บทที่ สอง
บทสรุป ภควัต-คีตา
สันจะยะ อุวาชะฺ
ทัม ทะทฺา คริพะยาวิชทัม
อัชรุ-พูรณาคุเลคชะณัมฺ
วิชีดันทัม อิดัม วาคยัม
อุวาชะ มะดํุสูดะนะฮฺ
สันจะยะฮ อุวาชะฺ - สันจะยะกล่าว, ทัมฺ - แด่อารจุนะ, ทะทฺาฺ - ดังนั้น, คริพะยาฺ - ด้วยความสงสาร, อาวิชทัมฺ - เต็มตื้น, อัชรุ-พูรณะ-อาคุละฺ - เปี่ยมไปด้วยน้ำตา, อีคชะณัมฺ - ดวงตา, วิชีดันทัมฺ - เศร้าโศก, อิดัมฺ - เหล่านี้, วาคยัมฺ - คำพูด, อุวาชะฺ - กล่าว, มะดํุ- สูดะนะฮฺ - ผู้สังหารมะดํุ
คำแปลฺ
สันจะยะกล่าวว่า ได้เห็นอารจุนะทรงเปี่ยมไปด้วยความเมตตาสงสาร จิตใจเศร้าสลด ดวงตาเปี่ยมไปด้วยน้ำตา มะดํุสูดะนะ คริชณะ ตรัสดังต่อไปนี้
คำอธิบายฺ
ความเมตตาสงสารทางวัตถุ ความเศร้าโศกเสียใจ และน้ำตา ทั้งหมดนี้คือสัญลักษณ์แห่งอวิชชาต่อดวงชีวิตที่แท้จริง ความเมตตาสงสารต่อดวงวิญญาณอมตะคือความรู้แจ้ง คำว่า “มะดํุสูดะนะ” มีความสำคัญในโศลกนี้ คริชณะทรงสังหารอสูรมะดํุ และบัดนี้ อารจุนะทรงปรารถนาให้คริชณะสังหารมารแห่งความเข้าใจผิดที่ได้มาครอบงำพระองค์ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีใครรู้ว่าความเมตตากรุณาควรนำไปใช้อย่างไร ความเมตตาสงสารต่อเสื้อผ้าของคนที่กำลังจมน้ำเป็นเรื่องไร้เหตุผล การช่วยเสื้อผ้าหรือช่วยร่างวัตถุที่หยาบ ของผู้ที่กำลังตกอยู่ในมหาสมุทรแห่งอวิชชานั้นไม่สามารถช่วยเขาได้ ผู้ไม่ทราบเช่นนี้ และเศร้าโศกเสียใจกับเสื้อผ้าภายนอก เรียกว่า ชูดระฺ หรือผู้ที่โศกเศร้าโดยไม่จำเป็น อารจุนะทรงเป็นกษัตริย์ การกระทำเช่นนี้ไม่สมควร อย่างไรก็ดี ชรีคริชณะทรงสามารถปัดเป่าความโศกเศร้าของผู้ที่ถูกอวิชชาครอบงำได้ ด้วยจุดประสงค์นี้พระองค์จึงทรงขับร้องเพลง ภควัต-คีตาฺ บทนี้ทรงแนะนำเราให้รู้สำนึกตนเองด้วยการวิเคราะห์ศึกษาร่างวัตถุและดวงวิญญาณ ดังที่ได้อธิบายไว้โดยผู้ที่เชื่อถือได้สูงสุดคือองค์ชรีคริชณะ การรู้แจ้งเช่นนี้เป็นไปได้เมื่อเราทำงานโดยไม่ยึดติดต่อผลทางวัตถุ และสถิตในแนวคิดแห่งตนเองที่แท้จริงอย่างมั่นคง
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
คุทัส ทวา คัชมะลัม อิดัม
วิชะเม สะมุพัสทิทัมฺ
อนารยะ-จุชทัม อัสวารกยัม
อคีรทิ-คะรัม อารจุนะฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัสว่า, คุทะฮฺ - จากที่ใด, ทวาฺ - ถึงท่าน, คัชมะลัมฺ - ความสกปรก, อิดัมฺ - ความเศร้าโศกเสียใจนี้, วิชะเมฺ - ในชั่วโมงฉุกเฉินนี้, สะมุพัสทิทัมฺ - มาถึง, อนารยะฺ - ผู้ที่ไม่รู้คุณค่าของชีวิต, จุชทัมฺ - ปฏิบัติโดย, อัสวารกยัมฺ - จะไม่นำเราไปสู่โลกที่สูงกว่า, อคีรทิฺ - เสียชื่อเสียง, คะลัมฺ - เป็นต้นเหตุของ, อารจุนะฺ - โอ้ อารจุนะ
คำแปลฺ
บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัสว่า โอ้ อารจุนะที่รัก มลทินเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? มันไม่เหมาะสำหรับผู้ที่รู้คุณค่าแห่งชีวิต เพราะจะไม่นำพาเธอไปสู่โลกที่สูงกว่า แต่จะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
คำอธิบายฺ
คริชณะและบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นบุคคลเดียวกัน ดังนั้นใน ภควัต-คีตาฺ ทั้งเล่มทรงเรียกพระองค์ว่าภควาน องค์ภควานทรงเป็นสัจธรรมสูงสุด การรู้แจ้งสัจธรรมอันสมบูรณ์เข้าใจได้ในสามระดับคือ บระฮมันฺ หรือดวงวิญญาณอันไร้รูปลักษณ์ที่แผ่กระจายอยู่ทั่วไป พะระมาทมาฺ หรือพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงประทับอยู่ภายในหัวใจของมวลชีวิต และองค์ภควานหรือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์ชรีคริชณะใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (1.2.11) ได้อธิบายแนวคิดแห่งสัจธรรมที่สมบูรณ์ไว้ดังนี้
วะดันทิ ทัท ทัททวะ-วิดัส
ทัททวัม ยัจ กยานัม อัดวะยัมฺ
บระฮเมทิ พะระมาทเมทิ
บฺะกะวาน อิทิ ชับดยะเทฺ
“ผู้รู้แจ้งสัจธรรมที่สมบูรณ์จะเข้าใจได้ในสามระดับซึ่งมีความคล้ายคลึงกันคือ บระฮมัน พะระมาทมาฺ และ บฺะกะวานฺ”
สามระดับทิพย์นี้เปรียบเทียบได้กับดวงอาทิตย์ที่แบ่งออกเป็นสามส่วน คือแสงอาทิตย์ ผิวอาทิตย์ และดวงอาทิตย์ ผู้ที่ศึกษาเฉพาะแสงอาทิตย์เปรียบได้กับนักศึกษาชั้นประถม ผู้ที่เข้าใจผิวของดวงอาทิตย์อยู่ในระดับที่สูงกว่า และผู้ที่สามารถเข้าไปอยู่ในดวงอาทิตย์ได้เป็นผู้รู้สูงสุด นักศึกษาทั่วไปที่พอใจกับการเข้าใจเฉพาะแสงอาทิตย์ซึ่งสาดส่องรัศมีไปทั่วจักรวาลอย่างเจิดจรัสซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไร้รูปลักษณ์เปรียบเทียบได้กับผู้รู้แจ้งเฉพาะในส่วนของ บระฮมันฺ แห่งสัจธรรมที่สมบูรณ์โดยส่วนเดียว นักศึกษาขั้นสูงกว่านี้จะทราบถึงผิวของดวงอาทิตย์ซึ่งเปรียบเทียบได้กับความรู้ในส่วนของ พะระมาทมาฺ ของสัจธรรมที่สมบูรณ์ และนักศึกษาผู้ที่สามารถเข้าไปถึงใจกลางดวงอาทิตย์เปรียบเทียบได้กับผู้รู้แจ้งรูปลักษณ์แห่งสัจธรรมที่สมบูรณ์สูงสุด ดังนั้น บัฺคธะฺ หรือนักทิพย์นิยมผู้รู้แจ้งในส่วนขององค์ภควานแห่งสัจธรรมที่สมบูรณ์ ถือว่าเป็นนักทิพย์นิยมชั้นสูงสุด ถึงแม้ว่านักศึกษาทั้งหมดจะศึกษาในวิชาเดียวกันคือวิชาแห่งสัจธรรมที่สมบูรณ์ แสงอาทิตย์ ผิวของดวงอาทิตย์ และกิจกรรมภายในดวงอาทิตย์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ แต่นักศึกษาทั้งสามกลุ่มก็มิได้อยู่ในระดับเดียวกัน
พะราชะระ มุนิ ผู้ที่เชื่อถือได้และเป็นพระบิดาของวิยาสะเดวะทรงอธิบายคำสันสกฤต บฺะกะวานฺ ว่าหมายถึงบุคลิกภาพสูงสุดผู้ทรงเป็นเจ้าของแห่งความร่ำรวยทั้งหมด พลังอำนาจทั้งหมด ชื่อเสียงทั้งหมด ความสง่างามทั้งหมด วิชาความรู้ทั้งหมดและความเสียสละทั้งหมด ผู้มีคุณสมบัติทั้งหมดนี้ได้ชื่อว่าองค์ภควาน มีมนุษย์หลายคนที่ร่ำรวยมาก มีอำนาจมาก มีความสง่างามมาก มีชื่อเสียงมาก มีความรู้มาก และไม่ยึดติด แต่ไม่มีใครที่สามารถอ้างได้ว่าตนเองเป็นเจ้าของแห่งความร่ำรวยทั้งหมดพลังอำนาจทั้งหมด ฯลฯ องค์ชรีคริชณะเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถตรัสเช่นนี้ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดรวมทั้งพระพรหม พระศิวะ หรือพระนารายณ์ที่จะสามารถเป็นเจ้าแห่งความมั่งคั่งอย่างสมบูรณ์เท่ากับคริชณะ ดังนั้นพระพรหมทรงสรุปในหนังสือ บระฮมะ-สัมฮิทาฺ ว่า คริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนและไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์แรกหรือองค์ภควาน ที่ทราบกันในอีกพระนามหนึ่งว่าโกวินดะ ผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดสูงสุดของแหล่งกำเนิดทั้งปวง
อีชวะระฮ พะระมะฮ คริชณะฮ
สัช-ชิด-อานันดะ-วิกระฮะฮฺ
อนาดิร อาดิร โกวินดะฮ
สารวะ-คาระณะ-คาระณัมฺ
“มีบุคลิกภาพมากมายผู้เป็นเจ้าของคุณสมบัติแห่งองค์ภควาน แต่คริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพที่สูงสุด เพราะว่าไม่มีผู้ใดเลอเลิศไปกว่า พระวรกายของพระองค์ทรงเป็นอมตะ เปี่ยมไปด้วยความรู้ และความสุขเกษมสำราญ พระองค์ทรงเป็นโกวินดะ ภควานองค์แรก และทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแหล่งกำเนิดทั้งปวง” (บระฮมะ-สัมฮิทาฺ 5.1)
มีพระนามของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้ามากมาย ใน บฺากะวะธัมฺ เช่นกัน แต่ได้อธิบายไว้ว่าชรีคริชณะทรงเป็นองค์แรกของบุคลิกภาพแห่งพระเจ้า และจากคริชณะจึงมีอวตารแห่งองค์ภควานมากมายที่ทรงแบ่งภาคออกมา
เอเท ชามชะ-คะลาฮ พุมสะฮ
คริชณัส ทะ บฺะะกะวาน สวะยัมฺ
อินดราริ-วิยาคุลัม โลคัม
มริดฺะยันทิ ยุเก ยุเกฺ
“รายพระนามของอวตารแห่งองค์ภควานทั้งหมดที่เสนอไว้ ณ ที่นี้ เป็นภาคที่แบ่งแยกมาจากพระองค์ หรือส่วนของภาคที่แบ่งแยกมาจากพระองค์ แต่คริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าเอง” (บฺากะวะธัมฺ 1.3.28 )
ฉะนั้น คริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์แรก ทรงเป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์ และทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทั้ง พะระมาทมาฺ และ บระฮมันฺ ที่ไร้รูปลักษณ์
ต่อหน้าพระพักตร์ของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ความเศร้าโศกเสียใจของอารจุนะที่ทรงมีต่อบรรดาสังคญาติเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ดังนั้น คริชณะทรงแสดงความสนเท่ห์พระฤทัยด้วยคำดำรัสว่า คุทะฮฺ “มาจากไหน” มลทินนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้ที่อยู่ในชนชั้นที่มีอารยธรรมซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชาวอารยัน คำว่าอารยันใช้กับผู้ที่ทราบถึงคุณค่าแห่งชีวิต และมีอารยธรรมอยู่บนฐานความรู้แจ้งแห่งดวงวิญญาณ ผู้ที่มีแนวความคิดทางวัตถุเป็นแกนนำจะไม่ทราบจุดมุ่งหมายของชีวิตว่าเราควรรู้แจ้งถึงสัจธรรมที่สมบูรณ์คือองค์วิชณุหรือองค์ภควาน และจะถูกลักษณะภายนอกของโลกวัตถุยั่วยวนดังนั้นจึงไม่ทราบว่าความหลุดพ้นคืออะไร ผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับความหลุดพ้นจากพันธนาการทางวัตถุเรียกว่าอนารยชน ถึงแม้ว่าอารจุนะทรงเป็นกษัตริย์แต่พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงหน้าที่ทั้งหมดด้วยการปฏิเสธที่จะสู้รบ การกระทำด้วยความขลาดกลัวเช่นนี้เหมาะสำหรับอนารยชน การบ่ายเบี่ยงจากหน้าที่เช่นนี้จะไม่ช่วยให้เราเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ และไม่เปิดโอกาสให้เรามีชื่อเสียงที่ดีงามในโลกนี้ องค์ชรีคริชณะทรงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เรียกว่า ความเมตตาสงสารของอารจุนะที่ทรงมีต่อสังคญาติ
คไลบยัม มา สมะ กะมะฮ พารทฺะ
ไนทัท ทวะยิ อุพะพัดยะเทฺ
คชุดรัม ฮริดะยะ-โดรบัลยัม
ทยัคทโวททิชทฺะ พะรันทะพะฺ
คไลบยัมฺ - ไร้สมรรถภาพ, มา สมะฺ - ไม่, กะมะฮฺ - นำไป, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทา, นะฺ - ไม่เคย, เอทัทฺ - นี้, ทวะยิฺ - แก่เธอ, อุพะพัดยะเทฺ - เหมาะสม, คชุดรัมฺ - เล็กน้อย, ฮริดะยะฺ - ของหัวใจ, โดรบัลยัมฺ - ความอ่อนแอ, ทยัคทวาฺ - ยกเลิก, อุททิชทฺะฺ - ลุกขึ้น, พะรัม-ทะพะฺ - โอ้ ผู้กำราบศัตรู
คำแปลฺ
โอ้ โอรสแห่งพริทา เธอจงอย่ายอมจำนนให้กับความไร้สมรรถภาพที่น่าอับอายจนไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้ จงสลัดความอ่อนแอแห่งจิตใจเพียงเล็กน้อยนี้ออกไปให้พ้น และลุกขึ้นมาสู้ โอ้ ผู้กำราบศัตรู
คำอธิบายฺ
อารจุนะทรงถูกเรียกว่า โอรสของพริทาผู้ทรงเป็นพระขนิษฐภคินีของวะสุ-เดวะ พระบิดาของคริชณะ ฉะนั้น อารจุนะทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับคริชณะ หากโอรส คชัทริยะฺ ปฏิเสธการสู้รบผู้นั้นก็เป็น คชัทริยะฺ แต่เพียงในนามเท่านั้นและหากบุตรของ บราฮมะณะฺ ทำบาป เขาก็เป็น บราฮมะณะฺ แต่เพียงในนามเท่านั้น คชัทริยะฺ และ บราฮมะณะฺ เช่นนี้เป็นบุตรที่ไร้ค่าของบิดา ดังนั้น คริชณะไม่ทรงปรารถนาให้อารจุนะมาเป็นโอรสกษัตริย์ที่ไร้คุณค่า จากความน่าเชื่อถือได้ที่อารจุนะทรงเป็นพระสหายที่สนิทสนมมากกับคริชณะ และคริชณะทรงเป็นผู้นำทางของอารจุนะโดยตรงบนราชรถ หากอารจุนะทรงละทิ้งสนามรบไปจะเป็นการกระทำสิ่งที่เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น คริชณะจึงตรัสว่าท่าทีของอารจุนะเช่นนี้ไม่เหมาะสมสำหรับบุคลิกภาพแห่งกษัตริย์ อารจุนะทรงอาจมีข้อโต้แย้งว่าทรงยกเลิกการสู้รบบนพื้นฐานแนวคิดแห่งคุณธรรมอันสูงส่งเพื่อผู้ที่เราควรให้ความเคารพสูงสุด เช่น บีฺชมะ และบรรดาสังคญาติแต่คริชณะทรงพิจารณาว่าความมีคุณธรรมอันสูงส่งเช่นนี้ เป็นเพียงความอ่อนแอแห่งจิตใจเท่านั้น คุณธรรมอันสูงส่งที่ผิดเช่นนี้ ผู้ที่เชื่อถือได้ไม่เห็นด้วย ฉะนั้น คุณธรรมอันสูงส่งหรือที่เรียกว่าอหิงสานี้ บุคคลเช่นอารจุนะควรยกเลิกภายใต้การชี้นำโดยตรงของชรี คริชณะ
อารจุนะ อุวาชะฺ
คะทัม บีชมัม อฮัม สังคฺเย
โดรณัม ชะ มะดํุสูดะนะฺ
อิชุบิฮ พระทิโยทสยามิ
พูจารฮาพ อริ-สูดะนะฺ
อารจุนะฮ อุวาชะฺ - อารจุนะตรัสว่า, คะทัมฺ - อย่างไร, บีชมัมฺ - บีชมะ, อฮัมฺ - ข้าพเจ้า, สังคฺเยฺ -ในการสู้รบ, โดรณัมฺ - โดรณะ, ชะฺ - เช่นกัน, มะดํุ-สูดะนะฺ - โอ้ ผู้สังหารมะดํุ, อิชุบิฮฺ - ด้วยลูกศร, พระทิโยทสยามิฺ - จะโต้ตอบ, พูจา-อารโฮฺ - ผู้ที่ควรเคารพบูชา, อริ- สูดะนะฺ - โอ้ ผู้สังหารศัตรู
คำแปลฺ
อารจุนะตรัสว่า โอ้ ผู้สังหารศัตรู โอ้ ผู้สังหารมะดํุ ข้าจะโต้ตอบด้วยลูกศรในสนามรบกับบีชมะและโดรณะผู้ที่ควรค่าได้รับการบูชาจากข้าพเจ้าได้อย่างไร?
คำอธิบายฺ
ผู้อาวุโสที่ควรเคารพเช่น พระอัยกาบีชมะ และพระอาจารย์โดรณาชารยะ ควรได้รับการเคารพบูชาอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าท่านจะมาเพื่อสู้รบ เราไม่ควรโต้ตอบ ซึ่งเป็นมารยาทโดยทั่วไปที่ผู้อาวุโสไม่ควรถูกก้าวร้าวแม้ด้วยคำพูด ถึงแม้บางครั้งพฤติกรรมของอาจารย์จะไม่ถูกต้อง แต่ไม่ควรถูกปฏิบัติตอบด้วยความก้าวร้าว แล้วจะให้อารจุนะตอบโต้ท่านเหล่านี้ได้อย่างไร คริชณะจะยอมทำร้ายพระอัยกาอุกระเสนะหรือพระอาจารย์สานดีพะนิมุนิ หรือไม่? เหล่านี้เป็นข้อโต้แย้งบางประการที่อารจุนะเสนอแด่คริชณะ
กูรูน อฮัทวา ฮิ มะฮานุบฺาวาน
ชเรโย โบฺคทุม ไบฺคชยัม อพีฮะ โลเคฺ
ฮัทวารทฺะ-คามามส ทุ กุรูน อิไฮวะ
บํุนจียะ โบฺกาน รุดิระ-พระดิกดฺานฺ
กุรูนฺ - ผู้อาวุโส, อฮัทวาฺ - ไม่สังหาร, ฮิฺ - แน่นอน, มะฮาอนุบฺาวานฺ - ดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่, ชเรยะฮฺ - เป็นสิ่งที่ดีกว่า, โบฺคทุมฺ - ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข, ไบฺคชยัมฺ - ด้วยการภิกขาจาร, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, อิฮะฺ - ในชีวิตนี้, โลเคฺ - ในโลกนี้, ฮัทวาฺ -สังหาร, อารทฺะฺ - ได้รับ, คามานฺ - ปรารถนา, ทฺุ - แต่, กุรูนฺ - ผู้อาวุโส, อิฮะฺ - ในโลกนี้, เอวะฺ - แน่นอน, บํุนจี- ยะฺ - ผู้ที่ต้องหาความสุข, โบฺกานฺ - สิ่งที่ให้ความสุข, รุดิระฺ - เลือด, พระดิกดฺานฺ - เปื้อนด้วย
คำแปลฺ
อยู่ในโลกนี้ด้วยการภิกขาจารยังดีกว่าที่จะอยู่ด้วยค่าใช้จ่ายแห่งชีวิตของดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นพระอาจารย์ของข้า แม้ปรารถนาผลกำไรทางโลกแต่ก็ยังเป็นผู้อาวุโส หากพวกท่านถูกสังหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความสุขของเราจะเปื้อนไปด้วยเลือด
คำอธิบายฺ
ตามหลักพระคัมภีร์ อาจารย์ผู้กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจ ขาดสติดุลยพินิจ สมควรถูกทอดทิ้ง บีฺชมะและโดรณะจำเป็นต้องอยู่ฝ่ายดุรโยดฺะนะ เพราะดุรโยดฺะนะช่วยเหลือเรื่องการเงิน ทั้งสองท่านไม่ควรรับสถานภาพนี้เพียงเพื่อเห็นแก่เงินเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านได้สูญเสียคุณสมบัติความน่าเคารพนับถือในฐานะเป็นอาจารย์ไปแล้ว แต่อารจุนะทรงถือว่าท่านทั้งสองเป็นผู้อาวุโส หากถูกสังหารเท่ากับผลกำไรทางวัตถุและความสุขที่อารจุนะได้รับเป็นสิ่งปฏิกูลที่เปื้อนไปด้วยเลือด
นะ ไชทัด วิดมะฮ คะทะรัน โน กะรีโย
ยัด วา จะเยมะ ยะดิ วา โน จะยะยุฮฺ
ยาน เอวะ ฮัทวา นะ จิจีวิชามัส
เท ´วัสทิทาฮ พระมุเคฺ ดฺารทะราชทราฮฺ
นะฺ - ไม่, ชะฺ - เช่นกัน, เอทัทฺ - นี้, วิดมะฮฺ - เรารู้, คะทะรัทฺ - ซึ่ง, นะฮฺ - สำหรับเรา, กะรียะฮฺ - ดีกว่า, ยัท วาฺ - หรือไม่, จะเยมะฺ - เราอาจมีชัย, ยะดิฺ - ถ้า, วาฺ - หรือ, นะฮฺ - เรา, จะเยยุฮฺ - พวกเขามีชัย, ยานฺ - เขาเหล่านั้น, เอวะฺ - แน่นอน, ฮัทวาฺ - ด้วยการสังหาร, นะฺ - ไม่เคย, จิจีวิชามะฮฺ - เราต้องการที่จะมีชีวิตอยู่, เทฺ - ทั้งหมด, อวัสทิทาฮฺ - สถิตอยู่, พระมุเคฺฺ - ข้างหน้า, ดฺารทะราชทราฮฺ - โอรสของดฺริทะราชทระ
คำแปลฺ
เราไม่ทราบว่าสิ่งไหนดีกว่ากัน เอาชนะพวกเขาหรือให้พวกเขามีชัย หากสังหารเหล่าโอรสของดฺริทะราชทระเราก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่เช่นกัน บัดนี้ พวกเขามายืนอยู่ต่อหน้าเราในสมรภูมินี้แล้ว
คำอธิบายฺ
อารจุนะทรงไม่ทราบว่าควรจะรบและเสี่ยงในการเบียดเบียนผู้อื่นโดยไม่จำเป็นหรือไม่ ถึงแม้การทำศึกสงครามจะเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ หรือควรจะหลีกเลี่ยงการรบและไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยการภิกขาจาร หากไม่ได้รับชัยชนะการภิกขาจารก็เป็นหนทางเดียวที่จะประทังชีวิตอยู่ และชัยชนะก็มิใช่เป็นสิ่งแน่นอนเพราะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจมีชัยได้ แม้ชัยชนะกำลังรออยู่ (การกระทำเช่นนี้สมเหตุผล) หากเหล่าโอรสของดฺริทะราชทระตายในสนามรบก็เป็นการยากลำบากมากที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากพวกเขา สถานการณ์เช่นนี้เปรียบเสมือนกับการพ่ายแพ้อีกอย่างหนึ่ง อารจุนะทรงพิจารณาอย่างรอบคอบ เช่นนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่เพียงเป็นสาวกผู้ยิ่งใหญ่ขององค์ภควานเท่านั้น แต่ยังมีความรู้แจ้งอย่างสูง ทรงสามารถควบคุมจิตใจและประสาทสัมผัสของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยการภิกขาจาร แม้กำเนิดในตระกูลกษัตริย์เป็นข้อบ่งชี้อีกอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าอารจุนะทรงไม่ยึดติดและเป็นผู้มีคุณธรรมอย่างแท้จริง ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้บวกกับความศรัทธาที่มีต่อคำดำรัสของชรีคริชณะ (พระอาจารย์ทิพย์) จึงสรุปได้ว่าอารจุนะทรงมีความเหมาะสมเพื่อการหลุดพ้น นอกจากเราสามารถควบคุมประสาทสัมผัสได้ทั้งหมดมิฉะนั้น จะไม่มีโอกาสเจริญขึ้นมาสู่ระดับแห่งความรู้ หากไม่มีความรู้และการอุทิศตนเสียสละ เราจะไม่มีโอกาสได้รับความหลุดพ้น อารจุนะทรงมีคุณสมบัติทั้งหมดเหล่านี้ซึ่งสำคัญกว่าคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ในความสัมพันธ์ทางวัตถุ
คารพัณยะ-โดโชพะฮะทะ-สวะบฺาวะฮ
พริชชฺามิ ทวาม ดฺารมะ-สัมมูดฺะ-เชทาฮฺ
ยัช ชฺเรยะฮ สยาน นิชชิทัม บรูฮิ ทัน เม
ชิชยัส เท ´ฮัม ชาดิ มาม ทวาม พระพันนัมฺ
คารพัณยะฺ - เล็กน้อย, โดชะฺ - ด้วยความอ่อนแอ, อุพะฮะทะฺ - ทำให้เดือดร้อน, สวะฺ - บฺาวะฮฺ - บุคลิก, พริชชฺามิฺ - ข้าพเจ้าขอถาม, ทวามฺ - แด่พระองค์, ดฺารมะฺ - ศาสนา, สัมมูดฺะฺ - สับสน, เชทาฮฺ - ในหัวใจ, ยัทฺ - อะไร, ชเรยะฮฺ - ดีทั้งหมด, สยาทฺ - อาจจะ, นิชชิทัมฺ - ความมั่นใจ, บรูฮิฺ - บอก, ทัทฺ - นั้น, เมฺ - แด่ข้าพเจ้า, ชิชยะฮฺ - สาวก, เทฺ - ของพระองค์, อฮัมฺ - ข้าพเจ้าเป็น, ชาดิฺ - ได้โปรดสั่งสอน, มามฺ - ข้าพเจ้า, ทวามฺ - แด่พระองค์, พระพันนัมฺ - ศิโรราบ
คำแปลฺ
บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกสับสนเกี่ยวกับหน้าที่และสูญเสียความสงบจนหมดสิ้น อันเนื่องมาจากความอ่อนแอเล็กน้อย ในสภาวะเช่นนี้ข้าพเจ้าขอเรียนถามได้ทรงโปรดกรุณาตรัสอย่างชัดเจนด้วยว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับข้า บัดนี้ข้าพเจ้าขอนอบน้อมเป็นสาวก วิญญาณดวงนี้ขอศิโรราบแด่พระองค์ ทรงโปรดกรุณาชี้ทาง
คำอธิบายฺ
โดยวิถีทางของธรรมชาติระบบอันสมบูรณ์ของงกิจกรรมทางวัตถุเป็นต้นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายสำหรับทุกคน ความสับสนวุ่นวายมีอยู่ในทุกฝีก้าว ดังนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากเราเข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้ซึ่งสามารถให้คำแนะนำที่เหมาะสมเพื่อนำไปปฏิบัติให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายแห่งชีวิต วรรณกรรมพระเวททั้งหมดแนะนำเราให้เข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้ เพื่อให้เป็นอิสระจากความสับสนวุ่นวายแห่งชีวิตซึ่งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ปรารถนา เสมือนดั่งไฟป่าที่ลุกไหม้ขึ้นมาโดยไม่มีใครจุด ลักษณะเดียวกัน สถานการณ์โลกทำให้ชีวิตเกิดความสับสนวุ่นวายโดยปริยายทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครต้องการมัน ไม่มีใครต้องการให้ไฟไหม้แต่ไฟก็ไหม้และทำให้เราสับสนวุ่นวาย ปรัชญาพระเวทแนะนำว่า ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับความสับสนวุ่นวายแห่งชีวิตและเข้าใจถึงศาสตร์แห่งการแก้ปัญหา เราต้องเข้าพบพระอาจารย์ทิพย์ผู้อยู่ในสาย พะรัมพะราฺ บุคคลผู้มีพระอาจารย์ทิพย์ที่เชื่อถือได้จะรู้แจ้งในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น เราไม่ควรอยู่ในความสับสนวุ่นวายทางวัตถุแต่ควรเข้าพบพระอาจารย์ นี่คือคำอธิบายของโศลกนี้
