ บทนี้เรียกว่าราชาแห่งการศึกษา เนื่องจากเป็นเนื้อหาสาระของหลักคำสอนและปรัชญาทั้งหมดที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ ในหมู่นักปราชญ์คนสำคัญๆของประเทศอินเดียมี โกทะมะ คะณาดะ คะพิละ,ยากยะวัลคยะ ชาณดิลยะ และไวชวานะระ และในที่สุดมี วิยาสะเดวะ ผู้เขียน เวดานธะ-สูทระฺ ดังนั้น จึงไม่ขาดแคลนความรู้ทางด้านปรัชญาหรือความรู้ทิพย์ บัดนี้ องค์ภควานตรัสว่าบทที่เก้านี้เป็นราชาแห่งความรู้ทั้งหลายเหล่านี้ เนื้อหาสาระของความรู้ทั้งหลายที่ได้รับจากการศึกษาคัมภีร์พระเวทและปรัชญาอื่น ๆ เป็นความลับสุด เพราะว่าความรู้ที่เป็นความลับหรือความรู้ทิพย์เกี่ยวเนื่องกับการเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างดวงวิญญาณและร่างกาย ราชาแห่งความรู้ที่ลับทั้งหลายมาจบลงที่การอุทิศตนเสียสละรับใช้
โดยทั่วไปผู้คนไม่ได้รับการศึกษาในความรู้ที่ลับเฉพาะเช่นนี้ เนื่องจากศึกษาความรู้จากภายนอก สำหรับการศึกษาทั่วไปผู้คนไปสัมผัสกับความรู้มากมายหลายสาขา เช่น การเมือง การสังคม ฟิสิกซ์ เคมี คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ฯลฯ มีความรู้หลายสาขามากมายทั่วโลก และมีมหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ มากมาย แต่ด้วยความอับโชค ไม่มีมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใดที่สอนศาสตร์แห่งดวงวิญญาณถึงแม้ว่าดวงวิญญาณเป็นส่วนสำคัญที่สุดของร่างกาย หากไม่มีดวงวิญญาณ ร่างกายจะไม่มีคุณค่าอันใดเลย ถึงกระนั้นผู้คนก็ยังเน้นมากเกี่ยวกับความจำเป็นของชีวิตทางร่างกาย โดยไม่สนใจต่อดวงวิญญาณซึ่งมีความสำคัญกว่า
หนังสือ ภควัต-คีตาฺ โดยเฉพาะจากบทที่สองเป็นต้นมาได้เน้นถึงความสำคัญของดวงวิญญาณ ตอนต้นองค์ภควานตรัสว่าร่างกายนี้เสื่อมสลายและวิญญาณไม่เสื่อมสลาย (อันทะวันทะ อิเม เดฮา นิทยัสโยคทาฮ ชะรีริณะฮฺ) นี่คือส่วนลับแห่งความรู้หากเพียงแต่รู้ว่าดวงวิญญาณแตกต่างจากร่างกาย โดยธรรมชาติดวงวิญญาณจะไม่มีการเปลี่ยนรูป ไม่มีวันถูกทำลาย และเป็นอมตะ เช่นนี้มิได้ให้ข้อมูลในเชิงบวก บางครั้งบุคคลลืมความรู้สึกว่าดวงวิญญาณแตกต่างจากร่างกายเมื่อร่างกายจบสิ้นลง หรือเมื่อหลุดพ้นจากร่างกายไปแล้วดวงวิญญาณจะอยู่ในความว่างเปล่าและกลายมาเป็นผู้ไม่มีบุคลิกภาพ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เป็นไปได้อย่างไรที่ดวงวิญญาณซึ่งมีความตื่นตัวมากภายในร่างกายนี้ จะไม่มีความตื่นตัวหลังจากหลุดพ้นไปจากร่างกายนี้แล้วหากดวงวิญญาณเป็นอมตะจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ตื่นตัวนิรันดร กิจกรรมต่าง ๆของเขาในอาณาจักรทิพย์เป็นความรู้ทิพย์ที่ลับที่สุด กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ของดวงวิญญาณแสดงไว้ ณ ที่นี้ว่ารวมมาเป็นราชาแห่งความรู้ทั้งหลาย เป็นส่วนลับที่สุดของวิชาความรู้ทั้งหมด
ความรู้นี้เป็นรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด กิจกรรมทั้งหลายดังที่ได้อธิบายไว้ในวรรณกรรมพระเวท พัดมะ พุราณะฺ ว่า กิจกรรมบาปของมนุษย์ได้ถูกวิเคราะห์ไว้ และปรากฏออกมาเป็นผลแห่งความบาปซ้ำซาก พวกที่ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุจะถูกพันธนาการอยู่ในระดับต่าง ๆ กัน และก่อร่างมาเป็นผลบาปต่าง ๆตัวอย่างเช่น เมื่อเราหว่านเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ต้นไม้จะไม่เจริญเติบโตขึ้นมาในทันทีทันใดแต่จะต้องใช้เวลา ก่อนอื่นเป็นต้นเล็ก ๆ เป็นหน่อ จากนั้นก็มาในรูปของต้นไม้มีดอก มีผล และเมื่อสมบูรณ์บุคคลผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ก็จะได้รับความสุขจากดอกไม้และผลไม้เหล่านั้น ในทำนองเดียวกัน มนุษย์ทำบาปก็เหมือนกับการหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ต้องใช้เวลากว่าจะบังเกิดผล หรือปรากฏออกมา ความบาปมีอยู่หลายระดับการทำบาปอาจยุติลงภายในปัจเจกบุคคล แต่ผลบาปนั้นยังจะต้องได้รับ มีความบาปต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในรูปของเมล็ดพันธุ์ มีความบาปที่ปรากฏออกมาและให้ผลแก่เรา ซึ่งมาในรูปของความทุกข์และความเจ็บปวด
ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกที่ยี่สิบแปดของบทที่เจ็ด บุคคลที่จบสิ้นกับผลบาปทั้งปวง และทำแต่กิจกรรมบุญอย่างสมบูรณ์ เป็นอิสระจากสิ่งคู่ในโลกวัตถุนี้ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควาน คริชณะ อีกนัยหนึ่ง พวกที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควานจริง ๆ เป็นผู้ที่ได้รับอิสรภาพจากผลบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว คำกล่าวเช่นนี้ได้ยืนยันไว้ใน พัดมะ พุราณะฺ ดังนี้
อัพรารับดฺะ-พฺะลัม พาพัม
คูทัม บีจัม พฺะโลนมุคัฺมฺ
คระเม ไณวะ พระลีเยทะ
วิชณุ-บัฺคธิ-ระทาทมะนามฺ
สำหรับพวกที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควานผลบาปทั้งหลายไม่ว่าจะปรากฏออกมาแล้ว ที่เก็บอยู่ในคลัง หรือในรูปของเมล็ดพันธุ์จะค่อย ๆ สลายไป ดังนั้นอำนาจที่ทำให้บริสุทธิ์จากการอุทิศตนเสียสละรับใช้นั้นมีพลังมาก เรียกว่า พะวิทรัม อุททะมัมฺ บริสุทธิ์ที่สุด อุททะมะฺ หมายถึงทิพย์ ทะมัสฺ หมายถึงโลกวัตถุนี้หรือความมืดและ อุททะมะฺ หมายถึงสิ่งที่เป็นทิพย์เหนือกิจกรรมต่าง ๆ ทางวัตถุ กิจกรรมในการอุทิศตนเสียสละไม่ถือว่าเป็นวัตถุ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะปรากฏว่าสาวกปฏิบัติตนเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ผู้ที่สามารถเห็นและคุ้นเคยกับการอุทิศตนเสียสละรับใช้จะทราบว่ากิจกรรมเหล่านี้มิใช่เป็นวัตถุ กิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมดเป็นทิพย์ เป็นการอุทิศตนเสียสละซึ่งไม่มีมลทินจากระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุ
ได้กล่าวไว้ว่าการปฏิบัติอุทิศตนเสียสละรับใช้มีความสมบูรณ์จนกระทั่งเราสามารถสำเหนียกถึงผลลัพธ์โดยตรง ผลลัพธ์โดยตรงนี้สำเหนียกได้อย่างแท้จริงและพวกเราได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติว่า ผู้ใดที่สวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของคริชณะ (ฮเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร/ ฮะเร รามะ ฮะเรรามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร) โดยปราศจากอาบัติ จะรู้สึกว่ามีความสุขทิพย์ และมีความบริสุทธิ์ขึ้นอย่างรวดเร็วจากมลทินทางวัตถุทั้งปวง เราเห็นเช่นนี้จริง นอกเหนือไปจากนั้น หากผู้ใดปฏิบัติไม่เพียงแค่สดับฟัง แต่ยังพยายามเผยแพร่สาส์นแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ด้วย หรือหากตัวเราเองช่วยในกิจกรรมเพื่อเผยแพร่คริชณะจิตสำนึก จะรู้สึกว่าเราค่อย ๆ เจริญก้าวหน้าในวิถีทิพย์ ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์นี้มิได้ขึ้นอยู่กับการศึกษาหรือคุณสมบัติใด ๆ ในอดีต เนื่องจากเป็นวิธีการที่มีความบริสุทธิ์ในตัวเองเพียงแต่ได้ปฏิบัติเท่านั้นเราจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์
ใน เวดานธะ-สูทระฺ (3.2.26) ได้อธิบายไว้เช่นกันดังนี้ พระคาชัช ชะ คารมะณิอับฺ ยาสาทฺ “การอุทิศตนเสียสละรับใช้มีพลังอำนาจมาก เพียงแต่ปฏิบัติในกิจกรรมแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เราจะได้รับแสงสว่างโดยไม่ต้องสงสัย” ตัวอย่างในเชิงปฏิบัติเช่นนี้พบได้ในอดีตชาติของนาระดะ ในชาตินั้นเป็นบุตรของคนรับใช้ ท่านไม่มีการศึกษา ไม่ได้เกิดในตระกูลสูง แต่เมื่อมารดาของท่านปฏิบัติรับใช้สาวกผู้ยิ่งใหญ่ นาระดะร่วมรับใช้ด้วยบางครั้งเมื่อมารดาไม่อยู่ท่านก็รับใช้สาวกผู้ยิ่งใหญ่ด้วยตนเอง นาระดะกล่าวว่า
อุชชิฺชทะ-เลพาน อนุโมดิโท ดวิไจฮ
สะคริท สมะ บํุนเจ ทัด-อพาสทะ-คิลบิชะฮฺ
เอวัม พระวริททัสยะ วิชุดดฺะ-เชทะสัส
ทัด-ดฺารมะ เอวาทมะ-รุชิฮ พระจายะเทฺ
โศลกนี้จาก ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (1.5.25) นาระดะอธิบายถึงชาติอดีตให้ศิษย์ วิยาสะเดวะฟังโดยกล่าวว่า ระหว่างที่ปฏิบัติตนเป็นเด็กรับใช้สาวกผู้บริสุทธิ์เป็นเวลาสี่เดือน ขณะที่มาพักอาศัยอยู่ นาระดะได้คบหาสมาคมกับสาวกผู้บริสุทธิ์อย่างใกล้ชิด บางครั้งนักปราชญ์เหล่านั้นเหลืออาหารไว้ในจานและเด็กน้อยที่เป็นผู้ล้างจานปรารถนาจะลิ้มรสอาหารที่เหลือ จึงขออนุญาตจากสาวกผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อได้รับอนุญาต นาระดะก็รับประทานอาหารนั้น ต่อมานาระดะได้หลุดพ้นจากผลบาปทั้งปวง ขณะที่รับประทานไปเรื่อย ๆ หัวใจค่อย ๆ บริสุทธิ์ขึ้นเหมือนกับนักปราชญ์เหล่านั้น สาวกผู้ยิ่งใหญ่ดื่มด่ำอยู่กับรสแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควานด้วยการสดับฟังและสวดภาวนาอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน นาระดะค่อยๆพัฒนารสชาติเช่นนี้ และกล่าวดังนี้
ทะทรานวะฮัม คริชณะ-คะทฺาฮ พระกายะทาม
อนุกระเฮณาชริณะวัม มะโนฮะราฮฺ
ทาฮ ชรัดดฺะยา เม นุพะดัม วิชริณวะทะฮ
พริยัชระวะสิ อังกะ มะมาบฺะวัด รุชิฮฺ
จากการคบหาสมาคมกับเหล่านักปราชญ์ นาระดะได้รับรสในการสดับฟังและสวดภาวนาพระบารมีขององค์ภควาน และได้พัฒนาความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ดังที่ได้อธิบายไว้ใน เวดานธะ-สูทระฺ ว่า พระคาชัช ชะ คารมะณิ อับฺยาสาทฺ หากผู้ใดเพียงแต่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเปิดเผยขึ้นโดยปริยายและเขาจะสามารถเข้าใจ เช่นนี้เรียกว่า พรัทยัคชะฺ หรือสำเหนียกโดยตรง
คำว่า ดฺรัมยัมฺ หมายความว่า “วิถีทางแห่งศาสนา” อันที่จริงนาระดะเป็นบุตรของคนรับใช้ ไม่มีโอกาสไปโรงเรียน ท่านเพียงแต่ช่วยมารดา ด้วยความโชคดีที่มารดาถวายการรับใช้ต่อเหล่าสาวก เด็กน้อยนาระดะจึงได้รับโอกาสนี้ จาการคบสมาคมนี้ทำให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาทั้งหลาย จุดมุ่งหมายสูงสุดของศาสนาทั้งหมดคือการอุทิศเสียสละรับใช้ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัม (สะ ไว พุมสาม พะโร ดฺารโม ยะโท บัฺคธิร อโดฺคชะเจ)ฺ ผู้มีศาสนาโดยทั่วไปไม่รู้ว่าความสมบูรณ์สูงสุดของศาสนาคือบรรลุถึงการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกสุดท้ายของบทที่แปดว่า (เวเดชุ ยะกเยชุ ทะพะฮสุ ไชวะ)ฺ ความรู้พระเวทโดยทั่วไปจำเป็นต้องรู้แจ้งตนเอง แต่ ณ ที่นี้ถึงแม้ว่านาระดะไม่เคยไปโรงเรียนของพระอาจารย์ทิพย์ และไม่ได้รับการศึกษาในหลักธรรมพระเวท ท่านได้รับผลประโยชน์สูงสุดในการศึกษาคัมภีร์พระเวทวิธีการนี้มีพลังอำนาจมากแม้จะไม่ได้ปฏิบัติตามวิธีการทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ ท่านยังสามารถเจริญก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุด เช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร? วรรณกรรมพระเวทได้ยืนยันไว้เช่นกันว่า อาชารยะวาน พุรุโช เวดะฺ ผู้ที่คบหาสมาคมกับ อาชารยะฺผู้ยิ่งใหญ่ถึงแม้จะไม่ได้รับการศึกษาหรือไม่เคยศึกษาคัมภีร์พระเวท เขาก็สามารถคุ้นเคยกับความรู้ทั้งหมดเท่าที่จำเป็นเพื่อความรู้แจ้ง
วิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นวิธีที่มีความสุขมาก (สุ-สุคัฺม)ฺ เพราะเหตุใด? การอุทิศตนเสียสละรับใช้ประกอบด้วย ชระวะณัม คีรทะณัม วิชโณฮฺ ดังนั้น เราเพียงแต่สดับฟังและสวดภาวนาพระบารมีขององค์ภควาน หรือว่าไปสดับฟังปรัชญาเกี่ยวกับความรู้ทิพย์ที่ อาชารยะฺ ผู้เชื่อถือได้เป็นผู้ให้ เพียงแต่นั่งลงเราสามารถเรียนรู้จากนั้นก็รับประทานอาหารอันเอร็ดอร่อยที่เหลือจากการถวายให้องค์ภควานแล้ว ในทุก ๆ ระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นที่น่ารื่นรมย์ เราสามารถปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แม้อยู่ในสภาวะที่ยากจนที่สุด องค์ภควานตรัสว่า พัทรัม พุชพัม พฺะลัม โทยัมฺ พระองค์ทรงพร้อมที่จะรับการถวายทุกสิ่งทุกอย่างจากสาวกไม่ว่าจะเป็นอะไรแม้แต่ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้เพียงเล็กน้อย หรือน้ำเพียงนิดเดียวซึ่งมีอยู่ดาษดื่นทั่วไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก สิ่งเหล่านี้ใครก็สามารถถวายให้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะสังคมเช่นไร พระองค์จะทรงรับไว้หากถวายด้วยใจรัก มีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ว่าเพียงแต่ลิ้มรสใบทุละสีที่ถวายให้พระบาทรูปดอกบัวขององค์ภควานแล้ว นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น สะนัท-คุมาระ ได้กลายมาเป็นสาวกผู้ยิ่งใหญ่ ฉะนั้น วิธีการอุทิศตนเสียสละเป็นสิ่งที่ดีมาก และปฏิบัติได้ด้วยอารมณ์ที่มีความสุข องค์ภควานจะรับเฉพาะความรักที่ถวายให้พระองค์พร้อมกับเครื่องถวาย
ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า การอุทิศตนเสียสละรับใช้เช่นนี้มีอยู่ชั่วกัลปวสานซึ่งไม่เหมือนกับที่นักปราชญ์มายาวาดีอ้าง แม้ว่าบางครั้งพวกนี้รับเอาสิ่งที่สมมติว่าเป็นการอุทิศตนเสียสละรับใช้มาปฏิบัติ แต่แนวความคิดคือตราบเท่าที่ยังไม่หลุดพ้นต้องอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อไป เมื่อในที่สุดหลุดพ้นแล้วพวกเขา “จะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน” การอุทิศตนเสียสละรับใช้ชั่วครั้งชั่วคราวเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์ การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่แท้จริงจะทำอย่างต่อเนื่องแม้หลังจากได้รับความหลุดพ้นแล้ว เมื่อสาวกไปยังดาวเคราะห์ทิพย์ในอาณาจักรขององค์ภควาน ก็ยังปฏิบัติการรับใช้พระองค์อยู่ที่นั่น โดยมิบังอาจที่จะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน
ดังจะได้เห็นใน ภควัต-คีตาฺ ว่า การอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่แท้จริงเริ่มต้นหลังจากหลุดพ้นแล้ว หลังจากหลุดพ้นและสถิตในตำแหน่ง บระฮมันฺ แล้ว (บระฮ- มะ-บํูทะ)ฺ การอุทิศตนเสียสละรับใช้จึงเริ่มต้นขึ้น (สะมะฮ สาระเวชุ บํูเทชุ มัด-บัฺคธิม ละบฺะเท พะราม)ฺ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจองค์ภควานได้ด้วยการปฏิบัติ คารมะ- โยกะ. กยานะ-โยกะ, อัชทางกะ-โยกะฺ หรือปฏิบัตโยคะอื่น ๆ โดยเอกเทศ จากวิธีโยคะต่างๆ เหล่านี้ อาจเจริญขึ้นเล็กน้อยไปสู่ บัฺคธิ-โยกะฺ หากมาไม่ถึงระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เขาจะไม่สามารถเข้าใจว่าบุคลิกภาพแห่งองค์ภควานคืออะไรใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ได้ยืนยันไว้ว่า เมื่อได้รับความบริสุทธิ์จากการปฏิบัติตามวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ โดยเฉพาะจากการสดับฟัง ชรีมัด-บากะวะธัมฺ หรือ ภควัต-คีตาฺ จากดวงวิญญาณผู้รู้แจ้ง จึงสามารถเข้าใจศาสตร์แห่ง คริชณะหรือศาสตร์แห่งองค์ภควาน เอวัม พระสันนะ-มะนะโส บฺะกะวัด-บัฺคธิ-โยกะทะฮฺ เมื่อหัวใจบริสุทธิ์ขึ้นจากสิ่งไร้สาระทั้งหลาย ผู้นั้นจึงสามารถเข้าใจว่าองค์ภควานคืออะไรดังนั้น วิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกจึงเป็นราชาหรือเจ้าแห่งการศึกษาทั้งปวง เป็นราชาแห่งความรู้ที่เป็นความลับทั้งหมด เป็นรูปแบบของศาสนาที่บริสุทธิ์ที่สุด และสามารถปฏิบัติได้ด้วยความรื่นเริงโดยไม่ยากลำบาก ดังนั้น เราจึงควรรับมาปฏิบัติ
อัชรัดดะดฺานาฮ พุระชา
ดฺารมัสยาสยะ พะรันทะพะฺ
อัพราพยะ มาม นิวารทันเท
มริทยุ-สัมสาระ-วารทมะนิฺ
อัชรัดดะดฺานาฮฺ - พวกที่ไม่มีศรัทธา, พุรุชาฮฺ - บุคคลเหล่านี้, ดฺารมัสยะฺ - ไปสู่วิธีแห่งศาสนา, อัสยะฺ - นี้, พะรันทะพะฺ - โอ้ ผู้สังหารศัตรู, อัพราพยะฺ - ไม่ได้รับ, มามฺ - ข้า, นิวารทันเทฺ - กลับมา, มริทยฺุ - ของความตาย, สัมสาระฺ - ในความเป็นอยู่ทางวัตถุ, วารทมะนิฺ - บนวิธีทาง
คำแปลฺ
พวกที่ไม่ศรัทธาในการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ ไม่สามารถบรรลุถึงข้า โอ้ ผู้กำราบศัตรู ดังนั้น พวกเขาจะกลับมาอยู่บนหนทางแห่งการเกิดและการตายในโลกวัตถุนี้อีก
คำอธิบายฺ
ผู้ไม่ศรัทธาจะไม่สามารถประสบผลสำเร็จกับวิธีการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ นี่คือคำอธิบายของโศลกนี้ ความศรัทธาเกิดขึ้นจากการมาคบหาสมาคมกับสาวก คนอับโชคแม้หลังจากสดับฟังตามหลักฐานต่าง ๆ จากบุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่ในวรรณกรรมพระเวท ก็ยังไม่มีความศรัทธาในองค์ภควาน ยังลังเลใจ และไม่สามารถตั้งจิตมั่นอยู่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์ ดังนั้น ความศรัทธาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดเพื่อเจริญก้าวหน้าในคริชณะจิตสำนึก ใน เชธันญะ-ชะริทามริทะฺ ได้กล่าวไว้ว่า ความศรัทธาคือความมั่นใจอย่างสมบูรณ์ว่า จากการรับใช้องค์ภควานชรีคริชณะ เราสามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์ทั้งหลายทั้งปวง เช่นนี้เรียกว่าความศรัทธาที่แท้จริง ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (4.31.14)
ยะทฺา ทะโรร มูละ-นิเชชะเนนะ
ทริพยันทิ ทัท-สคันดฺะ-บํูโจพะชาคาฮฺ
พราโณพะฮาราช ชะ ยะเทฺนดริยาณาม
ทะไทฺวะ สารวารฮะณัม อัชยุเทจยาฺ
“จากการรดน้ำที่รากของต้นไม้ จะทำให้กิ่งก้านสาขาและใบต่าง ๆ ทั้งหมดได้รับความพึงพอใจ และจากการส่งอาหารไปที่ท้อง จะทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ทั้งหลายของร่างกายได้รับความพึงพอใจ ในทำนองเดียวกัน จากการปฏิบัติรับใช้ทิพย์ต่อองค์ภควานนี้จะทำให้เทวดาและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ทั้งหลายได้รับความพึงพอใจโดยปริยาย” ดังนั้น หลังจากอ่าน ภควัต-คีตาฺ แล้ว เราควรมาถึงจุดสรุปของ ภควัต-คีตาฺ ได้ในทันที เราควรยกเลิกการปฏิบัติอื่น ๆ ทั้งหมด และรับเอาวิธีการรับใช้ต่อองค์ภควานคริชณะมาปฏิบัติ หากมั่นใจเกี่ยวกับปรัชญาชีวิตเช่นนี้ นี่คือความศรัทธา
การพัฒนาความศรัทธานี้เป็นวิธีการของคริชณะจิตสำนึก บุคคลในคริชณะจิตสำนึกแบ่งออกเป็นสามระดับ ในระดับที่สามคือพวกไม่มีความศรัทธา ถึงแม้ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างเป็นทางการ พวกนี้ไม่สามารถบรรลุถึงระดับแห่งความสมบูรณ์สูงสุด เป็นไปได้อย่างมากว่าหลังระยะเวลาหนึ่งก็จะลื่นไถลตกลงไป พวกเขาอาจปฏิบัติรับใช้ แต่เนื่องจากไม่มีความมั่นใจและความศรัทธาอย่างสมบูรณ์ จึงเป็นสิ่งยากมากที่จะปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง เรามีประสบการณ์ภาคปฏิบัติว่า จากกิจกรรมเพื่อเผยแพร่คริชณะจิตสำนึก บางคนเข้ามาและปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึกด้วยแรงกระตุ้นบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ ทันทีที่ฐานะดีขึ้นจะยกเลิกวิธีการปฏิบัตินี้ และไปปฏิบัติตามวิถีทางเดิมอีกครั้งหนึ่ง ความศรัทธาเท่านั้นที่จะทำให้บุคคลเจริญก้าวหน้าในคริชณะจิตสำนึก เกี่ยวกับการพัฒนาความศรัทธา ผู้รอบรู้ในวรรณกรรมแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ และบรรลุถึงระดับแห่งความศรัทธาที่มั่นคงเรียกว่าบุคคลชั้นหนึ่งในคริชณะจิตสำนึก บุคคลชั้นสองคือพวกที่ไม่ค่อยเจริญก้าวหน้าเท่าใดนักในการเข้าใจพระคัมภีร์แห่งการอุทิศตนเสียสละ แต่มีความศรัทธาอย่างมั่นคงโดยปริยายว่า คริชณะ-บัฺคธิฺ หรือการรับใช้คริชณะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด และด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าจึงนำมาปฏิบัติ ดังนั้น พวกนี้ดีกว่าบุคคลชั้นสามที่ไม่มีทั้งความรู้ในพระคัมภีร์อย่างสมบูรณ์ และไม่มีความศรัทธา แต่เนื่องจากได้มาคบหาสมาคมและจากความเรียบง่ายจึงพยายามปฏิบัติตาม บุคคลชั้นสามในคริชณะจิตสำนึกอาจตกลงต่ำ แต่บุคคลชั้นสองจะไม่ตกลงต่ำ สำหรับบุคคลชั้นหนึ่งในคริชณะจิตสำนึกไม่มีโอกาสที่จะตกลงต่ำได้เลย และแน่นอนว่าจะเจริญก้าวหน้าจนบรรลุผลสำเร็จในที่สุด สำหรับบุคคลชั้นสามในคริชณะจิตสำนึก ถึงแม้ว่าจะมีความศรัทธาและมั่นใจว่าการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อคริชณะเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่ยังไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับคริชณะจากพระคัมภีร์ เช่น ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ และ ภควัต-คีตาฺ อย่างเพียงพอ บางครั้งบุคคลชั้นสามในคริชณะจิตสำนึกมีแนวโน้มไปสู่ คารมะ-โยกะฺ และ กยานะ-โยกะฺ บางครั้งพวกนี้รู้สึกหวั่นไหว แต่ทันทีที่โรคร้ายแห่ง คารมะ-โยกะฺ หรือ กยานะ-โยกะฺ ถูกขจัดไป จะกลายมาเป็นบุคคลชั้นสองหรือบุคคลชั้นหนึ่งในคริชณะจิตสำนึก ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ อธิบายว่าความศรัทธาในคริชณะแบ่งออกเป็นสามระดับ ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ภาคสิบเอ็ดได้อธิบายถึงความเชื่อมั่นชั้นหนึ่ง ความเชื่อมั่นชั้นสอง และความเชื่อมั่นชั้นสาม ไว้เช่นกันบุคคลผู้ไม่มีศรัทธาแม้หลังจากสดับฟังเกี่ยวกับคริชณะ และความดีเลิศแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ คิดว่าเป็นเพียงถ้อยคำสรรเสริญเท่านั้น จะพบว่าวิถีทางนี้ยากมาก ถึงแม้ดูเหมือนว่าปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ สำหรับบุคคลเช่นนี้มีความหวังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์ ดังนั้นความศรัทธาจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้
มะยา ทะทัม อิดัม สารวัม
จะกัด อัพยัคทะ-มูรทินาฺ
มัท-สทฺานิ สารวะ-บํูทานิ
นะ ชาฮัม เทชุ อวัสทิฺทะฮฺ
มะยาฺ - โดยข้า, ทะทัมฺ - แผ่กระจาย, อิดัมฺ - นี้, สารวัมฺ - ทั้งหมด, จะกัทฺ - ปรากฏการณ์ในจักรวาล, อัพยัคทะ-มูรทินาฺ - ด้วยรูปที่ไม่ปรากฏ, มัทฺ - สทฺานิฺ - ในข้า, สารวะฺ - บํูทานิฺ - มวลสิ่งมีชีวิต, นะฺ - ไม่, ชะฺ - เช่นกัน, อฮัมฺ - ข้า, เทชฺุ - ในพวกเขา, อวัสทิฺทะฮฺ - สถิต
คำแปลฺ
ตัวข้าในรูปลักษณ์ที่ไม่ปรากฏทำให้จักรวาลทั้งหมดนี้แผ่กระจายออกไป สิ่งมีชีวิตทั้งหมดอยู่ในข้า แต่ข้าไม่ได้อยู่ในพวกเขา
คำอธิบายฺ
เราไม่สามารถมองเห็นองค์ภควานด้วยประสาทสัมผัสวัตถุที่หยาบ กล่าวไว้ว่า
อทะฮ ชรี-คริชณะ-นามาดิ
นะ บฺะเวด กราฮยัม อินดริไยฮฺ
เสโวนมุคเฮ ฮิ จิฮวาโด
สวะยัม เอวะ สพุำระทิ อดะฮฺ
(Bhakti-rasāmṛta-sindhuฺ 1.2.234)
ประสาทสัมผัสวัตถุของเราไม่สามารถเข้าใจพระนาม ชื่อเสียง ลีลา ฯลฯ ขององค์ชรีคริชณะได้ ผู้ที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างบริสุทธิ์ภายใต้การแนะนำที่ถูกต้องเท่านั้นที่พระองค์จะทรงเปิดเผย ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ (5.38) กล่าวไว้ว่า เพรมานจะนะ- ชชํุริทะ-บัฺคธิ-วิโลชะเนนะ สันทะฮ สะไดวะ ฮริดะเยชุ วิโลคะยันทิฺ เราสามารถเห็นองค์ภควาน โกวินดะ อยู่เสมอทั้งภายในและภายนอกตัวเรา หากเราพัฒนาท่าทีแห่งความรักทิพย์ต่อพระองค์ ดังนั้น สำหรับบุคคลโดยทั่วไปจะไม่สามารถมองเห็นพระองค์ ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า ถึงแม้ทรงแผ่กระจายไปทั่ว ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง ประสาทสัมผัสวัตถุไม่สามารถเห็นพระองค์ได้ ได้แสดงไว้ ณ ที่นี้ด้วยคำพูด อัพยัคทะ-มูรทินาฺ แต่อันที่จริง ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถเห็นพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างพำนักอยู่ในพระองค์ ดังที่ได้อธิบายไว้ในบทที่เจ็ด ปรากฏการณ์ในจักรวาลวัตถุทั้งหมดเป็นเพียงการผสมผสานของพลังงานทั้งสองของพระองค์คือ พลังงานเบื้องสูงหรือพลังงานทิพย์ และพลังงานเบื้องต่ำหรือพลังงานวัตถุ ดังเช่น แสงอาทิตย์แผ่กระจายไปทั่วจักรวาล พลังงานขององค์ภควานทรงแผ่กระจายไปทั่วทั้งการสร้าง และทุกสิ่งทุกอย่างพำนักอยู่ในพลังงานนั้น
ถึงกระนั้นเราไม่ควรสรุปว่า เนื่องจากทรงแผ่กระจายไปทั่ว พระองค์ทรงสูญเสียความเป็นอยู่ส่วนพระองค์ เพื่อลบล้างข้อถกเถียงนี้องค์ภควานตรัสว่า “ข้าอยู่ทุกหนทุกแห่งและทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในข้า แต่ข้าก็ยังปลีกตัวออกห่าง” ตัวอย่างเช่นพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นผู้นำรัฐบาล รัฐบาลเป็นเพียงปรากฏการณ์แห่งพลังงานของพระเจ้าแผ่นดิน กระทรวงต่าง ๆ ของรัฐบาลเป็นพลังงานของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ละกระทรวงอิงอยู่กับอำนาจของพระเจ้าแผ่นดิน แต่เราก็ไม่คาดหวังว่าพระเจ้าแผ่นดินจะทรงปรากฏอยู่ที่ทุก ๆ กระทรวงด้วยพระองค์เอง นี่คือตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรม ในทำนองเดียวกัน ปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เราเห็นและทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ทั้งในโลกวัตถุนี้และในโลกทิพย์พำนักอยู่บนพลังงานของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า การสร้างเกิดขึ้นด้วยการแพร่กระจายพลังงานต่าง ๆ ของพระองค์ ดังที่ ภควัต-คีตาฺ ได้กล่าวไว้ วิชทับฺยาฮัม อิดัม คริทสนัมฺ พระองค์ทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งด้วยตัวแทนส่วนพระองค์ นั่นคือพลังงานต่าง ๆ ของพระองค์ที่แพร่กระจายไปทั่ว
นะ ชะ มัท-สทฺานิ บํูทานิ
พัสยะ เม โยกัม ไอชวะรัมฺ
บํูทะ-บฺริน นะ ชะ บํูทะ-สโทฺ
มะมาทมา บํูทะ-บฺาวะนะฮฺ
นะฺ - ไม่เคย, ชะฺ - เช่นกัน, มัท-สทฺานิฺ - สถิตในข้า, บํูทานิฺ - การสร้างทั้งหมด, พัสยะฺ - จงดู, เมฺ - ของข้า, โยกัม ไอชวะรัมฺ - อิทธิฤทธิ์ที่ไม่สามารถมองเห็น, บํูทะ-บฺริทฺ - ผู้บำรุงรักษาสิ่งมีชีวิตทั้งมวล, นะฺ - ไม่เคย, ชะฺ - เช่นกัน, บํูทะ-สทฺะฮฺ - ในปรากฏการณ์จักรวาล, มะมะฺ - ของข้า, อาทมาฺ - ตัวข้า, บํูทะ-บฺาวะนะฮฺ - แหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ทั้งหลาย
คำแปลฺ
ถึงกระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมามิได้พำนักอยู่ในข้า จงดูอิทธิฤทธิ์ความมั่งคั่งของข้า! ถึงแม้ว่าข้าคือผู้บำรุงรักษามวลชีวิต และถึงแม้ว่าข้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ข้าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางจักรวาลนี้ เพราะตัวข้าคือแหล่งกำเนิดของการสร้าง
คำอธิบายฺ
องค์ภควานตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างพำนักอยู่ที่พระองค์ (มัท-สทฺานิ-สารวะ- บํูทานิ)ฺ เช่นนี้ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง องค์ภควานทรงมิได้เข้ามายุ่งเกี่ยวโดยตรงกับการดำรงรักษาและค้ำจุนปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ บางครั้งเราเห็นภาพแอทลาสหรือเทพเจ้ากรีกแบกโลกใบนี้อยู่บนบ่า ดูเหมือนว่าท่านเหนื่อยมากที่แบกโลกทั้งโลกอันยิ่งใหญ่นี้ ภาพเช่นนี้ไม่ควรนำมาแสดงในความสัมพันธ์กับคริชณะเกี่ยวกับการค้ำจุนจักรวาลที่สร้างขึ้นมานี้ พระองค์ตรัสว่า ถึงแม้ทุกสิ่งทุกอย่างพำนักพักพิงอยู่ที่พระองค์ตัวพระองค์เองก็ยังอยู่ห่างออกไป ระบบดาวเคราะห์ต่าง ๆ ลอยอยู่ในนภากาศ และนภากาศนี้เป็นพลังงานขององค์ภควาน แต่พระองค์ทรงแตกต่างไปจากนภากาศ และประทับอยู่ที่อื่น ฉะนั้น ทรงตรัสว่า “ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้สถิตอยู่ที่พลังงานอันไม่สามารถมองเห็นได้ของข้า ในฐานะที่เป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ข้าก็อยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้” นี่คือความมั่งคั่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ขององค์ภควาน
ในพจนานุกรม พระเวท นิรุคทิฺ กล่าวว่า ยุจยะเท เนนะ ดุรกฺะเทชุ คารเยชุ ”องค์ฺภควานทรงแสดงลีลาอันน่าอัศจรรย์ที่ไม่สามารถสำเหนียกได้เพื่อทรงแสดงพลังอำนาจของพระองค์” บุคลิกของพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพลังงานนานัปการ และความมุ่งมั่นของพระองค์เป็นสัจจะที่แท้จริงอยู่ในตัว เช่นนี้จึงเข้าใจบุคลิกภาพแห่งองค์ภควานได้ เราอาจคิดจะทำบางสิ่งบางอย่างแต่ก็มีอุปสรรคมากมาย บางครั้งเราไม่สามารถทำสิ่งที่เราชอบได้ แต่เมื่อคริชณะทรงปรารถนาจะทำสิ่งใด พระองค์ทรงเพียงแต่ปรารถนาทุกสิ่งทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างสมบูรณ์จนเราไม่สามารถจินตนาการว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรองค์ภควานทรงอธิบายสัจธรรมนี้ ถึงแม้ว่าทรงเป็นผู้ดำรงรักษาและค้ำจุนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติทั้งหมด พระองค์ทรงมิได้แตะต้องปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ เพียงแต่ทรงปรารถนาทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกสร้างขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการค้ำจุน ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการดำรงรักษา และทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกทำลายลง ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างจิตใจและพระวรกายของพระองค์ (เหมือนกับที่มีข้อแตกต่างระหว่างตัวเราและจิตวัตถุปัจจุบันของเรา) เพราะทรงเป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ พระองค์ทรงปรากฏอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม ๆ กัน เช่นนี้ คนธรรมดาสามัญทั่วไปไม่สามารถเข้าใจว่าทรงปรากฏด้วยพระวรกายของพระองค์เองได้อย่างไร พระองค์ทรงแตกต่างจากปรากฏการณ์ทางวัตถุนี้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็พำนักพักพิงอยู่ที่พระองค์ ได้อธิบายไว้ ณ ที่นี้ว่าเป็น โยกัม ไอชวะรัมฺ หรือพลังอิทธิฤทธิ์ขององค์ภควาน
ยะทฺาคาชะ-สทิฺโท นิทยัม
วายุฮ สารวะทระ-โก มะฮานฺ
ทะทฺา สารวาณิ บูทานิ
มัท-สทฺานีทิ อุพะดฺาระยะฺ
ยะทฺาฺ - เหมือนกับ, อาคารชะ-สทิฺทะฮฺ - สถิตในท้องฟ้า, นิทยัมฺ - เสมอ, วายุฮ-ลม,สารวะทระ-กะฮ-พัดไปทุกแห่ง, มะฮานฺ - ยิ่งใหญ่, ทะทฺาฺ - ในทำนองเดียวกัน, สารวาณิ บํูทานิฺ - สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้นมา, มัท-สทฺานิฺ - สถิตในข้า, อิทิฺ - ดังนั้น, อุพะดฺาระยะฺ - พยายามเข้าใจ
คำแปลฺ
จงเข้าใจว่า เสมือนดั่งพลังของลมที่พัดไปทุกหนทุกแห่ง แต่ยังพักพิงอยู่ในท้องฟ้าเสมอ มวลชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาก็พักพิงอยูในข้า
คำอธิบายฺ
สำหรับคนธรรมดาทั่วไปเกือบมองไม่เห็นว่าการสร้างทางวัตถุอันมหึมานี้พักพิงอยู่ในองค์ภควานได้อย่างไร แต่พระองค์ทรงให้ตัวอย่างซึ่งอาจช่วยให้พวกเราเข้าใจได้ ท้องฟ้าอาจเป็นปรากฏการณ์ใหญ่ที่สุดที่พวกเราสำเหนียกได้ และในท้องฟ้าลมหรืออากาศเป็นปรากฏการณ์ใหญ่ที่สุดในโลกจักรวาล การเคลื่อนไหวของลมมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงแม้ว่าลมนั้นยิ่งใหญ่ก็ยังสถิตภายในท้องฟ้า ลมมิได้อยู่นอกเหนือไปจากท้องฟ้า ในทำนองเดียวกัน ปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ในจักรวาลเกิดขึ้นได้ด้วยความปรารถนาสูงสุดขององค์ภควาน และทั้งหมดอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาแห่งความปรารถนาสูงสุดของพระองค์ ดังที่พวกเราทั่วไปจะกล่าวว่า แม้แต่ใบหญ้าไม่อาจเคลื่อนไหวได้หากปราศจากซึ่งความปรารถนาขององค์ภควาน ดังนั้น จากความปรารถนาของพระองค์ทุกสิ่งทุกอย่างได้รับการดำรงรักษาไว้และทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำลายลง ถึงกระนั้น พระองค์ยังทรงอยู่ห่างจากทุกสิ่งทุกอย่างดังเช่นท้องฟ้าอยู่ห่างจากกระแสของลมฉันใด