ใครคือบุคคลผู้อยู่ในความสับสนวุ่นวายทางวัตถุ? บุคคลนั้นคือผู้ที่ไม่เข้าใจปัญหาของชีวิต ใน บริฮัด-อารัณยะคะ อุพะนิชัดฺ (3.8.10) ได้อธิบายถึงผู้สับสนวุ่นวายไว้ดังนี้ โย วา เอทัด อัคชะรัม การกิ อวิดิทวาสมาล โลคาท ไพรทิ สะ คริพะณะฮฺ “บุคคลผู้มีความโลภไม่แก้ปัญหาชีวิตแม้เกิดมาเป็นมนุษย์ และจากโลกนี้ไปเหมือนแมวและสุนัขโดยไม่เข้าใจศาสตร์ความรู้แจ้งแห่งตน” ร่างมนุษย์มีคุณค่าสูงสุดสำหรับสิ่งมีชีวิตในการที่จะใช้มันเพื่อแก้ปัญหาชีวิต ฉะนั้น ผู้ไม่ใช้โอกาสนี้อย่างเหมาะสมเป็นคนที่โง่เขลา อีกด้านหนึ่ง มีพราหมณ์หรือผู้ฉลาดพอที่จะใช้ร่างกายนี้แก้ปัญหาชีวิตทั้งหมด ยะ เอทัด อัคชะรัม การกิ วิดิทวาสมาล โลคาท ไพรทิ สะ บราฮมะณะฮฺ
คริพะณะฺ หรือคนโลภเสียเวลากับความเสน่หาต่อครอบครัว สังคม และประเทศ ฯลฯ มากเกินไป ตามแนวคิดชีวิตแห่งโลกวัตถุ ส่วนมากจะยึดติดอยู่กับชีวิตครอบครัว เช่น ภรรยา บุตร ธิดา และสมาชิกอื่น ๆ บนพื้นฐานของ ”โรคผิวหนัง” คริพะณะฺ คิดว่าตัวเขาเองสามารถปกป้องสมาชิกในครอบครัวให้พ้นจากความตายได้ หรือมิเช่นนั้น คริพะณะฺ ก็จะคิดว่าครอบครัวหรือสังคมสามารถช่วยเขาให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของพญามัจจุราชได้ ความยึดติดกับครอบครัวเช่นนี้พบได้แม้ในสัตว์ชั้นต่ำที่ดูแลลูกของมันเช่นเดียวกัน ด้วยความมีสติปัญญาอารจุนะทรงเข้าใจว่าความเสน่หาในการยึดติดต่อสมาชิกในครอบครัวและความปรารถนาที่จะปกป้องพวกเขาจากความตาย เป็นต้นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวาย ถึงแม้อารจุนะทรงทราบดีว่าหน้าที่ในการรบรอคอยพระองค์อยู่ แต่เนื่องมาจากความอ่อนแอเพียงเล็กน้อยทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามหน้าที่ได้ ฉะนั้น อารจุนะทรงตรัสถามคริชณะ ผู้ทรงเป็นพระอาจารย์ทิพย์สูงสุดเพื่อให้ได้คำตอบที่แน่นอน อารจุนะทรงถวายชีวิตแด่คริชณะด้วยการมาเป็นสาวก พระองค์ทรงปรารถนาที่จะหยุดการสนทนาฉันมิตร การสนทนาระหว่างพระอาจารย์และสาวกเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง บัดนี้ อารจุนะทรงปรารถนาที่จะสนทนาอย่างจริงจังต่อหน้าพระพักตร์ของผู้ที่พระองค์ทรงยอมรับว่าเป็นพระอาจารย์ทิพย์ ดังนั้น คริชณะทรงเป็นพระอาจารย์ทิพย์องค์แรกแห่งศาสตร์ภควัต-คีตาฺ และอารจุนะทรงเป็นสาวกรูปแรกที่เข้าใจ ภควัต-คีตาฺ อารจุนะทรงเข้าใจภควัต-คีตาอย่างไรนั้นฺ ได้กล่าวไว้ใน ภควัต-คีตาฺ เอง ถึงกระนั้น ยังมีนักวิชาการทางโลกผู้เบาปัญญาอธิบายว่าเราไม่จำเป็นต้องยอมจำนนต่อคริชณะในฐานะที่ทรงเป็นบุคคล แต่ยอมจำนนต่อ “ผู้ที่ยังไม่เกิดภายในองค์คริชณะ”ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างภายในและภายนอกของคริชณะ ผู้ที่ไม่สามารถเข้าใจเช่นนี้ เป็นบุคคลโง่เขลาเบาปัญญาที่สุดในความพยายามที่จะเข้าใจ ภควัต-คีตาฺ โศลก
นะ ฮิ พระพัชยามิ มะมาพะนุดยาด
ยัช โชฺคัม อุชโชฺชะณัม อินดริยาณามฺ
อวาพยะ บํูมาพ อสะพัทนัม ริดดัม
ราจยัม สุราณาม อพิ ชาดิพัทยัมฺ
นะฺ - ไม่, ฮิฺ - แน่นอน, พระพัชยามิฺ - ข้าพเจ้าเห็น, มะมะฺ - ของข้าพเจ้า, อพะนุดยาทฺ - สามารถขจัดออก, ยัทฺ - สิ่งซึ่ง, โชคัมฺ - ความเศร้าโศก, อุชโชฺชะณัมฺ - แห้งผาก, อินดริ ยาณามฺ - ของประสาทสัมผัส, อวาพยะฺ - บรรลุถึง, บํูโมฺ - บนโลก, อสะพัทนัมฺ - โดยไม่มีคู่แข่ง, ริดดัมฺ - มั่งคั่ง, ราจยัมฺ - อาณาจักร, สุราณามฺ - ของเหล่าเทวดา, อพิฺ - ถึงแม้, ชะฺ - เช่นกัน, อาดิพัทยัมฺ - ยิ่งใหญ่ที่สุด
คำแปลฺ
ข้าพเจ้าไม่สามารถหาวิธีขจัดความทุกข์ที่ทำให้ประสาทสัมผัสเหือดแห้งลงได้ถึงแม้ได้รับชัยชนะทั้งทรัพย์สมบัติและอาณาจักรที่ไร้คู่แข่งบนโลกนี้ พร้อมทั้งอำนาจสูงสุดเยี่ยงเทวดาบนสวรรค์ ก็จะไม่สามารถขจัดปัดเป่ามันออกไปได้
คำอธิบายฺ
ถึงแม้ว่าอารจุนะทรงยกข้ออ้างมากมาย ตามหลักความรู้ทางศาสนาและหลักศีลธรรม แต่ดูเหมือนว่าไม่สามารถแก้ปัญหาที่แท้จริงได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพระอาจารย์ทิพย์องค์ชรีคริชณะ อารจุนะทรงสามารถเข้าใจว่าสิ่งที่สมมุติว่าเป็นความรู้ที่มีอยู่นั้นใช้ไม่ได้ในการที่จะขจัดปัดเป่าปัญหาที่ทำให้พระวรกายของพระองค์แห้งผากลง และเป็นไปไม่ได้ที่อารจุนะจะทรงสามารถแก้ปัญหาความสับสันวุ่นวายนี้ได้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากพระอาจารย์ทิพย์เช่นคริชณะ ความรู้ทางโลก ความเป็นผู้คงแก่เรียน และตำแหน่งสูง ๆ ฯลฯ ทั้งหมดเหล่านี้ใช้ไม่ได้ในการนำมาแก้ปัญหาชีวิต พระอาจารย์ทิพย์เช่นคริชณะเท่านั้นที่ทรงสามารถให้ความช่วยเหลือเราได้ ฉะนั้น ข้อสรุปคือพระอาจารย์ทิพย์ผู้มีคริชณะจิตสำนึกร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นพระอาจารย์ทิพย์ที่เชื่อถือได้เพราะท่านสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ องค์เชธันญะตรัสว่าผู้ที่มีความรู้จริงในศาสตร์แห่งคริชณะจิตสำนึกจึงจะเป็นพระอาจารย์ทิพย์ที่แท้จริง ไม่ว่าสถานภาพทางสังคมของท่านจะเป็นเช่นไร
คิบา วิพระ, คิบา นยาสี, ชูดระ เคเน นะยะฺ
เย คริชณะ-ทัททวะ-เวททา, เส ′กุรุ´ ฮะยะฺ
“มันไม่สำคัญที่บุคคลเป็น วิพระฺ (ผู้มีความรู้มากในปรัชญาพระเวท) ผู้เกิดในตระกูลต่ำ หรือเป็นผู้ใช้ชีวิตสละโลกวัตถุ หากผู้ใดมีความรู้จริงในศาสตร์แห่งคริชณะจิตสำนึกผู้นั้นสมบูรณ์และเป็นพระอาจารย์ทิพย์ที่เชื่อถือได้” (เชธันญะ-ชะริทามริทะ, มัดฺยะฺ8.128) ดังนั้น หากไม่มีความรู้จริงในศาสตร์แห่งคริชณะจิตสำนึก ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นพระอาจารย์ทิพย์ที่เชื่อถือได้ ได้กล่าวไว้ในวรรณกรรมพระเวทอีกเช่นกันว่า
ชัท-คารมะ-นิพุโณ วิโพร
มันทระ-ทันทระ-วิชาระดะฮฺ
อไวชณะโว กุรุร นะ สยาด
ไวชณะวะฮ ชวะ-พะโช กุรุฮฺ
“บระฮมะณะฺ ผู้คงแก่เรียนมีความชำนาญในสาขาวิชาของพระเวททั้งหมด ยังไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นพระอาจารย์ทิพย์ หากมิได้เป็นไวชณะวะหรือผู้มีความชำนาญในศาสตร์แห่งคริชณะจิตสำนึก แต่ผู้ที่เกิดในตระกูลต่ำสามารถมาเป็นพระอาจารย์ทิพย์ที่เชื่อถือได้ หากว่าผู้นั้นเป็นไวชณะวะหรือมีคริชณะจิตสำนึก” (พัดมะ พุราณะฺ)
ปัญหาชีวิตทางวัตถุ เช่น การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย แก้ไขไม่ได้ด้วยการสะสมทรัพย์สมบัติและพัฒนาเศรษฐกิจ มีส่วนต่าง ๆ มากมายในโลกที่รัฐมีสิ่งอำนวยความสะดวกแด่ชีวิตอย่างสมบูรณ์ เต็มไปด้วยความมั่งคั่งและเศรษฐกิจที่ดีแต่ปัญหาทางวัตถุก็ยังปรากฏอยู่ พวกเขาเสาะแสวงหาสันติภาพด้วยวิธีต่าง ๆ แต่จะได้รับความสุขอย่างแท้จริงก็ด้วยการมาปรึกษากับคริชณะหรือ ภควัต-คีตาฺ และ ชรีมัด- บฺากะวะธัมฺ เท่านั้น ซึ่งประกอบกันเป็นศาสตร์แห่งคริชณะ โดยผ่านทางผู้แทนที่เชื่อถือได้ของคริชณะ หรือบุคคลในคริชณะจิตสำนึก
หากการพัฒนาเศรษฐกิจและความสะดวกสบายทางวัตถุสามารถขจัดความเศร้าโศกเสียใจของเราจากความมึนเมาทางครอบครัว สังคม ชาติ และระดับนานาชาติได้ อารจุนะคงไม่ตรัสว่า แม้แต่ราชอาณาจักรในโลกที่ไร้ศัตรูคู่แข่ง หรืออำนาจสูงสุดเยี่ยงเหล่าเทวดาบนสรวงสวรรค์ยังไม่สามารถขจัดความเศร้าโศกของพระองค์ได้ ฉะนั้นอารจุนะจึงทรงแสวงหาที่พึ่งในคริชณะจิตสำนึก และนี่คือวิถีทางที่ถูกต้องเพื่อสันติภาพและความสามัคคี การพัฒนาเศรษฐกิจหรืออำนาจความยิ่งใหญ่ในโลกอาจจบสิ้นลงในวินาทีใดก็ได้ จากกลียุคแห่งธรรมชาติวัตถุ แม้วิวัฒนาการที่จะไปอยู่ในดาวเคราะห์ที่สูงกว่า ดังที่มนุษย์พยายามขึ้นไปบนดวงจันทร์ สิ่งนี้อาจจบสิ้นลงในวินาทีใดก็ได้ ภควัต- คีตาฺ ยืนยันไว้ดังนี้ คชีเณ พุณเย มารทยะ-โลคัม วิชันทิฺ “เมื่อผลบุญหมดสิ้น เราจะตกต่่ำลงมาจากจุดสูงสุดแห่งความสุขมาสู่สภาพชีวิตที่ต่ำสุด” มีนักการเมืองมากมายในโลกที่ตกต่ำลงมาในทำนองนี้ การตกต่ำลงมาเช่นนี้เป็นอีกเหตุหนึ่งที่เพิ่มความเศร้าโศกให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ฉะนั้น หากเราต้องการขจัดความเศร้าโศกให้หมดสิ้นไปอย่างถาวร เราต้องยอมรับเอาคริชณะเป็นที่พึ่ง ดังเช่นอารจุนะทรงปรารถนาจะทำ ดังนั้น อารจุนะจึงทรงตรัสถามคริชณะให้ทรงช่วยแก้ปัญหาอย่างถอนรากถอนโคน และนี่คือวิธีแห่งคริชณะจิตสำนึก
สันจะยะ อุวาชะฺ
เอวัม อุคทวา ฮริชีเคชัม
กุดาเคชะฮ พะรันทะพะฮฺ
นะ โยทสยะ อิทิ โกวินดัม
อุคทวา ทูชณีม บะบํูวะ ฮะฺ
สันจะยะฮ อุวาชะฺ - สันจะยะกล่าวว่า, เอวัมฺ - ดังนั้น, อุคทวาฺ - ตรัส, ฮริชีเคชัมฺ - แด่คริชณะเจ้าแห่งประสาทสัมผัส, กุดาเคชะฮฺ - อารจุนะเจ้าแห่งผู้ขจัดอวิชชา, พะรันทะ พะฮฺ - ผู้กำราบศัตรู, นะ โยทสเยฺ - ข้าพเจ้าจะไม่ต่อสู้, อิทิฺ - ดังนั้น, โกวินดัมฺ - แด่คริชณะผู้ให้ความสุขแด่ประสาทสัมผัส, อุคทวาฺ - ตรัส, ทูชณีมฺ - นิ่งเงียบ, บะบํูวะฺ - มาเป็น, ฮะฺ - แน่นอน
คำแปลฺ
สันจะยะกล่าวว่า หลังจากตรัสเช่นนี้แล้วอารจุนะผู้กำราบศัตรูตรัสต่อคริชณะว่า“ข้าแต่องค์โกวินดะ ข้าพเจ้าจะไม่รบ” และมีอาการสงบนิ่ง
คำอธิบายฺ
พระราชาดฺริทะราชทระทรงมีความยินดีมากที่รู้ว่าอารจุนะไม่ยอมรบ และจะหนีออกจากสนามรบเพื่อไปภิกขาจารหาเลี้ยงชีพ แต่สันจะยะได้ทำให้ดฺริทะราชทระทรงผิดหวังอีกครั้งหนึ่งด้วยการกล่าว อารจุนะทรงมีความสามารถในการสังหารศัตรู (พะรัน ทะพะฮฺ) ถึงแม้อารจุนะในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศกอันมิบังควร เนื่องจากความรักความห่วงใยที่มีต่อครอบครัว อารจุนะทรงยอมศิโรราบมาเป็นสาวกของคริชณะพระอาจารย์ทิพย์สูงสุด แสดงให้เห็นว่าในไม่ช้าจะเป็นอิสระจากความเศร้าโศกอันมิควรซึ่งมีผลสืบเนื่องมาจากความรักและความห่วงใยในครอบครัว และจะได้รับแสงสว่างจากความรู้อันสมบูรณ์ในการรู้แจ้งแห่งตนหรือคริชณะจิตสำนึก จากนั้น อารจุนะจะทรงลุกขึ้นมาสู้อย่างแน่นอน ดังนั้น ความสุขของดฺริทะราชทรงถูกทำให้เลือนหายไป เพราะคริชณะทรงทำให้อารจุนะได้รับแสงสว่างและจะต่อสู้จนถึงที่สุด
ทัม อุวาชะ ฮริชีเคชะฮ
พระฮะสันน อิวะ บฺาระทะฺ
เสนะโยร อุบฺะโยร มัดฮเย
วิชีดันทัม อิดัม วะชะฮฺ
ทัมฺ - แต่เขา, อุวาชะฺ - ตรัส, ฮริชีเคชะฮฺ - คริชณะเจ้าแห่งประสาทสัมผัส, พระฮะสันฺ - ทรงแย้มพระสรวล, อิวะฺ - เหมือนเช่นนั้น, บฺาระทะฺ - โอ้ ดฺริทะราชทระผู้สืบราชวงศ์บฺาระทะ, เสนะโยฮฺ - ของศัตรู, อุบฺะโยฮฺ - ของทั้งสองฝ่าย, มัดฺเยฺ - ระหว่าง, วิชีดันทัมฺ - แด่ผู้ที่มีความโศกเศร้า, อิดัมฺ - ต่อไปนี้, วะชะฮฺ - คำพูด
คำแปลฺ
โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ ขณะนั้นคริชณะทรงแย้มพระสรวลอยู่ท่ามกลางกองทัพทั้งสองฝ่าย และตรัสแด่อารจุนะผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก ดังต่อไปนี้
คำอธิบายฺ
การสนทนาได้ดำเนินต่อไประหว่างสหายสนิทผู้ทรงมีพระนามว่าฮริชีเคชะและกุดาเคชะ ในฐานะที่เป็นสหายทั้งคู่ทรงอยู่ในระดับเดียวกัน แต่เมื่อองค์หนึ่งอาสามาเป็นศิษย์ คริชณะทรงแย้มพระสรวลเพราะสหายของพระองค์ยอมมาเป็นศิษย์ ในฐานะที่เป็นเจ้าของมวลชีวิตพระองค์ทรงอยู่ในสถานภาพที่เหนือกว่า คือเป็นพระอาจารย์ของทุก ๆชีวิต แต่พระองค์ทรงยอมมาเป็นสหาย เป็นโอรส หรือเป็นที่รักของสาวกผู้ปรารถนาให้พระองค์แสดงบทเหล่านี้ เมื่อได้รับการยอมรับให้เป็นพระอาจารย์ก็ทรงรับบทนี้ทันทีและตรัสต่อสาวกเยี่ยงพระอาจารย์ด้วยสุรเสียงอันหนักแน่น การสนทนาระหว่างพระอาจารย์และศิษย์แลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดเผยต่อหน้ากองทัพทั้งสองฝ่ายเพื่อประโยชน์ของทุกคน ฉะนั้น การสนทนา ภคัวต-คีตาฺ มิใช่สำหรับเฉพาะบุคคล สมาคม หรือเฉพาะสังคมใดสังคมหนึ่งเท่านั้น แต่สำหรับทุก ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูก็มีสิทธิ์รับฟังได้เท่าเทียมกัน
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
อโชชยาน อันวะโชชัส ทวัม
พระกยา-วาดามช ชะ บฺาชะเสฺ
กะทาสูน อกะทาสูมช ชะ
นานุโชชันทิ พัณดิทาฮฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัส, อโชชยานฺ - ไม่ควรค่าแก่การเศร้าโศก, อันวะโชชะฮฺ - เธอกำลังโศกเศร้า, ทวัมฺ - ท่าน, พระกยา-วาดานฺ - พูดอย่างมีการศึกษาสูง, ชะฺ - เช่นกัน, บฺาชะเสฺ - พูด, กะทะฺ - สูญเสีย, อสูนฺ - ชีวิต, อกะทะฺ - ไม่ผ่านพ้น, อสูนฺ - ชีวิต, ชะฺ - เช่นกัน, นะฺ - ไม่เคย, อนุโชชันทิฺ - เศร้าโศก, พัณดิทาฮฺ - ผู้มีความรู้สูง
คำแปลฺ
บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัสว่า ขณะที่พูดด้วยวาจาอันสูงส่งแต่เธอกลับมาเศร้าโศกกับสิ่งที่ไม่ควรค่าแก่ความโศกเศร้า ผู้มีปัญญาจะไม่เศร้าโศกไปกับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
คำอธิบายฺ
ทันทีที่องค์ภควานทรงรับตำแหน่งเป็นพระอาจารย์ ทรงสั่งสอนศิษย์ด้วยการเรียกโดยอ้อมว่า เจ้าคนโง่ คริชณะตรัสว่า “เธอพูดเหมือนกับนักปราชญ์แต่ไม่รู้ว่าผู้ที่เป็นนักปราชญ์หรือผู้ที่รู้ข้อแตกต่างระหว่างร่างกายกับดวงวิญญาณ จะไม่เศร้าโศกไม่ว่าร่างกายจะอยู่ในสภาวะที่มีชีวิิตอยู่หรือตายไปแล้ว” ดังที่จะอธิบายในบทต่อ ๆ ไปให้ทราบชัดเจนว่า ความรู้หมายถึงรู้วัตถุและดวงวิญญาณและรู้ถึงผู้ควบคุมทั้งสองสิ่งนี้ อารจุนะทรงโต้เถียงว่า เราควรจะให้ความสำคัญแก่หลักศาสนามากกว่าการเมืองหรือการสังคม แต่อารจุนะทรงไม่ทราบว่าความรู้วัตถุ ดวงวิญญาณ และองค์ภควานมีความสำคัญกว่าพิธีกรรมทางศาสนา หากไม่มีความรู้เช่นนี้ก็ไม่ควรอวดอ้างตนเองว่าเป็นผู้มีความรู้สูง เพราะไม่รู้ จึงต้องมาเศร้าโศกกับสิ่งที่ไม่ควรค่าแก่ความโศกเศร้าร่างกายที่เกิดมาแล้วจะต้องมาถึงจุดจบไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ ฉะนั้น ร่างกายจึงไม่สำคัญเท่าดวงวิญญาณ ผู้ทราบเช่นนี้จึงจะเป็นผู้รู้ที่แท้จริง บุคคลผู้นี้จะไม่มีความเศร้าโศกเสียใจอันเนื่องมาจากร่างกายวัตถุ
นะ ทุ เอวาฮัม จาทุ นาสัม
นะ ทวัม เนเม จะนาดิพาฮฺ
นะ ไชวะ นะ บฺะวิชยามะฮ
สารเว วะยัม อทะฮ พะรัมฺ
นะฺ - ไม่เคย, ทฺุ - แต่, เอวะฺ - แน่นอน, อฮัมฺ - ข้าพเจ้า, จาทฺุ - ทุกขณะ, นะฺ - ไม่, อาสัมฺ - เป็นอยู่, นะฺ - ไม่, ทวัมฺ - ท่าน, นะฺ - ไม่, อิเมฺ - ทั้งหมดนี้, จะนะฺ - อดิพาฮฺ - เหล่ากษัตริย์, นะฺ - ไม่, ชะฺ - เช่นกัน, เอวะฺ - แน่นอน, นะฺ - ไม่, บฺะวิชยามะฮฺ - จะมีชีวิตอยู่, สารเว วะยัมฺ - เราทั้งหมด, อทะฮ พะรัมฺ - หลังจากนี้
คำแปลฺ
ไม่มีขณะใดเลยที่ตัวข้า ตัวเธอ หรือกษัตริย์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีชีวิตอยู่ แม้ในอนาคตพวกเราทั้งหมดก็จะยังคงมีชีวิตอยู่
คำอธิบายฺ
ในคัมภีร์พระเวท คะทฺะ อุพะนิชัดฺ รวมทั้งใน ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ ได้กล่าวไว้ว่า บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นผู้ค้ำจุนสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตามสภาวะกรรมและผลกรรมของแต่ละชีวิต และภาคที่แยกมาจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์เดียวกันนี้ทรงประทับอยู่ภายในหัวใจของทุก ๆ ชีวิต นักบุญเท่านั้นที่สามารถเห็นบุคลิกภาพแห่งพระเจ้าองค์เดียวกันนี้ทั้งภายในและภายนอก และสามารถได้รับความสงบที่สมบูรณ์นิรันดรอย่างแท้จริง
นิทโย นิทยานาม เชทะนัช เชทะนานาม
เอโค บะฮูนาม โย วิดะดฺาทิ คามานฺ
ทัม อาทมะ-สทัม เย 'นุพัชยันทิ ดีราส
เทชาม ชานทิฮ ชาชวะที เนทะเรชามฺ
สัจธรรมพระเวทที่ทรงให้แด่อารจุนะก็ทรงให้กับทุก ๆ คนในโลก ที่อ้างว่าตนเองมีการศึกษาสูงแต่อันที่จริงด้อยการศึกษา องค์ภควานตรัสอย่างชัดเจนว่าพระองค์เอง อารจุนะ และบรรดากษัตริย์ทั้งหลายที่มาชุมนุมกัน ณ สมรภูมิแห่งนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นปัจเจกบุคคลนิรันดร องค์ภควานทรงเป็นผู้ค้ำจุนมวลปัจเจกชีวิตทั้งในสภาวะวัตถุและสภาวะหลุดพ้นแล้ว บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นปัจเจกบุคลิกภาพสูงสุด อารจุนะสหายนิรันดรของพระองค์ และกษัตริย์ทั้งหมดที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ทรงเป็นปัจเจกบุคคลนิรันดร มิใช่ว่ามิได้เป็นปัจเจกบุคคลในอดีต และมิใช่ว่าจะไม่มีชีวิตอยู่เป็นปัจเจกบุคคลตลอดเวลา ความเป็นปัจเจกบุคคลมีอยู่ในอดีต และความเป็นปัจเจกบุคคลจะคงมีอยู่ต่อไปในอนาคตอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องเศร้าโศกต่อผู้ใด
ทฤษฎีของมายาวาดีที่ว่า หลังจากหลุดพ้นเป็นอิสรภาพแล้วปัจเจกวิญญาณจะถูกแยกออกจากการครอบงำของมายาหรือความหลง และจะกลืนหายเข้าไปใน บระฮมันฺ อันไร้รูปลักษณ์ สูญเสียความเป็นปัจเจกบุคคล องค์ชรีคริชณะผู้ที่เชื่อถือได้สูงสุดทรงไม่เห็นด้วย ณ ที่นี้ หรือทฤษฎีที่ว่าเราคิดถึงความเป็นปัจเจกบุคคลในเฉพาะสภาวะวัตถุเท่านั้น ทฤษฎีนี้มิได้รับการยอมรับ องค์คริชณะตรัสอย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่าในอนาคตก็เช่นกัน ความเป็นปัจเจกบุคคลของพระองค์ และทุก ๆ ชีวิตจะคงอยู่ตลอดไปนิรันดร ดังที่ได้ยืนยันไว้ใน อุพะนิชัดฺ คำดำรัสเช่นนี้ของคริชณะทรงเป็นที่เชื่อถือได้เพราะว่าคริชณะทรงไม่อยู่ภายใต้ความหลง หากความเป็นปัจเจกบุคคลไม่เป็นความจริง คริชณะจะไม่ทรงเน้นมากเช่นนี้ แม้ในอนาคต มายาวาดีอาจโต้เถียงว่า ปัจเจกบุคคลที่คริชณะตรัสมิใช่เป็นทิพย์ แต่เป็นวัตถุ ถึงแม้ว่าเรายอมรับข้อโต้เถียงว่าปัจเจกบุคคลเป็นวัตถุ แล้วเราจะแยกความเป็นปัจเจกบุคคลของคริชณะได้อย่างไร คริชณะทรงยืนยันความเป็นปัจเจกบุคคลของพระองค์ในอดีตและทรงยืนยันความเป็นปัจเจกบุคคลของพระองค์ในอนาคตเช่นเดียวกัน พระองค์ทรงยืนยันความเป็นปัจเจกบุคคลของพระองค์ในหลาย ๆทาง และ บระฮมันฺ อันไร้รูปลักษณ์ได้อธิบายไว้ว่าเป็นรองลงมาจากพระองค์ คริชณะทรงอนุรักษ์ความเป็นปัจเจกทิพย์เรื่อยมา ถ้าหากว่าเรายอมรับพระองค์ว่าทรงเป็นพันธวิญญาณธรรมดาในปัจเจกจิตสำนึก ภควัต-คีตาฺ ของพระองค์ก็จะไม่มีคุณค่าว่าเป็นพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้ บุคคลธรรมดาผู้มีจุดอ่อนที่บกพร่องสี่ประการของมนุษย์ไม่สามารถสอนสิ่งที่มีคุณค่าควรสดับฟังได้ คีตาฺ อยู่เหนือวรรณกรรมเช่นนี้ ไม่มีหนังสือใด ๆ ทางโลกเปรียบเทียบได้กับ ภควัต-คีตาฺ หากเรายอมรับว่าคริชณะทรงเป็นบุคคลธรรมดา คีตาฺ จะสูญเสียความสำคัญโดยสิ้นเชิง มายาวาดีอาจเถียงว่าความหลากหลายบุคลิกภาพที่ได้กล่าวไว้ในโศลกนี้เป็นไปตามประเพณีนิยม และหมายถึงร่างกายแต่โศลกก่อนหน้านี้แนวคิดทางร่างกายเช่นนี้ได้ถูกตำหนิไว้แล้ว หลังจากการตำหนิแนวคิดทางร่างกายของสิ่งมีชีวิตไปแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่คริชณะจะทรงเสนอแนะเกี่ยวกับร่างกายตามประเพณีนิยมอีก ฉะนั้น ความเป็นปัจเจกบุคคลจะคงอนุรักษ์ไว้บนพื้นฐานความเป็นทิพย์และได้รับการยืนยันไว้โดย อาชารยะฺ ผู้ยิ่งใหญ่ เช่น ชรีรามานุจะ ฯลฯ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนหลายแห่งใน คีตาฺ ว่าปัจเจกบุคคลทิพย์นี้ สาวกขององค์ภควานเท่านั้นจึงสามารถเข้าใจ ผู้อิจฉาคริชณะว่าทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าไม่มีหนทางเข้าถึงวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ที่เชื่อถือได้นี้ การเข้าหาหลักธรรม คีตาฺ ของผู้ไม่ใช่สาวก คล้ายกับผึ้งที่ไปเลียอยู่ที่ขวดน้ำผึ้ง เราไม่สามารถลิ้มรสน้ำผึ้งได้นอกจากเราจะเปิดขวดมาชิม ในลักษณะเดียวกัน ความเร้นลับของ ภควัต- คีตาฺ สามารถเข้าใจได้โดยสาวกเท่านั้น ไม่มีผู้อื่นสามารถลิ้มรสได้ ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทที่สี่ของคีตาฺ ผู้ที่อิจฉาความเป็นอยู่ขององค์ภควานไม่สามารถแตะต้อง คีตาฺ ได้ ฉะนั้นคำอธิบาย คีตาฺ ของมายาวาดีเป็นการให้ข้อมูลที่ผิดไปจากความเป็นจริงทั้งหมด องค์เชธันญะทรงห้ามเรามิให้อ่านคำอธิบายที่เขียนโดยมายาวาดี และทรงเตือนเราว่าผู้ที่รับเอาแนวคิดของปรัชญามายาวาดีจะสูญเสียพลังอำนาจทั้งหมดในการเข้าใจความเร้นลับอันแท้จริงของ คีตาฺ หากปัจเจกบุคคลหมายถึงจักรวาลแห่งทฤษฏี คำสั่งสอนขององค์ภควานก็ไม่มีความจำเป็น ความหลากหลายบุคลิกภาพของปัจเจกวิญญาณและองค์ภควานเป็นความจริงอมตะ และคัมภีร์พระเวทได้ยืนยันไว้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
เดฮิโน 'สมิน ยะทฺา เดเฮ
โคมารัม โยวะนัม จะราฺ
ทะทฺา เดฮานทะระ-พราพทิร
ดีรัส ทะทระ นะ มุฮยะทิฺ
เดฮินะฮฺ - ของร่างกาย, อัสมินฺ - ในนี้, ยะทฺาฺ - ดังเช่น, เดเฮฺ - ในร่างกาย, โคมารัมฺ - วัยเด็ก, โยวะนัมฺ - วัยรุ่น, จะราฺ - วัยชรา, ทะทฺาฺ - เช่นเดียวกัน, เดฮะ-อันทะระฺ - แห่งการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย, พราพทิฮฺ - ความสำเร็จ, ดีระฮฺ - มีสติ, ทะทระฺ - จากนั้น, นะฺ - ไม่เคย, มุฮยะทิฺ -อยู่ในความหลง