ได้กล่าวไว้ใน อุพะนิชัดฺ ว่า ยัด-บีฺชา วาทะฮ พะวะเทฺ “ลมที่พัดไปก็เนื่องมาจากความกลัวองค์ภควาน” (ไทททิรียะ อุพะนิชัด 2.8.1)ฺ ใน บริฮัด-อารัณยะคะ อุพะ- นิชัดฺ (3.8.9) กล่าวไว้ว่า เอทัสยะ วา อัคชะรัสยะ พระชาสะเน การกิ สูรยะ-ชันดระมะโส วิดฮริโท ทิชทฺะทะ เอทัสยะ วา อัคชะรัสยะ พระชาสะเน การกิ ดยาพ-อาพริทิพโย วิด ฮริโท ทิชทฺะทะฮฺ “โดยคำสั่งสูงสุด ภายใต้การควบคุมขององค์ภควาน ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ยิ่งใหญ่อื่น ๆ จึงเคลื่อนไหว” ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ (5.52) กล่าวไว้เช่นกันว่า
ยัช-ชัคชุร เอชะ สะวิทา สะคะละ-กระฮาณามฺ
ราจา สะมัสทะ-สุระ-มูรทิร อเชชะ-เทจาฮฺ
ยัสยากยะยา บฺระมะทิ สัมบฺริทะ-คาละ-ชัคโรฺ
โกวินดัม อาดิ-พุรุชัม ทัม อฮัม บฺะจามิฺ
นี่คือคำอธิบายเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์ กล่าวไว้ว่า ดวงอาทิตย์ถือว่าเป็นพระเนตรข้างหนึ่งขององค์ภควาน และมีพลังอำนาจมหาศาลในการกระจายความร้อนและแสง ถึงกระนั้น ดวงอาทิตย์ก็โคจรไปตามหน้าที่ด้วยคำสั่งและความปรารถนาสูงสุดขององค์โกวินดะ ฉะนั้น จากวรรณกรรมพระเวทเราพบหลักฐานว่า ปรากฏการณ์ทางวัตถุที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์และยิ่งใหญ่มากนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมอันสมบูรณ์ของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า จะอธิบายในโศลกต่อ ๆ ไปของบทนี้
สารวะ-บํูทานิ คะอุนเทยะ
พระคริทิม ยานทิ มามิคามฺ
คัลพะ-คชะเย พุนัส ทานิ
คัลพาโด วิสริจามิ อฮัมฺ
สารวะ-บํูทานิฺ - สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ถูกสร้างขึ้นมา, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, พระคริทิมฺ - ธรรมชาติ, ยานทิฺ - เข้า, มามิคามฺ - ของข้า, คัลพะ-คชะเยฺ - ตอนสิ้นกัป, พุนะฮฺ - อีกครั้งหนึ่ง, ทานิฺ - พวกเขาทั้งหมด, คัลพะ-อาโดฺ - ในตอนต้นของกัป, วิสริจามิฺ - สร้าง, อฮัมฺ - ข้า
คำแปลฺ
โอ้ โอรสพระนางคุนที ในตอนสิ้นกัปปรากฏการณ์ทางวัตถุทั้งหมดเข้าไปในธรรมชาติของข้า และในตอนเริ่มต้นของอีกกัปหนึ่ง ข้าสร้างทั้งหมดอีกครั้งด้วยพลังอำนาจของข้า
คำอธิบายฺ
การสร้าง การบำรุงรักษา และการทำลาย ปรากฏการณ์ในจักรวาลวัตถุนี้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาสูงสุดขององค์ภควานโดยสมบูรณ์ “ตอนสิ้นกัป” หมายถึงตอนที่พระพรหมสิ้นชีวิต พระพรหมมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยปี หนึ่งวันของพระพรหมคำนวณได้4,300,000,000 ปีของโลกเรา คืนหนึ่งของพรพรหมก็มีระยะเวลายาวเท่ากันนี้ เดือนหนึ่งของพระพรหมประกอบไปด้วยสามสิบวันและสามสิบคืนเช่นนี้ และปีหนึ่งของพระพรหมมีสิบสองเดือนเช่นนี้ หลังจากหนึ่งร้อยปี เมื่อพระพรหมสวรรคตการทำลายล้างก็เกิดขึ้น เช่นนี้หมายความว่าพลังงานที่ปรากฏขึ้นโดยองค์ภควานจะม้วนกลับเข้าไปในพระวรกายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเมื่อมีความจำเป็นที่จะให้โลกจักรวาลปรากฏออกมา ความปรารถนาของพระองค์ทรงทำให้บังเกิดขึ้น บะฮุ สยามฺ “ถึงแม้ข้าเป็นหนึ่ง ข้าจะกลายมาเป็นหลากหลาย” นี่คือคำพังเพยพระเวท (ชฺานโดกยะ อุพะนิชัดฺ 6.2.3) พระองค์ทรงแบ่งแยกพระวรกายของพระองค์ไปในพลังงานวัตถุนี้และปรากฏการณ์ในจักรวาลทั้งหมดจะปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
พระคริทิม สวาม อวัชทัฺบยะ
วิสริจามิ พุนะฮ พุนะฮฺ
บํูทะ-กรามัม อิมัม คริทสนัม
อวะชัม พระคริเทร วะชาทฺ
พระคริทิมฺ - ธรรมชาติวัตถุ, สวามฺ - ของตัวข้าเอง, อวัชทัฺบยะฺ - เข้าไปข้างใน, วิสริจามิฺ - ข้าสร้าง, พุนะฮ พุนะฮฺ - ครั้งแล้วครั้งเล่า, บํูทะ-กรามัมฺ - ปรากฏการณ์ทางจักรวาลทั้งหมด, อิมัมฺ - เหล่านี้, คริทสนัมฺ - ในทั้งหมด, อวะชัมฺ - โดยปริยาย, พระคริเทฮฺ - ด้วยพลังของธรรมชาติ, วะชาทฺ - ภายใต้หน้าที่
คำแปลฺ
ปรากฏการณ์ในจักรวาลทั้งหมดอยู่ภายใต้ข้า ด้วยความปรารถนาของข้าปรากฏการณ์จึงเกิดขึ้นโดยปริยายครั้งแล้วครั้งเล่า และด้วยความปรารถนาของข้ามันก็ถูกทำลายลงในตอนจบ
คำอธิบายฺ
โลกวัตถุนี้เป็นปรากฏการณ์ของพลังงานเบื้องต่ำขององค์ภควาน ได้อธิบายไว้แล้วหลายครั้ง ตอนสร้าง พลังงานวัตถุถูกปล่อยออกมาเป็น มะฮัท-ทัททวะฺ ซึ่งองค์ภควานในอวตาร พุรุชะฺ องค์แรกเป็น มะฮา-วิชณฺุ เสด็จเข้าไป พระองค์ทรงประทับอยู่ในมหาสมุทรแหล่งกำเนิด และทรงหายใจออกมาเป็นจักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วน ภายในแต่ละจักรวาลองค์ภควานเสด็จเข้าไปเป็น การโบฺดะคะชายี วิชณฺุ แต่ละจักรวาลถูกสร้างขึ้นมาเช่นนี้ จากนั้นพระองค์ยังทรงปรากฏในรูปของ คชีโรดะคะชายี วิชณฺุ และเสด็จเข้าไปในทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ในละอองอณูที่เล็กที่สุด ความจริงนี้ได้อธิบายไว้ ณ ที่นี้ พระองค์ทรงเสด็จเข้าไปในสรรพสิ่ง
จากนั้น สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ปฏิสนธิภายในธรรมชาติวัตถุนี้ ตามผลกรรมในอดีตแต่ละชีวิตจึงมาอยู่ในสภาวะที่ไม่เหมือนกัน เช่นนี้ กิจกรรมของโลกวัตถุจึงเริ่มขึ้นกิจกรรมต่าง ๆ ของเผ่าพันธุ์ชีวิตอันหลากหลายเริ่มต้นจากจุดแรกแห่งการสร้าง มิใช่ว่าทั้งหมดเป็นวิวัฒนาการ เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ของชีวิตถูกสร้างขึ้นมาทันทีพร้อมกับจักรวาลมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน นก ทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ทุกสิ่งที่สิ่งมีชีวิตปรารถนาในตอนทำลายล้างครั้งสุดท้าย จะปรากฏออกมาอีกครั้งหนึ่ง ได้แสดงไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ด้วยคำว่า อวะชัมฺ ว่าสิ่งมีชีวิตไม่เกี่ยวข้องกับกรรมวิธีนี้ ความเป็นอยู่ในชาติก่อนจากการสร้างในครั้งก่อนจะปรากฏออกมาอีกครั้งหนึ่ง และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยความปรารถนาขององค์ภควาน นี่คือพลังงานที่ไม่สามารถมองเห็นได้ของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า และหลังจากสร้างเผ่าพันธุ์ชีวิตต่าง ๆ พระองค์ทรงไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา การสร้างเกิดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกต่อแนวโน้มต่าง ๆ ที่สิ่งมีชีวิตปรารถนา ดังนั้น องค์ภควานทรงมิได้มายุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
นะ ชะ มาม ทานิ คารมาณิ
นิบัดฺนันทิ ดฺะนันจะยะฺ
อุดาสีนะ-วัด อาสีนัม
อสัคทัม เทชุ คารมะสฺุ
นะฺ - ไม่เคย, ชะฺ - เช่นกัน, มามฺ - ข้า, ทานิฺ - เหล่านี้ทั้งหมด, คารมาณิฺ - กิจกรรมต่าง ๆ, นิบัดฺนันทิฺ - ผูกมัด, ดฺะนันจะยะฺ - โอ้ ผู้ชนะความร่ำรวย, อุดาสีนะ-วัทฺ - เป็นกลาง, อาสีนัมฺ - สถิต, อสัคทัมฺ - ไม่ยึดติด, เทชฺุ - สำหรับสิ่งเหล่านั้น, คารมะสฺุ - กิจกรรม
คำแปลฺ
โอ้ ดฺะนันจะยะ งานทั้งหลายเหล่านี้ไม่สามารถผูกมัดข้า ข้าไม่ยึดติดกับกิจกรรมทางวัตถุทั้งหลายเหล่านี้ สถิตประหนึ่งเป็นกลาง
คำอธิบายฺ
เกี่ยวกับประเด็นนี้ เราไม่ควรคิดว่าองค์ภควานทรงไม่มีอะไรทำ ในโลกทิพย์ของพระองค์ทรงมีกิจกรรมเสมอ ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ (5.6) กล่าวไว้ว่า อาทมา รามัสยะ ทัสยาสทิ พระคริทยา นะ สะมากะมะฮฺ “องค์ภควานทรงเพลิดเพลินอยู่กับกิจกรรมทิพย์อันเป็นอมตะและสุขเกษมสำราญอยู่เสมอ แต่พระองค์ทรงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางวัตถุเหล่านี้” กิจกรรมทางวัตถุดำเนินไปด้วยพลังงานต่าง ๆของพระองค์ องค์ภควานทรงเป็นกลางในกิจกรรมทางวัตถุของโลกที่ถูกสร้างขึ้นมานี้ความเป็นกลางที่กล่าวไว้ ณ ที่นี้ด้วยคำ อุดาสีนะ-วัทฺ ถึงแม้ว่าทรงควบคุมรายละเอียดต่าง ๆ ของกิจกรรมทางวัตถุ แต่พระองค์ยังทรงประทับอยู่ประหนึ่งเป็นกลาง ตัวอย่างเช่น ผู้พิพากษาศาลสูงสุดประทับอยู่ที่บัลลังก์ ด้วยคำสั่งของท่านหลายสิ่งหลายอย่างบังเกิดขึ้น บางคนถูกแขวนคอ บางคนถูกจับเข้าคุก บางคนได้รับรางวัลมูลค่ามหาศาลแต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังเป็นกลาง โดยมิได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดลักษณะเดียวกัน องค์ภควานทรงเป็นกลางอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าพระหัตถ์ของพระองค์ทรงอยู่ในทุก ๆ อาณาบริเวณของกิจกรรม ใน เวดานธะ-สูทระฺ (2.1.34) กล่าวว่า ไวชัมยะ -ไนรกฺริณเย นะฺ พระองค์ทรงมิได้สถิตในสิ่งคู่ของโลกวัตถุนี้ ทรงเป็นทิพย์เหนือสิ่งคู่เหล่านี้ และทรงไม่ยึดติดกับการสร้างและการทำลายของโลกวัตถุนี้ สิ่งมีชีวิตได้รับร่างต่างๆในเผ่าพันธุ์ชีวิตมากมายตามกรรมเก่า และองค์ภควานทรงมิได้ไปรบกวนพวกเขา
มะยาดฺยัคเชณะ พระคริทิฮ
สูยะเท สะ-ชะราชะรัมฺ
เฮทุนาเนนะ คะอุนเทยะ
จะกัด วิพะริวารทะเทฺ
มะยาฺ - โดยข้า, อัดฺยัคเชณะฺ - โดยผู้อำนวยการ, พระคริทิฮฺ - ธรรมชาติวัตถุ, สูยะเทฺ - ปรากฏ, สะฺ - ทั้งสอง, ชะระ-อชะรัมฺ - เคลื่อนไหวและไม่เคลื่อนไหว, เฮทุนาฺ - เพื่อเหตุผล, อเนนะฺ - นี้, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, จะกัดฺ - ปรากฏการณ์ทางจักรวาล, วิพะ ริวารทะเทฺ - ทำงาน
คำแปลฺ
ธรรมชาติวัตถุซึ่งเป็นหนึ่งในพลังงานอันหลากหลายของข้านี้ ทำงานภายใต้คำสั่งของข้า โอ้ โอรสพระนางคุนที ได้ผลิตมวลชีวิตทั้งเคลื่อนไหวได้และเคลื่อนไหวไม่ได้ ภายใต้กฎของตัวมันเอง ปรากฏการณ์แห่งการสร้างและการทำลายนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
คำอธิบายฺ
ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า องค์ภควานถึงแม้ทรงอยู่ห่างจากกิจกรรมของโลกวัตถุทั้งหลายเหล่านี้ ยังทรงเป็นผู้กำกับสูงสุด ทรงเป็นผู้ปรารถนาสูงสุด และทรงเป็นเบื้องหลังของปรากฏการณ์ทางวัตถุนี้ แต่การบริหารดำเนินไปโดยธรรมชาติวัตถุ คริชณะตรัสใน ภควัต-คีตาฺ เช่นกันว่า บรรดามวลชีวิตในรูปร่างและเผ่าพันธุ์ต่างๆ“ข้าคือพระบิดา” พระบิดาให้เมล็ดพันธุ์ไปในครรภ์ของมารดาเพื่อกำเนิดลูกน้อย ในทำนองเดียวกัน องค์ภควานทรงเพียงแต่ชำเลืองมองก็ทรงส่งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเข้าไปในครรภ์ของธรรมชาติวัตถุ และพวกเขาออกมาในรูปร่างและเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ กันตามความปรารถนาและกิจกรรมในชาติก่อน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านี้ ถึงแม้เกิดภายใต้การชำเลืองมองขององค์ภควาน ได้รับร่างกายต่าง ๆ ตามกรรมและความปรารถนาของตนในอดีต ดังนั้น พระองค์ทรงมิได้ยึดติดกับการสร้างทางวัตถุนี้โดยตรง ทรงเพียงแต่ชำเลืองมองไปที่ธรรมชาติวัตถุ จากนั้น ธรรมชาติวัตถุก็ได้รับการกระตุ้นและทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกสร้างขึ้นมาทันที เนื่องจากที่พระองค์ทรงชำเลืองมองไปที่ธรรมชาติวัตถุจึงมีกิจกรรมในส่วนขององค์ภควานอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทรงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการสร้างโลกวัตถุโดยตรง ตัวอย่างนี้ได้ให้ไว้ใน สมริทิฺ เมื่อมีดอกไม้หอมต่อหน้าผู้ใด กลิ่นหอมได้ถูกสัมผัสโดยพลังในการดมกลิ่นของบุคคล ถึงกระนั้น ทั้งกลิ่นและดอกไม้ไม่ได้ติดกัน มีความสัมพันธ์ในทำนองเดียวกันนี้ระหว่างโลกวัตถุและองค์ภควาน อันที่จริงพระองค์ทรงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับโลกวัตถุนี้ แต่ทรงสร้างด้วยการชำเลืองมอง และการดลบันดาล โดยสรุปคือ ปราศจากการดูแลขององค์ภควานธรรมชาติวัตถุจะทำอะไรไม่ได้เลย ถึงกระนั้น องค์ภควานทรงอยู่ห่างจากกิจกรรมทางวัตถุทั้งหลายทั้งปวง
อวะจานันทิ มาม มูดฺา
มานุชีม ทะนุม อาชริทัมฺ
พะรัม บฺาวัม อจานันโท
มะมะ บํํูทะ-มะเฮชวะรัมฺ
อวะจานันทิฺ - เย้ยหยัน, มามฺ - ข้า, มูดฺาฮฺ - คนโง่, มานุชีมฺ - ในร่างมนุษย์, ทะนุมฺ - ร่างกาย, อาชริทัมฺ - ลงมา, พะรัมฺ - ทิพย์, บฺาวัมฺ - ธรรมชาติ, อจานันทะฮฺ - ไม่รู้, มะมะฺ - ของข้า, บํูทะฺ - ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น, มะฮา-อีชวะรัมฺ - เจ้าของสูงสุด
คำแปลฺ
คนโง่เขลาเย้ยหยันข้าเมื่อข้าลงมาในร่างมนุษย์ พวกเขาไม่รู้ธรรมชาติทิพย์ของข้าในฐานะที่เป็นองค์ภควานของสรรพสิ่ง
คำอธิบายฺ
จากคำอธิบายของโศลกก่อน ๆ ในบทนี้ เป็นที่กระจ่างชัดว่าองค์ภควานถึงแม้ทรงปรากฏเหมือนกับมนุษย์ แต่ทรงมิใช่มนุษย์ธรรมดา พระองค์ทรงเป็นผู้กำกับการสร้าง การดำรงรักษา และการทำลายล้างปรากฏการณ์ในจักรวาลโดยสมบูรณ์จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นมนุษย์ธรรมดา ถึงกระนั้น ยังมีคนโง่เขลาหลายคนที่พิจารณาว่าคริชณะทรงเป็นเพียงมนุษย์ผู้มีอำนาจคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ อันที่จริงพระองค์ทรงเป็นภควานองค์เดิม ดังที่ได้ยืนยันไว้ใน บระฮมะ-สัมฮิทา (อีชวะระฮ พะระมะฮ คริชณะฮ)ฺ ว่า พระองค์ทรงเป็นองค์ภควาน
มี อีชวะระฺ หรือผู้ควบคุมมากมาย บางคนดูเหมือนยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น ในการบริหารธรรมดาทั่วไปในโลกวัตถุ เราพบว่ามีเจ้าหน้าที่หรือผู้กำกับ เหนือกว่าเขามีเลขานุการ เหนือกว่าเลขานุการมีรัฐมนตรี และเหนือกว่ารัฐมนตรีมีนายกรัฐมนตรีแต่ละท่านเป็นผู้ควบคุม แต่คนหนึ่งจะถูกอีกคนหนึ่งควบคุม ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ กล่าวว่า คริชณะทรงเป็นผู้ควบคุมสูงสุด มีผู้ควบคุมมากมายทั้งในโลกวัตถุและโลกทิพย์โดยไม่ต้องสงสัย แต่คริชณะทรงเป็นผู้ควบคุมสูงสุด (อีชวะระฮ พะระมะฮ คริชณะฮ)ฺและพระวรกายของพระองค์ทรงเป็น สัช-ชิด-อานันดะฺ ไม่ใช่วัตถุ
ร่างวัตถุไม่สามารถแสดงกิจกรรมอันน่าอัศจรรย์ ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกก่อนหน้านี้ พระวรกายของพระองค์ทรงเป็นอมตะ มีความสุขเกษมสำราญ และเปี่ยมไปด้วยความรู้ ถึงแม้ทรงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา คนโง่เขลายังเยาะเย้ยพระองค์และพิจารณาว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ พระวรกายของพระองค์เรียก ณ ที่นี้ว่า มานุชีมฺ เพราะทรงแสดงเหมือนกับมนุษย์ เป็นเพื่อนของอารจุนะ เป็นนักการเมืองที่เกี่ยวข้องในสมรภูมิคุรุคเชทระ ในหลาย ๆ ด้านทรงกระทำตัวเหมือนกับมนุษย์สามัญธรรมดา แต่อันที่จริงพระวรกายของพระองค์ทรงเป็น สัช-ชิด-อานันดะ-วิกระฮะฺ สุขเกษมสำราญนิรันดรและมีความรู้ที่สมบูรณ์บริบูรณ์ เช่นนี้ได้ยืนยันไว้ในภาษาพระเวทเช่นกันว่า สัช-ชิด- อานันดะ-รูพายะ คริชณายะฺ “ข้าขอถวายความเคารพอย่างสูงแด่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์คริชณะผู้ทรงมีรูปลักษณ์ที่สุขเกษมสำราญนิรันดรแห่งความรู้” (โกพาละ- ทาพะนี อุพะนิชัดฺ 1.1) มีคำพรรณนาอื่น ๆ ในภาษาพระเวทเช่นกันว่า ทัม เอคัม โกวินดัมฺ“พระองค์ทรงเป็นโกวินดะ ผู้ให้ความสุขแก่ประสาทสัมผัสและฝูงวัว” สัช-ชิด-อานันดะ -วิกระฮัมฺ “และรูปลักษณ์ของพระองค์ทรงเป็นทิพย์เปี่ยมไปด้วยความรู้ ความสุขเกษมสำราญ และเป็นนิรันดร” (โกพาละ-ทาพะนี อุพะนิชัดฺ 1.35)
ถึงแม้ว่าคุณสมบัติทิพย์ต่าง ๆ แห่งพระวรกายของคริชณะทรงเปี่ยมไปด้วยความสุขเกษมสำราญและความรู้ ยังมีผู้ที่สมมติว่าเป็นนักวิชาการและนักวิจารณ์ ภควัต-คีตาฺ มากมายที่เย้ยหยันว่าคริชณะทรงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา นักวิชาการอาจเกิดมาเป็นมนุษย์พิเศษ เนื่องมาจากกรรมดีของตนในอดีต แต่แนวคิดเกี่ยวกับชรีคริชณะเช่นนี้อันเนื่องมาจากด้อยความรู้ ดังนั้น จึงถูกเรียกว่า มูดฺะฺ เพราะคนโง่เขลาเท่านั้นที่พิจารณาว่าคริชณะทรงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา คนโง่เขลาพิจารณาว่าคริชณะเป็นคนธรรมดา เพราะไม่รู้กิจกรรมส่วนพระองค์ และพลังงานอันหลากหลายของพระองค์ พวกเขาไม่รู้ว่าพระวรกายของคริชณะทรงเป็นเครื่องหมายแห่งความรู้และความสุขเกษมสำราญอย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่และพระองค์ทรงสามารถให้อิสรภาพแด่ทุกคน เนื่องจากไม่รู้ว่าคริชณะทรงมีคุณสมบัติทิพย์มากมาย พวกนี้จึงเย้ยหยันพระองค์
พวกเขาไม่รู้ว่าการปรากฏขององค์ภควานในโลกวัตถุนี้เป็นปรากฏการณ์ของพลังงานเบื้องสูงของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นเจ้าแห่งพลังงานวัตถุ ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วหลายแห่ง (มะมะ มายา ดุรัทยะยาฺ) ทรงอ้างว่าพลังงานวัตถุแม้มีพลังอำนาจมากก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ ผู้ใดที่ศิโรราบต่อองค์ภควานจะสามารถหลุดออกไปจากการควบคุมของพลังงานวัตถุนี้ได้ หากดวงวิญญาณศิโรราบต่อคริชณะสามารถหลุดออกไปจากอิทธิพลของธรรมชาติวัตถุแล้ว องค์ภควานผู้ทรงเป็นผู้กำกับการสร้างการดำรงรักษา และการทำลายล้างธรรมชาติจักรวาลทั้งหมดจะมีร่างกายวัตถุเหมือนพวกเราได้อย่างไร? ฉะนั้น แนวความคิดเกี่ยวกับคริชณะเช่นนี้โง่เขลาเบาปัญญาที่สุดอย่างไรก็ดี คนโง่ ๆ ไม่สามารถสำเหนียกว่าองค์ภควานคริชณะผู้ทรงปรากฏเหมือนมนุษย์ธรรมดา สามารถเป็นผู้ควบคุมละอองอณูทั้งหมดและปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่แห่งรูปลักษณ์จักรวาลได้อย่างไร ความยิ่งใหญ่ที่สุดและเล็กที่สุดอยู่เหนือแนวความคิดของพวกเขา ดังนั้น จึงไม่สามารถจินตนาการว่ารูปลักษณ์ของมนุษย์เช่นนี้สามารถควบคุมสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดและสิ่งที่เล็กที่สุดในขณะเดียวกันได้อย่างไร อันที่จริงถึงแม้ทรงควบคุมสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดและสิ่งที่เล็กสุด พระองค์ทรงอยู่ห่างจากปรากฏการณ์เหล่านี้ทั้งหมด ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับ โยกัม ไอชวะรัมฺ ซึ่งเป็นพลังงานทิพย์ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ของพระองค์ว่า ทรงสามารถควบคุมสิ่งที่ไม่จำกัด และสิ่งที่เล็กที่สุดพร้อม ๆ กัน และทรงสามารถอยู่ห่างจากสิ่งเหล่านี้ ถึงแม้ว่าคนโง่เขลาไม่สามารถจินตนาการว่าคริชณะผู้ทรงปรากฏเหมือนมนุษย์ธรรมดาสามารถควบคุมสิ่งที่ไม่มีขอบเขตจำกัดและสิ่งที่เล็กที่สุด สาวกผู้บริสุทธิ์ยอมรับเช่นนี้ เพราะทราบดีว่าคริชณะคือองค์ภควาน ฉะนั้น สาวกศิโรราบต่อพระองค์โดยดุษฎี และปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึกด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้
มีข้อขัดแย้งระหว่างพวกไม่เชื่อในรูปลักษณ์และพวกที่เชื่อในรูปลักษณ์เกี่ยวกับการปรากฏขององค์ภควานในรูปร่างมนุษย์ แต่หากเรามาปรึกษากับ ภควัต-คีตาฺและ ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ คัมภีร์ที่เชื่อถือได้ เพื่อให้เข้าใจศาสตร์แห่งองค์คริชณะ เช่นนี้เราจะสามารถเข้าใจว่า คริชณะคือองค์ภควาน พระองค์ทรงมิใช่มนุษย์ธรรมดา แม้ทรงปรากฏบนโลกนี้เหมือนมนุษย์ธรรมดา ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ภาคหนึ่งบทที่หนึ่ง เมื่อเหล่านักปราชญ์ที่นำโดยโชนะคะถามเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ของคริชณะ โดยกล่าวว่า
คริทะวาน คิละ คารมาณิ
สะฮะ ราเมณะ เคชะวะฮฺ
อทิ-มารทยานิ บฺะกะวาน
กูดฺะฮ คะพะทะ-มาณุชะฮฺ
“องค์ภควานชรีคริชณะพร้อมทั้งบะละรามะทรงเล่นเหมือนมนุษย์ ในบทบาทนี้พระองค์ทรงแสดงกิจกรรมเหนือมนุษย์มากมาย” (ช.บ.ฺ 1.1.20) การปรากฏขององค์ภควานในฐานะที่เป็นมนุษย์ทำให้คนโง่เขลาสับสน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถกระทำสิ่งอันน่าอัศจรรย์ที่คริชณะทรงแสดงขณะที่ปรากฏอยู่บนโลกนี้ เมื่อคริชณะทรงปรากฏต่อหน้าพระบิดาและพระมารดา วะสุเดวะและเดวะคี พระองค์ทรงปรากฏในรูปสี่กร แต่หลังจากที่พระบิดาและพระมารดาถวายบทมนต์ พระองค์ทรงเปลี่ยนร่างมาเป็นเด็กน้อยธรรมดา ดังที่ได้กล่าวไว้ใน บฺากะวะธัมฺ (10.3.46) บะบํูวะ พราคริทะฮ ชิชุฮฺ พระองค์ทรงกลายมาเป็นเหมือนกับเด็กน้อยธรรมดา มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งที่ แสดงให้เห็นว่าการปรากฏขององค์ภควานในรูปลักษณ์มนุษย์ธรรมดาเป็นลักษณะหนึ่งแห่งร่างทิพย์ของพระองค์ ในบทที่สิบเอ็ดของ ภควัต-คีตาฺ เช่นกัน ได้กล่าวไว้ว่าอารจุนะทรงภาวนาเพื่อให้เห็นรูปลักษณ์สี่กรของคริชณะ (เทไนวะ รูเพณะ ชะทุร- บํุเจนะฺ) หลังจากที่ได้รับคำขอร้องจากอารจุนะ คริชณะทรงเปิดเผยรูปลักษณ์นี้และแล้วทรงกลับคืนมาสู่ร่างเดิมของพระองค์ที่คล้ายมนุษย์ (มานุชัม รูพัมฺ) ลักษณะต่าง ๆ ขององค์ภควานเหล่านี้แน่นนอนว่าไม่เหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
พวกที่เยาะเย้ยคริชณะและพวกที่ติดเชื้อโรคจากปรัชญามายาวดี อ้างโศลกนี้จาก ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (3.29.21) เพื่อพิสูจน์ว่าคริชณะทรงเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาสามัญ อฮัม สารเวชุ บํูเทชุ บํูทาทมาวัสทิฺทะฮ สะดาฺ “องค์ภควานทรงปรากฏอยู่ในทุกๆชีวิต” เราควรสังเกตโศลกนี้โดยเฉพาะจาก ไวชณะวะ อาชารยะฺ เช่น จีวะ โก-สวามี และ วิชวะนาทฺะ ชัคระวารที ทฺาคุระ แทนที่จะไปตามการตีความของบุคคลผู้ไม่น่าเชื่อถือที่เย้นหยันคริชณะ จีวะ โกสวามี อธิบายโศลกนี้ด้วยการกล่าวว่า คริชณะในภาคแบ่งแยกที่สมบูรณ์ของพระองค์ในรูป พะระมาทมาฺ สถิตในสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวและไม่เคลื่อนไหวในฐานะที่เป็นอภิวิญญาณ ดังนั้น สาวกนวกะรูปใดที่ให้ความสนใจกับ อารชา-มูรทิฺ รูปลักษณ์ขององค์ภควานในวัด และไม่เคารพสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บูชารูปลักษณ์ของพระองค์ในวัดอย่างไร้ประโยชน์ มีสาวกขององค์ภควานอยู่สามระดับ นวกะอยู่ในระดับต่ำสุด สาวกนวกะให้ความสนใจกับพระปฏิมาในวัดมากกว่าสาวกรูปอื่น ๆ ดังนั้นวิชวะนาทฺะ ชัคระวารที ทฺาคุระ เตือนว่า ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ควรแก้ไขปรับปรุง สาวกควรเห็นว่าเนื่องจากคริชณะทรงปรากฏอยู่ในหัวใจของทุกคนในรูป พะระมาทมาฺ ทุกคนจึงเป็นรูปร่างหรือวัดของพระองค์ ดังนั้น เมื่อแสดงความเคารพต่อวัดของพระองค์ ก็ควรให้ความเคารพต่อทุกคนอย่างเหมาะสม เพราะ พะระมาทมาฺ ทรงประทับอยู่ภายในทุกร่าง ดังนั้น ทุกคนควรได้รับความเคารพอย่างเหมาะสมโดยไม่ควรถูกละเลย
มีผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์มากมายเช่นกันที่เยาะเย้ยการบูชาในวัด โดยกล่าวว่าเนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าทรงประทับอยู่ทุกหนทุกแห่งแล้วทำไมจึงต้องจำกัดตัวเองกับการบูชาอยู่ในวัดเท่านั้น? แต่เมื่อทรงอยู่ทุกหนทุกแห่งแล้วพระองค์ทรงมิได้อยู่ในวัดหรือในพระปฏิมาด้วยหรือ? ถึงแม้ว่าผู้เชื่อในรูปลักษณ์และผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์จะถกเถียงกันตลอดเวลา สาวกผู้สมบูรณ์ในคริชณะจิตสำนึกทราบว่า ถึงแม้คริชณะทรงเป็นองค์ภควาน พระองค์ทรงแผ่กระจายไปทั่ว ดังที่ได้ยืนยันไว้ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ แม้ว่าพระตำหนักส่วนพระองค์คือ โกโลคะ วรินดาวะนะ และประทับอยู่ที่นั่นตลอดเวลาด้วยปรากฏการณ์ของพลังงานอันหลากหลายและด้วยภาคที่แบ่งแยกอันสมบูรณ์ องค์ภควานทรงปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่งในทุกส่วนของการสร้างทั้งวัตถุและทิพย์
โมกฺาชา โมกฺะ-คารมาโณ
โมกฺะ-กยานา วิเชทะสะฮฺ
ราคชะสีม อาสุรีม ไชวะ
พระคริทิม โมฮินีม ชริทาฮฺ
โมกฺะ-อาชาฮฺ - ล้มเหลวในความหวังของพวกเขา, โมกฺะฺ - คารมาณะฮฺ - ล้มเหลวในกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุ, โมกฺะ-กยานาฺ - ล้มเหลวในความรู้, วิเชทะสะฮฺ - สับสน, ราคชะสีมฺ - มาร, อาสุรีมฺ - ผู้ไม่เชื่อในองค์ภควาน, ชะฺ - และ, เอวะฺ - แน่นอน, พระคริทิมฺ - ธรรมชาติ, โมฮินีมฺ - สับสน, ชริทาฮฺ - ไปพึ่ง
คำแปลฺ
พวกที่สับสนจะชอบทัศนะคติของมารและทัศนะคติที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน ในสภาวะแห่งความหลงนั้น ความหวังเพื่อความหลุดพ้น กิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุและการพัฒนาความรู้ของพวกเขาทั้งหมดล้มเหลว
คำอธิบายฺ
มีสาวกมากมายที่อ้างตนเองว่าอยู่ในคริชณะจิตสำนึก และปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ แต่ในหัวใจไม่ยอมรับคริชณะบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าว่าเป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์ สำหรับพวกนี้ผลแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ และการกลับคืนสู่องค์ภควานจะไม่มีวันได้รับรส ทำนองเดียวกัน พวกที่ปฏิบัติตนในกิจกรรมเพื่อผลบุญและในที่สุดหวังจะหลุดพ้นจากพันธนาการทางวัตถุนี้ ก็ไม่มีวันประสบผลสำเร็จเช่นกัน เพราะเยาะเย้ยองค์ภควานชรีคริชณะ อีกนัยหนึ่ง บุคคลผู้หัวเราะเยาะคริชณะ เข้าใจได้ว่าเป็นมารหรือผู้ไม่เชื่อในองค์ภควาน ดังที่ได้อธิบายไว้ในบทที่เจ็ดของ ภควัต-คีตาฺ คนมารสารเลวเช่นนี้ไม่มีวันศิโรราบต่อคริชณะ ดังนั้น การคาดคะเนทางจิตเพื่อหวังที่จะมาถึงซึ่งสัจธรรมจะนำพวกเขาไปถึงจุดสรุปที่ผิด ๆ ว่าสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไปและคริชณะเป็นหนึ่งเดียวกันและเหมือนกัน ด้วยความเชื่อมั่นที่ผิดเช่นนี้ พวกเขาคิดว่าร่างกายของมนุษย์ปัจจุบันนี้ถูกปกคลุมด้วยธรรมชาติวัตถุ และทันทีที่หลุดพ้นจากร่างวัตถุนี้ จะไม่มีข้อแตกต่างระหว่างองค์ภควานและตัวเขา ความพยายามในการที่จะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับคริชณะเช่นนี้จะพบกับความล้มเหลว อันเนื่องมาจากความหลงผิด การพัฒนาความรู้ทิพย์ของผู้ไม่เชื่อในองค์ภควานและหมู่มารเช่นนี้จะหาประโยชน์อันใดมิได้เลยนี่คือจุดที่โศลกนี้แสดงให้เห็น สำหรับบุคคลเหล่านี้การพัฒนาความรู้ในวรรณกรรมพระเวท เช่น เวดานธะ-สูทระ และ อุพะนิชัดฺ จะพบแต่ความล้มเหลวอยู่เสมอ
ฉะนั้น จึงเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่พิจารณาว่าองค์ภควานคริชณะทรงเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ ผู้ที่คิดเช่นนี้แน่นอนว่าอยู่ในความหลงเพราะไม่สามารถเข้าใจรูปลักษณ์อมตะของคริชณะ บริฮัด-วิชณุ-สมริทิฺ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า
โย เวททิ โบฺทิคัม เดฮัม
คริชณัสยะ พะระมาทมะนะฮฺ
สะ สารวัสมาด บะฮิช-คารยะฮ
ชโรทะ-สมารทะ-วิดฺานะทะฮฺ
มุคัฺม ทัสยาวะโลคยาพิ
สะ-เชลัม สนานัม อาชะเรทฺ
“ผู้ใดพิจารณาว่าร่างกายของคริชณะเป็นวัตถุควรถูกขับไล่ให้ออกไปจากพิธีกรรมและกิจกรรมแห่ง ชรุทิฺ และ สมริทิฺ ทั้งหมด และเมื่อใดหากใครเห็นหน้าคนนี้อีก ควรอาบน้ำในแม่น้ำคงคาทันทีเพื่อชะล้างโรคร้ายนี้ให้ออกไป” คนที่เย้ยหยันคริชณะอันเนื่องมาจากความอิจฉาริษยาพระองค์ จุดหมายปลายทางคือต้องเกิดในเผ่าพันธุ์ชีวิตของพวกที่ไม่เชื่อถือในองค์ภควานและพวกมารอีกชาติแล้วชาติเล่าอย่างแน่นอน ความรู้อันแท้จริงของพวกนี้จะยังคงอยู่ภายใต้ความหลงชั่วกัลปวสาน และจะค่อย ๆ ตกลงต่ำไปสู่แหล่งที่มืดมิดที่สุดแห่งการสร้าง
มะฮาทมานัส ทุมาม พารทฺะ
ไดวีม พระคริทิม อาชริทาฮฺ
บฺะจันทิ อนันยะ-มะนะโส
กยาทวา บํูทาดิม อัพยะยัมฺ
มะฮา-อาทมานะฮฺ - เหล่าดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่, ทฺุ - แต่, มาม-แด่ข้า, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, ไดวีมฺ - ทิพย์, พระคริทิมฺ - ธรรมชาติ, อาชริทาฮฺ - ได้รับเอาเป็นที่พึ่ง, บฺะจันทิฺ - ถวายการรับใช้, อนันยะฺ - มะนะสะฮฺ - ปราศจากการเบี่ยงเบนของจิตใจ, กยาทวาฺ - รู้, บํูทะฺ - ของการสร้าง, อาดีมฺ - เดิม, อัพยะยัม-ไม่มีที่สิ้นสุด
คำแปลฺ
โอ้ โอรสพระนางพริทฺา เหล่าดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่อยู่ในความหลงอยู่ภายใต้การปกป้องของธรรมชาติทิพย์ และปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างเต็มที่เพราะพวกเขาทราบว่าข้าคือภควานองค์เดิม และไม่มีที่สิ้นสุด
คำอธิบายฺ
ในโศลกนี้อธิบายถึงคำว่า มะฮาทมาฺ อย่างชัดเจน ลักษณะอาการแรกของ มะฮาทมาฺ คือ เขาสถิตในธรรมชาติทิพย์เรียบร้อยแล้ว และมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมชาติวัตถุ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ได้อธิบายไว้ในบทที่เจ็ดว่า ผู้ใดที่ศิโรราบต่อชรีคริชณะบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าจะได้รับอิสรภาพจากการควบคุมของธรรมชาติวัตถุ นี่คือคุณสมบัติ ทันทีที่ดวงวิญญาณศิโรราบต่อองค์ภควาน นั่นคือสูตรพื้นฐานในฐานะที่เป็นพลังงานพรมแดน ทันทีที่สิ่งมีชีวิตได้รับอิสรภาพจากการควบคุมของธรรมชาติวัตถุ เขาจะอยู่ภายใต้การนำทางของธรรมชาติทิพย์ การนำทางของธรรมชาติทิพย์เรียกว่า ไดวี พระคริทิฺ ดังนั้น เมื่อได้รับการส่งเสริมเช่นนี้ ด้วยการศิโรราบต่อบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า เขาบรรลุถึงระดับของดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ มะฮาทมาฺ
มะฮาทมาฺ จะไม่เบี่ยงเบนสมาธิของตนเองไปกับสิ่งอื่นใดนอกจากคริชณะ เพราะทราบดีว่าคริชณะคือบุคคลสูงสุดองค์เดิม แหล่งกำเนิดของแหล่งกำเนิดทั้งปวงโดยไม่มีข้อสงสัย มะฮาทมาฺ หรือดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่นี้พัฒนาจากการมาคบหาสมาคมกับ มะฮาทมาฺหรือสาวกผู้บริสุทธิ์ เหล่าสาวกผู้บริสุทธิ์จะไม่ยึดติดแม้แต่กับรูปลักษณ์อื่นของคริชณะ เช่น มะฮา-วิชณฺุ สี่กร แต่จะยึดมั่นอยู่กับรูปลักษณ์สองกรของคริชณะเท่านั้น โดยไม่ยึดติดกับรูปลักษณ์อื่นใดของพระองค์ และไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับรูปลักษณ์ใด ๆ ของเทวดาหรือมนุษย์ ท่านเพียงแต่ทำสมาธิอยู่ที่คริชณะในคริชณะจิตสำนึก และปฏิบัติรับใช้โดยตรงต่อพระองค์ในคริชณะจิตสำนึกอยู่เสมอเท่านั้น
สะทะทัม คีรทะยันโท มาม
ยะทันทัช ชะดริดฺะ-วระทาฮฺ
นะมัสยันทัช ชะ มาม บัฺคธยา
นิทยะ-ยุคทา อุพาสะเทฺ
สะทะทัมฺ - เสมอ, คีรทะยันทะฮฺ - สวดภาวนา, มามฺ - เกี่ยวกับข้า, ยะทันทะฮฺ - พยายามอย่างเต็มที่, ชะฺ - เช่นกัน, ดริดฺะ-วระทาฮฺ - ด้วยความมั่นใจ, นะมัสยันทะฮฺ - ถวายความเคารพ, ชะฺ - และ, มามฺ - ข้า, บัฺคธยาฺ - ในการอุทิศตนเสียสละ, นิทยะ-ยุคทาฮฺ - ปฏิบัติชั่วกัลปวสาน, อุพาสะเทฺ - บูชา
คำแปลฺ
สวดภาวนาพระบารมีของข้าเสมอ พยายามด้วยความมั่นใจอย่างแน่วแน่ ก้มลงกราบต่อหน้าข้า ดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้บูชาข้านิรันดรด้วยการอุทิศตนเสียสละ
คำอธิบายฺ
มะฮาทมาฺ ไม่ใช่ผลิตขึ้นมาด้วยการตีแสตมป์ไปที่คนธรรมดา ลักษณะอาการของ มะฮาทมาฺ ได้อธิบายไว้ดังนี้ มะฮาทมาฺ ปฏิบัติในการสวดภาวนาพระบารมีขององค์ภควานคริชณะอยู่ตลอดเวลา และไม่มีภาระกิจอื่นใดนอกจากปฏิบัติในการสรรเสริญพระองค์ อีกนัยหนึ่ง เขาไม่ใช่ผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์ เมื่อมีคำถามเกี่ยวกับองค์ภควาน เขาต้องสรรเสริญ สรรเสริญพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ รูปลักษณ์อมตะ คุณสมบัติทิพย์ และลีลาอันไม่ธรรมดาของพระองค์ เขาต้องสรรเสริญทั้งหมดนี้ ดังนั้น มะฮาทมาฺ จึงยึดมั่นอยู่กับองค์ภควาน