คำแปลฺ
ดังเช่นดวงวิญญาณในร่างวัตถุเดินทางผ่านจากร่างวัยเด็กมาสู่ร่างวัยรุ่นและเข้าสู่ร่างวัยชรา ในลักษณะเดียวกัน ดวงวิญญาณจะผ่านจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งเมื่อตาย ผู้มีสติจะไม่สับสนต่อการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
คำอธิบายฺ
เนื่องจากทุกชีวิตเป็นปัจเจกวิญญาณ แต่ละชีวิตจึงเปลี่ยนร่างกายอยู่ทุก ๆวินาทีบางเวลาปรากฏออกมาเป็นร่างเด็ก บางเวลาเป็นร่างหนุ่มสาว และบางเวลาเป็นร่างคนแก่ แต่ว่าดวงวิญญาณดวงเดียวกันนี้จะคงอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในที่สุดปัจเจกวิญญาณนี้จะเปลี่ยนร่างเมื่อตายและย้ายเข้าไปสู่อีกร่างหนึ่ง แน่นอนว่าเราจะมีอีกร่างหนึ่งในชาติหน้า อาจเป็นร่างวัตถุหรือร่างทิพย์ จึงไม่มีเหตุให้อารจุนะทรงต้องเสียใจจากการตายของบีฺชมะหรือโดรณะที่ทรงเป็นห่วงใยยิ่งนัก อารจุนะทรงควรยินดีในการเปลี่ยนจากร่างชราไปสู่ร่างใหม่ของท่านทั้งสองซึ่งทำให้ได้รับพลังงานใหม่ การเปลี่ยนร่างเช่นนี้นำไปสู่ความสุขหรือความทุกข์อย่างหลากหลายแล้วแต่กรรมหรือการกระทำในชีวิต บีฺชมะและโดรณะเป็นดวงวิญญาณประเสริฐ ดังนั้นแน่นอนว่าจะต้องได้รับร่างทิพย์ในชาติหน้า หรืออย่างน้อยที่สุดจะได้ใช้ชีวิตในร่างเทวดาเพื่อความสุขทางวัตถุที่สูงกว่า ดังนั้น จึงไม่มีเหตุให้เสียใจไม่ว่าในกรณีใด
ผู้ใดที่รู้พื้นฐานเดิมแท้อย่างสมบูรณ์ของปัจเจกวิญญาณ อภิวิญญาณ และธรรมชาติทั้งวัตถุและทิพย์ มีชื่อว่า ดีฺระฺ หรือผู้มีความสุขุมคัมภีรภาพมากที่สุด บุคคลเช่นนี้จะไม่ให้การเปลี่ยนร่างกายมาลวงตาได้
ทฤษฎีความเป็นหนึ่งของดวงวิญญาณโดยมายาวาดี รับพิจารณาไว้ไม่ได้ บนพื้นฐานที่ว่าดวงวิญญาณไม่สามารถถูกตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ หากดวงวิญญาณสามารถถูกตัดให้แบ่งแยกออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้จะทำให้องค์ภควาน ทรงแตกแยกหรือเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งขัดกับหลักที่ว่าดวงวิญญาณขององค์ภควานทรงไม่มีการเปลี่ยนแปลง คีตาฺ ได้ยืนยันไว้ว่าละอองอณูขององค์ภควานจะทรงเป็นอยู่นิรันดร (สะนาทะนะฺ) และเรียกว่า คชะระฺ หมายถึงดวงวิญญาณที่มีแนวโน้มตกต่ำลงสู่ธรรมชาติวัตถุ ละอองวิญญาณเหล่านี้จะเป็นเช่นนี้นิรันดร และหลังจากหลุดพ้นได้รับอิสรภาพแล้วปัจเจกวิญญาณยังคงเป็นละอองอณูเหมือนเดิม แต่เมื่อหลุดพ้นแล้วเขาจะใช้ชีวิตทิพย์ที่เป็นอมตะ มีความสุขเกษมสำราญ และมีความรู้ร่วมกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ทฤษฏีการสะท้อนกลับใช้ได้กับอภิวิญญาณที่ทรงประทับอยู่ในทุก ๆ ร่างมีพระนามว่า พะระมาทมาฺ พระองค์ทรงแตกต่างจากปัจเจกชีวิต เมื่อท้องฟ้าสะท้อนอยู่ในน้ำภาพสะท้อนนั้นจะปรากฏให้เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และหมู่ดวงดาวเช่นเดียวกัน ดวงดาวเปรียบเสมือนกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์เปรียบเสมือนองค์ภควาน อารจุนะทรงเปรียบเสมือนปัจเจกวิญญาณซึ่งเป็นละอองอณู และดวงวิญญาณสูงสุดคือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าชรีคริชณะ ทั้งคู่ทรงมิได้อยู่ในระดับเดียวกัน ดังจะปรากฏให้เห็นในตอนต้นของบทที่สี่ หากว่าอารจุนะทรงอยู่ในระดับเดียวกันกับคริชณะ และคริชณะทรงไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าอารจุนะ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้รับคำสอนจะไม่มีความหมาย เพราะทั้งคู่ถูกลวงตาด้วยพลังแห่งความหลง (มายาฺ)ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องมีผู้สอนและผู้รับคำสอน การสอนเช่นนี้จะไร้ประโยชน์เพราะว่าภายใต้อุ้งมือของพระนาง มายาฺ ไม่มีผู้ใดเป็นผู้สอนที่เชื่อถือได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เป็นที่ยอมรับแล้วว่าองค์ชรีคริชณะทรงเป็นองค์ภควานที่มีสถานภาพอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตเช่นอารจุนะผู้ทรงเป็นดวงวิญญาณหลงลืมที่ถูก มายาฺ ครอบงำ
มาทรา-สพารชาส ทุ คะอุนเทยะ
ชีโทชณะ-สุคฺะ-ดุฮคฺะ-ดาฮฺ
อากะมาพายิโน ‘นิทยาส
ทามส ทิทิคชัสวะ บฺาระทะฺ
มาทรา-สพารชาฮฺ - การสำเหนียกทางประสาทสัมผัส, ทฺุ - เท่านั้น, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, ชีทะฺ - ฤดูหนาว, อุชณะฺ - ฤดูร้อน, สุคฺะฺ - ความสุข, ดุฮคฺะฺ - ความเจ็บปวด, ดาฮฺ - ให้, อากะมะฺ - ปรากฏ, อพายินะฮฺ - ไม่ปรากฏ, อนิทยาฮฺ - ไม่ถาวร, ทานฺ - ทั้งหมด, ทิทิคชัสวะฺ -เพียงพยายามอดทน, บฺาระทะฺ - โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ
คำแปลฺ
โอ้ โอรสพระนางคุนที การปรากฏและไม่ปรากฏอันไม่ถาวรแห่งความสุขและความทุกข์ที่เป็นไปตามกาลเวลานั้น เปรียบเสมือนการปรากฏและไม่ปรากฏของฤดูหนาวและฤดูร้อน ซึ่งเกิดขึ้นจากการสำเหนียกของประสาทสัมผัส โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ เราต้องเรียนรู้ถึงการอดทนต่อสิ่งเหล่านี้โดยไม่หวั่นไหว
คำอธิบายฺ
ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง เราต้องเรียนรู้การอดทนต่อการปรากฏและไม่ปรากฏแห่งความสุขและความทุกข์อันไม่ถาวร ตามคำสั่งสอนของพระเวทว่าเราต้องอาบน้ำในตอนเช้าตรู่ แม้ในเดือน มากฺะฺ (มกราคม-กุมภาพันธ์) ซึ่งในช่วงนี้จะหนาวมาก ถึงกระนั้นผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาจะไม่ลังเลในการอาบน้ำ ลักษณะเดียวกันสตรีจะไม่ลังเลในการอยู่ครัวเพื่อปรุงอาหารในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของฤดูร้อน เราต้องปฏิบัติหน้าที่ของเราแม้อากาศจะไม่เอื้ออำนวยความสะดวก เช่นเดียวกันการต่อสู้เป็นหลักศาสนาของ คชัทริยะฺ แม้จะต้องต่อสู้กับสหายหรือสังคญาติ เราไม่ควรบ่ายเบี่ยงจากหน้าที่ที่กำหนดไว้ เราต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามหลักศาสนาเพื่อพัฒนาระดับความรู้ เนื่องจากความรู้และการอุทิศตนเสียสละเท่านั้นที่สามารถนำเราให้หลุดพ้นจากบ่วงของ มายาฺ หรือความหลงได้
ทั้งสองพระนามที่ทรงใช้เรียกอารจุนะมีความสำคัญเช่นเดียวกัน คะอุนเทยะฺ แสดงถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายพระมารดา และ บฺาระทะฺ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของฝ่ายพระบิดา อารจุนะทรงได้รับมรดกอันยิ่งใหญ่จากทั้งสองฝ่าย และมรดกอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้ทรงต้องมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง ดังนั้น อารจุนะทรงไม่สามารถหลึกเลี่ยงการต่อสู้ได้
ยัม ฮิ นะ วิยะทฺะยันทิ เอเท
พุรุชัม พุรุชารชะบฺะฺ
สะมะ-ดุฮคฺะ-สุคัม ดีรัม
โส 'มริทัทวายะ คัลพะเทฺ
ยัมฺ - ผู้ซึ่ง, ฮิฺ - แน่นอน, นะฺ - ไม่เคย, วิยะทฺะยันทิฺ - มีความทุกข์, เอเทฺ - ทั้งหมดนี้, พุรุชัมฺ - แด่บุคคล, พุรุชะ-ริชะบฺะฺ - โอ้ ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์, สะมะฺ - ไม่เปลี่ยนแปลง, ดุฮคฺะฺ - ในความทุกข์, สุคัฺมฺ - และความสุข, ดีรัมฺ - ความอดทน, สะฮฺ - เขา, อมริทัทวายะฺ - เพื่ออิสรภาพ, คัลพะเทฺ - พิจารณาว่ามีสิทธิ์
คำแปลฺ
โอ้ ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ (อารจุนะ) ผู้ที่ไม่หวั่นไหวต่อความสุขและความทุกข์และมีความมั่นคงในทั้งสองสิ่ง เป็นผู้มีสิทธิ์เพื่อความหลุดพ้นอย่างแน่นอน
คำอธิบายฺ
ผู้ใดมีความแน่วแน่มั่นคงเพื่อความเจริญแห่งความรู้แจ้งทิพย์ และสามารถทนต่อการโจมตีของทั้งความทุกข์และความสุข เป็นผู้มีสิทธิ์เพื่อความหลุดพ้นอย่างแน่นอน ในสถาบัน วารณาชระมะฺ ระดับที่สี่ของชีวิตเรียกว่าระดับสละโลก (สันนยาสะฺ)เป็นสภาวะที่ต้องใช้ความอุตสาหะมาก แต่ผู้ที่มีความจริงจังในการทำให้ชีวิตของตนสมบูรณ์จะต้องบรรพชาในระดับ สันนยาสะฺ อย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีความยากลำบากอย่างมากมาย ความยากลำบากโดยทั่วไปเกิดขึ้นจากการที่ต้องตัดความสัมพันธ์ทางครอบครัว ยกเลิกความสัมพันธ์กับภรรยาและบุตรธิดา ถ้าหากว่าใครสามารถอดทนต่อความยากลำบากเช่นนี้ได้ หนทางรู้แจ้งแห่งดวงวิญญาณของเขาจะสมบูรณ์อย่างแน่นอน ในทำนองเดียวกัน การปฏิบัติหน้าที่ของอารจุนะในฐานะ คชัทริยะฺ ทรงได้รับการชี้นำให้มีความวิริยะอุตสาหะ ถึงแม้ว่าจะเป็นความยากลำบากที่จะต้องสู้รบกับสมาชิกในครอบครัวของตนเองหรือผู้ที่พระองค์รัก องค์เชธันญะทรงบรรพชาในระดับ สันนยาสะฺ เมื่อพระชนมายุเพียงยี่สิบสี่พรรษาในขณะที่ภรรยาสาวและพระมารดาผู้สูงวัยไม่มีใครดูแล ซึ่งยังต้องพึ่งพระองค์อยู่ แต่เพื่อเหตุผลที่สูงกว่าจึงจำเป็นต้องบรรพชาในระดับ สันนยาสะฺ และทรงมีความแน่วแน่มั่นคงในการปฏิบัติหน้าที่ที่สูงกว่า นี่คือวิถีทางเพื่อบรรลุถึงความหลุดพ้นจากพันธนาการทางวัตถุ
นาสะโท วิดยะเท บฺาโว
นาบฺาโว วิดยะเท สะทะฮฺ
อุบฺะโยร อพิ ดริชโท ´นทัส
ทุ อนะโยส ทัทวะ-ดารชิบิฮฺ
นะฺ - ไม่เคย, อสะทะฮฺ - แห่งการไม่มีอยู่, วิดยะเทฺ - มี, บฺาวะฮฺ - ความทนทาน, นะฺ - ไม่เคย, อบฺาวะฮฺ - คุณภาพที่เปลี่ยนแปลง, วิดยะเทฺ - มี, สะทะฮฺ - แห่งอมตะ, อุบฺะโยฮฺ - ของทั้งสอง, อพิฺ - เป็นความจริง, ดริชทะฮฺ - สังเกตดู, อันทะฮฺ - สรุป, ทฺุ - แน่นอน, อนะโยฮฺ - ของเขาทั้งหลาย, ทัททวะฺ - แห่งความจริง, ดารชิบิฮฺ - โดยผู้เห็น
คำแปลฺ
ผู้เห็นสัจธรรมได้สรุปไว้ว่า สำหรับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง (ร่างกายวัตถุ) จะไม่มีความคงทนถาวร และสำหรับสิ่งที่เป็นอมตะ (ดวงวิญญาณ) จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงพวกเขาสรุปเช่นนี้จากการศึกษาธรรมชาติของทั้งสองสิ่ง
คำอธิบายฺ
ร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไม่มีความคงทนถาวร เนื่องจากร่างกายเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจากการกระทำและผลการกระทำของเซลส์ต่างๆ ดังที่วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยปัจจุบันยอมรับ ดังนั้น การเจริญเติบโตและความแก่ชราจึงเกิดขึ้นกับร่างกาย แต่ดวงวิญญาณนั้นจะคงความเป็นอมตะนิรันดร แม้ร่างกายและจิตใจจะเปลี่ยนไปทั้งหมด นี่คือข้อแตกต่างระหว่างวัตถุและดวงวิญญาณ โดยธรรมชาติร่างกายเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ดวงวิญญาณเป็นอมตะ ผลสรุปเช่นนี้ผู้พบเห็นสัจธรรมในทุกระดับได้ยืนยันไว้แล้ว ทั้งผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์และผู้ที่เชื่อในรูปลักษณ์ ใน วิชณุ พุราณะฺ (2.12.38) กล่าวไว้ว่า องค์วิชณุและที่ประทับของพระองค์มีรัศมีทิพย์ในตัวเอง(จโยทีมชิ วิชณุร บํุวะนานิ วิชณุฮฺ ) คำว่า มีอยู่จริงและไม่มีอยู่จริงหมายถึงดวงวิญญาณและวัตถุเท่านั้น นั่นคือคำบอกเล่าของผู้ที่เห็นสัจธรรมทั้งหลาย
นี่คือจุดเริ่มต้นของคำสอนโดยองค์ภควานที่ให้แก่สิ่งมีชีวิตผู้มีความสับสนมืดมนอยู่ภายใต้อิทธิพลของอวิชชา การขจัดอวิชชาจะต้องมีการสถาปนาความสัมพันธ์ที่เป็นอมตะระหว่างผู้บูชาและผู้รับการบูชา จากนั้น จะต้องมีความเข้าใจข้อแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตอันเป็นละอองอณูและบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า เราสามารถเข้าใจธรรมชาติขององค์ภควานด้วยการศึกษาตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ข้อแตกต่างระหว่างตัวเราและองค์ภควานคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเศษย่อยกับส่วนรวมทั้งหมด ทั้งใน เวดานธะ-สูทระฺ และ ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ องค์ภควานทรงได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งที่ปรากฎมาทั้งหมด การปรากฎเช่นนี้ทั้งธรรมชาติระดับสูงและธรรมชาติระดับต่ำมีประสบการณ์ สิ่งมีชีวิตอยู่ในธรรมชาติที่สูงกว่าดังจะเปิดเผยในบทที่เจ็ด แม้ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างพลังงานและแหล่งกำเนิดพลังงาน แหล่งกำเนิดพลังงานได้รับการยอมรับว่าคือองค์ภควาน และพลังงานหรือธรรมชาติได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนที่รองลงมา ฉะนั้น สิ่งมีชีวิตจะเป็นรององค์ภควานเสมอ ดังเช่นเจ้านายและบ่าวหรืออาจารย์และศิษย์ ความรู้ที่ชัดเจนเช่นนี้ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับผู้ที่อยู่ภายใต้มนต์สะกดของอวิชชา เพื่อขจัดอวิชชานี้องค์ภควานทรงสอน ภควัต-คีตาฺ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้รู้แจ้งสัจธรรมอันแท้จริงตลอดกาล
อวินาชิ ทุ ทัด วิดดิ
เยนะ สารวัม อิดัม ทะทัมฺ
วินาชัม อัพยะยัสยาสยะ
นะ คัชชิท คารทุม อารฮะทิฺ
อวินาชิฺ - ไม่เสื่อมสลาย, ทฺุ - แต่, ทัทฺ - นั้น, วิดดิฺ - รู้มัน, เยนะฺ - ผู้ซึ่ง, สารวัมฺ - ร่างกายทั้งหมด, อิดัมฺ - นี้, ทะทัมฺ - แผ่กระจายไปทั่ว, วินาชัมฺ - การทำลาย, อัพยะยัสยะฺ - แห่งการไม่เสื่อมสลาย, อัสยะฺ - ของมัน, นะ คัชชิทฺ - ไม่มีใคร, คารทุมฺ - ทำ, อารฮะทิฺ - สามารถ
คำแปลฺ
เธอควรทราบว่าสิ่งที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกายถูกทำลายไม่ได้ ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายดวงวิญญาณที่ไม่มีวันเสื่อมสลายนี้ได้
คำอธิบายฺ
โศลกนี้อธิบายถึงธรรมชาติอันแท้จริงของดวงวิญญาณที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย ใคร ๆ ก็สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกายคือจิตสำนึก ทุกคนรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความสุขของร่างกายตามส่วนต่าง ๆ หรือทั่วร่าง การแผ่กระจายของจิตสำนึกนี้จำกัดอยู่ภายในร่างกายของตนเอง ความเจ็บปวดและความสุขของร่างหนึ่ง อีกร่างหนึ่งไม่สามารถรู้ได้ ดังนั้นในแต่ละร่างคือการรวมตัวของปัจเจกวิญญาณและลักษณะอาการของจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างสำเหนียกจากปัจเจกจิตสำนึกดวงวิญญาณนี้มีขนาดเศษหนึ่งส่วนหนึ่งหมื่นของปลายเส้นผม ชเวทาชวะทะระ อุพะนิ- ชัดฺ (5.9) ยืนยันไว้ดังนี้
บาลากระ -ชะทะ-บฺากัสยะ
ชะทะดฺา คัลพิทัสยะ ชะฺ
บฺาโก จีวะฮ สะ วิกเยยะฮ
สะ ชานันทยายะ คัลพะเทฺ
“เมื่อปลายเส้นผมแบ่งออกเป็นร้อยส่วน และเศษหนึ่งส่วนร้อยนี้แบ่งออกเป็นร้อยส่วนอีกครั้ง แต่ละส่วนคือขนาดของดวงวิญญาณ” ในลักษณะเดียวกัน คำแปลเดียวกันนี้ได้กล่าวไว้ว่า
เคชากระ-ชะทะ-บฺากัสยะ
ชะทามชะฮ สาดริชาทมะคะฮฺ
จีวะฮ สูคชมะ-สวะรูโพ ´ยัม
สังคฺยาทีโท ฮิ ชิท-คะณะฮฺ
“มีละอองอะตอมทิพย์นับจำนวนไม่ถ้วนวัดขนาดได้เศษหนึ่งส่วนหนึ่งหมื่นของจุดปลายเส้นผม”
ฉะนั้น ปัจเจกวิญญาณทิพย์คืออะตอมทิพย์ที่เล็กกว่าอะตอมวัตถุ และอะตอมนี้มีจำนวนนับไม่ถ้วน ละอองทิพย์ที่เล็กมากนี้เป็นหลักฐานของร่างวัตถุและอิทธิพลของละอองทิพย์นี้แผ่กระจายไปทั่วร่าง เสมือนดั่งอิทธิพลของฤทธิ์ยาที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกาย คลื่นแห่งดวงวิญญาณทิพย์นี้มีความรู้สึกไปทั่วร่างกายด้วยจิตสำนึก นี่คือข้อพิสูจน์ว่าดวงวิญญาณมีอยู่ สามัญชนทั่วไปสามารถเข้าใจว่าร่างวัตถุที่ไร้จิตสำนึกคือร่างที่ตายซาก จิตสำนึกนี้ไม่สามารถเรียกกลับคืนเข้ามาสู่ร่างกายได้ด้วยวิธีจัดการทางวัตถุ ฉะนั้น จิตสำนึกมิได้มีผลมาจากจำนวนการรวมตัวของวัตถุ แต่มีผลมาจากดวงวิญญาณ ใน มุณดะคะ อุพะนิชัดฺ (3.1.9) ขนาดของละอองวิญญาณได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ดังนี้
เอโช ´ณุร อาทมา เชทะสา เวดิทัพโย
ยัสมิน พราณะฮ พันชะดฺา สัมวิเวชะฺ
พราไณช ชิททัม สารวัม โอทัม พระจานาม
ยัสมิน วิชุดเดฺ วิบฺะวะทิ เอชะ อาทมาฺ
“ดวงวิญญาณมีขนาดคล้ายอะตอม สามารถสำเหนียกได้ด้วยปัญญาที่สมบูรณ์ ดวงวิญญาณอะตอมนี้ลอยอยู่ในอากาศห้าชนิด (พราณะ อพานะ วิยานะ สะมานะฺ และ อุดานะฺ)สถิตอยู่ในหัวใจและมีอิทธิพลแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของสิ่งมีชีวิต เมื่อดวงวิญญาณบริสุทธิ์จากมลทินของลมวัตถุห้าชนิดอิทธิพลทิพย์ในตัวเองจะปรากฏออกมา”
ระบบ ฮะทฺะ-โยกะฺ มีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมลมห้าชนิดที่หมุนเวียนอยู่รอบดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ด้วยท่านั่งต่าง ๆ มิใช่เพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุแต่เพื่อความหลุดพ้นของดวงวิญญาณจากพันธนาการแห่งบรรยากาศวัตถุ
ดังนั้น วรรณกรรมพระเวททั้งหมดยอมรับองค์ประกอบแห่งดวงวิญญาณ คนปกติทั่วไปมีความรู้สึกจริงเช่นนี้เหมือนกันจากประสบการณ์ มีแต่คนวิกลจริตเท่านั้นที่คิดว่าละอองดวงวิญญาณนี้คือ วิชณุ-ทัทวะฺ ที่แผ่กระจายไปทั่ว
อิทธิพลของดวงวิญญาณสามารถแผ่กระจายไปทั่วเฉพาะร่าง ตาม มุณดะ- คะอุพะนิชัดฺ ดวงวิญญาณนี้สถิตในหัวใจของทุก ๆ ชีวิต และดวงวิญญาณอยู่เหนืออำนาจของนักวิทยาศาสตร์ทางวัตถุที่จะรู้ถึงคุณค่า นักวิทยาศาสตร์บางท่านยืนยันอย่างเบาปัญญาว่าไม่มีดวงวิญญาณ ปัจเจกวิญญาณอยู่ในหัวใจคู่กับ พระระมาทมาฺอย่างแน่นอน ฉะนั้น พลังงานการเคลื่อนไหวทั้งหมดกำเนิดจากส่วนนี้ของร่างกาย เม็ดโลหิตที่นำออกซิเจนจากปอดรวบรวมพลังงานจากดวงวิญญาณ เมื่อดวงวิญญาณออกจากตำแหน่งนี้ กิจกรรมการรวมตัวเพื่อผลิตโลหิตหยุดลง นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ยอมรับความสำคัญของเม็ดโลหิตแดง แต่ไม่สามารถยืนยันแหล่งกำเนิดของพลังงานนั้นว่าคือดวงวิญญาณ อย่างไรก็ดี วิทยาศาสตร์การแพทย์ยอมรับว่า หัวใจคือฐานแห่งพลังงานทั้งหมดของร่างกาย
ละอองวิญญาณเหล่านี้เปรียบเทียบได้กับโมเลกุลของแสงอาทิตย์ ภายในแสงอาทิตย์มีโมเลกุลที่เจิดจรัสนับจำนวนไม่ถ้วน เช่นเดียวกันกับปัจเจกวิญญาณหรือเศษย่อย ๆ ขององค์ภควาน เป็นละอองอะตอมแห่งรัศมีขององค์ภควานเรียกว่า พระบฺาฺหรือพลังงานเบื้องสูง ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเชื่อความรู้พระเวท หรือเชื่อวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน เราก็ไม่สามารถปฏิเสธความมีอยู่จริงของดวงวิญญาณในร่างกาย และศาสตร์แห่งดวงวิญญาณนี้องค์ภควานทรงอธิบายไว้อย่างชัดเจนใน ภควัต-คีตาฺ
อันทะวันทะ อิเม เดฮา
นิทยัสโยคทาฮ ชะรีริณะฮฺ
อนาชิโน ´พระเมยัสยะ
ทัสมาด ยุดฺยัสวะ บฺาระทะฺ
อันทะ-วันทะฮฺ - เสื่อมสลาย, อิเมฺ - ทั้งหมดนี้, เดฮาฮฺ - ร่างกายวัตถุ, นิทยัสยะฺ - เป็นอยู่ชั่วนิรันดร, อุคทาฮฺ - ถูกกล่าวไว้, ชะรีริณะฮฺ - แห่งดวงวิญญาณที่อยู่ในร่าง, อนาชินะฮฺ - ไม่มีวันถูกทำลาย, อพระเมยัสยะฺ - วัดไม่ได้, ทัสมาทฺ - ฉะนั้น, ยุดฺยัสวะฺ - ต่อสู้, บฺาระทะฺ - โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ
คำแปลฺ
ร่างวัตถุของสิ่งมีชีวิตผู้ไม่มีวันถูกทำลาย วัดขนาดไม่ได้ และเป็นอมตะ จะต้องจบสิ้นลงอย่างแน่นอน ฉะนั้น โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ จงสู้
คำอธิบายฺ
ร่างวัตถุต้องเสื่อมสลายตามธรรมชาติ มันอาจเสื่อมสลายในทันทีทันใด หรืออาจจะเสื่อมสลายหนึ่งร้อยปีจากนี้ไป เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น ไม่มีโอกาสที่เราจะรักษามันไว้ได้ชั่วกัลปวสาน แต่ละอองวิญญาณที่มีขนาดเล็กมากจนศัตรูมองไม่เห็นจะถูกฆ่าได้อย่างไร ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกก่อน เล็กมากจนไม่มีใครสามารถคิดได้ว่าจะวัดขนาดได้อย่างไร ดังนั้น เมื่อมองจากทั้งสองด้าน จึงไม่มีเหตุทำให้ต้องเสียใจเพราะว่าสิ่งมีชีวิตไม่มีวันถูกฆ่าได้ และร่างวัตถุก็ไม่มีใครสามารถรักษาไว้ได้นานหรือปกป้องไว้จนชั่วนิรันดรได้ ละอองเล็ก ๆ ของดวงวิญญาณได้ร่างวัตถุนี้มาตามผลกรรม ฉะนั้น การปฏิบัติตามหลักธรรมศาสนา ควรทำให้เป็นประโยชน์ ใน เวดานธะ-สูทระฺ สิ่งมีชีวิตมีคุณสมบัติเป็นแสง เพราะว่าเขาเป็นละอองอณูของแสงรัศมีที่สูงสุด ดังเช่น แสงอาทิตย์ค้ำจุนทั่วทั้งจักรวาล ดังนั้น แสงแห่งดวงวิญญาณค้ำจุนร่างวัตถุนี้ ทันทีที่ดวงวิญญาณออกจากร่างวัตถุ ร่างนี้จะเริ่มเน่าเปื่อยลง ฉะนั้น ดวงวิญญาณจึงเป็นผู้ค้ำจุนร่างกายนี้ร่างกายวัตถุนี้โดยตัวมันเองมิใช่สิ่งสำคัญ อารจุนะทรงได้รับการแนะนำให้ต่อสู้ และมิให้เสียสละเหตุผลทางศาสนาเพียงจากการพิจารณาแค่ร่างกายวัตถุเท่านั้น
ยะ เอนัม เวททิ ฮันทารัม
ยัช ไชนัม มันยะเท ฮะทัมฺ
อุโบฺ โท นะ วิจานีโท
นายัม ฮันทิ นะ ฮันยะเทฺ
ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, เอนัมฺ - นี้, เวททิฺ - ทราบ, ฮันทารัมฺ - ผู้สังหาร, ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, ชะฺ - เช่นเดียวกัน, เอนัมฺ - นี้, มันยะเทฺ - คิด, ฮะทัมฺ - ถูกสังหาร, อุโบฺฺ - ทั้งคู่, โทฺ - พวกเขา, นะฺ - ไม่เคย, วิจานี ทะฮฺ -อยู่ในความรู้, นะฺ - ไม่เคย, อยัมฺ - นี้, ฮันทิฺ - สังหาร, นะฺ - หรือ, ฮันยะเทฺ - ถูกสังหาร
คำแปลฺ
ผู้ที่คิดว่าสิ่งมีชีวิตเป็นผู้ฆ่าและผู้ที่คิดว่าสิ่งมีชีวิตถูกฆ่า ทั้งคู่ไม่มีความรู้ เพราะว่าดวงวิญญาณมิได้เป็นทั้งผู้ฆ่าหรือผู้ถูกฆ่า
คำอธิบายฺ
เมื่อร่างกายบาดเจ็บจากอาวุธร้ายแรง จงทราบว่าดวงวิญญาณภายในร่างกายไม่ได้ถูกฆ่า ดวงวิญญาณนั้นเล็กจนเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกฆ่าด้วยอาวุธวัตถุชนิดใดๆ ดังจะมีหลักฐานในโศลกต่อ ๆ ไป ดวงวิญญาณถูกฆ่าไม่ได้เนื่องจากพื้นฐานแห่งความเป็นทิพย์สิ่งที่ถูกฆ่าหรือสมมุติว่าถูกฆ่าเป็นเพียงร่างกายวัตถุเท่านั้น อย่างไรก็ดีณ ที่นี้มิได้ส่งเสริมการเข่นฆ่าร่างกาย คำสอนของพระเวท มา ฮิมสยาท สารวา บูทานิฺห้ามเบียดเบียนผู้ใด และเมื่อเข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตไม่มีวันถูกฆ่าก็มิได้ส่งเสริมการฆ่าสัตว์ ณที่นี้ การฆ่าผู้ใดโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นบาปอย่างมหันต์ และจะต้องถูกลงโทษด้วยกฎของรัฐและกฎขององค์ภควาน อย่างไรก็ตาม อารจุนะทรงปฏิบัติการสังหารตามหลักศาสนา มิได้ทำไปตามอำเภอใจ
นะ จายะเท มริยะเท วา คะดาชิน
นายัม บํูทวา บฺะวิทา วา นะ บํูยะฮฺ
อโจ นิทยะฮ ชาชวะโท ´ยัม พุราโณ
นะ ฮันยะเท ฮันยะมาเน ชารีเรฺ
นะฺ - ไม่เคย, จายะเทฺ - เกิด, มริยะเทฺ - ตาย, วาฺ - ไม่, คะดาชิทฺ - ไม่ว่าเวลาใด (อดีต ปัจจุบันหรืออนาคต), นะฺ - ไม่เคย, อยัมฺ - นี้, บํูทวาฺ - ได้มาเป็นอยู่, บฺะวิทาฺ - จะมาเป็นอยู่, วาฺ - หรือ, นะฺ - ไม่, บํูยะฮฺ - หรือกลับมาเป็นอยู่อีกครั้งหนึ่ง, อจะฮฺ - ไม่เกิด, นิทยะฮฺ - อมตะ, ชาชวะ ทะฮฺ - ถาวร, อยัมฺ - นี้, พุราณะฮฺ - เก่าแก่ที่สุด, นะฺ - ไม่เคย, ฮันยะเทฺ - ถูกสังหาร, ฮันยะ มาเนฺ - ถูกสังหาร, ชะรีเรฺ - ร่างกาย
คำแปลฺ
สำหรับดวงวิญญาณไม่มีการเกิดหรือตายไม่ว่าในเวลาใด เขาไม่เคยมาอยู่ในอดีตไม่มาอยู่ในปัจจุบัน และจะไม่มาอยู่ในอนาคต ดวงวิญญาณไม่มีการเกิด เป็นอมตะ คงอยู่นิรันดร และเป็นสิ่งดั้งเดิม ดวงวิญญาณไม่ถูกสังหารเมื่อร่างกายนี้ถูกสังหาร
คำอธิบายฺ
โดยคุณภาพอนุวิญญาณซึ่งเป็นละอองอณูของอภิวิญญาณสูงสุดเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกับร่างกาย บางครั้งดวงวิญญาณเรียกว่าอมตะหรือ คูทะ-สทฺะฺ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงหกขั้นตอน มีการเกิดจากครรภ์มารดา คงอยู่ระยะหนึ่ง เจริญเติบโต สืบพันธุ์ ค่อย ๆ หดตัวลง และในที่สุดก็สูญสลายไป อย่างไรก็ดี ดวงวิญญาณไม่ต้องผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ดวงวิญญาณไม่ต้องเกิด แต่เพราะว่าดวงวิญญาณรับเอาร่างวัตถุ ร่างกายจึงเกิด ดวงวิญญาณมิได้เกิดที่นี่และดวงวิญญาณไม่เคยตาย อะไรที่มีการเกิดย่อมมีการตาย เป็นเพราะว่าดวงวิญญาณไม่มีการเกิด ฉะนั้น จึงไม่มีอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ดวงวิญญาณเป็นอมตะ คงอยู่เสมอ และเป็นสิ่งดั้งเดิม หมายความว่าไม่มีประวัติศาสตร์ที่บ่งชี้การมาอยู่ของดวงวิญญาณ จากความรู้สึกทางร่างกายเราจึงค้นหาประวัติการเกิด ฯลฯ ของดวงวิญญาณ ดวงวิญญาณไม่มีการแก่เหมือนกับร่างกาย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้สูงอายุยังรู้สึกว่าตนเองมีสปิริตเหมือนตอนเป็นเด็กหรือวัยรุ่น การเปลี่ยนแปลงของร่างกายไม่มีผลกระทบต่อดวงวิญญาณ ดวงวิญญาณไม่เสื่อมโทรมเหมือนต้นไม้หรือสิ่งใด ๆ ที่เป็นวัตถุ ดวงวิญญาณไม่มีการสืบพันธุ์ ผลผลิตของร่างกาย เช่น บุตร ธิดา ก็เป็นปัจเจกวิญญาณแต่ละดวงเช่นกัน แต่เนื่องมาจากร่างกายวัตถุพวกเขาจึงปรากฏว่าเป็น บุตร ธิดา ของชายคนนั้น ร่างกายเจริญเติบโตได้เพราะมีดวงวิญญาณอยู่ แต่ดวงวิญญาณไม่มีทั้งเชื้อสายหรือการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ดวงวิญญาณจึงเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงทั้งหกขั้นตอนของร่างกาย
ใน คะทฺะ อุพะนิชัดฺ (1.2.18) เราพบข้อความ คล้ายกันนี้
นะ จายะเท มริยะเท วา วิพัชชิน
นายัม คุทัชชิน นะ บะบํูวะ คัชชิทฺ
อโจ นิทยะฮ ชาชวะโท ´ยัม พุราโณ
นะ ฮันยะเท ฮันยะมาเน ชะรีเรฺ
ความหมายและคำอธิบายของโศลกนี้เหมือนกับ ภควัต-คีตาฺ แต่ในโศลกนี้มีคำพิเศษคำหนึ่ง วิพัชชิทฺ ซึ่งหมายความว่ารู้หรือด้วยความรู้
ดวงวิญญาณเต็มไปด้วยความรู้หรือเต็มไปด้วยจิตสำนึกอยู่เสมอ ดังนั้นจิตสำนึกจึงเป็นลักษณะอาการของดวงวิญญาณ แม้ว่าเราไม่พบดวงวิญญาณในหัวใจที่เขาสถิตอยู่ แต่เราเข้าใจได้ว่าดวงวิญญาณมีอยู่เพราะเรามีจิตสำนึก บางครั้งเราไม่เห็นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเพราะก้อนเมฆมาบดบังหรือด้วยเหตุผลอื่น แต่แสงอาทิตย์จะมีอยู่เสมอ และทำให้เรามั่นใจได้ว่าเป็นเวลากลางวัน ทันทีที่มีแสงเพียงเล็กน้อยบนท้องฟ้าในตอนเช้าเราเข้าใจว่าดวงอาทิตย์อยู่บนท้องฟ้า ในลักษณะเดียวกันเพราะว่ามีจิตสำนึกอยู่ในทุก ๆ ร่าง ไม่ว่าคนหรือสัตว์เราจึงเข้าใจได้ว่ามีดวงวิญญาณสถิตอยู่ อย่างไรก็ดีจิตสำนึกของดวงวิญญาณนี้แตกต่างจากจิตสำนึกขององค์ภควาน เพราะว่าจิตสำนึกขององค์ภควานทรงเป็นสัพพัญญู รู้ไปหมดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จิตสำนึกของปัจเจกวิญญาณมีแนวโน้มที่จะหลงลืม เมื่อหลงลืมธรรมชาติอันแท้จริงของตนเองเขาได้รับการศึกษาและความรู้แจ้งจากบทเรียนที่สูงกว่าของคริชณะ แต่คริชณะทรงไม่เหมือนกับดวงวิญญาณผู้หลงลืม หากเป็นเช่นนี้คำสอนของพระองค์ใน ภควัต-คีตาฺ จะไร้คุณค่า
มีดวงวิญญาณอยู่สองประเภทคือ อนุวิญญาณ (อณุ-อาทมาฺ) และอภิวิญญาณ (วิบํุ-อาทมาฺ) ได้ยืนยันไว้ใน คะทฺะ อุพะนิชัดฺ (1.2.20) เช่นกันว่า
อโนร อนียาน มะฮะโท มะฮียาน
อาทมาสยะ จันโทร นิฮิโท กุฮายามฺ
ทัม อัคระทุฮ พัชยะทิ วีทะ-โชโค
ดฺาทุฮ พระสาดาน มะฮิมานัม อาทมะนะฮฺ
“ทั้งอภิวิญญาณ (พะระมาทมาฺ) และอนุวิญญาณ (จีวาทมาฺ) สถิตอยู่บนต้นไม้แห่งร่างกายเดียวกัน ภายในหัวใจดวงเดียวกันของสิ่งมีชีวิต ผู้ที่เป็นอิสระจากความต้องการทางวัตถุและความเศร้าโศกทั้งหมดเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าใจถึงความเลิศเลอของดวงวิญญาณ ด้วยพระกรุณาธิคุณขององค์ภควาน” คริชณะทรงเป็นแหล่งกำเนิดของอภิวิญญาณด้วยเช่นกัน ดังจะเปิดเผยในบทต่อ ๆ ไป และอารจุนะทรงเป็นอนุวิญญาณที่หลงลืมธรรมชาติอันแท้จริงของตนเอง ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องได้รับแสงสว่างจากคริชณะหรือจากผู้แทนที่เชื่อถือได้ของพระองค์ (พระอาจารย์ทิพย์)
เวดาวินาชินัม นิทยัม
ยะ เอนัม อจัม อัพยะยัมฺ
คะทัม สะ พุรุชะฮ พารทฺะ
คัม กฺาทะยะทิ ฮันทิ คัมฺ
เวดะฺ - รู้, อวินาชินัมฺ - ไม่ถูกทำลาย, นิทยัมฺ - เป็นอยู่เสมอ, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง,เอนัมฺ - นี้(ดวงวิญญาณ), อจัมฺ - ไม่เกิด,อัพยะยัมฺ - ไม่เปลี่ยนแปลง, คะทัมฺ - อย่างไร, สะฮฺ - นั้น, พุรุชะฮฺ - บุคคล, พารทฺฺ -โอ้ พารทฺะ (อารจุนะ), คัมฺ - ผู้ซึ่ง, กฺาทะยะทิฺ - ต้นเหตุที่ทำให้เจ็บ, ฮันทิฺ - สังหาร, คัมฺ - ผู้ซึ่ง
คำแปลฺ
โอ้ พารทฺะ ผู้ที่รู้ว่าดวงวิญญาณไม่มีวันถูกทำลาย เป็นอมตะ ไม่มีการเกิด และไม่มีการเปลี่ยนแปลง จะเป็นผู้สังหารผู้ใด หรือเป็นต้นเหตุให้ผู้ใดสังหารได้อย่างไร
คำอธิบายฺ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีประโยชน์ในการใช้สอยอยู่ในตัวมันเองตามความเหมาะสมผู้ที่มีความรู้สมบูรณ์จะรู้ว่าควรใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์ตามความเหมาะสมในตัวมันเองได้อย่างไร และเมื่อไร เช่นเดียวกับความรุนแรงก็มีประโยชน์ในตัวมันเองและการที่จะใช้ความรุนแรงอย่างไร ขึ้นอยู่กับผู้ที่มีความรู้ ถึงแม้ว่าศาลสถิตยุติธรรมจะสั่งลงโทษประหารชีวิตผู้ทำผิดฐานฆ่าคนตาย ใครจะไปกล่าวโทษศาลไม่ได้ ในการตัดสินลงโทษรุนแรงต่อบุคคลนั้นตามกฎหมายแห่งความยุติธรรม ใน มะนุ-สัมฮิทาฺ ซึ่งเป็นกฎหมายสำหรับมนุษยชาติ ได้สนับสนุนว่าผู้ฆ่าคนควรจะถูกลงโทษถึงชีวิต เพื่อในชาติหน้าจะได้ไม่ต้องมารับทุกข์ต่อบาปอันยิ่งใหญ่ที่ตนได้กระทำไว้ ฉะนั้น กษัตริย์ที่ลงโทษผู้ต้องหาฆ่าคนด้วยการแขวนคออันที่จริงแล้วเป็นประโยชน์ ในทำนองเดียวกันเมื่อคริชนะทรงสั่งให้ต่อสู้ ต้องสรุปได้ว่าความรุนแรงเช่นนี้เป็นไปเพื่อความยุติธรรมสูงสุด ดังนั้นอารจุนะทรงควรปฏิบัติตามคำสั่ง และควรรู้ดีด้วยว่าความรุนแรงเช่นนี้ทำไปเพื่อต่อสู้ให้คริชณะ ซึ่งมิใช่เป็นความรุนแรงอะไรเลย เพราะว่าดวงชีวิตหรือดวงวิญญาณจะไม่มีวันถูกสังหารอยู่แล้ว เพื่อบริหารความยุติธรรมสิ่งที่เรียกว่าความรุนแรงจึงได้รับอนุญาต การผ่าตัดคนไข้มิได้หมายความว่าจะสังหารคนไข้แต่เป็นการรักษา ดังนั้น การต่อสู้ที่อารจุนะทรงปฏิบัติตามคำสั่งสอนของคริชณะซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรู้ จึงไม่มีผลบาป
วาสามสิ จีรณานิ ยะทฺา วิฮายะ
นะวานิ กริฮณาทิ นะโร ‘พะราณิฺ
ทะทฺา ชะรีราณิ วิฮายะ จีรณานิ
อันยานิ สัมยาทิ นะวานิ เดฮีฺ
วาสามสิฺ - เสื้อผ้า, จีรณานิฺ - เก่าและขาด, ยะทฺาฺ - เช่นเดียวกัน, วิฮายะฺ - ยกเลิก, นะวานิฺ - เสื้อผ้าใหม่, กริฮณาทิฺ - ยอมรับ, นะระฮฺ - บุคคล, อพะราณิฺ - ผู้อื่น, ทะทฺาฺ - เช่นเดียวกัน, ชะรีราณิฺ - ร่างกาย, วิฮายะฺ - ยกเลิก, จีรณานิฺ - เก่าและไร้ประโยชน์, อันยานิฺ - แตกต่าง, สัมยาทิฺ -ยอมรับว่าเป็นความจริง, นะวานิฺ - ชุดใหม่, เดฮีฺ - เป็นรูปร่าง
คำแปลฺ
ดังเช่นบุคคลใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ยกเลิกหรือทิ้งชุดเก่าไป ในลักษณะเดียวกัน ดวงวิญญาณก็รับเอาร่างวัตถุใหม่มา และยกเลิกร่างเก่าที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้
คำอธิบายฺ
การเปลี่ยนร่างของปัจเจกละอองวิญญาณเป็นที่ยอมรับว่าเป็นความจริงแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน ผู้ที่ไม่เชื่อว่าดวงวิญญาณมีอยู่จริง ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถอธิบายแหล่งกำเนิดของพลังงานซึ่งมาจากหัวใจ แต่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอยู่ตลอดเวลา เริ่มปรากฏจากร่างทารกมาเป็นร่างเด็ก จากร่างเด็กมาเป็นร่างหนุ่มสาว จากร่างหนุ่มสาวมาเป็นร่างคนชรา และจากร่างคนชราก็เปลี่ยนย้ายไปอยู่อีกร่างหนึ่ง ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วในโศลกก่อนหน้านี้ (2.13)
การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายของปัจเจกละอองวิญญาณจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่งเป็นไปได้ ด้วยพระกรุณาธิคุณของอภิวิญญาณ อภิวิญญาณทรงทำให้ละอองวิญญาณสมปรารถนาเหมือนกับเพื่อนที่ปฏิบัติต่อเพื่อให้ได้สมความปรารถนา คัมภีร์พระเวทเช่น มุณดะคะ อุพะนิชัดฺ พร้อมทั้ง ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ ได้เปรียบเทียบอนุวิญญาณและอภิวิญญาณว่าเป็นเสมือนเพื่อนนกสองตัวที่เกาะอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกันนกตัวหนึ่ง (ปัจเจกวิญญาณ) กำลังกินผลไม้ของต้น และนกอีกตัวหนึ่ง (คริชณะ)ทรงเพียงแต่ทอดพระเนตรไปที่สหายของพระองค์เท่านั้น นกทั้งสองตัวถึงแม้ว่าจะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกันแต่ตัวหนึ่งจะถูกยั่วยวนด้วยผลของต้นไม้วัตถุ ในขณะที่อีกตัวหนึ่งเพียงแต่ทรงเป็นพยานในกิจกรรมของเพื่อนนกเท่านั้น คริชณะคือนกพยานและอารจุนะคือนกที่กินผล ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นเพื่อนกัน แต่นกตัวหนึ่งคงสถานภาพความเป็นนายและอีกตัวหนึ่งเป็นบ่าว การลืมความสัมพันธ์ของละอองวิญญาณเช่นนี้เป็นเหตุให้เราต้องเปลี่ยนตำแหน่งจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปสู่ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง หรือเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง ดวงวิญญาณ จีวะฺ ดิ้นรนต่อสู้ด้วยความยากลำบากบนต้นไม้แห่งร่างวัตถุ แต่ทันทีที่เขายอมรับนกอีกตัวหนึ่งว่าเป็นพระอาจารย์ทิพย์สูงสุด ดังเช่นอารจุนะทรงอาสามาศิโรราบยอมรับที่จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของคริชณะด้วยความสมัครใจ ทันใดนั้น นกบ่าวตัวนี้ก็จะมีอิสรภาพจากความโศกเศร้าทั้งมวล ทั้ง มุณดะคะ อุพะนิชัดฺ (3.1.2) และ ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ (4.7) ได้ยืนยันไว้ดังนี้
สะมาเน วริคเช พุรุโช นิมักโน
ฺ'นีชะยา โชชะทิ มุฮยะมานะฮฺ
จุชทัม ยะดา พัชยะทิ อันยัม อีชัม
อัสยะ มะฮิมานัม อิทิ วีทะ-โชคะฮฺ
“ถึงแม้ว่านกสองตัวจะอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน นกที่กินผลจะจดจ่อหมกมุ่นอยู่กับความวิตกกังวลและเศร้าสลดในฐานะเป็นผู้มีความสุขจากผลของต้นไม้ หากเป็นไปได้ที่เขาจะหันมาหาเพื่อนผู้ทรงเป็นองค์ภควาน และทราบถึงพระบารมีของพระองค์ ในทันใดนั้นนกที่ได้รับความทุกข์ทรมานอยู่นี้ก็จะมีอิสรภาพจากความวิตกกังวลทั้งปวง” มาบัดนี้อารจุนะทรงหันพระพักตร์เข้าหาพระสหายนิรันดรคริชณะ และเข้าใจ ภควัต-คีตาฺ จากพระองค์ ดังนั้น ด้วยการสดับฟังจากคริชณะ อารจุนะทรงสามารถเข้าใจถึงพระบารมีอันสูงส่งของพระองค์ และมีอิสรภาพจากความเศร้าโศกทั้งปวง
ณ ที่นี้ องค์ภควานทรงแนะนำให้อารจุนะอย่าได้โศกเศร้าต่อการที่พระอัยกาและพระอาจารย์จะมีการเปลี่ยนร่าง อารจุนะทรงควรยินดีกับการสังหารร่างกายของพวกท่านในการต่อสู้เพื่อคุณธรรม เพื่อที่ท่านเหล่านี้จะได้ชำระล้างผลแห่งกรรมทั้งปวงจากกรรมของร่างกายในอดีต ผู้ที่ได้สังเวยชีวิตบนแท่นบูชาหรือในสมรภูมิที่เหมาะสมเป็นผู้ชำระล้างผลกรรมของร่างกายได้ในทันที และเลื่อนขึ้นไปมีคุณภาพชีวิตที่สูงกว่าฉะนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่อารจุนะทรงต้องเศร้าโศกเสียใจ
ไนนัม ชินดันทิ ชัสทราณิ
ไนนัม ดะฮะทิ พาวะคะฮฺ
นะ ไชนัม คเลดะยันทิ อาโพ
นะ โชชะยะทิ มารุทะฮฺ
นะฺ - ไม่เคย, เอนัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, ชินดันทิฺ - ถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ, ชัสทราณิฺ - อาวุธ, นะฺ - ไม่เคย, เอนัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, ดะฮะทิฺ - ไหม้, พาวะคะฮฺ - ไฟ, นะฺ - ไม่เคย, ชะฺ - เช่นกัน, เอนัมฺ -ดวงวิญญาณนี้, คเลดะยันทิฺ - ทำให้ชื้น, อาพะฮฺ - น้ำ, นะฺ - ไม่เคย, โชชะยะทิฺ - แห้ง, มารุทะฮฺ - ลม
คำแปลฺ
ดวงวิญญาณถูกหั่นให้เป็นชิ้น ๆ ด้วยอาวุธใด ๆ ไม่ได้ ถูกไฟเผาให้ไหม้ไม่ได้ถูกน้ำทำให้เปียกไม่ได้ หรือถูกลมทำให้แห้งก็ไม่ได้
คำอธิบายฺ
อาวุธทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นดาบ อาวุธไฟ อาวุธฝน อาวุธลมสลาตัน ฯลฯ ไม่สามารถสังหารดวงวิญญาณได้ ดังที่ปรากฏว่ามีอาวุธหลายชนิด ที่ทำมาจากดิน น้ำ ลมอากาศ ฯลฯ นอกเหนือไปจากอาวุธสมัยปัจจุบันที่ทำด้วยไฟ แม้กระทั่งอาวุธนิวเคลียร์ในยุคปัจจุบันที่จัดอยู่ในประเภทไฟ ในอดีตกาลมีอาวุธอื่น ๆ ที่ทำมาจากธาตุวัตถุที่ต่างกัน อาวุธไฟจะถูกแก้ด้วยอาวุธน้ำ ซึ่งวิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่ทราบ และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ไม่ทราบถึงอาวุธลมสลาตัน อย่างไรก็ดีดวงวิญญาณไม่สามารถถูกหั่นเป็นชิ้นๆ หรือถูกทำลายด้วยอาวุธชนิดใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์แบบไหนก็ตาม
มายาวาดีไม่สามารถอธิบายได้ว่า ปัจเจกวิญญาณมามีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเนื่องมาจากอวิชชาและถูกพลังแห่งความหลงครอบคลุมเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดปัจเจกวิญญาณให้ออกจากดวงวิญญาณสูงสุด เพราะปัจเจกวิญญาณเป็นละอองอณูนิรันดรที่แยกมาจากอภิวิญญาณสูงสุด เพราะว่าเราเป็นปัจเจกละอองวิญญาณอมตะ(สะนาทะนะฺ) จึงมีแนวโน้มที่จะถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งความหลง ดังนั้น ทำให้ขาดความสัมพันธ์กับองค์ภควาน ดังเช่นประกายไฟถึงแม้ว่าจะมีคุณสมบัติเหมือนดังไฟ แต่มีแนวโน้มที่จะดับมอดเมื่อไฟหมด ใน วะราฮะ พุราณะฺ ได้อธิบายไว้ว่าสิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูที่แยกมาจากองค์ภควานและจะเป็นอยู่เช่นนี้นิรันดร ใน ภควัต-คีตาฺ ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ถึงแม้หลังจากที่ได้รับอิสรภาพจากความหลง สิ่งมีชีวิตจะยังคงรักษาบุคลิกภาพของตนเอง ดังเช่น หลักฐานคำสั่งสอนของคริชณะที่ทรงให้แด่อารจุนะ และอารจุนะทรงได้รับอิสรภาพด้วยความรู้ที่ได้รับจากคริชณะ แต่อารจุนะทรงไม่มีหนทางที่จะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกับคริชณะเลย
อัชเชฺดโย ´ยัม อดาฮโย ´ยัม
อัคเลคโย ´โชชยะ เอวะ ชะฺ
นิทยะฮ สารวะ-กะทะฮ สทฺาณุร
อชะโล ´ยัม สะนาทะนะฮฺ
อัชเชฺยะฮฺ - ไม่มีวันแตก, อยัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, อดาฮยะฮฺ - ไม่สามารถถูกเผา, อยัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, อัคเลดยะฮฺ - ละลายไม่ได้, อโชชยะฮฺ - ไม่แห้ง, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - และ, นิทยะฮฺ - นิรันดร, สารวะ-กะทะฮฺ - แผ่กระจายไปทั่ว, สทฺาณุฮฺ - ไม่เปลี่ยนแปลง, อชะละฮฺ - ไม่เคลื่อนไหว, อยัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, สะนาทะนะฮฺ - เหมือนเดิมนิรันดร
คำแปลฺ
ปัจเจกวิญญาณไม่แตกสลาย ไม่ละลาย เผาไม่ไหม้และไม่แห้ง ปัจเจกวิญญาณเป็นอมตะ ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เคลื่อนไหว และเหมือนเดิมนิรันดร
คำอธิบายฺ
คุณสมบัติทั้งหมดนี้ของละอองวิญญาณพิสูจน์ได้อย่างแน่นอนว่า ปัจเจกวิญญาณเป็นละอองอณูของดวงวิญญาณสูงสุด และจะคงเป็นละอองอณูเหมือนเดิมนิรันดรโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทฤษฏีของลัทธิที่ว่าใจและกายเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นไปไม่ได้ในกรณีนี้ เพราะว่าปัจเจกวิญญาณไม่มีทางที่จะมาเป็นเนื้อเดียวกันกับวัตถุหลังจากได้รับอิสรภาพจากมลทินทางวัตถุ ละอองวิญญาณบางดวงอาจพอใจอยู่เป็นประกายทิพย์ในแสงรัศมีของบุคลิกภาพสูงสุดของพระเจ้า แต่ดวงวิญญาณที่มีปัญญาจะเข้าไปในโลกทิพย์ เพื่ออยู่ร่วมกับบุคลิกภาพแห่งองค์ภควาน
คำว่า สารวะ-กะทะฺ (“แผ่กระจายไปทั่ว”) มีความสำคัญเพราะว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมีอยู่ทั่วไปจากการสร้างขององค์ภควานอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาอยู่บนบก อยู่ในน้ำ อยู่ในอากาศ อยู่ในดิน และแม้แต่อยู่ในไฟ ความเชื่อที่ว่าดวงวิญญาณจะถูกฆ่าด้วยไฟไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า ดวงวิญญาณไม่สามารถถูกเผาไหม้ด้วยไฟ ฉะนั้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในดวงอาทิตย์ด้วยร่างอันเหมาะสม หากดวงอาทิตย์เป็นที่อยู่อาศัยไม่ได้คำว่า สารวะ-กะทะฺ “อาศัยอยู่ทุกหนทุกแห่ง” จะไม่มีความหมาย
อัพยัคโท ´ยัม อชินทโย ´ยัม
อวิคารโย ´ยัม อุชยะเทฺ
ทัสมาด เอวัม วิดิทไวนัม
นานุโชชิทุม อารฮะสิฺ
อัพยัคทะฮฺ - มองไม่เห็น, อยัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, อชินทยะฮฺ - มองไม่เห็น, อยัม-ดวงวิญญาณนี้, อวิคารยะฮฺ - ไม่เปลี่ยนแปลง, อยัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, อุชยะเทฺ - ได้กล่าวไว้, ทัสมาทฺ - ดังนั้น, เอวัมฺ - เหมือนดังนี้, วิดิทวาฺ - ทราบดี, เอนัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, นะฺ - ไม่, อนุโชชิทุมฺ - โศกเศร้า, อารฮะสิฺ - เธอสมควรได้รับ
คำแปลฺ
ได้กล่าวไว้ว่า ดวงวิญญาณนั้นไม่ปรากฏ มองไม่เห็น และไม่เปลี่ยนรูป เมื่อทราบเช่นนี้แล้วเธอไม่ควรโศกเศร้ากับร่างกาย
คำอธิบายฺ