ผู้ที่ยึดติดอยู่กับลักษณะอันไร้รูปลักษณ์ขององค์ภควาน บระฮมะจโยทิฺ มิได้อธิบายว่าเป็น มะฮาทมา ภควัต-คีตาฺ โศลกต่อไปจะอธิบายถึงความแตกต่าง มะฮาทมาฺปฏิบัติในกิจกรรมแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่าง ๆ นานาตลอดเวลา ดังที่ได้อธิบายไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ เช่นการสดับฟังและการสวดภาวนาเกี่ยวกับพระวิชณุ ไม่ใช่เกี่ยวกับเทวดาหรือมนุษย์ นั่นคือการอุทิศตนเสียสละ ชระวะณัม คีรทะนัม วิชโณฮ และ สมะระฌัมฺระลึกถึงพระองค์ มะฮาทมาฺ ผู้นี้มีความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่เพื่อบรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดในการคบหาสมาคมกับองค์ภควานหนึ่งในห้าระสะทิพย์ฺ เพื่อบรรลุถึงผลสำเร็จนั้น เขาปฏิบัติกิจกรรมทั้งหลายไม่ว่าจะด้วยจิตใจ ร่างกาย และคำพูด ทุกสิ่งทุกอย่างปฏิบัติในการรับใช้องค์ภควานชรีคริชณะ เช่นนี้เรียกว่าคริชณะจิตสำนึกโดยสมบูรณ์
ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้มีกิจกรรมบางอย่างที่เรียกว่ามุ่งมั่น เช่นการอดอาหารบางวัน เช่นวันขึ้นสิบเอ็ดค่ำและวันแรมสิบเอ็ดค่ำซึ่งเรียกว่าวัน เอคาดะชีฺ และวันเสด็จลงมาขององค์ภควาน กฎเกณฑ์ทั้งหลายนี้ อาชารยะฺ ผู้ยิ่งใหญ่ได้ให้ไว้สำหรับพวกที่สนใจที่จะได้รับอนุญาตให้มาอยู่ใกล้ชิดกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าในโลกทิพย์อย่างแท้จริง มะฮาทมาดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหมดอย่างฺเคร่งครัด และจะบรรลุถึงผลดังใจปรารถนาอย่างแน่นอน
ดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลกสองของบทนี้ว่า การอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ไม่เพียงง่ายเท่านั้น แต่ยังสามารถปฏิบัติได้ด้วยอารมณ์ที่มีความสุข ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติการบำเพ็ญเพียรและสมถะอย่างเคร่งเครียด เราสามารถใช้ชีวิตนี้ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ซึ่งพระอาจารย์ทิพย์ผู้ชำนาญเป็นผู้นำทาง เราอาจเป็น คฤหัสถ์ สันนยาสีฺ หรือ บระฮมะชารีฺ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพเช่นไรและสถานที่แห่งใดในโลก เราสามารถปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าได้ และกลายมาเป็น มะฮาทมาฺดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
กยานะ-ยะกเยนะ ชาพิ อันเย
ยะจันโท มาม อุพาสะเทฺ
เอคัทเวนะ พริทัฺคทเวนะ
บะฮุดฺา วิชวะโท-มุคัฺมฺ
กยานะ-ยะกเยนะฺ - ด้วยการพัฒนาความรู้, ชะ-เช่นกัน, อพิฺ - แน่นอน, อันเยฺ - ผู้อื่น, ยะจันทะฮฺ - บูชา, มามฺ - ข้า, อุพาสะเทฺ - บูชา, เอคัทเวนะฺ - ในความเป็นหนึ่ง, พริทัฺคทเวนะฺ - ในสิ่งคู่, บะฮุดฺาฺ - ในพหุภาค, วิชวะทะฮ-มุคัฺมฺ - และในรูปลักษณ์จักรวาล
คำแปลฺ
บุคคลอื่นๆ ปฏิบัติการบูชาด้วยการพัฒนาความรู้ บูชาองค์ภควานในฐานะที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ในฐานะที่เป็นพหุภาค และในรูปลักษณ์จักรวาล
คำอธิบายฺ
โศลกนี้เป็นบทสรุปของโศลกก่อน ๆ องค์ภควานตรัสแด่อารจุนะว่าผู้ที่มีคริชณะจิตสำนึกอย่างบริสุทธิ์ ไม่รู้จักสิ่งใดนอกจากคริชณะเรียกว่า มะฮาทมาฺ ถึงกระนั้น ยังมีบุคคลอื่น ๆ ผู้ไม่อยู่ในตำแหน่ง มะฮาทมาฺ โดยแท้จริง แต่ยังบูชาคริชณะในวิธีต่าง ๆ ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วว่าบางคนอยู่ในความทุกข์ บางคนขาดแคลนเงิน บางคนชอบถาม และบางคนปฏิบัติในการพัฒนาความรู้ แต่ยังมีพวกที่ต่ำกว่าซึ่งแบ่งออกเป็นสามพวกคือ (1) ผู้ที่บูชาตนเองว่าเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน (2) ผู้ที่อุปโลกคิดรูปลักษณ์ขององค์ภควานขึ้นมาและบูชารูปลักษณ์นั้น และ (3) ผู้ที่ยอมรับรูปลักษณ์จักรวาล วิชวะรูพะฺ ขององค์ภควานและบูชารูปลักษณ์นั้น จากที่กล่าวมาทั้งสามกลุ่ม กลุ่มที่บูชาตนเองว่าเป็นองค์ภควานถือว่าต่ำสุดที่คิดว่าตนเองและพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน กลุ่มนี้มีมากที่สุด บุคคลเหล่านี้คิดว่าตนเองเป็นองค์ภควาน และด้วยความคิดเช่นนี้จึงบูชาตนเองเช่นนี้ ก็เป็นการบูชาพระองค์อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะเข้าใจว่าตนเองไม่ใช่ร่างกายวัตถุ แต่อันที่จริงเป็นดวงวิญญาณ อย่างน้อยที่สุดความรู้สึกนึกคิดแบบนี้เด่นชัด โดยทั่วไปพวกไม่เชื่อในรูปลักษณ์บูชาองค์ภควานแบบนี้ พวกที่สองรวมไปถึงกลุ่มที่บูชาเทวดา โดยใช้จินตนาการพิจารณาว่ารูปลักษณ์ใด ๆ ก็เป็นรูปลักษณ์ขององค์ภควาน พวกที่สามรวมไปถึงกลุ่มที่ไม่สามารถสำเหนียกสิ่งใดนอกเหนือไปจากปรากฏการณ์ของจักรวาลวัตถุนี้ โดยพิจารณาว่าจักรวาลคือสิ่งมีชีวิตที่สูงสุดและบูชาจักรวาลนี้ จักรวาลก็เป็นรูปลักษณ์ขององค์ภควานเช่นเดียวกัน
อฮัม คระทุร อฮัม ยะกยะฮ
สวะดฺาฮัม อฮัม โอชะดัมฺ
มันโทร ฮัม อฮัม เอวาจยัม
อฮัม อักนิร อฮัม ฮุทัมฺ
อฮัมฺ - ข้า, คระทุฮฺ - พิธีกรรมพระเวท, อฮัม-ข้า, ยะกยะฮ-สมริทิฺ - การบูชา, สวะดฺาฺ - บวงสรวง, อฮัมฺ - ข้า, อฮัมฺ - ข้า, โอชะดัฺมฺ - สมุนไพรรักษาโรค, มันทระฮฺ - บทมนต์ทิพย์, อฮัมฺ - ข้า , อฮัมฺ - ข้า, เอวะฺ - แน่นอน, อาจยัมฺ - เนยที่ละลาย, อฮัมฺ - ข้า, อักนิฮฺ - ไฟ, อฮัมฺ - ข้า, ฮุทัมฺ - ถวาย
คำแปลฺ
แต่ข้าคือพิธีบูชา ข้าคือการบูชา ข้าคือเครื่องถวายให้แก่บรรพบุรุษ ข้าคือสมุนไพรรักษาโรค ข้าคือบทมนต์ทิพย์ ข้าคือเนย ข้าคือไฟ และข้าคือเครื่องถวาย
คำอธิบายฺ
พิธีบูชาพระเวทชื่อว่า จโยทิชโทมะฺ คือคริชณะเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงเป็น มะฮา-ยะกยะฺ ที่กล่าวไว้ใน สมริทิฺ การบวงสรวงที่ถวายให้ พิทริโลคะฺ การปฏิบัติพิธีบูชาเพื่อให้ พิทริโลคะฺ พึงพอใจ พิจารณาว่าเป็นยาชนิดหนึ่งในรูปของเนยใสคือคริชณะเช่นเดียวกัน บทมนต์ภาวนาสัมพันธ์กันนี้คือคริชณะเช่นกัน และสิ่งของอื่น ๆ มากมายที่ทำมาจากผลิตภัณฑ์นมเพื่อถวายในพิธีบูชาคือคริชณะเช่นเดียวกัน ไฟก็คือคริชณะเพราะว่าไฟเป็นหนึ่งในห้าวัตถุธาตุ ดังนั้น จึงอ้างได้ว่าเป็นพลังงานที่แบ่งแยกออกมาจากคริชณะ พิธีบูชาพระเวทที่แนะนำไว้ในภาคของคารมะ-คาณดะฺ ในคัมภีร์พระเวทรวมทั้งหมดคือคริชณะเช่นกัน อีกนัยหนึ่งพวกที่ปฏิบัติถวายการอุทิศตนรับใช้แด่คริชณะเข้าใจว่าได้ปฏิบัติพิธีการบูชาทั้งหลายที่แนะนำไว้ในคัมภีร์พระเวทเสร็จสิ้นแล้ว
พิทาฮัม อัสยะ จะกะโท
มาทา ดฺาทา พิทา มะฮะฮฺ
เวดยัม พะวิทรัม โอมคาระ
ริค สามะ ยะจุร เอวะ ชะฺ
พิทาฺ - บิดา, อฮัมฺ - ข้า, อัสยะฺ - ของสิ่งนี้, จะกะทะฮฺ - จักรวาล, มาทาฺ - มารดา, ดฺาทาฺ - ผู้สนับสนุน, พิทามะฮะฮฺ - ปู่ ตา, เวดยัมฺ - อะไรที่ควรรู้, พะวิทรัมฺ - สิ่งที่บริสุทธิ์, โอม-คาระฺ - พยางค์โอม, ริคฺ - ริกเวท,สามะฺ - สามะเวท, ยะจุฮฺ - ยะจุรเวท, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - และ
คำแปลฺ
ข้าคือบิดาของจักรวาลนี้ มารดา ผู้ค้ำจุน และบรรพบุรุษ ข้าคือจุดมุ่งหมายแห่งความรู้ ผู้ทำให้บริสุทธิ์ และคำพยางค์โอม ข้าคือริกเวท สามะเวท และยะจุรเวทเช่นเดียวกัน
คำอธิบายฺ
ปรากฏการณ์ในจักรวาลทั้งหมดทั้งที่เคลื่อนที่และไม่เคลื่อนที่ปรากฏออกมาด้วยกิจกรรมต่าง ๆ แห่งพลังงานของคริชณะ ในความเป็นอยู่ทางวัตถุ เราสร้างความสัมพันธ์ต่าง ๆ กับสิ่งมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นพลังงานพรมแดนของคริชณะ ภายใต้การสร้างของ พระคริทิฺ บางคนปรากฏเป็นบิดา มารดา คุณปู่ คุณตา ผู้สร้าง ฯลฯ ของเรา แต่อันที่จริงพวกท่านเป็นละอองอณูของคริชณะ ในโศลกนี้คำว่า ดฺาทาฺ หมายถึง “ผู้สร้าง” ไม่เพียงแต่บิดาและมารดาของเราเป็นละอองอณูของคริชณะเท่านั้น แต่ผู้สร้างคุณย่า คุณยายและคุณปู่ คุณตา ฯลฯ ก็คือคริชณะเช่นเดียวกัน อันที่จริงสิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่เป็นละอองอณูของคริชณะคือคริชณะ ดังนั้น คัมภีร์พระเวททั้งหมดตั้งเป้าไปสู่องค์ชรีคริชณะเท่านั้น อะไรก็แล้วแต่ที่เราต้องการรู้ผ่านทางคัมภีร์พระเวทเป็นเพียงความเจริญก้าวหน้าไปสู่ความเข้าใจคริชณะ ประเด็นที่ช่วยทำให้สถานภาพพื้นฐานของเราบริสุทธิ์ขึ้นคือคริชณะโดยเฉพาะในลักษณะเดียวกัน สิ่งมีชีวิตผู้ชอบถามเพื่อให้เข้าใจหลักธรรมคัมภีร์พระเวททั้งหมดก็เป็นละอองอณูของคริชณะ ดังนั้น คือ คริชณะเช่นกัน ใน มันทระฺ พระเวททั้งหมดคำว่า โอมฺ เรียกว่า พระณะวะฺ เป็นคลื่นเสียงทิพย์คือคริชณะเช่นเดียวกัน และเนื่องจากในบทมนต์ทั้งหมดของพระเวททั้งสี่เล่ม เช่น สามะ, ยะจุร, ริก,ฺ และ อทฺารวะ-พระณะวะ หรือ โอมคาระฺ โดดเด่นมาก เข้าใจกันว่าคือคริชณะ
กะทิร บฺารทา พระบํุฮ สาคชี
นิวาสะฮ ชะระฌัม สุฮริทฺ
พระบฺะวะฮ พระละยะฮ สทฺานัม
นิดฺานัม บีจัม อัพยะยัมฺ
กะทิฮฺ - จุดมุ่งหมาย, บฺารทาฺ - ผู้ค้ำจุน, พระบํุฮฺ - ภควาน, สาคชีฺ - พยางค์, นิวาสะฮฺ - พระตำหนัก, ชะระฌัมฺ - ร่มโพธิ์ร่มไทร, สุ-ฮริทฺ - เพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด, พระบฺะวะฮฺ - การสร้าง, พระละยะฮฺ - การทำลาย, สทฺานัมฺ - ฟื้น, นิดฺานัมฺ - ที่พัก, บีจัมฺ - เมล็ดพันธุ์, อัพยะยัมฺ - ไม่มีวันสูญสลาย
คำแปลฺ
ข้าคือจุดมุ่งหมาย ผู้ค้ำจุน อาจารย์ พยาน ตำหนัก ร่มโพธิ์ร่มไทร และเพื่อนที่รักที่สุด ข้าคือการสร้างและการทำลาย พื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าคือที่พักและเมล็ดพันธุ์นิรันดร
คำอธิบายฺ
กะทิหมายถึงจุดมุ่งหมายที่เราต้องการไปฺ แต่จุดมุ่งหมายสูงสุดคือคริชณะ ถึงแม้ว่าผู้คนไม่รู้ ผู้ที่ไม่รู้คริชณะจะถูกนำไปในทางที่ผิด และสิ่งที่สมมติว่าเป็นขบวนการในความเจริญก้าวหน้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งหรือเป็นภาพหลอน มีหลายคนที่มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่เทวดา และจากการปฏิบัติตามวิธีการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดจะบรรลุถึงดาวเคราะห์ต่าง ๆ เช่น ชันดระโลคะ สูรยะโลคะ อินดระโลคะ มะฮารโลคะ ฯลฯ แต่โลคะหรือดาวเคราะห์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นการสร้างของคริชณะ เป็นคริชณะและไม่เป็นคริชณะในขณะเดียวกัน ดาวเคราะห์เหล่านี้เป็นปรากฏการณ์แห่งพลังงานของคริชณะ ก็เป็นคริชณะเช่นเดียวกัน แต่อันที่จริงดาวเคราะห์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเพียงขั้นบันไดไปสู่ความรู้แจ้งคริชณะ การเข้าหาพลังงานต่าง ๆ ของคริชณะเป็นการเข้าหาคริชณะทางอ้อม เราควรเข้าหาคริชณะโดยตรง เพราะจะประหยัดเวลาและพลังงาน ตัวอย่างเช่น หากเป็นไปได้ที่จะขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคารโดยลิฟท์ แล้วทำไมต้องขึ้นไปทางบันไดทีละขั้น? ทุกอย่างอิงอยู่ที่พลังงานของคริชณะ ปราศจากที่พึ่งแห่งคริชณะจะไม่มีสิ่งใดสามารถอยู่ได้ คริชณะทรงเป็นผู้ปกครองสูงสุดเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของพระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่บนพลังงานของพระองค์ คริชณะทรงสถิตในหัวใจของทุกชีวิต ทรงเป็นพยานสูงสุด ประเทศต่าง ๆ หรือดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่เราอาศัยอยู่ก็เป็นคริชณะเช่นเดียวกัน คริชณะทรงเป็นจุดมุ่งหมายและที่พึ่งสูงสุด ฉะนั้น เราควรพึ่งองค์ชรีคริชณะเพื่อการปกป้องคุ้มครอง หรือเพื่อทำลายล้างความทุกข์โศก และเมื่อใดที่เราต้องการการปกป้องคุ้มครอง เราควรรู้ว่าการปกป้องคุ้มครองของพวกเรานั้นจะต้องเป็นพลังงานชีวิต คริชณะทรงเป็นชีวิตที่สูงสุดเนื่องจากคริชณะทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแหล่งกำเนิดของพวกเรา หรือเป็นพระบิดาสูงสุด ไม่มีผู้ใดจะเป็นเพื่อนที่ดีไปกว่าคริชณะ หรือผู้ใดจะมาเป็นผู้ปรารถนาดีที่ดีไปกว่าคริชณะ คริชณะทรงเป็นแหล่งกำเนิดเดิมแท้ของการสร้าง และเป็นที่พักพิงขั้นสุดท้ายหลังการทำลายล้าง ดังนั้น องค์ชรีคริชณะจึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดนิรันดรของแหล่งกำเนิดทั้งปวง
ทะพามิ อฮัม อฮัม วารชัม
นิกริฮณามิ อุทสริจามิ ชะฺ
อัมริทัม ไชวะ มริทยุช ชะ
สัด อสัช ชาฮัม อารจะนะฺ
ทะพามิฺ - ให้ความร้อน, อฮัมฺ - ข้า, อฮัมฺ - ข้า, วารชัมฺ - ฝน, นิกริฮณามิฺ - ยับยั้ง, อุทสริจามิฺ - ส่งออกไป, ชะฺ - และ, อัมริทัมฺ - อมฤตยู, ชะฺ - และ, เอวะฺ - แน่นอน, มริทยุฮฺ - ความตาย, ชฺุ - เช่นกัน, สัทฺ - วิญญาณ, อสัทฺ - วัตถุ, ชะฺ - และ, อฮัมฺ - ข้า, อารจุนะฺ - โอ้ อารจุนะ
คำแปลฺ
โอ้ อารจุนะ ข้าให้ความร้อน และข้าเป็นผู้ยับยั้งและผู้ส่งฝน ข้าคืออมฤตยู และข้าคือมฤตยูด้วยเช่นกัน ทั้งดวงวิญญาณและวัตถุอยู่ในข้า
คำอธิบายฺ
ด้วยพลังต่าง ๆ ของคริชณะที่แผ่กระจายความร้อนและแสงผ่านทางผู้แทนเช่นไฟฟ้าและดวงอาทิตย์ ในฤดูร้อนคริชณะทรงเป็นผู้ยับยั้งฝนไม่ให้ตกลงมาจากฟากฟ้าและในฤดูฝนคริชณะทรงให้ฝนตกลงมาอย่างมากมาย พลังงานที่ค้ำจุนพวกเรา ด้วยการให้ชีวิตของพวกเราอยู่ยืนยาวคือคริชณะ และคริชณะทรงพบพวกเราตอนจบในรูปของความตาย จากการวิเคราะห์พลังงานต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมดของคริชณะ ทำให้มั่นใจได้ว่าสำหรับคริชณะทรงไม่มีข้อแตกต่างระหว่างวัตถุและวิญญาณ หรืออีกนัยหนึ่งพระองค์ทรงเป็นทั้งวัตถุและวิญญาณ ดังนั้น ในระดับสูงของคริชณะจิตสำนึกไม่มีการแบ่งแยก จะเห็นแต่คริชณะในทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้น
เนื่องจากคริชณะทรงเป็นทั้งวัตถุและวิญญาณ รูปลักษณ์จักรวาลอันมหึมาที่รวมปรากฏการณ์ทางวัตถุเข้าด้วยกันทั้งหมดคือคริชณะเช่นเดียวกัน และลีลาของพระองค์ในรูปของ ชยามะสุนดะระ สองกร ทรงขลุ่ย อยู่ที่วรินดาวะนะก็เป็นลีลาของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า
ไทร-วิฺดยา มาม โสมะ-พาฮ พูทะ-พาพา
ยะกไยร อิชทวา สวาร-กะทิม พรารทฺะยันเทฺ
เท พุณยัม อาสาดยะ สุเรนดระ-โลคัม
อัชนันทิ ดิพยาน ดิวิ เดวะ-โบฺกานฺ
ไทร-วิดยาฮฺ - ผู้รู้พระเวททั้งสาม, มามฺ - ข้า, โสมะ-พาฮฺ - พวกที่ดื่มน้ำ โสมะฺ, พูทะฺ - บริสุทธิ์ขึ้น, พาพาฮฺ - จากความบาป, ยะกไยฮฺ - ด้วยการบูชา, อิชทวาฺ - การบูชา, สวะฮ-กะทิมฺ - วิถีทางสู่สวรรค์, พรารทฺะยันเทฺ - สวดมนต์เพื่อ, เทฺ - พวกเขา, พุณยัมฺ - บุญ, อาสาดยะฺ - บรรลุ, สุระ-อินดระฺ - ของพระอินทร์, โลคัมฺ - โลก, อัชนันทิฺ - ความสุข, ดิพยานฺ - ชาวสวรรค์, ดิวิฺ - บนสวรรค์, เดวะ-โบฺกานฺ - ความสุขของชาวสวรรค์
คำแปลฺ
พวกที่ศึกษาคัมภีร์พระเวทและดื่มน้ำโสมะ แสวงหาโลกสวรรค์ บูชาข้าทางอ้อมเมื่อบริสุทธิ์ขึ้นจากผลบาป และมีบุญไปเกิดบนโลกสวรรค์ของพระอินทร์ ซึ่งจะได้รับความสุขสำราญแบบชาวสวรรค์
คำอธิบายฺ
คาว่า ไทร-วิดยาฮฺ หมายถึง คัมภีร์พระเวททั้งสาม สามะ ยะจุรฺ และ ริก, บระฮมะณะฺ ผู้ศึกษาคัมภีร์พระเวททั้งสามเล่มนี้เรียกว่า ทริ-เวดีฺ ผู้ใดที่ยึดมั่นกับความรู้ที่มาจากคัมภีร์พระเวททั้งสามเล่มนี้เป็นอย่างมากจะเป็นที่เคารพนับถือในสังคม ด้วยความอับโชคมีนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ของคัมภีร์พระเวทมากมายที่ไม่รู้จุดมุ่งหมายสูงสุดในการศึกษาพระคัมภีร์ ดังนั้น ณ ที่นี้คริชณะทรงประกาศว่า ตัวพระองค์คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของ ทริ-เวดี, ทริ-เวดีฺ ที่แท้จริงจะมาพึ่งพระบารมีอยู่ภายใต้พระบาทรูปดอกบัวของคริชณะ และปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ด้วยความบริสุทธิ์เพื่อให้องค์ภควานทรงพอพระทัย การอุทิศตนเสียสละรับใช้เริ่มจากการสวดภาวนาบทมนต์ฮะเร คริชณะ และพยายามเข้าใจคริชณะตามความเป็นจริงควบคู่กันไป ด้วยความอับโชคที่พวกนักศึกษาคัมภีร์พระเวทอย่างเป็นทางการ สนใจแค่พิธีบูชาที่ถวายให้เทวดาเช่นพระอินทร์และพระจันทร์เท่านั้น จากความพยายามเช่นนี้ผู้บูชาเทวดาได้รับความบริสุทธิ์จากมลทินแห่งคุณสมบัติธรรมชาติวัตถุที่ต่ำกว่า จากนั้นก็พัฒนาไปสู่ระบบดาวเคราะห์ที่สูงกว่าหรือโลกสวรรค์ เช่น มะฮารโลคะ จะนะโลคะ ทะโพโลคะ ฯลฯ เมื่อสถิตในระบบดาวเคราะห์ที่สูงกว่าเหล่านี้ จะสามารถสนองประสาทสัมผัสของตนเองดีกว่าในโลกนี้เป็นร้อย ๆ พัน ๆ เท่า
เท ทัม บํุคทวา สวารกะ-โลคัม วิชาลัม
คชีเณ พุณเย มารทยะ-โลคัม วิชันทิฺ
เอวัม ทระยี-ดฺารมัม อนุพระพันนา
กะทากะทัม คามะ-คามา ละบัฺนเทฺ
เทฺ - พวกเขา, ทัมฺ - นั้น, บํุคทวาฺ - ได้รับความสุข, สวารกะ-โลคัมฺ - สวรรค์, วิชาลัมฺ - กว้างใหญ่, คชีเนฺ - หมดลง, พุณเยฺ - ผลบุญ, มารทยะ-โลคัมฺ - โลกแห่งความตาย, วิชันทิฺ - ตกลงมา, เอวัมฺ - ดังนั้น, ทระยีฺ - จากพระเวททั้งสาม, ดฺารมัมฺ - คำสอน, อนุพระพันนาฮฺ - ปฏิบัติตาม, กะทะ-อากะทัมฺ - การตายและการเกิด, คามะ-คามาฮฺ - ปรารถนาหาความสุขทางประสาทสัมผัส, ละบัฺนเทฺ - ได้รับ
คำแปลฺ
หลังจากได้รับความสุขทางประสาทสัมผัสบนสรวงสวรรค์มากมาย และเมื่อผลบุญหมดสิ้นลง พวกเขาจะกลับมายังโลกแห่งความตายนี้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น ผู้ที่แสวงหาความสุขทางประสาทสัมผัสด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระเวททั้งสามเล่ม จะได้รับแค่เพียงการเกิดและการตายซ้ำซากเท่านั้น
คำอธิบายฺ
ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมไปถึงระบบดาวเคราะห์ที่สูงกว่า ได้รับความสุขอยู่กับชีวิตอันยืนยาวพร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่าในการหาความสุขทางประสาทสัมผัส ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นั่นชั่วกัลปวสาน แต่จะถูกส่งกลับมายังโลกนี้อีกครั้งหนึ่งเมื่อผลบุญหมดสิ้นลง ผู้ที่ไม่บรรลุถึงความรู้ที่สมบูรณ์ดังที่แสดงไว้ใน เวดานธะ-สูทระ (จันมาดิ อัสยะ ยะทะฮฺ) หรืออีกนัยหนึ่งผู้ที่ไม่เข้าใจว่าคริชณะทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแหล่งกำเนิดทั้งปวง ล้มเหลวในการบรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต ดังนั้น จึงมาอยู่ภายใต้ระเบียบแบบแผนประจำที่ถูกส่งขึ้นไปยังโลกสวรรค์และตกลงมาใหม่ เหมือนกับนั่งอยู่บนชิงช้าสวรรค์ที่บางครั้งขึ้นและบางครั้งลง คำอธิบายคือแทนที่จะเจริญขึ้นไปถึงโลกทิพย์ซึ่งไม่ต้องกลับมาอีก ก็ได้แต่เพียงหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดและการตายในระบบดาวเคราะห์ที่สูงกว่าและต่ำกว่าเท่านั้น เราควรไปให้ถึงโลกทิพย์และรื่นเริงกับชีวิตอมตะ เปี่ยมไปด้วยความปลี้มปีติสุขและความรู้และไม่ต้องกลับมาโลกวัตถุนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์อีกต่อไป
อนันยาช ชินทะยันโท มาม
เย จะนาฮ พารยุพาสะเทฺ
เทชาม นิทยาบิฺยุคทานาม
โยกะ-คเชมัม วะฮามิ อฮัมฺ
อนันยาฮฺ - ไม่มีเป้าหมายอื่นใด, ชินทะยันทะฮฺ - จิตตั้งมั่น, มามฺ - อยู่ที่ข้า, เยฺ - พวกที่, จะนาฮฺ - บุคคล, พารยุพาสะเทฺ - บูชาอย่างถูกต้อง, เทชามฺ - ของพวกเขา, นิทยะฺ - เสมอ, อบิฺยุคทา นามฺ - ตั้งมั่นในการอุทิศตนเสียสละ, โยกะฺ - จำเป็นต้องทำ, คเชมัมฺ - ปกป้อง, วะฮามิฺ - ส่ง, อฮัมฺ - ข้า
คำแปลฺ
แต่พวกที่บูชาข้าอยู่เสมอด้วยการอุทิศตนเสียสละ โดยเฉพาะทำสมาธิอยู่ที่รูปลักษณ์ทิพย์ของข้า คนเหล่านี้ ข้าจะส่งส่วนที่ขาดให้ และรักษาส่วนที่มีอยู่แล้ว
คำอธิบายฺ
ผู้ที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียวหากปราศจากซึ่งคริชณะจิตสำนึก ได้แต่ระลึกถึงคริชณะวันละยี่สิบสี่ชั่วโมง ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ด้วยการสดับฟัง สวดภาวนา ระลึกถึง ถวายบทมนต์ บูชา รับใช้พระบาทรูปดอกบัวของพระองค์ ถวายการรับใช้อื่น ๆ เพิ่มพูนมิตรภาพ และศิโรราบโดยดุษฎีต่อองค์ภควานกิจกรรมทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิริมงคลและเต็มไปด้วยพลังทิพย์ซึ่งจะทำให้สาวกสมบูรณ์ในความรู้แจ้งแห่งตน ดังนั้น สิ่งเดียวที่ปรารถนาคือมาอยู่ใกล้ชิดกับองค์ภควาน สาวกเช่นนี้จะมาถึงองค์ภควานโดยไม่ยากลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนี้เรียกว่าโยคะ ด้วยพระเมตตาของพระองค์ สาวกเช่นนี้ไม่มีวันกลับมาสู่สภาวะชีวิตวัตถุอีก คเชมะฺ หมายถึงการปกป้องคุ้มครองด้วยพระเมตตาขององค์ภควาน พระองค์ทรงช่วยสาวกให้บรรลุถึงคริชณะจิตสำนึกด้วยโยคะ และเมื่อมีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ องค์ภควานจะทรงปกป้องคุ้มครองเราไม่ให้ตกลงไปสู่สภาวะชีวิตที่มีความทุกข์อีกต่อไป
เย พิ อันยะ-เดวะทา-บัฺคธา
ยะจันเท ชรัดดฺะยานวิทาฮฺ
เท พิ มาม เอวะ คะอุนเทยะ
ยะจันทิ อวิดิฺ-พูรวะคัมฺ
เยฺ - พวกเขาเหล่านี้, อพิฺ - เช่นกัน, อันยะฺ - ของผู้อื่น, เดวะทาฺ - เหล่าเทวดา, บัฺคธาฮฺ - เหล่าสาวก, ยะจันเทฺ - บูชา, ชรัดดฺะยา-อันวิทาฮฺ - ด้วยความศรัทธา, เทฺ - พวกเขา, อพิฺ - เช่นกัน, มามฺ - ข้า, เอวะ-เท่านั้น, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, ยะจันทิฺ - พวกเขาบูชา, อวิดิฺ-พูรวะคัมฺ - ในวิธีที่ผิด
คำแปลฺ
พวกที่เป็นสาวกของเทวดาองค์อื่น ๆ และบูชาเทวดาด้วยความศรัทธา อันที่จริงบูชาข้าเท่านั้น โอ้ โอรสพระนางคุนที แต่ทำไปในวิธีที่ผิด
คำอธิบายฺ
คริชณะตรัสว่า “บุคคลผู้ปฏิบัติการบูชาเทวดาไม่มีปัญญาเท่าใดนัก ถึงแม้ว่าการบูชาเช่นนี้เป็นการถวายให้ข้าทางอ้อม” ตัวอย่างเช่น เมื่อมนุษย์รดน้ำไปที่ใบไม้และกิ่งก้านสาขาของต้นไม้โดยไม่รดน้ำไปที่ราก เขาทำไปโดยมีความรู้ไม่เพียงพอหรือไม่ปฏิบัติตามหลักการที่กำหนดไว้ ในทำนองเดียวกัน วิธีการรับใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายคือส่งอาหารไปที่ท้อง อันที่จริง เทวดาเป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ในรัฐบาลขององค์ภควาน เราต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่รัฐบาลเป็นผู้ออก ไม่ใช่ปฏิบัติตามกฎหมายที่เจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่เป็นผู้ออก ทำนองเดียวกัน ผู้ใดที่ถวายการบูชาต่อองค์ภควานเพียงผู้เดียว จะทำให้เจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ของพระองค์พึงพอใจโดยปริยาย เจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตนในฐานะที่เป็นผู้แทนของรัฐบาล การให้สินบนกับเจ้าหน้าที่และเจ้าพนักงานนั้นผิดกฎหมาย ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า อวิดฺ- พูรวะคัมฺ อีกนัยหนึ่ง คริชณะทรงไม่เห็นด้วยกับการบูชาเทวดาโดยไม่จำเป็น
ออัม ฮิ สารวะ-ยะกยานนาม
โบฺคทา ชะ พระบํุร เอวะ ชะฺ
นะ ทุ มาม อบิฺจานันทิ
ทัททเวนาทัช ชยะวันทิ เทฺ
อฮัมฺ - ข้า, ฮิฺ - แน่นอน, สารวะฺ - ทั้งหมด, ยะกยานามฺ - การบูชา, โบคทาฺ - ผู้มีความสุข, ชะฺ - และ, พระบํุฮฺ - องค์ภควาน, เอวะฺ - เช่นกัน, ชะฺ - และ, นะฺ - ไม่, ทฺุ - แต่, มามฺ - ข้า, อบิฺจานันทิฺ - พวกเขารู้, ทัททเวนะฺ - ในความจริง, อทะฮฺ - ฉะนั้น, ชยะวันทิฺ - ตกลงต่ำ, เทฺ - พวกเขา
คำแปลฺ
ข้าคือผู้มีความสุขและเป็นเจ้าแห่งพิธีบูชาทั้งหลายแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ฉะนั้นพวกที่ไม่รู้ธรรมชาติทิพย์อันแท้จริงของข้าจะตกลงต่ำ
คำอธิบายฺ
ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่ามีวิธีการปฏิบัติ ยะกยะฺ มากมายที่แนะนำไว้ในวรรณกรรมพระเวท แต่อันที่จริงทั้งหมดมีไว้เพื่อให้องค์ภควานทรงพอพระทัย ยะกยะฺหมายถึงพระวิชณุ ในบทที่สามของ ภควัต-คีตาฺ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าเราควรทำงานเพื่อให้ ยะกยะฺ หรือให้พระวิชณุทรงพอพระทัยเท่านั้น รูปแบบอันสมบูรณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์ชื่อว่า วารณาชระมะ-ดฺารมะฺ หมายเฉพาะเพื่อให้พระวิชณุทรงพอพระทัย ฉะนั้น คริชณะตรัสในโศลกนี้ว่า “ข้าคือผู้ได้รับความสุขจากพิธีบูชาทั้งปวงเพราะข้าคือเจ้านายสูงสุด” อย่างไรก็ดี ผู้ด้อยปัญญาไม่รู้ความจริงนี้บูชาเทวดาเพื่อผลประโยชน์ชั่วคราวบางประการ ดังนั้น พวกเขาตกลงไปในความเป็นอยู่ทางวัตถุ และไม่บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่ปรารถนาของชีวิต หากผู้ใดมีความปรารถนาทางวัตถุที่ต้องสนองตอบ ควรสวดภาวนาแด่องค์ภควานจะดีกว่า (ถึงแม้ว่าไม่ใช่เป็นการอุทิศตนเสียสละที่บริสุทธิ์) และจะได้รับผลตามใจปรารถนา
ยานทิ เดวะ-วระทา เดวาน
พิทรีน ยานทิ พิทริ-วระทาฮฺ
บํูทานิ ยานทิ บํูเทจยา
ยานทิ มัด-ยาจิโน พิ มามฺ
ยานทิฺ - ไป, เดวะ-วระทาฮฺ - พวกบูชาเทวดา, เดวานฺ - แด่เทวดา, พิทรีนฺ - แด่บรรพบุรุษ, ยานทิฺ - ไป, พิทริ-วระทาฮฺ - พวกบูชาบรรพบุรุษ, บํูทานิฺ - แด่พวกผีและดวงวิญญาณ, ยานทิฺ - ไป, บํูทะ-อิจยาฮฺ - พวกบูชาพวกผีและดวงวิญาณ, ยานทิฺ - ไป, มัทฺ - ของข้า, ยาจินะฮฺ - เหล่าสาวก, อพิฺ - แต่, มามฺ - แด่ข้า
คำแปลฺ
พวกที่บูชาเทวดาจะไปเกิดในหมู่เทวดา พวกที่บูชาบรรพบุรุษจะไปหาบรรพบุรุษพวกที่บูชาภูตผีปีศาจและดวงวิญาณจะไปเกิดในหมู่สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ และพวกที่บูชาข้าจะมาอยู่กับข้า
คำอธิบายฺ
หากผู้ใดมีความปรารถนาไปยังดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ หรือดาวเคราะห์ดวงใดเขาสามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่ประสงค์ด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมพระเวทโดยเฉพาะที่ได้แนะนำไว้เพื่อจุดประสงค์นั้น ดังเช่นวิธีที่มีชื่อทางเทคนิคว่า ดารชะ-โพรณะ มาสีฺ ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนในพระเวทส่วนที่เป็นกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุซึ่งแนะนำการบูชาเทวดาผู้ทรงสถิตบนสรวงสวรรค์โดยเฉพาะ ในทำนองเดียวกัน เขาสามารถไปถึงดาวเคราะห์ พิทาฺ ด้วยการปฏิบัติ ยะกยะฺ โดยเฉพาะ และเขาสามารถไปยังโลกของภูตผีต่าง ๆ แล้วกลายมาเป็น ยัคชะ รัคชะฺ หรือ พิชาชะฺ การบูชา พิชาชะฺ เรียกว่า “เวทมนต์ดำ” มีหลายคนที่ฝึกวิชาเวทมนต์ดำนี้ และคิดว่าเป็นลัทธิทิพย์นิยม แต่กิจกรรมเหล่านี้เป็นวัตถุโดยสิ้นเชิง สาวกผู้บริสุทธิ์บูชาภควานเพียงองค์เดียว และจะบรรลุถึงดาวเคราะห์ไวคุณธฺะและคริชณะโลคะโดยไม่ต้องสงสัย เป็นที่เข้าใจได้ง่ายมากจากโศลกที่สำคัญนี้ว่า หากด้วยการบูชาเทวดาเขาสามารถไปถึงโลกสวรรค์ หรือจากการบูชา พิทาฺ บรรลุถึงดาวเคราะห์ พิทาฺ จากการฝึกปฏิบัติคาถาอาคมมืดก็บรรลุถึงโลกของภูตผีปีศาจ แล้วเหตุไฉนสาวกผู้บริสุทธิ์จะไม่บรรลุถึงดาวเคราะห์ของคริชณะหรือวิชณุ? ด้วยความอับโชคผู้คนมากมายไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับดาวเคราะห์อันประเสริฐเหล่านี้ที่คริชณะและวิชณุทรงประทับอยู่ และเนื่องจากไม่รู้จึงตกต่ำ แม้พวกที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์ตกต่ำลงมาจาก บระฮมะจโยทิฺ ฉะนั้น ขบวนการคริชณะจิตสำนึกจึงแจกจ่ายข้อมูลอันประเสริฐนี้ให้แก่สังคมมนุษย์มวลรวม ด้วยผลลัพธ์ที่ว่าจากการสวดภาวนาบทมนต์ ฮะเร คริชณะ เราสามารถกลายมาเป็นผู้ที่สมบูรณ์ในชีวิตนี้ และกลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควาน
พัทรัม พุชรัม พฺะลัม โทยัน
โย เม บัฺคธยา พระยัชชฺะทิฺ
ทัด อฮัม บัฺคธิ-อุพะฮริทัม
อัชนามิ พระยาทาทมะนะฮฺ
พัทรัมฺ - ใบไม้, พุชพัมฺ - ดอกไม้, พฺะลัมฺ - ผลไม้, โทยัมฺ - น้ำ, ยะฮฺ - ผู้ใด, เมฺ - แด่ข้า, บัฺคธยาฺ - ด้วยการอุทิศตนเสียสละ, พระยัชชฺะทิฺ - ถวาย, ทัท-นั้น, อฮัมฺ - ข้า, บัคธิ-อุพะฮริทัมฺ - ถวายด้วยการอุทิศตนเสียสละ, อัชนามิฺ - ยอมรับ, พระยะทะ-อาทมะนะฮฺ - จากผู้ที่อยู่ในจิตสำนึกที่บริสุทธิ์
คำแปลฺ
หากผู้ใดถวายใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้ หรือน้ำแด่ข้า ด้วยความรักและอุทิศตนเสียสละ ข้าจะรับเอาไว้
คำอธิบายฺ
สำหรับผู้มีปัญญา เป็นสิ่งสำคัญที่จะอยู่ในคริชณะจิตสำนึก ปฏิบัติการรับใช้ด้วยความรักทิพย์ต่อคริชณะ เพื่อบรรลุถึงพระตำหนักอันถาวรด้วยความปลื้มปีติและมีความสุขนิรันดร วิธีการเพื่อบรรลุถึงผลอันเลอเลิศเช่นนี้ง่ายมาก แม้แต่คนที่ยากจนที่สุดในบรรดาคนยากจนก็พยายามปฏิบัติได้โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติอื่นใดทั้งสิ้น คุณสมบัติเพียงอย่างเดียวที่จำเป็นในงานนี้คือ มาเป็นสาวกผู้บริสุทธิ์ขององค์ภควาน ไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นใคร หรืออยู่ที่ไหน วิธีการนั้นง่ายมากแม้แต่ใบไม้ใบเดียว น้ำนิดหน่อย หรือผลไม้ก็สามารถถวายให้พระองค์ด้วยความรักอย่างจริงใจได้ และพระองค์ทรงมีความยินดีรับไว้ ดังนั้น ไม่มีผู้ใดถูกขวางกั้นจากคริชณะจิตสำนึก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ง่ายมากและเป็นสากล ใครจะเป็นคนโง่ไม่ต้องการมีคริชณะจิตสำนึกด้วยวิธีที่ง่ายเช่นนี้ และบรรลุถึงชีวิตที่สมบูรณ์สูงสุดแห่งความเป็นอมตะ ปลื้มปีติสุข และความรู้? คริชณะทรงปรารถนาเพียงการรับใช้ด้วยความรักเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ คริชณะทรงรับเอาแม้แต่ดอกไม้เล็ก ๆ เพียงดอกเดียวจากสาวกผู้บริสุทธิ์ พระองค์ทรงไม่ปรารถนาเครื่องถวายใด ๆ จากผู้ที่ไม่ใช่สาวก และทรงไม่มีความจำเป็นที่ต้องการสิ่งใดจากผู้ใด เพราะทรงเป็นผู้มีความเพียงพออยู่ในตัว ถึงกระนั้น พระองค์ทรงรับเครื่องถวายจากสาวกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรักและความเอ็นดู การพัฒนาคริชณะจิตสำนึกจึงเป็นความสมบูรณ์สูงสุดของชีวิต ได้กล่าวถึง บัฺคธิฺ สองครั้งในโศลกนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญว่า บัฺคธิฺ หรือการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าถึงคริชณะ ไม่ใช่วิธีอื่น เช่น กลายมาเป็นพราหมณ์ หรือ บระฮมะณะฺ มาเป็นนักวิชาการผู้คงแก่เรียน มาเป็นเศรษฐี หรือเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แล้วจะสามารถกระตุ้นให้คริชณะทรงยอมรับเครื่องถวายได้ หากปราศจากหลักธรรมพื้นฐานของ บัฺคธิฺ จะไม่มีสิ่งใดสามารถกระตุ้นองค์ภควานให้ตกลงยอมรับสิ่งใดจากผู้ใด บัฺคธิฺ ไม่ใช่ก่อให้เกิดขึ้น วิธีการนี้เป็นอมตะนิรันดร และเป็นการปฏิบัติรับใช้โดยตรงต่อส่วนที่สมบูรณ์สูงสุด
ณ ที่นี้ องค์ชรีคริชณะทรงสถาปนาว่า พระองค์ทรงเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญแต่เพียงผู้เดียว ทรงเป็นปฐมองค์เจ้า และทรงเป็นจุดมุ่งหมายอันแท้จริงของการถวายบูชาทั้งหมด ทรงเปิดเผยว่าพระองค์ทรงปรารถนาให้บูชาด้วยอะไร หากผู้ใดปรารถนาปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควานเพื่อให้ตนเองบริสุทธิ์ขึ้นและบรรลุถึงจุดมุ่งหมายแห่งชีวิต นั่นคือการรับใช้ด้วยความรักทิพย์ต่อพระองค์ ควรรู้ว่าองค์ภควานทรงปรารถนาอะไรจากตัวเรา ผู้ที่รักคริชณะจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงปรารถนา และจะหลีกเลี่ยงการถวายสิ่งที่พระองค์ไม่ทรงปรารถนา หรือไม่ได้กล่าวไว้ ฉะนั้น เนื้อสัตว์ ปลา และไข่ไม่ควรถวายให้คริชณะ หากทรงปรารถนาสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องถวายจะทรงตรัสออกมา แต่พระองค์ตรัสอย่างชัดเจนว่า ใบไม้ ผลไม้ ดอกไม้ และน้ำถวายให้พระองค์ และตรัสถึงเครื่องถวายเหล่านี้ว่า “ข้าจะรับไว้” ดังนั้น เราควรเข้าใจว่าคริชณะทรงไม่รับเนื้อสัตว์ ปลา และไข่ เครื่องเสวยเช่น ผักและผลไม้ต่าง ๆ เมล็ดข้าว นม และน้ำเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับมนุษย์ คริชณะทรงกำหนดว่า สิ่งอื่นใดก็แล้วแต่ที่เรารับประทานไม่สามารถถวายให้พระองค์ได้ เนื่องจากทรงไม่รับ ดังนั้น หากเราถวายสิ่งต้องห้าม เราก็มิได้ปฏิบัติในระดับแห่งการอุทิศตนเสียสละด้วยความรัก