ดังที่ได้อธิบายมาแล้วว่าขนาดของดวงวิญญาณนั้นเล็กมากในการคำนวณทางวัตถุ แม้แต่กล้องจุลทรรศน์ที่ดีที่สุดก็ไม่สามารถมองเห็น ดังนั้น ดวงวิญญาณจึงไม่ปรากฏให้เห็น เกี่ยวกับความมีอยู่ของดวงวิญญาณ ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ด้วยการทดลองได้ว่าดวงวิญญาณมีอยู่ นอกจากการพิสูจน์ของ ชรุทิฺ หรือปรัชญาพระเวท เราต้องยอมรับความจริงเช่นนี้แม้จะเป็นความจริงจากการสำเหนียก ไม่มีแหล่งอื่นรู้ถึงความมีอยู่ของดวงวิญญาณ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องยอมรับ บนฐานที่มีความเชื่อถือได้มากกว่า ไม่มีใครปฏิเสธว่าตนเองมีบิดา บนฐานจากคำบอกเล่าที่เชื่อถือได้ของมารดา ไม่มีแหล่งให้ความเข้าใจเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของบิดานอกจากคำบอกเล่าที่เชื่อถือได้ของมารดา ในทำนองเดียวกัน ไม่มีแหล่งให้ความเข้าใจเกี่ยวกับดวงวิญญาณได้นอกจากจะศึกษาจากคัมภีร์พระเวท ดวงวิญญาณไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยความรู้จากการทดลองของมนุษย์ จิตวิญญาณคือจิตสำนึกและความรู้สำนึก นี่คือคำบอกเล่าของคัมภีร์พระเวท และเราต้องยอมรับเช่นนี้ ไม่เหมือนกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลง ดวงวิญญาณไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร ดวงวิญญาณจึงคงความเป็นละอองอณูเมื่อเปรียบเทียบกับอภิวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ องค์อภิวิญญาณมีความยิ่งใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด และดวงวิญญาณเป็นละอองอณูเล็ก ๆ ฉะนั้น ดวงวิญญาณละอองอณูเล็ก ๆ ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มีทางที่จะเทียบเท่ากับอภิวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่หรือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าได้ แนวคิดเช่นนี้จะกล่าวซ้ำในคัมภีร์พระเวทด้วยวิธีต่างกันเพื่อยืนยันความมั่นคงแห่งแนวคิดในเรื่องของดวงวิญญาณ การกล่าวซ้ำและทบทวนเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้โดยไม่ผิดพลาด
อทฺะ ไชนัม นิทยะ-จาทัม
นิทยัม วา มันยะเส มริทัมฺ
ทะทฺาพิ ทวัม มะฮา-บาโฮ
ไนนัม โชชิทุม อารฮะสิฺ
อทฺะฺ - ถ้า อย่างไรก็ดี, ชะฺ - เช่นกัน, เอนัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, นิทยะฺ - จาทัมฺ - เกิดอยู่เสมอ, นิทยัมฺ - นิรันดร, วาฺ - ไม่ก็, มันยะเสฺ - คุณคิดเช่นนั้น, มริทัมฺ - ตาย, ทะทฺา อพิฺ - ยัง, ทวัมฺ - ท่าน, มะฮา-บาโฮฺ - โอ้ นักรบผู้ยิ่งใหญ่, นะฺ - ไม่เคย, เอนัมฺ - เกี่ยวกับดวงวิญญาณ, โชชิทุมฺ - โศกเศร้า, อารฮะสิฺ - สมควรได้รับ
คำแปลฺ
อย่างไรก็ดี หากเธอคิดว่าดวงวิญญาณ (หรือลักษณะอาการของชีวิต) มีการเกิดและตายชั่วนิรันดร เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องโศกเศร้า โอ้ ยอดนักรบ
คำอธิบายฺ
จะมีนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งคล้ายกับ สูนยะวาดีฺ ที่ไม่เชื่อในความมีอยู่จริงของดวงวิญญาณนอกเหนือจากร่างกาย เมื่อองค์ชรีคริชณะตรัส ภควัต-คีตาฺ ปรากฏว่ามีนักปราชญ์กลุ่มที่ชื่อ โลคายะทิคะฺ และ ไวบฺาชิคะฺ นักปราชญ์เหล่านี้เชื่อว่าลักษณะอาการของชีวิตเกิดขึ้นภายใต้สภาวะอันสมบูรณ์เต็มที่จากการผสมผสานทางวัตถุ นักวิทยาศาสตร์ทางวัตถุสมัยปัจจุบันและนักปราชญ์ทางวัตถุก็มีแนวคิดเช่นเดียวกันนี้ ตามความเชื่อที่ว่าร่างกายคือการผสมผสานของธาตุวัตถุ และเมื่อมาถึงจุด ๆ หนึ่งลักษณะอาการของชีวิตจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการผสมผสานของธาตุวัตถุและสารเคมี ศาสตร์แห่งมนุษยวิทยาก็มีแนวคิดพื้นฐานมาจากปรัชญานี้ ปัจจุบันมีศาสนาจอมปลอมที่เป็นแฟชั่นอยู่ในสหรัฐอเมริกามากมายก็ยึดหลักปรัชญานี้เช่นกัน รวมทั้งนิกายของ สูนยะ- วาดีฺ ที่ไม่มีการอุทิศตนเสียสละรับใช้
และถึงแม้ว่าอารจุนะจะทรงไม่เชื่อในความมีอยู่จริงของดวงวิญญาณเหมือนดังปรัชญา ไวบฺาชิคะฺ ก็ยังไม่ควรเป็นเหตุให้ต้องเศร้าโศก ไม่มีใครควรเสียใจในการสูญเสียวัตถุสารเคมีไปบางส่วนถึงกับต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่การงานของตนที่กำหนดไว้ อีกด้านหนึ่ง สารเคมีเป็นตัน ๆ ได้สูญเสียไปกับวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน และสงครามวิทยาศาสตร์เพื่อเอาชนะศัตรู ตามปรัชญา ไวบฺาชิคะฺ สิ่งที่เรียกว่าดวงวิญญาณหรือ อาทมาฺ จะสูญสลายไปพร้อมกับการเสื่อมโทรมของร่างกาย ฉะนั้นไม่ว่าจะพิจารณาในกรณีใด ไม่ว่าอารจุนะจะทรงยอมรับข้อสรุปของพระเวทว่ามีดวงวิญญาณจริง หรือไม่เชื่อว่าดวงวิญญาณมีอยู่จริง พระองค์ก็ทรงไม่มีเหตุผลที่ต้องเศร้าโศก ตามทฤษฎีที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตมากมายเกิดมาจากวัตถุทุก ๆ นาทีและมีอีกมากมายที่ตายจากไปทุก ๆ นาทีจึงไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องโศกเศร้าต่อเหตุการณ์เช่นนี้ หากดวงวิญญาณไม่มีการเกิดอีก อารจุนะก็ทรงไม่มีเหตุผลต้องกลัวผลบาปอันเนื่องมาจากการสังหารพระอัยกาและพระอาจารย์ แต่ในขณะเดียวกันคริชณะตรัสกระทบด้วยการเรียกอารจุนะว่า มะฮา-บาฮฺุ ยอดนักรบ เพราะว่าอย่างน้อยก็ทรงไม่ยอมรับทฤษฎีของ ไวบฺาชิคะฺ ซึ่งปฏิเสธปรัชญาพระเวท เพราะในฐานะที่เป็น คชัทริยะฺ อารจุนะทรงอยู่ในวัฒนธรรมพระเวทซึ่งมีความจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักธรรมพระเวทอยู่แล้ว
จาทัสยะ ฮิ ดฺรุโว มริทยุร
ดฺรุวัม จันมะ มริทัสยะ ชะฺ
ทัสมาด อพะริฮารเย ´รเทฺ
นะ ทวัม โชชิทุม อารฮะสิฺ
จาทัสยะฺ - สำหรับผู้ที่เกิดมาแล้ว, ฮิฺ - แน่นอน, ดฺรุวะฮฺ - ความจริง, มริทยุฮฺ - ความตาย, ดฺรุวัมฺ - และก็เป็นความจริงอีกเช่นเดียวกัน, จันมะฺ - การเกิด, มริทัสยะฺ - แห่งความตาย, ชะฺ - เช่นกัน, ทัสมาทฺ - ดังนั้น, อพะริฮารเยฺ - ในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้, อารเทฺฺ - ในเรื่องนี้, นะฺ - ไม่, ทวัมฺ - ท่าน, โชชิทุมฺ - โศกเศร้า, อารฮะสิฺ - สมควรได้รับ
คำแปลฺ
ผู้ที่เกิดมาแล้วจะต้องตายอย่างแน่นอน และหลังจากตายไปแล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อย่างแน่นอน ฉะนั้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของเธอที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอไม่ควรเศร้าโศก
คำอธิบายฺ
เราต้องเกิดตามผลกรรมแห่งชีวิต และหลังจากเสร็จสิ้นกรรมชาติหนึ่งแล้วเราต้องตายเพื่อไปเกิดชาติหน้า เช่นนี้ ต้องผ่านวัฏจักรการเกิดและการตายอย่างไม่มีวันหลุดพ้นเป็นอิสระ อย่างไรก็ดี วัฏจักรแห่งการเกิดและการตายนี้มิได้ส่งเสริมให้เราสังหาร เข่นฆ่า และทำสงครามโดยไม่จำเป็น แต่ในขณะเดียวกันความรุนแรงและสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสังคมมนุษย์เพื่อรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย
สงครามที่คุรุคเชทระเป็นพระราชประสงค์ขององค์ภควานซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการต่อสู้เพื่อคุณธรรมเป็นหน้าที่ของ คชัทริยะฺ ทำไมอารจุนะทรงต้องกลัวหรือเสียใจในการตายของสังคญาติในเมื่อทรงปฏิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้องไม่ได้ทำผิดกฎหมายจึงไม่ต้องรับผลบาปซึ่งรู้สึกกลัวยิ่งนัก การหลีกเลี่ยงปฏิบัติหน้าที่ที่ควรทำไม่สามารถหยุดความตายของบรรดาสังคญาติได้ แต่จะทำให้อารจุนะเสื่อมเสียเนื่องจากการตัดสินใจเดินทางที่ผิด
อัพยัคทาดีนิ บํูทานิ
วิยัคทะ-มัดฺยานิ บฺาระทะฺ
อัพยัคทะ-นิดฺะนานิ เอวะ
ทะทระ คา พะริเดวะนาฺ
อัพยัคทะ-อาดีนิฺ - ในตอนต้นไม่ปรากฏ, บํูทานิฺ - ทั้งหมดที่ได้สร้างขึ้นมา, วิยัคทะฺ - ปรากฏ, มัดฺยานิฺ - ในตอนกลาง, บาระทะฺ - โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺาระทะ, อัพยัคทะฺ - ไม่ปรากฏ,นิดฺะนา นิฺ - เมื่อสูญสลาย, เอวะฺ - ทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้, ทะทระฺ - ดังนั้น, ดาฺ - อะไร, พะริเดวะนาฺ - ความเศร้าโศก
คำแปลฺ
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นมา ไม่ปรากฏในช่วงต้น ปรากฏในช่วงกลาง และไม่ปรากฏอีกครั้งเมื่อถูกทำลายลง ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องเศร้าโศกเสียใจ
คำอธิบายฺ
เรายอมรับว่ามีนักปราชญ์อยู่สองประเภท ประเภทหนึ่งเชื่อในความมีอยู่จริงของดวงวิญญาณ และอีกประเภทหนึ่งไม่เชื่อในความมีอยู่ของดวงวิญญาณ ไม่ว่าจะมีความเชื่อในประเภทใดก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเศร้าโศกเสียใจ ผู้ปฏิบัติตามปรัชญาพระเวทเรียกบุคคลที่ไม่เชื่อในความมีอยู่จริงของดวงวิญญาณเหล่านี้ว่าเป็นผู้ไม่เชื่อในองค์ภควาน แต่เพื่อเป็นหลักในการพิจารณาเราจะยอมรับทฤษฏีของผู้ที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน แม้กระนั้นก็ยังไม่มีเหตุผลต้องเศร้าโศก ถ้าเราแยกความมีอยู่ของดวงวิญญาณออกต่างหาก จะเห็นว่าธาตุวัตถุต่าง ๆ มิได้ปรากฏก่อนการสร้างจากระยะที่ละเอียดอ่อนแห่งการไม่ปรากฏมาจนถึงการปรากฏออกมา ดังเช่น จากอากาศธาตุลมปรากฏออกมา จากลมไฟปรากฏออกมา จากไฟน้ำปรากฏออกมา จากน้ำดินปรากฏออกมา และจากดินสิ่งต่าง ๆ มากมายหลากหลายปรากฏออกมา ตัวอย่างเช่นตึกสูงระฟ้าปรากฏขึ้นมาจากดิน เมื่อถูกรื้อถอนทำลายลงการปรากฏกลายมาเป็นการไม่ปรากฏอีกครั้ง และในขั้นสุดท้ายยังคงเป็นอะตอมอยู่ กฎแห่งการอนุรักษ์พลังงานยังคงอยู่ ข้อแตกต่างคือตามกาลเวลาสิ่งต่าง ๆ จะปรากฏและไม่ปรากฏ แล้วอะไรเป็นเหตุแห่งความเศร้าโศกไม่ว่าจะปรากฏหรือไม่ปรากฏออกมา อย่างไรก็ดี แม้อยู่ในสภาวะที่ไม่ปรากฏก็ไม่มีอะไรสูญเสีย ทั้งในตอนต้นและตอนปลาย ธาตุต่าง ๆ ทั้งหมดก็ไม่ปรากฏออกมา ในช่วงกลางเท่านั้นที่ปรากฏออกมาซึ่งมิได้มีข้อแตกต่างกันเลย
หากว่าเรายอมรับข้อสรุปของพระเวท ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ภควัต-คีตาฺ ว่าร่างกายวัตถุเหล่านี้เสื่อมสลายตามกาลเวลา (อันทะวันทะ อิเม เดฮาฮฺ) แต่ว่าดวงวิญญาณเป็นอมตะ (นิทยัสโยคทาฮ ชารีริณะฮฺ) ฉะนั้น เราต้องจดจำไว้เสมอว่าร่างกายนี้เปรียบเสมือนเสื้อผ้า แล้วจะไปโศกเศร้ากับการเปลี่ยนเสื้อผ้าทำไม? ร่างกายวัตถุไม่มีอยู่จริงในความสัมพันธ์กับดวงวิญญาณอมตะ มันคล้ายกับความฝัน ในฝันอาจคิดว่าเราบินอยู่บนท้องฟ้าหรือนั่งอยู่บนราชรถเยี่ยงกษัตริย์ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาจะพบว่าเราไม่ได้อยู่ทั้งในท้องฟ้าหรือบนราชรถ ปรัชญาพระเวทส่งเสริมความรู้แจ้งแห่งตนบนพื้นฐานที่ว่าร่างกายวัตถุไม่มีอยู่จริง ดังนั้น ไม่ว่าในกรณีใดไม่ว่าเราจะเชื่อในความมีอยู่จริงของดวงวิญญาณ หรือเราจะไม่เชื่อในความมีอยู่ของดวงวิญญาณ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเศร้าโศกเสียใจในการสูญเสียร่างกาย
อาชชารยะ-วัท พัชยะทิ คัชชิด เอนัม
อาชชารยะ-วัด วะดะทิ ทะไทฺวะ ชานยะฮฺ
อาชชารยะ-วัช ไชนัม อันยะฮ ชริโณทิ
ชรุทวาพิ เอนัม เวดะ นะ ไชวะ คัชชิทฺ
อาชชารยะ-วัทฺ - เป็นที่น่าอัศจรรย์, พัชยะทิฺ - เห็น, คัชชิทฺ - บางคน, เอนัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, อาชชารยะ-วัทฺ - เป็นที่น่าอัศจรรย์, วะดะทิฺ - กล่าวถึง, ทะทฺาฺ - ดังนั้น, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - เช่นกัน, อันยะฮฺ - ผู้อื่น, อาชชารยะ-วัทฺ - น่าอัศจรรย์เช่นเดียวกัน, ชะฺ - เช่นกัน, เอนัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, อันยะฮฺ - ผู้อื่น, ชริโณทิฺ - สดับฟัง, ชรุทวาฺ - ได้ยินมาแล้ว, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, เอนัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, เวดะฺ - ทราบ, นะฺ - ไม่เคย, ชะฺ - และ, เอวะฺ - แน่นอน, คัชชิทฺ - บางคน
คำแปลฺ
บางคนมองดูดวงวิญญาณว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ บางคนอธิบายดวงวิญญาณว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ และบางคนได้ยินเกี่ยวกับดวงวิญญาณว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ แต่ในขณะที่อีกหลายคนแม้หลังจากที่ได้ยินเกี่ยวกับดวงวิญญาณแล้ว ก็ไม่สามารถเข้าใจอะไรเลย
คำอธิบายฺ
กีโทพะนิชัดฺ ส่วนใหญ่มีพื้นฐานบนหลักธรรมของ อุพะนิชัดฺ จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้พบข้อความเช่นนี้ใน คะทฺะ อุพะนิชัดฺ (1.2.7)
ชระวะณะยาพิ บะฮุบิร โย นะ ลับฺยะฮ
ชริณวันโท 'พิ บะฮะโว ยัม นะ วิดยุฮฺ
อาชชารโย วัคทา คุชะโล ´สยะ ลับดฺา
อาชชารโย ´สยะ กยาทา คุชะลานุชิชิทะฮฺ
เป็นความจริงที่ว่าละอองวิญญาณอยู่ในร่างสัตว์ใหญ่ อยู่ในร่างต้นไทรมหึมาและอยู่ในจุลินทรีย์เล็ก ๆ ที่มีจำนวนเป็นร้อย ๆ ล้านตัวในพื้นที่เพียงหนึ่งตารางนิ้ว นับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์มาก มนุษย์ผู้เบาปัญญาและมนุษย์ผู้ไม่สมถะไม่สามารถเข้าใจถึงความอัศจรรย์ของปัจเจกละอองวิญญาณได้ แม้จะอธิบายโดยผู้ที่เชื่อถือได้มากที่สุดในวิชาความรู้นี้ ซึ่งถ่ายทอดบทเรียนให้แม้กระทั่งพระพรหม (บระฮมาฺ) ผู้เป็นชีวิตแรกในจักรวาล เนื่องจากแนวความคิดต่อสิ่งต่าง ๆ ทางวัตถุ คนส่วนใหญ่ในยุคนี้จึงไม่สามารถจินตนาการได้ว่าประกายเล็ก ๆ เช่นนี้สามารถที่จะยิ่งใหญ่มากและเล็กมากได้อย่างไรดังนั้น มนุษย์จึงมองดูดวงวิญญาณว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ ไม่ว่าด้วยสถานภาพพื้นฐานหรือด้วยการอธิบาย ผู้คนมัวแต่หลงอยู่ในพลังงานวัตถุจึงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องราวเพื่อสนองประสาทสัมผัสจนมีเวลาน้อยมากที่จะเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง แม้จะเป็นความจริงที่ว่าหากไม่มีความเข้าใจตนเอง กิจกรรมทั้งหมดในการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดผลที่สุดคือความพ่ายแพ้ พวกเขาไม่มีความคิดว่าควรจะต้องคิดถึงดวงวิญญาณเพื่อแก้ปัญหาความทุกข์ทางวัตถุ
บางคนสนใจฟังเกี่ยวกับดวงวิญญาณ อาจไปรับฟังคำบรรยายร่วมกับหมู่คณะที่ดี แต่บางครั้งเนื่องจากอวิชชา ถูกชักนำไปในทางที่ผิดโดยยอมรับว่าอภิวิญญาณและอนุวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันโดยไม่มีข้อแตกต่างในปริมาณ เป็นการยากมากที่จะพบบุคคลผู้เข้าใจสถานภาพของอภิวิญญาณและอนุวิญญาณ รวมทั้งหน้าที่และความสัมพันธ์ของทั้งสอง และรายละเอียดต่าง ๆ อย่างครบถ้วน และยากยิ่งไปกว่านี้คือการที่จะพบบุคคลผู้ได้รับประโยชน์อย่างสมบูรณ์จากความรู้แห่งดวงวิญญาณ และยังสามารถอธิบายถึงสถานภาพของดวงวิญญาณในแง่มุมต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ดี หากผู้ใดสามารถเข้าใจเรื่องราวของดวงวิญญาณ ชีวิตของผู้นั้นจะประสบความสำเร็จ
วิธีที่ง่ายที่สุดในการเข้าใจเรื่องความรู้แจ้งแห่งตนคือการยอมรับคำสอนใน ภควัต-คีตาฺ ที่ตรัสโดยองค์ชรีคริชณะผู้ที่เชื่อถือได้สูงสุด โดยไม่ถูกบิดเบือนจากทฤษฎีอื่น ๆ แต่จำเป็นต้องมีความวิริยะและความเสียสละอย่างสูงไม่ว่าในชาตินี้หรือในอดีตชาติ ก่อนที่เราจะสามารถยอมรับว่าคริชณะคือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า อย่างไรก็ดีเราสามารถรู้ถึงคริชณะว่าทรงเป็นองค์ภควานสูงสุดได้ด้วยพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของสาวกผู้บริสุทธิ์ โดยไม่มีทางอื่น
เดฮี นิทยัม อวัดฺโย ´ยัม
เดเฮ สารวัสยะ บฺาระทะฺ
ทัสมาท สารวาณิ บํูทานิ
นะ ทวัม โชชิทุม อารฮะสิฺ
เดฮีฺ - เจ้าของร่างกายวัตถุ, นิทยัมฺ - อมตะ, อวัดฺยะฮฺ - ไม่สามารถถูกสังหาร, อยัมฺ - ดวงวิญญาณนี้, เดเฮฺ - ในร่างกาย, สารวัสยะฺ - ของทุกคน, บฺาระทะฺ - ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ, ทัสมาทฺ - ดังนั้น, สารวาณิฺ - ทั้งหมด, บํูทานิฺ - สิ่งมีชีวิต (ที่เกิด), นะฺ - ไม่เคย, ทวัมฺ - ท่าน, โชชิทุมฺ - โศกเศร้า, อารฮะสิฺ - สมควรได้รับ
คำแปลฺ
โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ ดวงวิญญาณผู้พำนักอยู่ในร่างกายไม่มีวันถูกสังหารฉะนั้น เธอไม่จำเป็นต้องโศกเศร้ากับชีวิตของผู้ใด
คำอธิบายฺ
ณ ที่นี้ องค์ภควานทรงสรุปบทคำสอนเกี่ยวกับดวงวิญญาณทิพย์ที่เป็นอมตะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ด้วยการอธิบายดวงวิญญาณอมตะในวิธีต่าง ๆ กัน องค์ชรีคริชณะทรงสถาปนาว่าดวงวิญญาณเป็นอมตะ และร่างกายไม่ถาวร ดังนั้น อารจุนะในฐานะที่ทรงเป็น คชัทริยะฺ จึงไม่ควรละทิ้งหน้าที่อันเนื่องมาจากความกลัวว่า พระอัยกาบีฺชมะและพระอาจารย์โดรณะจะตายในสนามรบ ด้วยความน่าเชื่อถือได้ของชรีคริชณะเราต้องเชื่อว่ามีดวงวิญญาณที่แตกต่างไปจากร่างวัตถุ ไม่ใช่ว่าไม่มีดวงวิญญาณ หรือลักษณะอาการของชีวิตเกิดขึ้นจากการผสมผสานของวัตถุเคมีที่มาถึงจุดอิ่มตัว แม้ว่าดวงวิญญาณจะเป็นอมตะแต่มิได้หมายความว่าจะสนับสนุนความรุนแรง แต่เมื่อมีความจำเป็นจริง ๆ ในยามศึกสงครามซึ่งเราไม่สามารถจะห้ามได้ ความจำเป็นนั้นต้องมีความยุติธรรมโดยการได้รับอนุญาตจากองค์ภควาน มิใช่ทำตามอำเภอใจ
สวะ-ดฺารมัม อพิ ชาเวคชยะ
นะ วิคัมพิทุม อารฮะสิฺ
ดฺารมยาด ดิฺ ยุดดฺา ชฺเรโย ´นยัท
คชัทริยัสยะ นะ วิดยะเทฺ
สวะ-ดฺารมัมฺ - หลักศาสนาของตน, อพิฺ - เช่นกัน, ชะฺ - แน่นอน, อเวคชยะฺ - พิจารณา, นะฺ - ไม่เคย, วิคัมพิทุมฺ - ลังเลใจ, อารฮิสิฺ - เธอสมควรได้รับ, ดฺารมยาทฺ - เพื่อหลักศาสนา, ฮิฺ - แน่นอน, ยุดดฺาทฺ - กว่าการต่อสู้, ชเรยะฮฺ - งานที่ดีกว่า, อันยัทฺ - สิ่งอื่น ๆ, คชัทริยัสยะฺ - ของคชัทริยะ, นะฺ - ไม่, วิดยะเทฺ - เป็นอยู่
คำแปลฺ
เมื่อพิจารณาหน้าที่โดยเฉพาะของเธอในฐานะที่เป็นกษัตริย์ เธอควรรู้ว่าไม่มีงานอื่นใดดีไปกว่าการต่อสู้เพื่อหลักศาสนา ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องลังเลใจ
คำอธิบายฺ
จากสี่วรรณะในการบริหารสังคม เพื่อการบริหารที่ดีวรรณะที่สองเรียกว่า คชัทริยะ คชัทฺ หมายถึงความเจ็บปวด ผู้ให้ความปกป้องจากภยันตรายเรียกว่าคชัทริยะ (ทรายะเทฺ -ให้การปกป้องคุ้มครอง) คชัทริยะฺ ฝึกฝนการสังหารในป่า คชัทริยะฺ จะถือดาบเข้าไปในป่าท้าทายเสือซึ่ง ๆ หน้ามาต่อสู้ เมื่อสังหารเสือแล้วจะจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพให้อย่างสมเกียรติ ระบบนี้ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาจึงถึงปัจจุบันโดย คชัทริยะฺแห่งรัฐไจพุร คชัทริยะได้รับการฝึกฝนเพื่อท้าทายและสังหารโดยเฉพาะฺ เนื่องจากความรุนแรงทางศาสนาบางครั้งเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้น คชัทริยะฺ ไม่ควรบรรพชาเป็น สันนยาสะฺหรือเป็นผู้สละโลกโดยตรง อหิงสาในการเมืองอาจเป็นศิลปะในการเจรจา แต่ไม่ใช่เป็นปัจจัยหรือเป็นหลักการ หนังสือกฎหมายทางศาสนากล่าวไว้ว่า
อาฮะเวชุ มิโทฺฺ 'นโยนยัม
จิกฺามสันโท มะฮี-คชิทะฮฺ
ยุดดฺะมาณาฮ พะรัม ชัคทยา
สวารกัม ยานทิ อพาราน-มุคฺาฮฺ
ยะกเยชุ พะชะโว บระฮมัน
ฮันยันเท สะทะทัม ดวิไจฮฺ
สัมสคริทาฮ คิละ มันไทรช ชะ
เท ´พิ สวารกัม อวาพนุวันฺ
“ในสนามรบ ขณะที่กษัตริย์หรือ คชัทริยะฺ ต่อสู้กับกษัตริย์อีกองค์หนึ่งที่อิจฉาตน มีสิทธิ์ไปสู่สรวงสวรรค์หลังจากสิ้นพระชนม์ เหมือนกับพราหมณ์หรือ บราฮมะณะฺ ที่บูชาสัตว์ในพิธีไฟบูชาก็ไปสู่สรวงสวรรค์เช่นเดียวกัน” ดังนั้น การสังหารกันในสนามรบตามหลักศาสนา และการฆ่าสัตว์ในไฟพิธีบวงสรวง ไม่พิจารณาว่าเป็นการกระทำรุนแรง เพราะทุกชีวิตได้รับประโยชน์เมื่อมีหลักศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง สัตว์ในพิธีจะได้รับร่างมนุษย์ทันที โดยไม่ต้องผ่านวิวัฒนาการตามขั้นตอนจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง คชัทริยะฺ ผู้ถูกสังหารในสนามรบจะไปสู่สรวงสวรรค์เหมือน บราฮมะณะฺ ผู้ปฏิบัติพิธีบวงสรวงบูชา
มี สวะ-ดฺารมะฺ หรือหน้าที่โดยเฉพาะสองประเภท ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้นเราต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะสมกับร่างกายที่ได้มาตามหลักศาสนาเพื่อบรรลุถึงอิสรภาพเมื่อหลุดพ้นแล้ว สวะ-ดฺารมะฺ หรือหน้าที่โดยเฉพาะของเราจะเป็นทิพย์ ไม่อยู่ในแนวคิดทางร่างกายวัตถุ ชีวิตที่มีแนวคิดทางร่างกายวัตถุจะมีหน้าที่โดยเฉพาะสำหรับ บราฮ- มะณะฺ และ คชัทริยะฺ ตามลำดับ หน้าที่เช่นนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ องค์ภควานทรงลิขิต สวะ- ดฺารมะฺ บทที่สี่จะอธิบายชัดเจนยิ่งขึ้น สวะ-ดฺารมะฺ ในระดับร่างกายเรียกว่า วารณาชระ มะ-ดฺารมะฺ หรือขั้นบันไดของมนุษย์เพื่อเข้าใจวิถีทิพย์ ความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์เริ่มต้นจากระดับของวารณาชระมะ-ดฺารมะฺ หรือหน้าที่โดยเฉพาะของตน ตามระดับเฉพาะของธรรมชาติร่างกายที่ได้รับมา การปฏิบัติหน้าที่โดยเฉพาะของเรา ไม่ว่าในกิจกรรมใดๆ ต้องทำตามคำสั่งของผู้ที่เชื่อถือได้ที่สูงกว่า เพื่อพัฒนาตัวเราไปสู่ระดับชีวิตที่สูงขึ้น
ยะดริชชฺะยะ โชพะพันนัม
สวารกะ-ดวารัม อพาวริทัมฺ
สุคินะฮ คชัทริยาฮ พารทฺะ
ละบันเท ยุดดัม อีดริชัมฺ