ในบทที่สาม โศลกสิบสาม ชรีคริชณะทรงอธิบายว่า ส่วนที่เหลือจากการบูชาเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ เหมาะสำหรับพวกที่แสวงหาความเจริญก้าวหน้าในชีวิตนำไปรับประทาน และจะได้รับการปลดเปลื้องจากเงื้อมมือแห่งพันธนาการทางวัตถุ พวกที่ไม่ถวายอาหาร พระองค์ตรัสในโศลกเดียวกันว่า รับประทานแต่ความบาปไปเท่านั้นอีกนัยหนึ่ง ทุก ๆ คำที่รับประทานเข้าไปจะทำให้ถลำลึกลงไปในความสลับซับซ้อนของธรรมชาติวัตถุเท่านั้น แต่การตระเตรียมอาหารผักอย่างดีแบบง่าย ๆ ถวายต่อหน้ารูปหรือพระปฏิมาขององค์ชรีคริชณะ ก้มลงกราบและกล่าวบทมนต์ถวายด้วยความถ่อมตนเพื่อให้พระองค์ทรงรับเครื่องถวายนี้ เพื่อที่จะให้เราเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงในชีวิต เพื่อให้ร่างกายบริสุทธิ์ และเพื่อสร้างเนื้อเยื่ออันละเอียดอ่อนในสมองซึ่งจะทำให้เรามีความคิดที่โปร่งใส ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องถวายควรปรุงด้วยกริยาท่าทีแห่งความรัก คริชณะทรงไม่มีความจำเป็นกับอาหาร เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ทั้งหมด ถึงกระนั้น พระองค์จะทรงรับเครื่องถวายจากผู้ปรารถนาที่จะทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยด้วยวิธีนี้ จุดสำคัญในการเตรียม การจัด และการถวายก็คือต้องทำไปด้วยใจรักต่อคริชณะ
นักปราชญ์ผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์ปรารถนายืนกรานว่าสัจธรรมสูงสุดไม่มีประสาทสัมผัส จะไม่สามารถเข้าใจโศลกนี้ของ ภควัต-คีตาฺ สำหรับพวกนี้ โศลกนี้เป็นเพียงอุปมาหรือข้อพิสูจน์ถึงบุคลิกทางโลกของคริชณะผู้ตรัส ภควัต-คีตาฺ แต่อันที่จริงองค์ภควานคริชณะทรงมีประสาทสัมผัส กล่าวไว้ว่าประสาทสัมผัสของพระองค์สับเปลี่ยนกันได้ อีกนัยหนึ่ง ประสาทสัมผัสหนึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ของประสาทสัมผัสอื่น ๆ ได้ นี่คือความหมายที่กล่าวไว้ว่า คริชณะทรงเป็นผู้ที่สมบูรณ์ปราศจากประสาทสัมผัสจะพิจารณาว่าพระองค์ทรงมีความมั่งคั่งทั้งหมดที่สมบูรณ์ได้ยาก ในบทที่เจ็ดคริชณะทรงอธิบายว่า พระองค์ทรงทำให้ธรรมชาติวัตถุตั้งครรภ์สิ่งมีชีวิตขึ้นมา และสิ่งนี้ทรงกระทำด้วยเพียงแต่ทรงชำเลืองมองไปที่ธรรมชาติวัตถุ จากตัวอย่างนี้คริชณะทรงสดับฟังคำพูดของสาวกด้วยความรัก ในการถวายอาหารเหมือนกับที่พระองค์ทรงรับประทานและชิมรสจริง ๆ โดยสมบูรณ์ ประเด็นนี้ควรเน้น เพราะเป็นสภาวะอันสมบูรณ์ของคริชณะ การสดับฟังเหมือนกับการรับประทานและการลิ้มรสของพระองค์ที่เป็นไปอย่างสมบูรณ์ สาวกผู้ยอมรับคริชณะดังที่ทรงอธิบายถึงบุคลิกภาพของพระองค์เอง โดยไม่ตีความหมาย จะสามารถทำให้เข้าใจว่าสัจธรรมที่สมบูรณ์สูงสุดสามารถรับประทานอาหารอย่างมีความสุข
ยัท คะโรชิ ยัด อัชนาสิ
ยัจ จุโฮชิ ดะดาสิ ยัทฺ
ยัท ทะพัสยะสิ คะอุนเทยะ
ทัท คุรุชวะ มัด-อารพะณัมฺ
ยัทฺ - อะไรก็แล้วแต่, คะโรชิฺ - เธอทำ, ยัทฺ - อะไรก็แล้วแต่, อาชนาสิฺ - เธอรับประทาน, ยัท-อะไรก็แล้วแต่, จุโฮชิฺ - เธอถวาย, ดะดาสิฺ - เธอให้ทาน, ยัทฺ - อะไรก็แล้วแต่, ยัทฺ - อะไรก็แล้วแต่, ทะพัสยะสิฺ - ความสมถะที่เธอปฏิบัติ, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, ทัทฺ - นั้น, คุรุชวะฺ - ทำ, มัทฺ - แด่ข้า, อารพะณัมฺ - เป็นเครื่องถวาย
คำแปลฺ
อะไรก็แล้วแต่ที่เธอทำ อะไรก็แล้วแต่ที่เธอรับประทาน อะไรก็แล้วแต่ที่เธอถวายหรือให้ทาน และความสมถะใด ๆ ที่เธอปฏิบัติ จงทำไปเพื่อถวายแด่ข้า โอ้ โอรสพระนางคุนที
คำอธิบายฺ
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะหล่อหลอมชีวิตของตนเองจนกระทั่งไม่สามารถลืมคริชณะได้ ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ๆ ทุกคนต้องทำงานเพื่อดำรงรักษาร่างกายและดวงวิญญาณให้อยู่ด้วยกัน คริชณะทรงแนะนำไว้ ณ ที่นี้ว่า เราควรทำงานเพื่อพระองค์ ทุกคนต้องรับประทานอาหารเพื่อประทังชีวิต ดังนั้น เราควรรับส่วนเหลือของอาหารที่ถวายให้คริชณะ มนุษย์ผู้มีความเจริญต้องปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่าง คริชณะทรงแนะนำว่า “จงทำไปเพื่อข้า” เช่นนี้เรียกว่า อารชะนะฺ ทุกคนมีแนวโน้มที่จะให้บางสิ่งบางอย่างเป็นทาน คริชณะตรัสว่า “จงให้แด่ข้า” เช่นนี้หมายความว่าส่วนเกินของเงินที่สะสมไว้ควรใช้ประโยชน์ในการเผยแพร่ขบวนการคริชณะจิตสำนึกปัจจุบันนี้ผู้คนมีแนวโน้มไปในวิธีการทำสมาธิเป็นอย่างมากซึ่งปฏิบัติกันไม่ได้ในยุคนี้ แต่หากผู้ใดปฏิบัติสมาธิที่คริชณะวันละยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยการสวดภาวนามหามนต์ ฮะเรคริชณะ รอบลูกประคำ แน่นอนว่าเราจะเป็นนักปฏิบัติสมาธิและเป็นโยคีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดดังที่ได้ยืนยันไว้ ในบทที่หกของ ภควัต-คีตาฺ
ชุบฺาชุบฺะ-พฺะไลร เอวัม
โมคชยะเส คารมะ-บันดฺะไนฮฺ
สันนยาสะ-โยกะ-ยุคทาทมา
วิมุคโท มาม อุไพชยะสิฺ
ชุบฺะฺ - จากบุญ, อชุบฺะฺ - และบาป, พฺะไลฮฺ - ผล, เอวัมฺ - ดังนั้น, โมคชยะเสฺ - เธอจะเป็นอิสระ, คารมะฺ - ของงาน, บันดฺะไนฮฺ - จากพันธนาการ, สันนยาสะฺ - ของการเสียสละ, โยกะฺ - โยคะ, ยุคทะฺ - อาทมาฺ - มีจิตใจมั่นคงอยู่ที่, วิมุคทะฮฺ - หลุดพ้น, มามฺ - แด่ข้า, อุไพชยะสิฺ - เธอจะบรรลุ
คำแปลฺ
เช่นนี้ เธอจะเป็นอิสระจากพันธนาการของงาน รวมทั้งผลบุญและผลบาป ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นอยู่กับข้าในหลักแห่งการเสียสละนี้ เธอจะหลุดพ้นและมาหาข้า
คำอธิบายฺ
ผู้ปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกภายใต้การแนะนำที่สูงส่งเรียกว่า ยุคทะฺ ศัพท์ทางเทคนิค ยุคทะ-ไวรากยะฺ ซึ่ง รูพะ โกสวามี ได้อธิบายดังต่อไปนี้
อนาสัคทัสยะ วิชะยาน
ยะทฺารฮัม อุพะยุนจะทะฮฺ
นิรบันดฺะฮ คริชณะ-สัมบันเดฺ
ยุคทัม ไวรากยัม อุชยะเทฺ
(บัฺคธิ-ระสามริทะ-สินดํฺุ 1.2.255)
รูพะ โกสวามี กล่าวว่าตราบเท่าที่เรายังอยู่ในโลกวัตถุ เรายังต้องทำงาน ไม่สามารถหยุดการกระทำได้ ดังนั้น หากการปฏิบัติงานยังดำเนินต่อไปและผลของงานถวายให้คริชณะเรียกว่า ยุคทะ-ไวรากยะฺ สถิตในการเสียสละอย่างแท้จริง กิจกรรมเช่นนี้จะทำให้กระจกแห่งดวงจิตใสสว่างขึ้น ขณะที่ผู้ปฏิบัติค่อย ๆ เจริญก้าวหน้าในความรู้แจ้งทิพย์ จะศิโรราบโดยสมบูรณ์ต่อองค์ภควาน และจะเป็นอิสรภาพในที่สุด ซึ่งได้ระบุไว้ว่าเมื่อเป็นอิสระแล้วจะไม่กลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับ บระฮมะจโยทิฺ แต่จะเข้าไปในโลกขององค์ภควาน ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า มาม อุไพชยะสิฺ “เขามาหาข้า” กลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควาน จะมีอิสรภาพอยู่ห้าระดับ ตรงนี้ระบุว่าสาวกผู้ใช้ชีวิตภายใต้คำสั่งสอนขององค์ภควานเสมอ ดังที่ได้กล่าวไว้ว่าได้พัฒนามาจนถึงจุดที่หลังจากออกจากร่างนี้ไปแล้วจะกลับคืนสู่เหย้าและปฏิบัติรับใช้โดยตรงอย่างใกล้ชิดกับองค์ภควาน
ผู้ใดที่ไม่มีความสนใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากอุทิศชีวิตในการรับใช้องค์ภควานเป็น สันนยาสีฺ ที่แท้จริง บุคคลเช่นนี้คิดว่าตนเองเป็นผู้รับใช้นิรันดรและจะขึ้นอยู่กับความปรารถนาสูงสุดขององค์ภควาน เช่นนี้ไม่ว่าทำอะไรเขาจะทำเพื่อประโยชน์ของพระองค์ไม่ว่าปฏิบัติสิ่งใดเขาจะปฏิบัติเพื่อรับใช้พระองค์ และไม่ให้ความสนใจอย่างจริงจังกับกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุหรือหน้าที่ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในคัมภีร์พระเวท สำหรับบุคคลทั่วไปจะมีข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในคัมภีร์พระเวท บางครั้งสาวกผู้บริสุทธิ์ปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ในการรับใช้องค์ภควาน อาจดูเหมือนว่าเขาฝืนต่อหน้าที่ที่กำหนดไว้ในคัมภีร์พระเวท แต่อันที่จริงมิได้เป็นเช่นนั้น
ดังนั้น ไวชณะวะผู้เชื่อถือได้ กล่าวไว้ว่า แม้บุคคลผู้มีปัญญามากที่สุดก็ไม่สามารถเข้าใจแผนและกิจกรรมของสาวกผู้บริสุทธ์ คำเฉพาะที่ใช้คือ ทางระ วาคยะ, คริยา, มุดรา วิกเยฮะ นา บุจฮะยะฺ (เชธันญะ-ชะริทามริทะ มัดฺยะฺ 23.39) ผู้ที่ปฏิบัติในการรับใช้องค์ภควานเสมอ หรือคิด และวางแผนที่จะรับใช้พระองค์อยู่เสมอพิจารณาว่าเป็นผู้ที่มีอิสรภาพโดยสมบูรณ์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต การกลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควานเป็นที่รับประกัน เขาอยู่เหนือการวิจารณ์ทางวัตถุทั้งปวง เสมือนดังคริชณะที่อยู่เหนือการวิจารณ์ใด ๆ ทั้งหมด
สะโม ฮัม สารวะ-บํูเทชุ
นะ เม ดเวชโย สทิ นะพริยะฮฺ
เย บฺะจันทิ ทุ มาม บัฺคธยา
มะยิ เท เทชุ ชาพิ อฮัมฺ
สะมะฮฺ - ปฏิบัติเสมอภาค, อฮัมฺ - ข้า, สารวะ-บํูเทชฺุ - ต่อมวลชีวิต, นะ-ไม่มีผู้ใด, เมฺ - แด่ข้า, ดเวชยะฮฺ - เกลียด, อัสทิฺ - เป็น, นะฺ - ไม่, พริยะฮฺ - รัก, เย-พวกที่, บฺะจันทิฺ - ถวายการรับใช้ทิพย์, ทุ-แต่, มามฺ - แด่ข้า, บัฺคธยาฺ - ในการอุทิศตนเสียสละ, มะยิฺ - อยู่ในข้า, เทฺ - บุคคลเหล่านี้, เทชฺุ - ในพวกเขา, ชะฺ - เช่นกัน, อพิฺ - แน่นอน, อฮัมฺ - ข้า
คำแปลฺ
ข้าไม่อิจฉาผู้ใดและไม่ลำเอียงกับผู้ใด ข้าเสมอภาคต่อมวลชีวิต แต่หากผู้ใดถวายการรับใช้แด่ข้าด้วยการอุทิศตนเสียสละ เขาเป็นเพื่อนของข้าและอยู่ในข้า และข้าก็เป็นเพื่อนของเขา
คำอธิบายฺ
เราอาจถาม ณ ที่นี้ว่า หากคริชณะทรงเสมอภาคกับทุก ๆ คน ไม่มีผู้ใดเป็นเพื่อนพิเศษของพระองค์ แล้วทำไมทรงมีความสนใจกับสาวกผู้ปฏิบัติการรับใช้ทิพย์ต่อพระองค์อยู่เสมอเป็นพิเศษ? เช่นนี้มิใช่เป็นการเลือกปฏิบัติ แต่เป็นธรรมชาติ บางคนในโลกวัตถุนี้อาจชอบให้ทานมาก ถึงกระนั้น เขาก็ยังให้ความสนใจกับบุตรธิดาของตนเองเป็นพิเศษ องค์ภควานทรงอ้างว่าทุกชีวิตไม่ว่าในรูปใดเป็นบุตรของพระองค์ ดังนั้น ทรงให้สิ่งของที่จำเป็นอย่างเพียงพอสำหรับทุก ๆ ชีวิต พระองค์ทรงเหมือนกับหมู่เมฆที่ส่งฝนลงมาทั่วทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะตกลงบนหิน บนดิน หรือในน้ำ แต่สำหรับสาวก พระองค์ทรงมีความสนพระทัยโดยเฉพาะ ได้กล่าว ณ ที่นี้ว่าสาวกเหล่านี้อยู่ในคริชณะจิตสำนึกเสมอ จึงสถิตอยู่ในความเป็นทิพย์กับคริชณะตลอดเวลา วลี “คริชณะจิตสำนึก” แสดงให้เห็นว่าพวกที่อยู่ในจิตสำนึกเช่นนี้เป็นนักทิพย์นิยมที่มีชีวิตสถิตอยู่ในพระองค์ องค์ภควานตรัส ณ ที่นี้อย่างชัดเจนว่า มะยิ เทฺ “พวกเขาอยู่ในข้า” โดยธรรมชาติ พระองค์ทรงอยู่ในพวกเขาเช่นกัน นี่คือการสนองตอบซึ่งกันและกันเช่นนี้ได้อธิบายคำว่า เย ยะทฺา มาม พระพัดยันเท ทามส ทะไทฺวะ บฺะจามิ อฮัมฺ “ผู้ใดศิโรราบต่อข้า ข้าจะดูแลเขาตามสัดส่วนนั้น ๆ” การสนองตอบซึ่งกันและกันแบบทิพย์นี้มีอยู่ เพราะว่าทั้งองค์ภควานและสาวกเป็นจิตสำนึก เมื่อเพชรฝังอยู่ในแหวนทองคำจะดูสวยงามมาก เพราะทำให้ทั้งทองคำและเพชรเปล่งปลั่งเป็นประกายมากยิ่งขึ้น องค์ภควานและสิ่งมีชีวิตมีรัศมีอยู่นิรันดร เมื่อสิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มที่จะรับใช้องค์ภควาน เขาดูเหมือนกับทองคำและองค์ภควานคือเพชร ดังนั้น การรวมกันเช่นนี้ดีมาก สิ่งมีชีวิตในระดับที่บริสุทธิ์เรียกว่าสาวกองค์ภควานกลายมาเป็นสาวกของสาวกของพระองค์ หากความสัมพันธ์ในการสนองตอบซึ่งกันและกันไม่มีระหว่างสาวกและองค์ภควานก็จะไม่มีปรัชญาของผู้ที่เชื่อในรูปลักษณ์ ในปรัชญาของผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์ไม่มีการสนองตอบซึ่งกันและกันระหว่างองค์ภควานและสิ่งมีชีวิต แต่ในปรัชญาที่เชื่อในรูปลักษณ์มีการสนองตอบ
ตัวอย่างได้ให้ไว้เสมอว่า องค์ภควานทรงเหมือนกับต้นกัลปพฤกษ์ อะไรก็แล้วแต่ที่เราปรารถนาจากต้นกัลปพฤกษ์นี้ พระองค์จะทรงจัดส่งให้ อธิบายอย่างชัดเจน ณที่นี้ว่า องค์ภควานทรงลำเอียงต่อสาวก ซึ่งเป็นปรากฏการณ์แห่งพระเมตตาพิเศษที่ทรงมีต่อสาวก การสนองตอบของพระองค์ไม่ควรพิจารณาว่าอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม แต่อยู่ในสถานภาพทิพย์ซึ่งองค์ภควานและสาวกปฏิบัติกัน การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์มิใช่เป็นกิจกรรมของโลกวัตถุ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโลกทิพย์ที่มีความเป็นอมตะความปลื้มปีติสุข และความรู้โดดเด่น
อพิ เชท สุ-ดุราชาโร
บฺะจะเท มาม อนันยะ-บฺาคฺ
สาดํุร เอวะ สะ มันทัพยะฮ
สัมยัก วิยะวะสิโท ฮิ สะฮฺ
อพิฺ - แม้แต่, เชทฺ - หาก, สุ-ดุราชาระฮฺ - เขาปฏิบัติสิ่งที่เลวร้ายที่สุด, บฺะจะเทฺ - ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้, มามฺ - แด่ข้า, อนันยะ-บฺาคฺ - โดยไม่เบี่ยงเบน, สาดํฺุ - นักบุญ, เอวะฺ - แน่นอน, สะฮฺ - เขา, มันทัพยะฮฺ - พิจารณาว่า, สัมยัคฺ - สมบูรณ์, วิยะวะสิทะฮฺ - สถิตอย่างมั่นคง, ฮิฺ - แน่นอน, สะฮฺ - เขา
คำแปลฺ
แม้กระทำในสิ่งที่เลวร้ายที่สุด หากเขาปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ พิจารณาได้ว่าผู้นี้เป็นนักบุญ เนื่องจากเขาสถิตอย่างถูกต้องในความมุ่งมั่นของตนเอง
คำอธิบายฺ
คาว่า สุ-ดุราชาระฮฺ ในโศลกนี้มีความสำคัญมาก เราควรทำความเข้าใจอย่างถูกต้องเมื่อสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้สภาวะเงื่อนไข จะมีกิจกรรมสองอย่างคือ กิจกรรมหนึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไข และอีกกิจกรรมหนึ่งเป็นพื้นฐานเดิมแท้ สำหรับการปกป้องร่างกายหรืออยู่ภายใต้กฎของสังคมและรัฐ แน่นอนว่ามีกิจกรรมต่างๆ แม้สำหรับสาวกที่สัมพันธ์กับชีวิตภายใต้สภาวะเงื่อนไข กิจกรรมเหล่านี้เรียกว่าอยู่ภายใต้เงื่อนไขนอกจากนี้ชีวิตผู้สำนึกอย่างสมบูรณ์ในธรรมชาติทิพย์ของตนปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึกหรืออุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควาน มีกิจกรรมที่เรียกว่าเป็นทิพย์ กิจกรรมเหล่านี้ปฏิบัติไปในสถานภาพเดิมแท้ของตนเอง เรียกทางเทคนิคว่าการอุทิศตนเสียสละรับใช้ตอนนี้ในระดับที่อยู่ภายใต้สภาวะที่มีเงื่อนไข บางครั้งกิจกรรมในการอุทิศตนเสียสละรับใช้และการรับใช้ที่มีเงื่อนไขสัมพันธ์กับร่างกายจะไปด้วยกันได้ แต่บางครั้งไปด้วยกันไม่ได้ สาวกจะระวังมากเพื่อไม่ทำสิ่งใดให้ไปทำลายสภาวะอันบริสุทธิ์ของตนเองเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยทราบดีว่าความสมบูรณ์ในกิจกรรมขึ้นอยู่กับความรู้แจ้งมากยิ่งขึ้นในคริชณะจิตสำนึก อย่างไรก็ดี บางครั้งอาจพบว่าบุคคลในคริชณะจิตสำนึกปฏิบัติในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดทางสังคมหรือทางการเมือง แต่การตกลงต่ำชั่วคราวเช่นนี้มิได้ตัดสิทธิ์ของเขา ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ กล่าวว่า หากผู้ที่ตกลงต่ำแต่ปฏิบัติตนอย่างหมดหัวใจในการรับใช้ทิพย์ต่อองค์ภควาน พระองค์ผู้ทรงประทับภายในหัวใจจะทำให้เขาบริสุทธิ์ขึ้นและให้อภัยจากสิ่งเลวร้ายนั้น มลพิษทางวัตถุนั้นรุนแรงมาก แม้โยคีปฏิบัติในการรับใช้พระองค์อย่างสมบูรณ์ บางครั้งยังตกหลุมพราง แต่คริชณะจิตสำนึกมีพลังมาก การตกลงต่ำชั่วครั้งชั่วคราวเช่นนี้จะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องโดยทันที ฉะนั้น วิธีการอุทิศตนเสียสละรับใช้จึงมีผลสำเร็จอยู่เสมอ ไม่มีผู้ใดควรเยาะเย้ยสาวกในการที่ตกลงต่ำจากวิถีทางอันประเสริฐอันเนื่องจากอุบัติเหตุ ดังจะอธิบายในโศลกต่อไป การตกลงต่ำชั่วคราวเช่นนี้จะยุติลงในเวลาต่อมา ทันทีที่สาวกสถิตอย่างสมบูรณ์ในคริชณะจิตสำนึก