ยะดริชชฺะยาฺ - สอดคล้องอยู่ในตัว, ชะฺ - เช่นกัน, อุพะพันนัมฺ - มาถึง, สวารกะฺ - แห่งโลกสวรรค์, ดวารัมฺ - ประตู, อพาวริทัมฺ - เปิดกว้าง, สุคินะฮฺ - มีความสุขมาก, คชัทริยาฮฺ - สมาชิกของราชวงศ์, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทา, ละบันเทฺ - ได้รับ, ยุดดัมฺ - สงคราม, อีดริชัมฺ - เหมือนเช่นนี้
คำแปลฺ
โอ้ พารทฺะ กษัตริย์ผู้มีความสุขคือผู้ที่โอกาสการต่อสู้เช่นนี้อำนวยให้ โดยไม่ต้องเสาะแสวงหาซึ่งเป็นการเปิดประตูสวรรค์ให้
คำอธิบายฺ
ในฐานะที่เป็นบรมครูแห่งโลกองค์ชรีคริชณะทรงตำหนิกริยาท่าทีของอารจุนะที่ตรัสว่า “ข้าพเจ้าไม่เห็นว่ามีอะไรดีในการสู้รบครั้งนี้ซึ่งจะทำให้ข้าพเจ้าไปอยู่ในขุมนรกชั่วนิรันดร” คำดำรัสเช่นนี้ของอารจุนะทรงเนื่องมาจากอวิชชาเท่านั้น โดยปรารถนามาเป็นผู้ยึดหลักอหิงสาในการปฏิบัติหน้าที่โดยเฉพาะของตน คชัทริยะฺ ผู้ทรงอยู่ในสนามรบแล้วมาทำเป็นผู้ยึดหลักอหิงสาเป็นปรัชญาของคนโง่เขลา ใน พะราชะระ- สมริทิฺ หลักศาสนาที่พะราชะระ นักปราชญ์ผู้เป็นพระบิดาของวิยาสะเดวะ กล่าวไว้ว่า
คชัทริโย ฮิ พระจา รัคชัน
ชัสทระ-พาณิฮ พระดัณดะยันฺ
นิรจิทยะ พะระ-ไสนยาดิ
คชิทิม ดฺารเมณะ พาละเยทฺ
“หน้าที่ของ คชัทริยะฺ คือการปกป้องคุ้มครองประชาชนจากความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง ด้วยเหตุผลนี้ จำต้องใช้ความรุนแรงในกรณีที่เหมาะสมเพื่อความสงบเรียบร้อยฉะนั้น พระองค์ทรงต้องกำราบศัตรู และปกครองโลกตามหลักศาสนา”
เมื่อพิจารณาทุกมุมมอง อารจุนะทรงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ต่อสู้ หากทรงปราบศัตรูได้จะมีความสุขกับราชบัลลังก์ และหากสิ้นพระชนม์ในสนามรบจะเสด็จไปสู่สรวงสวรรค์ซึ่งประตูสวรรค์เปิดรอรับอยู่แล้ว การต่อสู้จึงเป็นผลดีสำหรับอารจุนะไม่ว่าในกรณีใด
อทฺะ เชท ทวัม อิมัม ดฺารยัม
สังกรามัม นะ คะริชยะสิฺ
ทะทะฮ สวะ-ดฺารมัน คีรทิม ชะ
ฮิทวา พาพัม อวาพสยะสิฺ
อทฺะฺ - ดังนั้น, เชทฺ - ถ้า, ทวัมฺ - ท่าน, อิมัมฺ - นี้, ดฺารมยัมฺ - ซึ่งเป็นหน้าที่ทางศาสนา, สังกรา- มัมฺ - ต่อสู้, นะฺ - ไม่, คะริชยะสิฺ - ปฏิบัติ, ทะทะฮฺ - จากนั้น, สวะ-ดฺารมัมฺ - หน้าที่ทางศาสนาของท่าน, คีรทิมฺ - ชื่อเสียง, ชะฺ - เช่นกัน, ฮิทวาฺ - สูญเสีย, พาพัมฺ - ผลแห่งบาป, อวาพ- สยะสิฺ - จะได้รับ
คำแปลฺ
อย่างไรก็ดี หากเธอไม่ปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนาในการต่อสู้ เธอจะต้องได้รับบาปที่ละเลยต่อหน้าที่อย่างแน่นอน และเสื่อมเสียชื่อเสียงในฐานะที่เป็นนักรบ
คำอธิบายฺ
อารจุนะทรงเป็นนักรบผู้มีชื่อเสียง ได้รับชื่อเสียงจากการต่อสู้กับเทวดาผู้ยิ่งใหญ่หลายองค์แม้กระทั่งองค์ศิวะเทพ หลังจากทรงต่อสู้และได้รับชัยชนะพระศิวะในร่างของนักล่าสัตว์แล้ว อารจุนะทรงทำให้พระศิวะทรงพอพระทัยและมอบอาวุธ พาชุพะทะ-อัสทระฺ ให้เป็นรางวัล ทุกคนทราบดีว่าอารจุนะทรงเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่แม้แต่โดรณาชารยะได้ให้พรและให้อาวุธพิเศษเป็นรางวัล ทำให้สามารถสังหารได้แม้แต่อาจารย์ของตนเอง ดังนั้น อารจุนะทรงได้รับความเชื่อถือด้วยประกาศนียบัตรทางทหารมากมาย จากผู้ที่เชื่อถือได้หลายท่านรวมทั้งพระอินทร์เจ้าแห่งสวรรค์ผู้ทรงเป็นพระบิดาอุปถัมภ์ หากละทิ้งสนามรบไปอารจุนะทรงไม่เพียงแต่ละเลยหน้าที่ของตนโดยเฉพาะในฐานะที่เป็น คชัทริยะฺ เท่านั้น แต่จะสูญเสียเกียรติยศและชื่อเสียงทั้งหมด และเป็นการเตรียมเปิดทางลงสู่นรก อีกนัยหนึ่ง หากอารจุนะทรงไม่ต่อสู้และถอนตัวออกจากสมรภูมิ จะต้องตกลงนรก
อคีรทิม ชาพิ บํูทานิ
คะทฺะยิชยันทิ เท ´วิยะยามฺ
สัมบฺาวิทัสยะ ชาคีรทิร
มะระณาด อทิริชยะเทฺ
อคีรทิมฺ - เสียชื่อเสียง, ชะฺ - เช่นกัน, อพิฺ - อยู่เหนือ, บํูทานิฺ - ผู้คนทั้งหลาย, คะทฺะยิชยันทิฺ - จะพูด, เทฺ - ถึงเธอ, อัพยะยามฺ - ชั่วกาลนาน, สัมบฺาวิทัสยะฺ - สำหรับผู้ที่เคยได้รับความเคารพนับถือ, ชะฺ - เช่นกัน, อคีรทิฮฺ - เสียชื่อ, มะระณาทฺ - มากกว่าความตาย, อทิริชยะ เทฺ - มากกว่า
คำแปลฺ
ผู้คนจะกล่าวถึงเรื่องเสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียงของเธอตลอดเวลา สำหรับผู้ที่เคยได้รับความเคารพนับถือ การสูญเสียเกียรติเช่นนี้เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
คำอธิบายฺ
องค์ชรีคริชณะทรงเป็นทั้งสหายและนักปราชญ์สำหรับอารจุนะ บัดนี้คริชณะทรงให้คำตัดสินสุดท้ายกับอารจุนะที่ปฏิเสธการต่อสู้ โดยตรัสว่า “อารจุนะเอ๋ย หากเธอหนีไปจากสมรภูมิก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น ผู้คนจะเรียกเธอว่าเจ้าขี้ขลาด หากคิดว่าถูกประณามเช่นนี้แล้วเธอยังจะรักษาชีวิตได้ด้วยการหนีไปจากสมรภูมิ ข้าแนะนำว่าให้มาตายในสมรภูมิจะดีกว่า สำหรับผู้ที่เคยได้รับความเคารพนับถืออย่างเธอ การเสื่อมเสียชื่อเสียงนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ดังนั้น ไม่ควรหลบหนีไปเนื่องมาจากความกลัวตาย ตายอยู่ในสนามรบยังดีเสียกว่า เพราะจะช่วยให้พ้นจากการเสื่อมเสียชื่อเสียงที่ใช้ความเป็นเพื่อนของข้าไปในทางที่ผิด และเสียศักดิ์ศรีของตนเองในสังคม“
ดังนั้นคำตัดสินสุดท้ายขององค์ภควานคือทรงให้อารจุนะตายในสมรภูมิ และไม่ถอนตัว
บฺะยาท ระณาด อุพะระทัม
มัมสยันเท ทวาม มะฮา-ระทฺาฮฺ
เยชาม ชะ ทวัม บะฮุ-มะโท
บํูทวา ยาสยะสิ ลากฺะวัมฺ
บฺะยาทฺ - เนื่องมาจากความกลัว, ระณาทฺ - จากสนามรบ, อุพะระทัมฺ - หยุด, มัมสยัน- เทฺ - พวกเขาจะพิจารณาว่า, ทวามฺ - ท่าน, มะฮา-ระทฺาฮฺ - ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่, เยชามฺ - ผู้ซึ่ง, ชะฺ - เช่นกัน, ทวัมฺ - เธอ, บะฮุ-มะทะฮฺ - ในการประเมินอันยิ่งใหญ่, บํูทวาฺ - ได้เป็น, ยาสยะ- สิฺ - ท่านจะไป, ลากฺะวัมฺ - ลดคุณค่า
คำแปลฺ
บรรดาขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยยกย่องนับถือในชื่อเสียงและเกียรติยศของเธอ จะคิดว่าเธอหนีจากสมรภูมิไปเพราะความกลัวเท่านั้น และจะพิจารณาว่าเธอนั้นไม่สำคัญ
คำอธิบายฺ
องค์ชรีคริชณะทรงให้คำตัดสินแด่อารจุนะต่อไปว่า “จงอย่าคิดว่าขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ เช่น ดุรโยดฺะนะ คารณะ และบุคคลอื่น ๆ ณ ที่นี้ จะคิดว่าเธอจากสนามรบไปเพราะความเมตตาสงสารต่อญาติพี่น้องและพระอัยกา แต่พวกเขาจะคิดว่าเธอหนีจากสนามรบไปเพราะความกลัวตาย ดังนั้น การประเมินค่าอันสูงส่งในตัวเธอจะดิ่งลงนรก”
อวาชยะ-วาดามช ชะ บะฮูน
วะดิชยันทิ ทะวาฮิทาฮฺ
นินดันทัส ทะวะ สามารทฺยัม
ทะโท ดุฮคฺะทะรัม นุ คิมฺ
อวาชยะฺ - ไม่มีความกรุณา, วาดานฺ - คำพูดที่แต่งขึ้น, ชะฺ - เช่นกัน, บะฮูนฺ - มาก, วะดิ- ชยันทิฺ - จะกล่าวว่า, ทะวะฺ - ของเธอ, อฮิทาฮฺ - ศัตรู, นินดันทะฮฺ - ขณะที่หมิ่นประมาท, ทะวะฺ - ของเธอ, สามารทฺยัมฺ - ความสามารถ, ทะทะฮฺ - กว่านั้น, ดุฮคะฮฺ - ทะรัมฺ - เจ็บปวดมากกว่า, นฺุ - แน่นอน, คิมฺ - อะไรที่นั่น
คำแปลฺ
ศัตรูจะตำหนิเธอด้วยคำหยาบ และเหยียดหยามความสามารถของเธอ แล้วจะมีอะไรที่ทำให้เธอเจ็บปวดมากไปกว่านี้?
คำอธิบายฺ
ในตอนแรก องค์ชรีคริชณะทรงพิศวงที่อารจุนะทรงมีความเมตตาสงสารที่ไม่จำเป็นเป็นข้ออ้าง และคริชณะทรงอธิบายความเมตตาสงสารนี้ว่าเหมาะสำหรับอนารยชน ณ ที่นี้ คริชณะทรงพิสูจน์คำดำรัสของพระองค์ต่อสิ่งที่อารจุนะทรงเรียกว่าความเมตตาสงสาร
ฮะโท วา พราพสยะสิ สวารกัม
จิทวา วา โบฺคชยะเส มะฮีมฺ
ทัสมาด อุททิชทฺะ คะอุนเทยะ
ยุดดฺายะ คริทะ-นิชชะยะฮฺ
ฮะทะฮฺ - ถูกฆ่า, วาฺ - ไม่ก็, พราพสยะสิฺ - เธอได้รับ, สวารกัมฺ - อาณาจักรสวรรค์, จิทวาฺ - ด้วยชัยชนะ, วาฺ - หรือ, โบฺคชยะเสฺ - เธอมีความสุข, มะฮีมฺ - โลก, ทัสมาทฺ - ดังนั้น, อุททิชทฺะฺ - ลุกขึ้น, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, ยุดดฺายะฺ - ต่อสู้, คริทะฺ - ความมั่นใจ, นิชชะยะฮฺ - แน่นอน
คำแปลฺ
โอ้ โอรสพระนางคุนที เธออาจถูกสังหารในสมรภูมิและไปสู่สรวงสวรรค์ หรืออาจได้รับชัยชนะและมีความสุขกับอาณาจักรโลก ฉะนั้น จงลุกขึ้นมาสู้ด้วยความมั่นใจ
คำอธิบายฺ
ถึงแม้ยังไม่แน่นอนว่าอารจุนะจะทรงเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ แต่พระองค์ทรงต้องสู้ แม้ถูกสังหารก็จะเสด็จสู่สรวงสวรรค์
สุคฺะ-ดุฮเคฺ สะเม คริทวา
ลาบฺาลาโบฺ จะยาจะโยฺ
ทะโท ยุดดฺายะ ยุจยัสวะ
ไนวัม พาพัม อวาพสะยะสิฺ
สุคฺะฺ - ความสุข, ดุฮเคฺฺ - และความทุกข์, สะเมฺ - ในความสงบ, คริทวาฺ - ทำเช่นนั้น, ลาบฺะ- อลาโบฺฺ - ทั้งกำไรและขาดทุน, จะยะ-อจะโยฺ - ทั้งชัยชนะและพ่ายแพ้, ทะทะฮฺ - หลังจากนั้น, ยุดดฺายะฺ - เพื่อเห็นแก่การต่อสู้, ยุจยัสวะฺ - ปฏิบัติ (การต่อสู้), นะฺ - ไม่เคย, เอวัมฺ - ในทางนี้, พาพัมฺ - ผลแห่งบาป, อวาพสยะสิฺ - เธอจะได้รับ
คำแปลฺ
เธอจงสู้เพื่อการต่อสู้ โดยไม่พิจารณาถึงความสุขหรือความทุกข์ ขาดทุนหรือกำไร ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ ด้วยการกระทำเช่นนี้ เธอจะไม่ได้รับผลแห่งบาป
คำอธิบายฺ
บัดนี้ องค์ชรีคริชณะตรัสกับอารจุนะโดยตรงว่า ควรสู้เพื่อการต่อสู้ เพราะว่า คริชณะทรงปรารถนาสงครามนี้ โดยไม่ต้องพิจารณาถึงความสุขหรือความทุกข์ ผลกำไรหรือขาดทุน ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ ในกิจกรรมคริชณะจิตสำนึกทุกสิ่งทุกอย่างกระทำไปเพื่อคริชณะจึงเป็นจิตสำนึกทิพย์ ดังนั้น จะไม่มีผลกรรมทางวัตถุ ผู้กระทำเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตนเอง ไม่ว่าในความดีหรือตัณหาจะต้องได้รับผลดีหรือผลชั่ว แต่ผู้ที่ศิโรราบอย่างสมบูรณ์ในกิจกรรมคริชณะจิตสำนึก ไม่เป็นหนี้บุญคุณใครหรือติดหนี้กรรมผู้ใดอีกต่อไป ซึ่งไม่เหมือนกับการทำกิจกรรมธรรมดาทั่วไป ได้กล่าวไว้ว่า
เดวารชิ-บํูทาพทะ-นริณาม พิทรีณาม
นะ คิงคะโร นายัม ริณี ชะ ราจันฺ
สารวาทมะนา ยะฮ ชะระณัม ชะรัณยัม
กะโท มุคุนดัม พาริฮริทยะ คารทัมฺ
“ผู้ใดที่ศิโรราบต่อคริชณะ มุคุนดะ อย่างสมบูรณ์ ยกเลิกหน้าที่อื่นทั้งหมด จะไม่ติดหนี้กรรมหรือหนี้บุญคุณผู้ใดอีกต่อไป แม้แต่เทวดา นักบวช บุคคลทั่วไป สังคญาติมนุษยชาติ หรือบรรพบุรุษ” (บฺากะวะธัมฺ 11.5.41) นี่คือสิ่งที่คริชณะทรงเปรยโดยอ้อมแด่อารจุนะในโศลกนี้ และจะอธิบายให้ละเอียดในโศลกต่อ ๆ ไป
เอชา เท ´บิฮิทา สางคฺเย
บุคดีร โยเก ทุ อิมาม ชริณฺุ
บุดดฺยา ยุคโท ยะยา พารทฺะ
คารมะ-บันดัม พระฮาสยะสิฺ
เอชาฺ - ทั้งหมดนี้, เท-แด่เธอ, อบิฮิทาฺ - อธิบาย, สางคฺเยฺ - ด้วยการวิเคราะห์ศึกษา, บุดดิฮฺ - ปัญญา, โยเกฺ - ในงานที่ไม่มีผลตอบแทน, ทฺุ - แต่, อิมามฺ - นี้ ชริณฺุ - เพียงแต่สดับฟัง, บูดดฺยาฺ - ด้วยปัญญา, ยุคทะฮฺ - รับเอา, ยะยาฺ - ซึ่ง, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, คารมะ-บันดัมฺ - พันธนาการแห่งผลกรรม, พระฮาสยะสิฺ - เธอสามารถหลุดพ้นจากมัน
คำแปลฺ
ข้าได้อธิบายความรู้นี้แด่เธอด้วยการวิเคราะห์ศึกษา บัดนี้จงฟัง ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับการทำงานโดยไม่หวังผลตอบแทนทางวัตถุ โอ้ โอรสพระนางพริทฺาเมื่อปฏิบัติด้วยความรู้เช่นนี้ เธอจะสามารถเป็นอิสระจากพันธนาการของงาน
คำอธิบายฺ
ตาม นิรุคทิฺ หรือพจนานุกรมพระเวท สังคฺยาฺ หมายถึงการอธิบายสิ่งต่างๆอย่างละเอียด สางคฺยะฺ หมายถึงปรัชญาที่อธิบายธรรมชาติอันแท้จริงของดวงวิญญาณและ โยกะฺ เกี่ยวกับการควบคุมประสาทสัมผัส คำเสนอของอารจุนะที่จะไม่ต่อสู้มีฐานอยู่ที่การสนองประสาทสัมผัสโดยลืมหน้าที่สำคัญของตน อารจุนะไม่ต้องการต่อสู้เพราะคิดว่าการไม่ฆ่าสังคญาติ จะทำให้พระองค์ทรงมีความสุขมากกว่าการครองราชหลังจากได้รับชัยชนะจากญาติพี่น้องเหล่าโอรสของดฺริทะราชทระ แนวคิดทั้งสองประการนี้มีฐานอยู่ที่การสนองประสาทสัมผัส ความสุขที่ได้รับจากชัยชนะและความสุขที่ได้รับจากการเห็นสังคญาติมีชีวิตอยู่ ทั้งสองสิ่งนี้ตั้งอยู่บนฐานแห่งการสนองประสาทสัมผัสตนเอง จนกระทั่งสูญเสียปัญญาและละเว้นหน้าที่ ฉะนั้น คริชณะทรงประสงค์จะอธิบายให้อารจุนะเห็นว่าการสังหารร่างกายพระอัยกา ดวงวิญญาณมิได้ถูกสังหารและอธิบายว่ามวลปัจเจกชีวิตรวมทั้งองค์ภควานเองเป็นปัจเจกนิรันดร ทั้งหมดเป็นปัจเจกบุคคลในอดีต เป็นปัจเจกบุคคลในปัจจุบัน และยังคงเป็นปัจเจกบุคคลในอนาคตเพราะว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเป็นปัจเจกดวงวิญญาณนิรันดร เราเพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายในรูปแบบต่าง ๆ กัน แต่อันที่จริงเรายังคงรักษาความเป็นปัจเจกดวงวิญญาณแม้หลังจากหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งเครื่องแต่งกายวัตถุ องค์ชรีคริชณะทรงอธิบายการวิเคราะห์ศึกษาระหว่างดวงวิญญาณและร่างกายอย่างเห็นภาพได้ชัดเจน ความรู้ที่ทรงอธิบายเกี่ยวกับดวงวิญญาณและร่างกายในแง่มุมต่าง ๆ กันนี้ได้อธิบายไว้ ณ ที่นี้ว่าเป็น สางคฺยะฺ ตามพจนานุกรม นิรุคทิ สางคฺยะฺ นี้ไม่มีความสัมพันธ์กับปรัชญา สางคฺยะฺ ของคะพิละผู้ไม่เชื่อในองค์ภควาน ก่อนหน้า สางคฺยะฺ ของคะพิละตัวปลอมนี้ ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ได้อธิบายถึงปรัชญา สางคฺยะฺ โดยองค์ภควานคะพิละตัวจริงอวตารของคริชณะผู้ทรงอธิบายให้พระมารดาเดวะฮูทิ ทรงอธิบายอย่างชัดเจนว่า พุรุชะฺ หรือองค์ภควานทรงตื่นตัว พระองค์ทรงสร้างด้วยการทอดพระเนตรไปที่ พระคริทิฺ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในคัมภีร์พระเวทและใน คีตาฺ คัมภีร์พระเวทอธิบายว่าองค์ภควานทรงทอดพระเนตรไปที่ พระคริทิฺ หรือธรรมชาติและทรงทำให้มีครรภ์ด้วยปัจเจกละอองวิญญาณปัจเจกวิญญาณทั้งหมดทำงานในโลกวัตถุเพื่อสนองประสาทสัมผัส และภายใต้มนต์สะกดของพลังงานวัตถุทำให้พวกเขาคิดว่าตนเองเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญ แนวคิดเช่นนี้จะถูกลากไปจนถึงจุดสุดท้ายแห่งความหลุดพ้น และเมื่อนั้นสิ่งมีชีวิตต้องการเป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควาน นี่คือบ่วงสุดท้ายของ มายาฺ หรือความหลงอยู่ในการสนองประสาทสัมผัส และหลังจากการสนองประสาทสัมผัสหลายต่อหลายชาติ ดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่จะศิโรราบต่อองค์วาสุเดวะ ชรีคริชณะ ซึ่งทำให้การค้นหาสัจธรรมสูงสุดประสบผลสำเร็จ
อารจุนะทรงยอมรับคริชณะว่าทรงเป็นพระอาจารย์ทิพย์ ด้วยการศิโรราบต่อพระองค์ ชิชยัส เทฺ 'ฮัม ชาดิฺ มาม ทวาม พระพันนัมฺ จากนี้ไป คริชณะจะทรงตรัสเกี่ยวกับวิธีการทำงานใน บุดดิฺ-โยกะฺ หรือ คารมะ-โยกะฺ หรืออีกนัยหนึ่ง คือปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้เพื่อสนองประสาทสัมผัสขององค์ภควานเท่านั้น บุดดฺิ-โยกะฺ นี้ บทที่สิบ โศลกที่สิบ อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นการติดต่อกับองค์ภควานผู้ทรงประทับเป็น พะระมาทมาฺ อยู่ในหัวใจของทุกคนโดยตรง แต่การติดต่อเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นหากปราศจากการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ฉะนั้น บุคคลผู้สถิตในการอุทิศตนเสียสละหรือการรับใช้ด้วยความรักทิพย์แด่องค์ภควานในคริชณะจิตสำนึกจะบรรลุถึงระดับ บุดดิฺ- โยกะฺ นี้ ด้วยพระกรุณาธิคุณโดยเฉพาะขององค์ภควาน และตรัสว่าผู้ปฏิบัติการอุทิศตนรับใช้ด้วยความรักทิพย์อยู่เสมอเท่านั้น พระองค์จะทรงให้รางวัลความรู้บริสุทธิ์แห่งการอุทิศตนเสียสละในความรัก เช่นนี้ สาวกสามารถบรรลุถึงองค์ภควานได้โดยง่ายดาย ในอาณาจักรของพระองค์ด้วยความปลื้มปีติสุข
ดังนั้น บุดดิฺ-โยกะฺ ที่กล่าวไว้ในโศลกนี้ คือการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานและคำว่า สางคฺยะ-โยกะฺ ที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน ซึ่งคะพิละตัวปลอมเป็นผู้ประกาศ ฉะนั้น เราไม่ควรเข้าใจผิดคิดว่า สางคฺยะ-โยกะฺ ที่กล่าวในที่นี้มีความสัมพันธ์กับ สางคฺยะฺ ที่ไม่เชื่อในองค์ภควาน หรือปรัชญา สางคฺยะฺ นี้มีอิทธิพลใด ๆ ในขณะนั้นหรือคิดว่าองค์ชรีคริชณะทรงเอาใจใส่มาตรัสถึงปรัชญาคาดคะเนที่ไร้องค์ภควานเช่นนี้องค์คะพิละทรงอธิบายปรัชญา สางคฺยะฺ ที่แท้จริงไว้ใน ชรีมัด-บฺะกะวะธัมฺ แม้ สางคฺยะฺนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นในปัจจุบัน ณ ที่นี้ สางคฺยะฺ หมายถึงการวิเคราะห์อธิบายถึงร่างกายและดวงวิญญาณ คริชณะทรงวิเคราะห์อธิบายถึงดวงวิญญาณเพื่อนำอารจุนะให้มาถึงจุด บุดดฺิ-โยกะฺ หรือ บัฺคธิ-โยกะฺ ฉะนั้น สางคฺยะฺ ของคริชณะและ สางคฺยะฺ ของคะพิละดังที่ได้อธิบายไว้ใน บฺากะวะธัมฺ เป็นหนึ่งเดียวและเหมือนกัน ทั้งคู่คือ บัฺคธิ-โยกะฺ ดังนั้น คริชณะตรัสว่าผู้ด้อยปัญญาเท่านั้นที่เห็นว่า สางคฺยะ-โยกะฺ และ บัฺคธิ-โยกะฺ ไม่เหมือนกัน (สางคฺยะ-โยโก พริทัฺก บาลาฮ พระวะดันทิ นะ พัณดิทาฮ)ฺ
แน่นอนที่ สางคฺยะ-โยกะฺ ที่ไม่เชื่อในองค์ภควานไม่มีความสัมพันธ์กับ บัฺคธิ- โยกะฺ แต่ผู้ด้อยปัญญายังอ้างว่า สางคฺยะ-โยกะฺ และ บฺัคธิ-โยกะฺ ที่ไม่เชื่อในองค์ภควานได้ถูกอ้างอิงไว้ใน ภควัต-คีตาฺ
ฉะนั้น เราควรเข้าใจว่า บุดดิฺ-โยกะฺ หมายถึงการทำงานในคริชณะจิตสำนึกด้วยความปลื้มปีติสุขและด้วยความรู้อย่างสมบูรณ์ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ผู้ทำงานเพื่อให้องค์ภควานทรงพอพระทัยเพียงอย่างเดียว ไม่ว่างานนั้นจะยากลำบากแค่ไหนเป็นการทำงานภายใต้หลักธรรมของ บุดดิฺ-โยกะฺ และจะพบว่าตนเองอยู่ในความปลื้มปีติสุขทิพย์เสมอ ด้วยการปฏิบัติทิพย์เช่นนี้เขาจะบรรลุความเข้าใจทิพย์ทั้งหมดโดยปริยายด้วยพระกรุณาธิคุณขององค์ภควาน ดังนั้น ความหลุดพ้นของเขามีความสมบูรณ์อยู่ในตัว โดยไม่ต้องพยายามเป็นพิเศษเพื่อให้ได้รับความรู้ มีข้อแตกต่างกันมากระหว่างการทำงานในคริชณะจิตสำนึก และการทำงานเพื่อหวังผลประโยชน์ทางวัตถุโดยเฉพาะเกี่ยวกับการสนองประสาทสัมผัสเพื่อบรรลุผลทางครอบครัวหรือความสุขทางวัตถุ ฉะนั้น บุดดิฺ-โยกะฺ จึงเป็นคุณสมบัติทิพย์แห่งงานที่เราปฏิบัติ
เนฮาบิฺคระมะ-นาโช ´สทิ
พรัทยะวาโย นะ วิดยะเทฺ
สว-อัลพัม อพิ อัสยะ ดฺารมัสยะ
ทรายะเท มะฮะโท บฺะยาทฺ
นะฺ - ไม่มี, อิฮะฺ - ใน โยกะฺ นี้, อบิคระมะฺ - ในความพยายาม, นาชะฮฺ - สูญเสีย, อัสทิฺ - มี, พรัทยะวายะฮฺ - ลดน้อยลง. นะฺ - ไม่เคย, วิดยะเทฺ - มี, สุ-อัลพัมฺ - เล็กน้อย, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, อัสยะฺ - นี้, ดฺารมัสยะฺ - อาชีพ, ทรายะเทฺ - ปลดปล่อย, มะฮะทะฮฺ - จากความยิ่งใหญ่มาก, บฺะยาทฺ - อันตราย
คำแปลฺ
ความพยายามเช่นนี้ไม่มีการสูญเสียหรือลดน้อยลง และความเจริญบนวิถีทางนี้แม้เพียงเล็กน้อย สามารถปกป้องเราจากความกลัวที่มีอันตรายมากที่สุด
คำอธิบายฺ
กิจกรรมในคริชณะจิตสำนึก หรือการปฎิบัติเพื่อประโยชน์ของคริชณะโดยไม่คาดหวังจะสนองประสาทสัมผัสของตนเองเป็นคุณสมบัติทิพย์สูงสุดแห่งการทำงาน แม้เริ่มต้นเพียงเล็กน้อยในกิจกรรมเช่นนี้จะไม่มีอุปสรรคใดขัดขวาง และการเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยนี้จะไม่สูญหายไม่ว่าในระดับใด งานที่เริ่มต้นในระดับวัตถุต้องทำให้สมบูรณ์มิฉะนั้น จะถือว่าความพยายามทั้งหมดล้มเหลว แต่งานที่เริ่มทำในคริชณะจิตสำนึกมีผลที่ถาวรแม้จะไม่สำเร็จสมบูรณ์ ดังนั้น ผู้ปฏิบัติงานนี้ไม่มีการสูญเสีย แม้งานที่ทำในคริชณะจิตสำนึกไม่สมบูรณ์ หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ทำในคริชณะจิตสำนึกให้ผลลัพธ์ที่ถาวร เมื่อเริ่มครั้งต่อไปจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สอง ขณะที่กิจกรรมในโลกวัตถุหากทำไม่สำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์จะไม่ได้รับผลกำไรอะไรเลย อจามิละ ได้ปฏิบัติหน้าที่ในคริชณะจิตสำนึกไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ได้รับผลแห่งความสุขหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มด้วยพระกรุณาธิคุณขององค์ภควาน มีโศลกอันงดงามที่สัมพันธ์กับประเด็นนี้ใน ชรีมัด- บฺากะวะธัมฺ (1.5.17) ดังนี้
ทยัคทวา สวะ-ดฺารมัม ชะระณามบุจัม ฮะเรร
บฺะจันน อพัคโว ´ทฺะ พะเทท ทะโท ยะดิฺ
ยะทระ ควะ วาบฺะดรัม อบํูด อมุชยะ คิม
โค วารทฺะ อาพโท ´บฺะจะทาม สวะ-ดฺารมะทะฮฺ
“หากผู้ใดยกเลิกอาชีพของตนแล้วมาทำงานในคริชณะจิตสำนึก ต่อมาตกลงต่ำโดยทำไม่สำเร็จสมบูรณ์ บุคคลนี้จะไม่สูญเสียอะไรเลย แต่หากเขาปฏิบัติกิจกรรมทางวัตถุอย่างสมบูรณ์ แล้วจะได้รับประโยชน์อันใด?” ดังเช่นชาวคริสเตียนกล่าวว่า “จะมีประโยชน์อันใด หากมนุษย์ครอบครองได้ทั้งโลก แต่ได้รับความทุกข์ในการสูญเสียดวงวิญญาณอมตะของตนเอง?”
กิจกรรมทางวัตถุและผลของมันจบลงพร้อมกับร่างกาย แต่การปฏิบัติงานในคริชณะจิตสำนึกจะนำเราไปสู่คริชณะจิตสำนึกอีกครั้งหนึ่ง แม้หลังจากสูญเสียร่างกายนี้ไปแล้ว อย่างน้อยจะต้องได้รับโอกาสในชาติหน้าโดยเกิดมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง อาจจะเกิดในครอบครัวพราหมณ์ที่มีวัฒนธรรมสูง หรือเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยเพื่อได้รับโอกาสทำความเจริญสืบต่อไป นี่คือคุณสมบัติเฉพาะสำหรับงานปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึก
วิยะวะสายาทมิคา บุดดิร
เอเคฮะ คุรุ-นันดะนะฺ
บะฮุ-ชาคฺา ฮิ อนันทาช ชะ
บุดดฺะโย 'วิยะวะสายินามฺ
วิยะวะสายะ-อาทมิคาฺ - แน่วแน่ในคริชณะจิตสำนึก, บุดดิฮฺ - ปัญญา, เอคาฺ - คนเดียวเท่านั้น, อิฮะฺ - ในโลกนี้, คุรุ-นันดะนะฺ - โอ้ โอรสที่รักแห่งราชวงค์คุรุ, บะฮุ-ชาคฺาฮฺ - มีสาขามากมาย, ฮิฺ - แน่นอน, อนันทาฮฺ - ไม่จำกัด, ชะฺ - เช่นกัน, บุดดฺะยะฮฺ - ปัญญา, อัพยะ วะสายินามฺ - ของผู้ที่ไม่อยู่ในคริชณะจิตสำนึก
คำแปลฺ
โอ้ ผู้เป็นที่รักแห่งราชวงศ์คุรุ บุคคลเดินอยู่บนหนทางสายนี้มีเป้าหมายที่แน่วแน่และมีจุดมุ่งหมายเป็นหนึ่ง ปัญญาของผู้ที่ไม่แน่วแน่มั่นคงจะแตกสาขามากมาย
คำอธิบายฺ
ความศรัทธาอันมั่นคงในคริชณะจิตสำนึก จะทำให้เราเจริญไปถึงความสมบูรณ์สูงสุดแห่งชีวิตเรียกว่าปัญญาแห่ง วิยะวะสายาทมิคาฺ ใน เชธันญะ-ชาริทามริทะฺ(มัดฺยะฺ 22.62) กล่าวไว้ว่า
“ชรัดดฺา”-ชับเด-วิชวาสะ คะเฮ สุดริดฺะ นิชชะยะฺ
คริชเณ บัคธิ ไคเล สารวะ-คารมะ คริทะ ฮะยะฺ
ความศรัทธาหมายถึงความเชื่ออย่างมั่นคงในสิ่งที่ประเสริฐ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ในคริชณะจิตสำนึกเราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติในความสัมพันธ์กับโลกวัตถุอันเนื่องมาจากพันธกรณีตามประเพณีครอบครัว มนุษยชาติ หรือประเทศชาติ กิจกรรมเพื่อผลประโยชน์เป็นการกระทำตามผลกรรมของเราในอดีตไม่ว่าดีหรือชั่ว เมื่อเราได้ตื่นขึ้นมาในคริชณะจิตสำนึก เราไม่จำเป็นต้องพยายามเพื่อผลดีในกิจกรรมของเรา หากสถิตในคริชณะจิตสำนึกกิจกรรมทั้งหมดอยู่ในระดับที่สมบูรณ์ ไม่ขึ้นอยู่กับสภาวะคู่ เช่นความดีหรือความชั่ว ความสมบูรณ์สูงสุดของคริชณะจิตสำนึกคือการสลัดแนวคิดชีวิตทางวัตถุระดับนี้จะบรรลุถึงโดยปริยายเมื่อเราเจริญขึ้นในคริชณะจิตสำนึก
จุดมุ่งหมายอันแน่วแน่ของบุคคลในคริชนะจิตสำนึกมีพื้นฐานอยู่ที่ความรู้ วาสุเดวะฮ สารวัม อิทิ มะฮาทมา สุ-ดุรละบฺะฮฺ บุคคลในคริชณะจิตสำนึกคือดวงวิญญาณดีที่หาได้ยากและเป็นผู้รู้อย่างสมบูรณ์ว่า วาสุเดวะ หรือ คริชณะทรงเป็นรากฐานแห่งแหล่งกำเนิดของปรากฏการณ์ทั้งมวล ด้วยการรดน้ำที่รากของต้นไม้เท่ากับเราได้แจกจ่ายน้ำไปที่ใบและกิ่งก้านสาขาโดยปริยาย ฉะนั้น ด้วยการปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึกเท่ากับเป็นการรับใช้อย่างสูงสุดแด่ทุก ๆ คน เช่น รับใช้ตัวเราเองครอบครัว สังคม ประเทศชาติ มนุษยชาติ ฯลฯ หากองค์ชรีคริชณะทรงพอพระทัยในการปฏิบัติของเรา ทุก ๆ คนก็จะพึงพอใจ
อย่างไรก็ดี การอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึก ทำได้ดีที่สุดภายใต้คำแนะนำที่ถูกต้องของพระอาจารย์ทิพย์ซึ่งเป็นผู้แทนที่เชื่อถือได้ของคริชณะ ท่านรู้ธรรมชาติของศิษย์และสามารถนำศิษย์ให้ปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึกได้ ดังนั้น การจะเป็นผู้มีความชำนาญในคริชณะจิตสำนึก เราต้องปฏิบัติตามผู้แทนของคริชณะอย่างแน่วแน่ และเราควรน้อมรับคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้เสมือนเป็นภารกิจแห่งชีวิตของเรา ชรีละ วิชวะนาทฺะ ชัคระวารที ทฺาคุระ สอนเราในบทมนต์ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับพระอาจารย์ทิพย์ดังนี้
ยัสยะ พระสาดาด บฺะกะวัท-พระสาโด
ยัสยาพระสาดาน นะ กะทิฮ คุโท ´พิฺ
ดฺยายัน สทุวัมส ทัสยะ ยะชัส ทริ-สันดฺยัม
วันเด กุโรฮ ชรี-ชะระณาระวินดัมฺ
“การทำให้พระอาจารย์ทิพย์พึงพอใจ องค์ภควานก็จะทรงพึงพอพระทัย หากพระอาจารย์ทิพย์ไม่พึงพอใจ เราจะไม่มีโอกาสได้รับการส่งเสริมมาสู่ระดับแห่งคริชณะจิตสำนึก ฉะนั้น ข้าพเจ้าควรทำสมาธิและสวดมนต์ภาวนาเพื่อพระเมตตาจากพระอาจารย์ทิพย์วันละสามครั้ง และแสดงความเคารพอย่างสูงแด่ท่าน”
อย่างไรก็ดี กรรมวิธีทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความรู้อันสมบูรณ์ว่าดวงวิญญาณอยู่เหนือแนวความคิดทางร่างกาย นี่ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นแต่เป็นการปฏิบัติจริงเพื่อไม่เปิดโอกาสให้บุคคลได้สนองประสาทสัมผัสซึ่งปรากฏออกมาในกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุ ผู้ไม่มีจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงจะถูกหันเหไปในกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุต่าง ๆ นานา
ยาม อิมาม พุชพิทาม วาชัม
พระวะดันทิ อวิพัชชิทะเฮฺ
เวดะ-วาดะ-ระทาฮ พารทฺะ
นานยัด อัสทีทิ วาดินะฮฺ
คามาทมานะฮ สวารกะ-พะรา
จันมะ-คารมะ-พฺะละ-พระดามฺ
คริยา-วิเชชะ-บะฮุลาม
โบฺไกชวารยะ-กะทิม พระทิฺ
ยาม อิมามฺ - ทั้งหมดนี้, พุชพิทามฺ - สำนวนโวหาร, วาชัมฺ - คำพูด, พระวะดันทิฺ - กล่าว, อวิ พัชชิทะฮิฺ - ผู้ด้อยปัญญา, เวดะ-วาดะ-ระทาฮฺ - ผู้อ้างตนว่าปฏิบัติตามพระเวท, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, นะฺ - ไม่เคย, อันยัทฺ - อื่น ๆ, อัสทิฺ - มี, อิทิฺ - ดังนั้น, วาดินะฮฺ - สนับสนุน, คามะ-อาทมานะฮฺ - ต้องการสนองประสาทสัมผัส, สวารกะ-พะราฮฺ - จุดมุ่งหมายไปถึงโลกสวรรค์, จันมะ-คารมะ-พฺะละ-พระดามฺ - ได้ผลเกิดในตระกูลดีและผลดีอื่น ๆ ทางวัตถุ, คริยา-วิเชชะฺ - พิธีกรรมอันหรูหรา, บะฮุลามฺ - ต่าง ๆ. โบฺกะฺ - ความสุขทางประสาทสัมผัส, ไอชวารยะฺ - และความมั่นคั่ง, กะทิมฺ - ความก้าวหน้า, พระทิฺ - ไปสู่
คำแปลฺ
บุคคลผู้ด้อยปัญญาจะยึดติดอยู่กับคำพูดสำนวนโวหารในคัมภีร์พระเวทที่แนะนำกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ต่าง ๆ เช่น เจริญขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ เกิดในตระกูลดี และมีอำนาจ ฯลฯ จากความปรารถนาเพื่อสนองประสาทสัมผัสและมีชีวิตที่มั่งคั่ง พวกเขาจะกล่าวว่าไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
คำอธิบายฺ
บุคคลทั่วไปไม่ฉลาดเท่าไรนักอันเนื่องมาจากอวิชชา ส่วนใหญ่จะยึดติดในกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ที่คัมภีร์พระเวทแนะนำไว้ในบท คารมะ-คาณดะฺ พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าข้อเสนอให้สนองประสาทสัมผัสเพื่อหาความเพลิดเพลินในชีวิตบนสวรรค์ที่มี สุรา นารี พร้อมทั้งความมั่งคั่งทางวัตถุอันเป็นปกติธรรมดา คัมภีร์พระเวทแนะนำพิธีบูชาหลายวิธีเพื่อให้ไปสู่สวรรค์ โดยเฉพาะพิธีบูชา จโยทิชโทมะฺ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดปรารถนาความเจริญก้าวหน้าไปสู่สวรรค์ต้องปฏิบัติพิธีบูชาเหล่านี้ และมนุษย์ผู้ด้อยปัญญาคิดว่านี่คือจุดมุ่งหมายทั้งหมดของปรัชญาพระเวท เป็นสิ่งยากลำบากมากสำหรับผู้ที่ด้อยประสบการณ์เหล่านี้จะสถิตด้วยความมั่นใจในการปฏิบัติคริชนะจิตสำนึก ดังเช่น คนโง่ยึดติดอยู่กับดอกไม้ของต้นที่มีพิษโดยไม่รู้ถึงผลแห่งการยึดติดนี้ บุคคลผู้ไม่รู้แจ้งสนุกสนานอยู่กับความมั่งคั่งแห่งสวรรค์และหาความสุขทางประสาทสัมผัสก็เช่นเดียวกัน
ในบท คารมะ-คาณดะฺ ของคัมภีร์พระเวทได้กล่าวไว้ว่า อพามะ โสมัม อมริ- ทา อบํูมะฺ และ อัคชะยยัม ฮะ ไว ชาทุรมัสยะ-ยาจินะฮ สุคริทัม บฺะวะทิฺ หมายความว่าผู้ปฏิบัติตนเอย่างเคร่งครัดเป็นเวลาสี่เดือน มีสิทธิ์ดื่มเครื่องดื่ม โสมะ-ระสะฺ เพื่อเป็นอมตะและมีความสุขตลอดกาล แม้ในโลกนี้บางคนกระตือรือร้นจะดื่ม โสมะ-ระสะฺ เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรงเหมาะที่จะหาความสุขในการสนองประสาทสัมผัส บุคคลเช่นนี้ไม่มีความศรัทธาที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการทางวัตถุ และจะยึดมั่นมากกับพิธีการบูชาอย่างหรูหราของพระเวท ส่วนมากเพื่อสนองประสาทสัมผัสและไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความสุขเหมือนชีวิตบนสวรรค์ เข้าใจว่ามีอุทยานชื่อ นันดะนะ-คานะนะฺ สถานที่ซึ่งเปิดโอกาสอย่างดีให้คบหาสมาคมกับนางฟ้าที่สวยสดงดงาม และมีไวน์ โสมะ-ระสะฺ ให้ดื่มอย่างเหลือเฟื่อความสุขทางร่างกายเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นความใคร่ ดังนั้นจึงมีผู้ยึดติดอย่างจริงจังกับความสุขทางวัตถุที่ไม่ถาวรเช่นนี้ เสมือนดั่งตนเองเป็นเจ้าแห่งโลกวัตถุ
โบฺไกชวารยะ-พระสัคทานาม
ทะยาพะฮริทะ-เชทะสามฺ
วิยะวะสายาทมิคา บุดดิฺฮ
สะมาโดฺ นะ วิดีฺยะเทฺ
โบฺกะฺ - ความสุขทางวัตถุ, ไอชวารยะฺ - และความมั่งคั่ง, พระสัคทานามฺ - สำหรับผู้ที่ยึดติด, ทะยาฺ - ด้วยสิ่งเหล่านี้, อพะฮริทะ-เชทะสามฺ - สับสนในใจ, วิยะวะสายะ-อาทมิคาฺ - ความมั่นใจอันแน่วแน่, บุดดิฮฺฺ - การอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควาน, สะมาโดฺฺ - ในการควบคุมจิตใจ, นะฺ - ไม่เคย, วิดียะเทฺ - เกิดขึ้น
คำแปลฺ
ในใจของผู้ที่ยึดติดมากอยู่กับความสุขทางประสาทสัมผัสและความมั่งคั่งทางวัตถุและผู้ที่สับสนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ความมั่นใจอันแน่วแน่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานจะไม่บังเกิดขึ้น
คำอธิบายฺ
สะมาดิฺฺ หมายความว่า “จิตที่ตั้งมั่น” พจนานุกรมพระเวท นิรุคทิฺ กล่าวว่า สัมยัก อาดีฺยะเทฺ 'สมินน อาทมะ-ทัททวะ-ยาทฺาทมยัมฺ “เมื่อจิตตั้งมั่นเพื่อให้เข้าใจตนเองเรียกว่าจิตอยู่ใน สะมาดิฺ” สะมาดิฺฺ จะไม่เกิดขึ้นกับบุคคลผู้ฝักใฝ่ในความสุขทางประสาทสัมผัสวัตถุ หรือผู้ที่สับสนอยู่ในสิ่งอันไม่ถาวรเหล่านี้ พวกเขาถูกลงโทษด้วยขบวนการแห่งพลังงานวัตถุ
ไทร-กุณยะ-วิชะยา เวดา
นิสไทร-กุณโย บฺะวารจุนะฺ
นิรดวันดโว นิทยะ-สัททวะ-สโทฺฺ
นิรโยกะ-คเชมะ อาทมะวานฺ
ไทร-กุณยะฺ - เกี่ยวเนื่องกับสามระดับของธรรมชาติวัตถุ, วิชะยาฮฺ - เรื่องนี้, เวดาฮฺ - วรรณกรรมพระเวท, นิสไทร-กุณยะฮฺ - อยู่เหนือสามระดับของธรรมชาติวัตถุ, บฺะวะฺ - เป็น, อารจุนะฺ - โอ้ อารจุนะ, นิรดวันดวะฮฺ - ปราศจากสภาวะคู่, นิทยะ-สัททวะ-สทฺะฮฺ - ในระดับบริสุทธิ์ของความเป็นอยู่ทิพย์, นิรโยกะ-คเชมะฮฺ - ปราศจากความคิดเพื่อผลกำไรและสวัสดิภาพ, อาทมะ-วานฺ - สถิตอยู่ในตัว
คำแปลฺ
คัมภีร์พระเวทส่วนใหญ่กล่าวถึงเรื่องสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ โอ้อารจุนะ จงอยู่เหนือทั้งสามระดับนี้ จงเป็นอิสระจากสภาวะคู่ทั้งปวง เป็นอิสระจากความวิตกกังวลเพื่อผลกำไรและความปลอดภัยทั้งปวง และจงสถิตในตนเอง
คำอธิบายฺ
กิจกรรมทางวัตถุทั้งหมดเกี่ยวกับกรรมและผลกรรมในสามระดับของธรรมชาติวัตถุเพื่อผลประโยชน์ซึ่งเป็นเหตุให้ถูกพันธนาการในโลกวัตถุ คัมภีร์พระเวทส่วนใหญ่จะกล่าวถึงกิจกรรมที่ให้ผลทางวัตถุ แล้วจึงค่อย ๆ พัฒนาประชาชนทั่วไปให้เจริญขึ้นจากสนามแห่งการสนองประสาทสัมผัสมาสู่ระดับทิพย์ อารจุนะทรงเป็นทั้งศิษย์และสหายขององค์ชรีคริชณะ ทรงได้รับคำแนะนำให้ยกระดับตนเองมาสู่ระดับทิพย์แห่งปรัชญา เวดานธะฺ ซึ่งในตอนต้นมี บระฮมะ-จิกยาสาฺ หรือคำถามเกี่ยวกับองค์ภควาน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกวัตถุดิ้นรนด้วยความยากลำบากมากเพื่อความอยู่รอดดังนั้น หลังจากการสร้างโลกวัตถุ องค์ภควานทรงให้ปรัชญาพระเวทเพื่อแนะนำวิธีการดำรงชีวิตและขจัดพันธนาการทางวัตถุ พระองค์ทรงให้ปรัชญาพระเวทเพื่อแนะนำวิธีการดำรงชีวิตและขจัดพันธนาการทางวัตถุ เมื่อกิจกรรมเพื่อสนองประสาทสัมผัสชื่อบท คารมะ-คาณดะฺ สิ้นสุดลง ก็จะเปิดโอกาสเพื่อความรู้แจ้งทิพย์ในรูปของ อุพะนิชัดฺซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์พระเวทที่มีหลายเล่ม ดังเช่น ภควัต-คีตาฺ เป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์พระเวท เล่มที่ห้าชื่อ มหาภารตะฺ หนังสือ อุพะนิชัดฺ จึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งชีวิตทิพย์
ตราบใดที่เรายังมีร่างกายวัตถุอยู่ จะมีกรรมและผลกรรมในสามระดับทางวัตถุ เราต้องฝึกฝนความอดทนในการเผชิญหน้ากับสภาวะคู่เช่นความสุขและความทุกข์ ความเย็นและความร้อน และจากการอดทนต่อสภาวะคู่เช่นนี้ เราจะได้รับอิสรภาพจากความวิตกกังวลอันเนื่องมาจากผลกำไรและขาดทุนระดับทิพย์นี้บรรลุได้ในคริชณะจิตสำนึกที่สมบูรณ์ เมื่อเราขึ้นอยู่กับพระราชประสงค์อันดีงามของคริชณะอย่างบริบูรณ์
ยาวาน อารทฺะ อุดะพาเน
สารวะทะฮ สัมพลูโทดะเคฺ
ทาวาน สารเวชุ เวเดชุ
บราฮมะณัสยะ วิจานะทะฮฺ
ยาวานฺ - ทั้งหมดนั้น, อารทฺะฮฺ - หมายถึง, อุดะ-พาเนฺ - ในบ่อน้ำ, สารวะทะฮฺ - ทุกแง่ทุกมุม, สัมพลุทะ-อุดะเคฺ - ในแหล่งน้ำอันยิ่งใหญ่, ทาวานฺ - เช่นเดียวกัน, สารเวชฺุ - ในทั้งหมด, เวเดชฺุ - วรรณกรรมพระเวท, บราฮมะณัสยะฺ - ของผู้ที่รู้ บระฮมันฺ สูงสุด, วิจานะทะฮฺ - ผู้อยู่ในความรู้อันสมบูรณ์
คำแปลฺ
ความปรารถนาทั้งหลายที่ได้มาจากบ่อน้ำเล็ก ๆ แหล่งน้ำอันยิ่งใหญ่สามารถตอบสนองได้ในทันที ในทำนองเดียวกัน ความปรารถนาทั้งปวงในคัมภีร์พระเวทสามารถได้รับการสนองตอบ โดยผู้ที่รู้จุดมุ่งหมายอันแท้จริง
คำอธิบายฺ
พิธีกรรมและการบูชาที่กล่าวไว้ในบท คารมะ-คาณดะฺ ของวรรณกรรมพระเวทมีไว้เพื่อส่งเสริมการค่อย ๆ พัฒนาความรู้แจ้งแห่งตน และจุดมุ่งหมายของการรู้แจ้งแห่งตนเอง ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในบทที่สิบห้าของ ภควัต-คีตาฺ (15.15) ว่า จุดมุ่งหมายของการศึกษาคัมภีร์พระเวทเพื่อให้ทราบถึงองค์ชรีคริชณะผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดแรกของสรรพสิ่ง ดังนั้น การรู้แจ้งตนเองหมายถึงการเข้าใจคริชณะและความสัมพันธ์นิรันดรที่เรามีต่อพระองค์ ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีต่อคริชณะ ได้กล่าวไว้ในบทที่สิบห้าของ ภควัต-คีตาฺ (15.7) เช่นกันว่า สิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูของคริชณะ ฉะนั้นการฟื้นฟูคริชณะจิตสำนึกของปัจเจกชีวิตจึงเป็นระดับที่สมบูรณ์สูงสุดของวิชาพระเวท ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (3.33.7) ได้ยืนยันไว้ดังต่อไปนี้
อโฮ บะทะ ชวะ-พะโช ´โท การียาน
ยัจ-จิฮวากเร วารทะเท นามะ ทุบฺยัมฺ
เทพุส ทะพัส เท จุฮุวุฮ สัสนุร อารยา
บระฮมานูชุร นามะ กริณันทิ เย เทฺ
“โอ้ องค์ภควาน บุคคลผู้สวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ แม้เกิดในตระกูลต่ำ เช่น ชัณดาละฺ (คนกินสุนัข) จะสถิตในระดับสูงสุดแห่งการรู้แจ้งตนเอง บุคคลเช่นนี้ต้องปฏิบัติการบำเพ็ญเพียรและการบูชานานัปการตามพิธีกรรมพระเวท และศึกษาวรรณกรรมพระเวทมาแล้วหลายต่อหลายครั้งหลังจากได้อาบน้ำในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งของนักบุญ บุคคลนี้พิจารณาว่าดีที่สุดในครอบครัวอารยัน”
ดังนั้น เราต้องมีปัญญาพอที่จะเข้าใจจุดมุ่งหมายของพระเวท โดยไม่ยึดติดกับพิธีกรรมเท่านั้น และต้องไม่ปรารถนาจะพัฒนาตนเองไปสู่อาณาจักรสวรรค์ เพื่อคุณภาพแห่งการสนองประสาทสัมผัสที่ดีกว่า เป็นไปไม่ได้สำหรับคนธรรมดาทั่วไปในยุคนี้ ที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหมดในพิธีกรรมพระเวท หรือจะศึกษา เวดานธะฺและ อุพะนิชัดฺ อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะต้องใช้เวลา พลังงาน ความรู้ และทรัพยากรอย่างมากมายเพื่อปฏิบัติตามจุดมุ่งหมายต่าง ๆ ของพระเวท จึงเป็นไปได้ยากมากในยุคนี้ อย่างไรก็ดี จุดประสงค์ที่ดีที่สุดของวัฒนธรรมพระเวทสามารถตอบสนองได้ด้วยการสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควาน ดังที่องค์เชธันญะผู้จัดส่งมวลวิญญาณที่ตกต่ำ เมื่อนักวิชาการพระเวทผู้ยิ่งใหญ่ชื่อ พระคาชานันดะ สะรัสวะที ถามองค์เชธันญะว่า ทำไมมาสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององภควานเหมือนเป็นคนเจ้าอารมณ์ แทนที่จะไปศึกษาปรัชญา เวดานธะฺ องค์เชธันญะทรงตอบว่าพระอาจารย์เห็นว่าพระองค์ทรงเบาปัญญายิ่งนัก ดังนั้น ท่านจึงขอร้องให้ไปสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ชรีคริชณะ พระองค์จึงทรงทำเช่นนี้และมีความปลื้มปีติสุขเหมือนคนเสียสติ ในคะลิยุคนี้ประชาชนส่วนใหญ่เบาปัญญา ไม่พร้อมที่จะศึกษาและเข้าใจปรัชญา เวดานธะฺ จุดประสงค์ที่ดีที่สุดของปรัชญา เวดานธะฺ จะได้รับการตอบสนองด้วยการสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควานอย่างไร้อาบัติ เวดานธะฺ เป็นคำสุดท้ายของปรัชญาพระเวท ผู้เขียนและผู้รู้ปรัชญาเวดานธะคือองค์ชรีคริชณะฺ และนักเวดานธะฺสูงสุดคือดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความสุขในการสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควาน นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งความเร้นลับของคัมภีร์พระเวททั้งหมด
คารมะณิ เอวาดิฺคารัส เท
มา พฺะเลชุ คะดาชะนะฺ
มา คารมะ-พฺะละ-เฮทุร บํูร
มา เท สังโก ´สทุ อคารมะณิฺ
คารมะณิฺ - ในหน้าที่ที่กำหนดไว้, เอวะฺ - แน่นอน, อดิคาระฮฺ - ถูกต้อง, เทฺ - ของเธอ, มาฺ - ไม่เคย, พฺะเลชฺุ - ในผล, คะดาชะนะฺ - ทุกเวลา, มาฺ - ไม่เคย, คารมะ-พฺะละฺ - ในผลของงาน, เฮทุฮฺ - เหตุ, บํูฮฺ - มาเป็น, มาฺ - ไม่เคย, เทฺ - ของเธอ, สังกะฮฺ - ความยึดติด, อัสทฺุ - ควรมี,อคารมะณิ-ในการไม่ทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้
คำแปลฺ
เธอมีสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ดังที่กำหนดไว้ แต่ไม่มีสิทธิ์ได้รับผลของการกระทำจงอย่าพิจารณาว่าตัวเองเป็นแหล่งกำเนิดของผลงานที่ทำ และอย่ายึดติดกับการไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของเธอ
คำอธิบายฺ