ดังนั้น บุคคลผู้สถิตในคริชณะสำนึกและปฏิบัติด้วยความมุ่งมั่นในวิธีการสวดภาววนา ฮะเร คริชณะ ฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร / ฮะเร รามะ ฮะเรรามะ รามะ รามะ ฮะเร ฮะเร ควรพิจารณาว่าอยู่ในสถานภาพทิพย์ แม้โดยโอกาสหรืออุบัติเหตุพบว่าเขาตกลงต่ำ คำว่า สาดํุร เอวะฺ “เขาเป็นนักบุญ” เน้นมาก มีคำเตือนสำหรับผู้ไม่ใช่สาวกว่า เนื่องจากการตกลงต่ำด้วยอุบัติเหตุ สาวกไม่ควรถูกเยาะเย้ยควรพิจารณาว่าเขายังเป็นนักบุญ แม้ตกลงต่ำโดยอุบัติเหตุ และคำว่า มันทัพยะฮฺ ยิ่งเน้นขึ้นไปอีก หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามกฎนี้ และเยาะเย้ยสาวกในการตกลงต่ำโดยอุบัติเหตุเท่ากับผู้นี้ไม่เชื่อฟังคำสั่งขององค์ภควาน คุณสมบัติเดียวของสาวกคือปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างมุ่งมั่นเท่านั้น
ใน นริสิมฮะ พุราณะฺ มีข้อความดังต่อไปนี้
บฺะกะวะทิ ชะ ฮะราพ อนันยะ-เชทา
บฺริชะ-มะลิโน พิ วิราจะเท มะนุชยะฮฺ
นะ ฮิ ชะชะ-คะลุชะ-ชชฺะบิฮ คะดาชิท
ทิมิระ-พะราบฺะวะทาม อุไพทิ ชันดระฮฺ
ความหมายคือ แม้ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างสมบูรณ์ต่อองค์ภควานบางครั้งพบว่าบุคคลปฏิบัติในกิจกรรมที่น่ารังเกียจ กิจกรรมเหล่านี้ควรพิจารณาว่าเหมือนกับจุดต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นรูปกระต่ายบนดวงจันทร์ จุดเหล่านี้ไม่ได้กลายมาเป็นอุปสรรคในการส่องแสงของดวงจันทร์ ในทำนองเดียวกัน การตกลงต่ำโดยอุบัติเหตุของสาวกจากวิถีทางของบุคลิกนักบุญไม่ได้ทำให้เขาน่ารังเกียจ
อีกด้านหนึ่ง เราไม่ควรเข้าใจผิดว่าสาวกที่อยู่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ทิพย์สามารถปฏิบัติในสิ่งที่น่ารังเกียจต่าง ๆ นานาได้ โศลกนี้พาดพิงถึงเฉพาะอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากพลังอันแข็งแกร่งที่มาสัมผัสกับวัตถุเท่านั้น การอุทิศตนเสียสละรับใช้เหมือนกับการประกาศสงครามกับพลังงานแห่งความหลง ตราบเท่าที่เรายังไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้กับพลังงานแห่งความหลงอาจตกลงต่ำโดยอุบัติเหตุได้ แต่เมื่อแข็งแรงพอ เราจะไม่อยู่ภายใต้อำนาจแห่งการตกลงต่ำเช่นนี้อีกต่อไป ดังที่ได้อธิบายแล้วว่า ไม่ควรมีผู้ใดฉวยประโยชน์จากโศลกนี้ไปกระทำสิ่งเหลวไหลและคิดว่าตนเองยังเป็นสาวกหากไม่พัฒนาบุคลิกของตนให้ดีขึ้นด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้ พึงเข้าใจไว้ว่าเราไม่ใช่สาวกระดับสูง
คชิพรัม บฺะวะทิ ดฺารมาทมา
ชัชวัช-ชฺานทิม นิกัชชฺะทิฺ
คะอุนเทยะ พระทิจานีฮิ
นะ เม บัฺคธะฮ พระณัชยะทิฺ
คชิพรัมฺ - เร็ว ๆ นี้, บฺะวะทิฺ - กลายมาเป็น, ดฺารมะ-อาทมาฺ - คุณธรรม, ชัชวัท-ชานทิมฺ - ความสงบยั่งยืน, นิกัชชฺะทิฺ - บรรลุ, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, พระทิจานีฮิฺ - ประกาศ, นะฺ - ไม่เคย, เมฺ - ของข้า, บัฺคธะฮฺ - สาวก, พระณัชยะทิฺ - ทำลาย
คำแปลฺ
เขากลายมาเป็นผู้มีคุณธรรม และบรรลุถึงความสงบอย่างถาวรโดยรวดเร็ว โอ้ โอรสพระนางคุนที จงประกาศอย่างกล้าหาญว่าสาวกของข้าจะไม่มีวันถูกทำลาย
คำอธิบายฺ
เช่นนี้ไม่ควรเข้าใจผิด ในบทที่เจ็ด องค์ภควานตรัสว่าผู้ปฏิบัติในกิจกรรมที่ไม่ดีไม่สามารถมาเป็นสาวกได้ และผู้ไม่ใช่สาวกขององค์ภควานไม่มีคุณสมบัติดีเลย จากนั้น มีคำถามว่า แล้วทำไมบุคคลที่ปฏิบัติในกิจกรรมอันน่ารังเกียจ ไม่ว่าจะด้วยอุบัติเหตุหรือด้วยความตั้งใจ มาเป็นสาวกผู้บริสุทธิ์ได้? คำถามนี้มีเหตุผล ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทที่เจ็ดว่า คนสารเลวที่ไม่เคยมาถึงการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควาน ไม่มีคุณสมบัติดีเลย ดังที่กล่าวไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ โดยทั่วไป สาวกปฏิบัติกิจกรรมเก้าวิธีในการอุทิศตนเสียสละ เป็นวิธีการชะล้างมลทินทางวัตถุทั้งปวงให้ออกจากหัวใจและให้บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงประทับอยู่ภายในหัวใจ ดังนั้น มลทินบาปทั้งปวงจะถูกชะล้างออกไปโดยธรรมชาติ การระลึกถึงองค์ภควานอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาบริสุทธิ์ขึ้นโดยธรรมชาติ ตามคัมภีร์พระเวทมีกฎเกณฑ์บางประการว่า หากตกลงต่ำจากสถานภาพที่สูงส่ง เขาต้องปฏิบัติตามพิธีทางศาสนาเพื่อให้ตนเองบริสุทธิ์ขึ้น แต่ณ ที่นี้ไม่มีเงื่อนไขเช่นนี้ เพราะกรรมวิธีเพื่อความบริสุทธิ์อยู่ภายในหัวใจของสาวกแล้วเนื่องจากเขาระลึกถึงองค์ภควานอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น การสวดภาวนา ฮะเร คริชณะฮะเร คริชณะ คริชณะ คริชณะ ฮะเร ฮะเร / ฮะเร รามะ ฮะเร รามะ รามะ รามะ ฮะเรฮะเร ควรดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง เช่นนี้จะปกป้องสาวกจากอุบัติเหตุตกลงต่ำทั้งหมดดังนั้น เขาจะเป็นอิสระจากมลทินทางวัตถุทั้งปวงชั่วกัลปวสาน
มาม ฮิ พารทฺะ วิยะพาชริทยะ
เย พิ สยุฮ พาพะ-โยนะยะฮฺ
สทริโย ไวชยาส ทะทฺา ชูดราส
เท พิ ยานทิ พะราม กะทิมฺ
มามฺ - ของข้า, ฮิฺ - แน่นอน, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, วิยะพาชริทยะฺ - มีที่พึ่งโดยเฉพาะ, เยฺ - พวกเขา, อพิฺ - เช่นกัน, สยุฮฺ - เป็น, พาพะ-โยนะยะฮฺ - เกิดในครอบครัวต่ำ, สทิรยะฮ-สตรีฺ, ไวชยาฮฺ - พ่อค้า, ทะทฺาฺ - เช่นกัน, ชูดราฮฺ - คนชั้นต่ำ,เท อพิฺ - แม้พวกเขา, ยานทิฺ - ไป, พะรามฺ - ถึงองค์ภควาน, กะทิมฺ - จุดมุ่งหมาย
คำแปลฺ
โอ้ โอรสพระนางพริทฺา พวกที่มาพึ่งข้า ถึงแม้ว่าเกิดมาต่ำ เช่นสตรี ไวชยะ(พ่อค้า) และชูดระ (ผู้ใช้แรงงาน) สามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดได้
คำอธิบายฺ
ณ ที่นี้องค์ภควานทรงประกาศอย่างชัดเจนว่า ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ไม่มีข้อแบ่งแยกระหว่างชนชั้นต่ำและชนชั้นสูง ในแนวคิดแห่งชีวิตทางวัตถุมีการแบ่งแยกเช่นนี้ แต่สำหรับผู้ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ทิพย์ต่อองค์ภควานจะไม่มี ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไปถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดได้ ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (2.4.18) กล่าวไว้ว่า แม้พวกที่ต่ำสุดเรียกว่า ชันดาละฺ (คนกินสุนัข) สามารถทำให้บริสุทธิ์ขึ้นมาได้ด้วยการมาคบหาสมาคมกับสาวกผู้บริสุทธิ์ ฉะนั้น การอุทิศตนเสียสละรับใช้และการนำทางของสาวกผู้บริสุทธิ์มีพลังอำนาจมากจนไม่มีการเลือกปฏิบัติระหว่างชนชั้นที่ต่ำกว่าและชนชั้นที่สูงกว่า ทุก ๆ คนนำไปปฏิบัติได้ คนที่เรียบง่ายที่สุดมาพึ่งสาวกผู้บริสุทธิ์สามารถทำให้บริสุทธิ์ขึ้นได้จากการนำทางที่ถูกต้อง ตามระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุ มนุษย์แบ่งอยู่ในระดับแห่งความดี (บระฮมะณะฺ) ระดับแห่งตัณหา (คชัทริยะ หรือผู้บริหาร)ระดับผสมกันระหว่างตัณหาและอวิชชา (ไวชยะ หรือพ่อค้า) และระดับแห่งอวิชชา(ชูดระ หรือผู้ใช้แรงงาน) พวกที่ต่ำไปกว่านี้เรียกว่า ชันดาละฺ ที่เกิดในครอบครัวบาปโดยทั่วไปการคบหาสมาคมกับผู้ที่เกิดในครอบครัวบาป ชนชั้นสูงรับไม่ได้ แต่วิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้มีพลังอำนาจมาก สาวกผู้บริสุทธิ์ขององค์ภควานสามารถทำให้คนในชั้นต่ำทั้งหมดบรรลุถึงความสมบูรณ์สูงสุดแห่งชีวิตได้ เป็นเช่นนี้ได้เมื่อเรามาพึ่งคริชณะเท่านั้น ดังที่ได้แสดงไว้ ณ ที่นี้ด้วยคำว่า วิยะพาชริทยะฺ เราต้องมาพึ่งคริชณะโดยสมบูรณ์แล้วจะกลายมาเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า กยานีฺ และ โยคี ผู้ยิ่งใหญ่
คิม พุนาร บราฮมะณาฮ พุนยา
บัฺคธา ราจารชะยัส ทะทฺาฺ
อนิทยัม อสุคัฺม โลคัม
อิมัม พราพยะ บฺะจัสวะ มามฺ
คิมฺ - เท่าไร, พุนะฮฺ - อีกครั้งหนึ่ง, บราฮมะณาฮฺ - บราฮมะณะ, พุณยาฮฺ - บุญ, บัฺคธาฮฺ - เหล่าสาวก, ราจะฺ - ริชะยะฮฺ - กษัตริย์ผู้ทรงธรรม, ทะทฺาฺ - เช่นกัน, อนิทยัมฺ - ชั่วคราว, อสุคัฺมฺ - เต็มไปด้วยความทุกข์, โลคัมฺ - โลก อิมัมฺ - นี้, พราพยะฺ - ได้รับ, บฺะจัสวะฺ - ปฏิบัติในการรับใช้ด้วยความรัก, มามฺ - แด่ข้า
คำแปลฺ
แล้วจะเป็นเช่นนี้อีกมากเพียงใด สำหรับพราหมณ์ผู้มีบุญ เหล่าสาวก และกษัตริย์ผู้ทรงธรรม ฉะนั้น เมื่อมาอยู่ในโลกแห่งความทุกข์ที่ไม่ถาวรนี้ จงปฏิบัติรับใช้ข้าด้วยความรัก
คำอธิบายฺ
ในโลกนี้มีการแบ่งชั้นสำหรับผู้คน แต่ในที่สุดโลกนี้ไม่ใช่สถานที่ที่มีความสุขสำหรับผู้ใด ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า อนิทยัม อสุคัฺม โลคัมฺ โลกนี้ไม่ถาวรเต็มไปด้วยความทุกข์ และไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของสุภาพบุรุษผู้มีสติสัมปชัญญะดี บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงประกาศว่าโลกนี้ไม่ถาวร และเต็มไปด้วยความทุกข์ นักปราชญ์บางท่านโดยเฉพาะนักปราชญ์มายาวดี กล่าวว่า โลกนี้ไม่จริง แต่เราสามารถเข้าใจได้จาก ภควัต-คีตาฺ ว่า โลกนี้มิใช่ว่าไม่จริง แต่ไม่ถาวร มีข้อแตกต่างระหว่างความไม่ถาวรและความไม่จริง โลกนี้ไม่ถาวรแต่มีอีกโลกหนึ่งที่ถาวร โลกนี้มีความทุกข์แต่มีอีกโลกหนึ่งเป็นอมตะและมีความปลื้มปีติสุข
อารจุนะประสูติในราชวงศ์กษัตริย์ผู้ทรงธรรม องค์ภควานตรัสต่ออารจุนะเช่นกันว่า “จงรับเอาการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อข้าไปปฏิบัติ และกลับคืนสู่องค์ภควานคืนสู่เหย้าโดยเร็ว” ไม่มีผู้ใดควรจมปรักอยู่ในโลกที่ไม่ถาวรนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ ตามความเป็นจริง ทุกคนควรซบตนเองอยู่ที่พระอุระของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า เพื่อจะได้มีความสุขนิรันดร การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควานเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นที่ปัญหาทั้งหมดของชนทุกชั้นสามารถได้รับการแก้ไข ดังนั้น ทุกคนควรรับเอาคริชณะจิตสำนึกมาปฏิบัติ และทำให้ชีวิตสมบูรณ์
มัน-มะนา บฺะวะ มัด-บัฺคโธ
มัด-ยาจี มาม นะมัสคุรฺุ
มาม เอไวชยะสิ ยุคทไววัม
อาทมานัม มัท-พะรายะณะฮฺ
มัท-มะนาฮฺ - ระลึกถึงข้าอยู่เสมอ, บฺะวะฺ - มาเป็น, มัทฺ - ของข้า, บัฺคธะฮฺ - สาวก, มัทฺ - ของข้า, ยาจีฺ - ผู้บูชา , มามฺ - แด่ข้า, นะมัสคุรฺุ - ถวายความเคารพ, มามฺ - แด่ข้า, เอวะฺ - อย่างสมบูรณ์, เอชยะสิฺ - เธอจะมา, ยุคทวาฺ - ซึมซาบ, เอวัมฺ - ดังนั้น, อาทมานัมฺ - วิญญาณของเธอ, มัท-พะรายะณะฮฺ - อุทิศแด่ข้า
คำแปลฺ
ให้จิตใจของเธอระลึกถึงข้าอยู่เสมอ มาเป็นสาวกของข้า ถวายความเคารพต่อข้าบูชาข้า และซึมซาบอยู่ในข้าอย่างสมบูรณ์ แน่นอนว่าเธอจะมาหาข้า
คำอธิบายฺ
โศลกนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคริชณะจิตสำนึกเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งเราให้ออกจากเงื้อมมือของโลกวัตถุที่มีมลทินนี้ได้ บางครั้งนักบรรยายผู้ไม่มีคุณธรรมบิดเบือนความหมายซึ่งกล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า การอุทิศตนเสียสละรับใช้ทั้งหมดควรถวายให้องค์ภควานคริชณะ ด้วยความอับโชคนักบรรยายผู้ไม่มีคุณธรรมชักจูงจิตใจของผู้อ่านให้หันเหไปในหนทางที่เป็นไปไม่ได้ นักบรรยายเหล่านี้ไม่รู้ว่าไม่มีข้อแตกต่างระหว่างจิตใจของคริชณะและพระวรกายของพระองค์ คริชณะทรงไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา พระองค์ทรงเป็นสัจธรรมสูงสุด พระวรกายของพระองค์จิตใจของพระองค์ และตัวพระองค์เองเป็นหนึ่งเดียวกันและสมบูรณ์สูงสุด ได้กล่าวไว้ใน คูรมะ พุราณะฺ ดังที่บัฺคธิสิดดฺานธะ สะรัสวะที โกสวามี ได้อ้างอิงในคำบรรยาย อนุบฺา ชยะฺ ของหนังสือ เชธันญะ-ชะริทามริทะฺ (บทที่ห้า อาดิ-ลีลาฺ โศลก 41-48) เดฮะ- เดฮิ-วิเบฺโด ยัม เนชวะเร วิดยะเท ควะชิทฺ หมายความว่าในองค์ภควานคริชณะไม่มีข้อแตกต่างระหว่างตัวพระองค์เองและพระวรกายของพระองค์ เนื่องจากนักบรรยายไม่รู้ศาสตร์แห่งคริชณะ จึงซ่อนคริชณะและแบ่งแยกบุคลิกภาพของพระองค์จากจิตใจหรือจากพระวรกายของพระองค์ แม้ว่านี่เป็นเพียงอวิชชาในศาสตร์แห่งคริชณะโดยแท้ แต่บางคนยังทำผลกำไรจากการชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด
มีบางคนที่เป็นมาร คิดถึงคริชณะเช่นเดียวกันนี้ แต่ด้วยความอิจฉาเหมือนกับกษัตริย์คัมสะ พระมาตุลาของคริชณะ ซึ่งคิดถึงคริชณะเสมอเช่นเดียวกันแต่ความคิดของคัมสะเป็นศัตรู และอยู่ในความวิตกกังวลเสมอว่าเมื่อไรคริชณะจะมาสังหารตนความคิดเช่นนี้จะไม่ช่วยเรา เราควรคิดถึงคริชณะในการอุทิศตนเสียสละด้วยความรักนั่นคือ บัฺคธิฺ เราควรพัฒนาความรู้แห่งองค์คริชณะอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาที่อำนวยประโยชน์นั้นคืออะไร? คือการเรียนรู้จากครูผู้เชื่อถือได้ คริชณะคือองค์ภควาน ได้อธิบายไว้หลายครั้งแล้วว่า พระวรกายของพระองค์ไม่ใช่วัตถุ แต่ทรงเป็นอมตะมีความปลื้มปีติสุขและความรู้ การสนทนาเกี่ยวกับคริชณะเช่นนี้จะช่วยให้เรามาเป็นสาวก การเข้าใจคริชณะว่าเป็นอย่างอื่น โดยเรียนรู้จากแหล่งที่ผิดจะพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้รับผลประโยชน์อันใดเลย
ฉะนั้น เราควรให้จิตใจจดจ่ออยู่ที่รูปลักษณ์อมตะ รูปลักษณ์เดิมแท้ของคริชณะด้วยความมุ่งมั่นในหัวใจว่าคริชณะคือองค์ภควาน และเราควรปฏิบัติในการบูชา มีวัดเป็นร้อย ๆ พัน ๆ วัดในประเทศอินเดียที่บูชาคริชณะ และปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ เมื่อมีการปฏิบัติเช่นนี้เราต้องถวายความเคารพต่อคริชณะ ก้มศีรษะต่อหน้าพระปฏิมา ใช้จิดใจ ร่างกาย กิจกรรม และทุกสิ่งทุกอย่างปฏิบัติรับใช้ เช่นนี้จะทำให้ซึมซาบอยู่ในคริชณะอย่างสมบูรณ์โดยไม่เบี่ยงเบน และจะช่วยย้ายเราไปยังคริชณะโลคะ เราควรระวังไม่ให้นักบรรยายผู้ไม่มีคุณธรรมมาบิดเบือน และต้องปฏิบัติในวิธีแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้เก้าวิธี เริ่มจากการสดับฟังและการสวดภาวนาเกี่ยวกับคริชณะการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของสังคมมนุษย์
บทที่เจ็ดและบทที่แปดของ ภควัต-คีตาฺ อธิบายถึงการอุทิศตนเสียสละรับใช้ที่บริสุทธิ์แด่องค์ภควาน โดยปราศจากความรู้จากการคาดคะเน อิทธิฤทธิ์โยคะ และกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุ พวกที่ยังไม่ทำให้ตนเองบริสุทธิ์ขึ้นอาจยึดติดอยู่กับลักษณะต่าง ๆ ขององค์ภควาน เช่น บระฮมะจโยทิฺ ที่ไร้รูปลักษณ์ และ พะระมาทมาฺ ในหัวใจของทุกคน แต่สาวกผู้บริสุทธิ์ปฏิบัติตนรับใช้องค์ภควานโดยตรง
มีบทกวีอันสวยงามเกี่ยวกับคริชณะที่กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดปฏิบัติในการบูชาเทวดาเป็นผู้ที่ด้อยปัญญาที่สุด และไม่สามารถได้รับรางวัลสูงสุดจากองค์ภควานไม่ว่าในเวลาใด ในตอนต้น บางครั้งสาวกอาจตกต่ำลงจากมาตรฐานแต่ควรพิจารณาว่าสูงส่งกว่านักปราชญ์และโยคีทั้งหลาย ผู้ที่ปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึกอยู่เสมอควรเข้าใจว่าเป็นนักบุญโดยสมบูรณ์ กิจกรรมที่ไม่ใช่การอุทิศตนเสียสละซึ่งเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุจะลดน้อยลง และเขาจะสถิตในความสมบูรณ์บริบูรณ์โดยเร็วอย่างไม่ต้องสงสัย สาวกผู้บริสุทธิ์ไม่มีโอกาสที่จะตกลงต่ำจริง เพราะว่าองค์ภควานทรงดูแลสาวกผู้บริสุทธิ์ด้วยตัวพระองค์เอง ฉะนั้น ผู้มีปัญญาควรรับเอาวิธีแห่งคริชณะจิตสำนึกมาปฏิบัติโดยตรงและใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในโลกวัตถุนี้ แล้วจะได้รับรางวัลสูงสุดจากคริชณะในอนาคต
ดังนั้น ได้จบคำอธิบายโดย บัฺคธิเวดันธะ บทที่เก้าของหนังสือฺ ชรีมัด บฺะกะวัด-กีทา ในหัวข้อเรื่องความรู้ที่ลับสุดยอดฺ