ณ ที่นี้ พิจารณาได้สามประเด็นคือ หน้าที่ที่กำหนดไว้ การทำงานตามอำเภอใจ และการอยู่เฉย ๆ หน้าที่ที่กำหนดไว้คือคำสั่งที่ได้รับให้ทำกิจกรรมตามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุที่ตนได้มา งานตามอำเภอใจหมายถึงงานที่ทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ที่เชื่อถือได้ และการอยู่เฉย ๆ คือไม่ทำตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ องค์ภควานทรงมิได้แนะนำให้อารจุนะทรงอยู่เฉย ๆ แต่ให้ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนที่ได้กำหนดไว้ โดยไม่ยึดติดกับผลงาน ผู้ที่ยึดติดกับผลของงานก็เป็นต้นเหตุแห่งการทำงานเช่นกัน ดังนั้น เขาจะได้รับความสุขหรือความทุกข์จากผลกรรม
หน้าที่ที่กำหนดไว้แบ่งออกเป็นสามประเภท คือ งานประจำ งานฉุกเฉิน และงานที่ปรารถนา งานประจำคือการปฏิบัติตามข้อบังคับตามคำสั่งของพระคัมภีร์โดยไม่หวังผล เป็นการกระทำในระดับแห่งความดี การทำงานเพื่อหวังผลจะเป็นเหตุแห่งพันธนาการ ดังนั้น งานประเภทนี้ไม่เป็นสิริมงคล ทุกคนมีสิทธ์ิเบื้องต้นเกี่ยวกับหน้าที่ที่กำหนดไว้ แต่ควรทำโดยไม่ยึดติดกับผล พันธหน้าที่ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นนี้จะนำเราไปสู่หนทางแห่งอิสรภาพโดยไม่ต้องสงสัย
ฉะนั้น องค์ภควานทรงแนะนำอารจุนะให้ต่อสู้ในฐานะที่เป็นหน้าที่โดยไม่ยึดติดกับผล การอยู่เฉย ๆ ของอารจุนะในสนามรบเป็นการยึดติดอีกด้านหนึ่ง การยึดติดเช่นนี้จะไม่นำเราไปสู่หนทางแห่งความหลุดพ้น การยึดติดใด ๆ ไม่ว่าจะในเชิงบวกหรือเชิงลบเป็นเหตุแห่งพันธนาการ การอยู่เฉย ๆ เป็นบาป ฉะนั้น การต่อสู้ตามหน้าที่จึงเป็นวิถีทางเดียวที่เป็นสิริมงคลเพื่อความหลุดพ้นของอารจุนะ
โยกะ-สทฺะฮ-คุรุ คารมาณิ
สังกัม ทยัคทวา ดฺะนันจะยะฺ
สิดดิฺ-อสิดดฺโยฮ สะโม บํูทวา
สะมัทวัม โยกะ อุชยะเทฺ
โยกะ-สทฺะฮฺ - แน่วแน่, คุรฺุ - ปฏิบัติ, คารมาณิฺ - หน้าที่ของเธอ, สังกัมฺ - ความยึดติด, ทยัค ทวาฺ -ยกเลิก, ดะนันจะยะฺ - โอ้ อารจุนะ, สิดดิฺ - อสิดดฺโยฮฺ - ในความสำเร็จและล้มเหลว, สะมะฮฺ -สมดุล, บํูทวาฺ - มาเป็น, สะมะทวัมฺ - ความสงบ, โยกะฮฺ - โยคะ, อุชยะเทฺ - เรียกว่า
คำแปลฺ
โอ้ อารจุนะ จงปฏิบัติหน้าที่ของเธอด้วยความแน่วแน่ สลัดการยึดติดต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวทั้งปวง ความสงบอันมั่นคงเช่นนี้เรียกว่าโยคะ
คำอธิบายฺ
คริชณะตรัสแด่อารจุนะว่าควรปฏิบัติโยคะ และโยคะที่ว่านี้คืออะไร? โยคะหมายถึงการตั้งสมาธิจิตอยู่ที่บุคลิกภาพสูงสุดด้วยการควบคุมประสาทสัมผัสที่คอยรบกวนอยู่เสมอ และใครคือบุคลิกภาพสูงสุด? บุคลิกภาพสูงสุดคือองค์ภควาน เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ตรัสสั่งให้อารจุนะต่อสู้ อารจุนะจึงไม่เกี่ยวข้องกับผลของการต่อสู้ผลกำไรหรือชัยชนะเป็นความรับผิดชอบของคริชณะ อารจุนะเพียงแต่ได้รับคำแนะนำให้ปฏิบัติตามคำสั่งของคริชณะ การปฏิบัติตามคำสั่งของคริชณะคือโยคะที่แท้จริง และวิธีการปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่าคริชณะจิตสำนึก ด้วยคริชณะจิตสำนึกเท่านั้นเราจึงสามารถยกเลิกความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ เราต้องมาเป็นผู้รับใช้ของคริชณะหรือเป็นผู้รับใช้ของผู้รับใช้ของคริชณะ นี่คือวิธีที่ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ในคริชณะจิตสำนึก ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่สามารถช่วยให้เราได้ปฏิบัติโยคะ
อารจุนะทรงเป็น คชัทริยะฺ ดังนั้น จึงร่วมอยู่ในสถาบัน วารณาชระมะ-ดฺารมะฺได้กล่าวไว้ใน วิชณุ พุราณะฺ ว่า จุดมุ่งหมายทั้งหมดใน วารณาชระมะ-ดฺารมะฺ คือการทำให้พระวิชณุทรงพอพระทัย ไม่มีใครควรทำให้ตนเองพึงพอใจเหมือนกฏเกณฑ์ในโลกวัตถุ แต่เราควรทำให้คริชณะทรงพอพระทัย ดังนั้น นอกจากเราจะทำให้คริชณะทรงพอพระทัย มิฉะนั้น เราจะไม่สามารถปฏิบัติตามหลัก วารณาชระมะ-ดฺารมะฺ อย่างถูกต้องได้ ในทางอ้อมอารจุนะทรงได้รับคำแนะนำให้ปฏิบัติตามที่คริชณะทรงสั่ง
ดูเรณะ ฮิ อวะรัม คารมะ
บุดดิฺ-โยกาด ดฺะนันจะยะฺ
บุดโดฺ ชะระณัม อันวิชชฺะ
คริพะณาฮ พฺะละ-เฮทะวะฮฺ
ดูเรณะฺ - ละทิ้งไปให้ไกล, ฮิฺ - แน่นอน, อวะรัมฺ - น่ารังเกียจ, คารมะฺ - กิจกรรม, บุดดิ- โยกาทฺ - ด้วยพลังของคริชณะจิตสำนึก, ดฺะนันจะยะฺ - โอ้ ผู้ชนะความร่ำรวย, บุดโดฺฺ - ในจิตสำนึกเช่นนี้, ชะระณัมฺ - ศิโรราบอย่างสมบูรณ์, อันวิชชฺะฺ - พยายามเพื่อ, คริพะณาฮฺ - คนโลภ, พฺะละ-เฮทะวะฮฺ - ผู้ปรารถนาผลทางวัตถุ
คำแปลฺ
โอ้ ดฺะนันจะยะ เธอจงละทิ้งการกระทำอันน่ารังเกียจนี้ไปให้ไกลแสนไกล ด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้ และด้วยจิตสำนึกเช่นนี้ จงศิโรราบต่อองค์ภควาน ผู้ใดที่ปรารถนาจะหาความสุขจากผลงานของตนเองเป็นคนโลภ
คำอธิบายฺ
ผู้ที่เข้าใจสถานภาพพื้นฐานของตนเองอย่างแท้จริงว่าเป็นผู้รับใช้นิรันดรขององค์ภควาน ยกเลิกกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งหมดนอกจากการทำงานในคริชณะจิตสำนึก ดังที่อธิบายไว้แล้ว บุดดิฺ-โยกะฺ หมายถึงการรับใช้ทิพย์แด่องค์ภควานด้วยความรัก การอุทิศตนเสียสละรับใช้เช่นนี้เป็นวิธีการทำงานที่ถูกต้องของสิ่งมีชีวิต คนโลภเท่านั้นที่ปรารถนาจะหาความสุขกับผลงานของตนเองซึ่งทำให้ถูกพันธนาการทางวัตถุมากยิ่งขึ้น นอกจากการทำงานในคริชณะจิตสำนึกแล้วกิจกรรมอื่นทั้งหลายเป็นที่น่ารังเกียจเพราะว่าจะผูกมัดผู้กระทำให้เวียนว่ายอยู่ในวัฏจักรแห่งการเกิดและการตายตลอดไปฉะนั้น เราไม่ควรปรารถนาที่จะเป็นต้นเหตุของงาน ทุกสิ่งทุกอย่างควรทำไปในคริชณะจิตสำนึกเพื่อให้คริชณะทรงพอพระทัย คนโลภไม่รู้ว่าควรใช้ทรัพย์สินความร่ำรวยที่ตนได้มาอันเนื่องมาจากความโชคดีหรือจากการทำงานหนักอย่างไร เราควรใช้พลังงานทั้งหมดทำงานในคริชณะจิตสำนึกซึ่งจะทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จ ไม่เหมือนกับคนโลภผู้อับโชคที่ไม่รู้จักใช้พลังงานมนุษย์ในการรับใช้องค์ภควาน
บุดดิ-ยุคโท จะฮาทีฮะ
อุเบฺ สุคริทะ-ดุชคริเทฺ
ทัสมาด โยกายะ ยุจยัสวะ
โยกะฮ คารมะสุ โคชะลัมฺ
บุดดิฺ-ยุคทะฮฺ - ผู้ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้, จะฮาทิฺ - สามารถขจัด, อิฮะฺ - ในชีวิตนี้, อุเบฺฺ - ทั้งคู่, สุคริทะ-ดุชคริเทฺ - ผลดีและผลเลว, ทัสมาทฺ - ดังนั้น, โยกายะฺ - เพื่อเห็นแก่การอุทิศตนเสียสละรับใช้, ยุจยัสวะฺ - ปฏิบัติงานเช่นนั้น, โยกะฮฺ - คริชณะจิตสำนึก, คารมะสฺุ - ในกิจกรรมทั้งมวล, โคชะลัมฺ - ศิลป
คำแปลฺ
บุคคลผู้ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้จะทำให้ตนเองหลุดพ้นไปจากผลกรรมทั้งดีและชั่วแม้ในชาตินี้ ฉะนั้น จงสู้เพื่อโยคะซึ่งเป็นศิลปะแห่งการทำงานทั้งปวง
คำอธิบายฺ
แต่ละชีวิตได้สะสมผลกรรมต่าง ๆ ทั้งดีและชั่วนับตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจึงอยู่ในอวิชชาตลอดเวลาเกี่ยวกับสถานภาพพื้นฐานอันแท้จริงของเราอวิชชานี้สามารถขจัดออกไปได้ด้วยคำสั่งสอนของภควัต-คีตาฺ ที่สอนให้เราศิโรราบต่อองค์ชรีคริชณะในทุก ๆ ด้าน และมีอิสรภาพจากโซ่ตรวนในการเป็นเหยื่อแห่งกรรมและผลกรรมชาติแล้วชาติเล่า ดังนั้น อารจุนะทรงได้รับคำแนะนำให้ปฏิบัติงานในคริชณะจิตสำนึกซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้บริสุทธิ์จากผลกรรม
คารมะ-จัม บุดดฺิ-ยุคทา ฮิ
พฺะลัม ทยัคทวา มะนีชิณะฮฺ
จันมะ-บันดฺะ-วินิรมุคทาฮ
พะดัม กัชชันทิ อนามะยัมฺ
คารมะ-จัมฺ - เนื่องมาจากกิจกรรมเพื่อหวังผล, บุดดิฺ-ยุคทาฮฺ - ปฏิบัติในการอุทิศตนรับใช้, ฮิฺ - แน่นอน, พฺะลัมฺ - ผลงาน, ทยัคทวาฺ - ยกเลิก, มะนีชิณะฮฺ - นักปราชณ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือสาวก, จันมะ-บันดฺะฺ - จากพันธนาการแห่งการเกิดและการตาย, วินิรมุคทาฮฺ - อิสรภาพ, พะดัมฺ - ตำแหน่ง, กัชชันทิฺ - พวกเขาบรรลุถึง, อนามะยัมฺ - ไม่มีความทุกข์
คำแปลฺ
ด้วยการปฏิบัติอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควาน นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือสาวกทำให้ตนเองได้รับอิสรภาพจากผลกรรมในโลกวัตถุ ซึ่งเท่ากับได้รับอิสรภาพจากวัฏจักรแห่งการเกิดและการตาย และบรรลุถึงระดับที่อยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง(ด้วยการกลับคืนสู่องค์ภควาน)
คำอธิบายฺ
สิ่งมีชีวิตผู้หลุดพ้น อยู่ ณ สถานที่ที่ไม่มีความทุกข์ทางวัตถุ บฺากะวะธัมฺ(10.14.58) กล่าวว่า
สะมาชริทา เย พะดะ-พัลละวะ-พละวัม
มะฮัท-พะดัม พุณยะ-ยะโช มุราเรฮฺ
บฺะวามบุดิฺร วัทสะ-พะดัม พะรัม พะดัม
พะดัม พะดัม ยัด วิพะดาม นะ เทชามฺ
“สำหรับผู้ที่ยอมรับเอาพระบาทรูปดอกบัวขององค์ภควานมาเป็นนาวา องค์ภควานผู้ทรงเป็นที่พึ่งของสรรพสิ่งที่ปรากฏอยู่ในจักรวาล ทรงมีชื่อเสียงในพระนาม มุคุนดะหรือผู้ให้ มุคทิฺ (ความหลุดพ้น) ทำให้มหาสมุทรแห่งโลกวัตถุกลายมาเป็นน้ำที่อยู่ในรอยเท้าของลูกวัว พะรัม พะดัมฺ คือสถานที่ที่ไม่มีความทุกข์ทางวัตถุ หรือ ไวคุณธฺะฺ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมาย ไม่ใช่สถานที่ที่มีภยันตรายอยู่ทุกฝีก้าวในชีวิต”
เนื่องด้วยอวิชชา ทำให้เราไม่รู้ว่าโลกวัตถุนี้เป็นสถานที่ที่มีความทุกข์และมีภยันตรายอยู่ทุกฝีก้าว อวิชชาเท่านั้นที่ทำให้ผู้ด้อยปัญญาพยายามปรับสถานการณ์ด้วยกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุ โดยคิดว่าผลแห่งการกระทำเช่นนี้จะทำให้ตนเองมีความสุข โดยไม่รู้ว่าไม่มีร่างกายวัตถุชนิดใดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนภายในจักรวาลวัตถุนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีความทุกข์ ความทุกข์ในชีวิตเช่น การเกิด การตาย ความแก่ และโรคภัยต่าง ๆ มีอยู่ทุกหนทุกแห่งภายในโลกวัตถุ แต่ผู้ที่เข้าใจสถานภาพพื้นฐานอันแท้จริงของตนเองว่าเป็นผู้รับใช้นิรันดรขององค์ภควาน และทราบถึงสถานภาพของบุคลิกภาพแห่งองค์ภควาน ปฏิบัติตนรับใช้พระองค์ด้วยความรักทิพย์ หลังจากนี้เราจะเป็นผู้มีคุณวุฒิที่จะเข้าไปในโลก ไวคุณธฺะฺ สถานที่ที่ทุกชีวิตไม่มีความทุกข์ทางวัตถุ ไม่มีอิทธิพลของเวลาและความตาย การทราบถึงสถานภาพพื้นฐานของตัวเรา หมายถึงการทราบสถานภาพอันประเสริฐขององค์ภควานเช่นกัน ผู้ที่คิดผิด ๆ ว่า สถานภาพของสิ่งมีชีวิตและสถานภาพขององค์ภควานอยู่ในระดับเดียวกัน แน่นอนว่าผู้นั้นอยู่ในความมืดมน ดังนั้น เขาจะไม่สามารถปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควานได้ แต่จะพยายามเป็นองค์ภควานเสียเอง ซึ่งเป็นการปูทางเพื่อวัฏจักรแห่งการเกิดและการตายผู้ที่เข้าใจว่าสถานภาพของตนคือผู้รับใช้และหันมารับใช้องค์ภควาน ทันใดนั้นเขามีสิทธิ์ิเข้าไปสู่ ไวคุณธฺะ โลคะฺ การรับใช้องค์ภควานเรียกว่า คารมะ-โยกะฺ หรือ บุดดิฺ-โยกะฺหรือในคำพูดง่าย ๆ คือการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควาน
ยะดา เท โมฮะ-คะลิลัม
บุดดิร วิยะทิทะริชยะทิฺ
ทะดา กันทาสิ นิรเวดัม
ชโรทัพยัสยะ ชรุทัสยะ ชะฺ
ยะดาฺ - เมื่อ, เทฺ - ของเธอ, โมฮะฺ - ความหลง, คะลิลัมฺ - ป่าทึบ, บุดดิฮฺ - การรับใช้ทิพย์ด้วยปัญญา, วิยะทิทะริชยะทิฺ - ข้ามพ้น, ทะดาฺ - ในเวลานั้น, กันทา อสิฺ - ท่านจะไป, นิรเวดัมฺ - ไม่แตกต่าง, ชโรทัพยัสยะฺ - ไปสู่ทั้งหมดที่จะได้ยิน, ชรุทัสยะฺ - ทั้งหมดที่ได้ยินมาแล้ว, ชะฺ - เช่นกัน
คำแปลฺ
เมื่อสติปัญญาของเธอได้ผ่านออกมาจากป่าทึบแห่งความหลง เธอจะเป็นกลางต่อสิ่งที่ได้ยินมาแล้วทั้งหมด และสิ่งที่จะได้ยินทั้งหมด
คำอธิบายฺ
มีตัวอย่างที่ดีมากมายในชีวิตสาวกผู้ยิ่งใหญ่ขององค์ภควาน ด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่องค์ภควานทำให้ท่านไม่สนใจใยดีต่อพิธีกรรมของพระเวท เมื่อผู้ใดเข้าใจคริชณะและความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับคริชณะอย่างแท้จริง โดยธรรมชาติเขาจะไม่สนใจกับพิธีกรรมเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุ แม้จากพราหมณ์ผู้มีประสบการณ์ ชรีมาดฺะเวนดระ พุรี สาวกและอารชารยะผู้ยิ่งใหญ่ ในสายของสาวก กล่าวว่า
สันดฺยา-วันดะนะ บฺะดรัม อัสทุ บฺะวะโท โบฺฮ สนานะ ทุบฺยัม นะโมฺ
โบฺ เดวาฮ พิทะรัช ชะ ทารพะณะ-วิโดฺ นาฮัม คชะมะฮ คชัมยะทามฺ
ยะทระ ควาพิ นิชัดยะ ยาดะวะ-คุโลททัมสัสยะ คัมสะ-ดวิชะฮฺ
สมารัม สมารัม อกัม ฮะรามิ ทัด อลัม มันเย คิม อันเยนะ เมฺ
“โอ้ การสวดมนต์ของข้าวันละสามครั้ง จงเจริญ! โอ้ ข้าขอแสดงความเคารพแด่การอาบน้ำ! โอ้ เทวดา! โอ้ บรรพบุรุษ! โปรดให้อภัยแด่ข้าที่ไม่สามารถแสดงความเคารพแด่ท่าน ไม่ว่าจะนั่งอยู่ที่ไหนข้าจะระลึกถึงแต่ผู้สืบราชวงศ์อันยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ยะดุ(คริชณะ) ผู้เป็นศัตรูของคัมสะ เช่นนี้ ทำให้ข้าปราศจากพันธนาการแห่งบาปทั้งมวล ข้าคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับตัวข้า”
พิธีกรรมต่าง ๆ ของพระเวทบังคับใช้สำหรับนวกะ เช่น การทำความเข้าใจกับบทมนต์ทั้งหมดวันละสามครั้ง การอาบน้ำในตอนเช้า การแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ ฯลฯ หากเราอยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์และปฏิบัติตนรับใช้องค์ภควานด้วยความรักทิพย์ เราจะไม่สนใจใยดีต่อกฎเกณฑ์เหล่านี้ เพราะว่าเราได้บรรลุถึงความสมบูรณ์แล้ว หากสามารถบรรลุถึงระดับความเข้าใจด้วยการรับใช้องค์ภควาน ชรีคริชณะ เราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติการบำเพ็ญเพียรและการบูชาต่าง ๆ ที่แนะนำไว้ในพระคัมภีร์อีกต่อไป ในทำนองเดียวกัน หากว่าเราไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของพระเวทว่าให้เข้าถึงคริชณะ และมัวแต่ปฏิบัติตามพิธีกรรมต่าง ๆ ฯลฯ เราจะสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์กับการกระทำเช่นนี้ บุคคลในคริชณะจิตสำนึกข้ามพ้นขีดจำกัดของ ชับดะ-บระฮมะฺ หรือขอบเขตแห่งพระเวท และ อุพะนิชัดฺ
ชรุทิ-วิพระทิพันนา เท
ยะดา สทฺาสยะทิ นิชชะลาฺ
สะมาดฺาพ อชะลา บุดดฺิส
ทะดา โยกัม อวาพสยะสิฺ
ชรุทิฺ - ประทีปแห่งพระเวท, วิพระทิพันนาฺ - โดยไม่ถูกอิทธิพลแห่งผลทางวัตถุ, เทฺ - ของเธอ, ยะดาฺ - เมื่อ, สทฺาสยะทิฺ - คงอยู่, นิชชะลาฺ - ไม่เคลื่อนที่, สะมาโดฺฺ - ในจิตสำนึกทิพย์หรือคริชณะจิตสำนึก, อชะลาฺ - ความแน่วแน่, บุดดิฮฺ - ปัญญา, ทะดาฺ - ในเวลานั้น, โยกัมฺ - ความรู้แจ้งตนเอง, อวาพสยะสิฺ - เธอจะบรรลุผล
คำแปลฺ
เมื่อจิตใจของเธอไม่ถูกรบกวนจากสำนวนโวหารของคัมภีร์พระเวท และเมื่อจิตของเธอตั้งมั่นอยู่ในสมาธิเพื่อความรู้แจ้งแห่งตน เมื่อนั้นเธอได้บรรลุถึงจิตสำนึกทิพย์แล้ว
คำอธิบายฺ
เมื่อกล่าวว่าบุคคลนี้อยู่ในสมาธิ หรือ สะมาดิฺฺ หมายความว่าผู้นั้นมีคริชณะจิตสำนึกอย่างบริบูรณ์ ผู้อยู่ใน สะมาดิฺฺ ที่สมบูรณ์รู้แจ้งถึง บระฮมัน พะระมาทมาฺและ บฺะกะวานฺ ความสมบูรณ์สูงสุดแห่งการรู้แจ้งแห่งตนคือการเข้าใจอย่างถูกต้องว่าตนเองเป็นผู้รับใช้นิรันดรของคริชณะ ภารกิจเดียวของตนคือการปฏิบัติหน้าที่ในคริชณะจิตสำนึก บุคคลในคริชณะจิตสำนึกหรือสาวกผู้มีความมั่นคงต่อองค์ภควาน จะไม่ถูกรบกวนจากสำนวนโวหารของคัมภีร์พระเวทหรือไปปฏิบัติกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุให้เจริญขึ้นไปสู่สวรรค์ ในคริชณะจิตสำนึกเรามีความสัมพันธ์กับคริชณะโดยตรง และคำแนะนำทั้งหมดของคริชณะเราอาจเข้าใจได้จากระดับทิพย์นี้ ด้วยการกระทำเช่นนี้เรามั่นใจได้ว่าจะบรรลุผลและได้รับความรู้ที่แท้จริงอย่างแน่นอน เราเพียงแต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของคริชณะหรือพระอาจารย์ทิพย์ซึ่งเป็นผู้แทนของพระองค์
อารจุนะ อุวาชะฺ
สทิทะ-พระกยัสยะ คา บฺาชา
สะมาดิฺ-สทัสยะ เคชะวะฺ
สทิทะ-ดีฺฮ คิม พระบฺาเชทะ
คิม อาสีทะ วระเจทะ คิมฺ
อารจุนะฮ อุวาชะฺ - อารจุนะตรัส, สทิทะ-พระกยัสยะฺ - ของผู้ที่สถิตในคริชณะจิตสำนึกอย่างมั่นคง, คาฺ - อะไร, บฺาชาฺ - ภาษา, สะมาดิ-สทัสยะฺ - ของผู้ที่สถิตในสมาธิ, เคชะวะฺ - โอ้ คริชณะ, สทิทะ-ดีฮฺ - ผู้ที่ตั้งมั่นในคริชณะจิตสำนึก, คิมฺ - อะไร, พระบฺาเชทะฺ - พูด, คิมฺ - อย่างไร, อาสีทะฺ - คงอยู่เหมือนเดิม, วระเจทะฺ - เดิน, คิมฺ - อย่างไร
คำแปลฺ
อารจุนะตรัสว่า โอ้ คริชณะ บุคคลที่จิตสำนึกซึมซาบอยู่กับองค์ภควาน มีลักษณะอาการเช่นไร? เขาพูดอย่างไรและใช้ภาษาอะไร? เขานั่งและเดินอย่างไร?
คำอธิบายฺ
ดังที่ทุกคนมีลักษณะอาการเฉพาะตนในสถานการณ์เฉพาะของตน เช่นเดียวกัน ผู้ที่มีคริชณะจิตสำนึกก็มีธรรมชาติเฉพาะตน เช่น การพูด การเดิน การคิดและความรู้สึก ฯลฯ คนรวยจะมีลักษณะอาการที่ส่อให้เห็นว่าเขาเป็นคนรวย คนเป็นโรคมีอาการที่แสดงให้รู้ว่าเขาเป็นโรค คนได้รับการศึกษาสูงก็มีลักษณะอาการของตนดังนั้น ผู้มีจิตสำนึกทิพย์แห่งคริชณะก็มีลักษณะอาการเฉพาะตัวในการกระทำสิ่งต่าง ๆเราสามารถทราบลักษณะอาการเฉพาะตัวนี้ได้จาก ภควัต-คีตาฺ สิ่งสำคัญที่สุดคือผู้มีคริชณะจิตสำนึกพูดอย่างไร เพราะการพูดเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดของมนุษย์ ได้กล่าวไว้ว่า คนโง่จะไม่มีใครรู้ถ้าหากเขาไม่พูด และคนโง่ที่แต่งตัวดีจะไม่มีใครรู้นอกจากเขาพูด ทันทีที่พูดออกมาเขาจะเปิดเผยตนเองออกมา ลักษณะอาการที่เห็นได้ชัดเจนของผู้มีคริชณะจิตสำนึกคือเขาจะพูดถึงแต่คริชณะและเรื่องราวที่เกี่ยวกับคริชณะเท่านั้นลักษณะอาการอื่น ๆ จะตามมาโดยปริยาย ดังจะกล่าวต่อไป
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
พระจะฮาทิ ยะดา คามาน
สารวาน พารทฺะ มะโน-กะทานฺ
อาทมะนิ เอวาทมะนา ทุชทะฮ
สทิทะ-พระกยัส ทะโดชยะเทฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัส, พระจะฮาทิฺ - ยกเลิก, ยะดาฺ - เมื่อ, คามานฺ - ปรารถนาเพื่อสนองประสาทสัมผัส, สารวานฺ - ของสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมด, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสของพระนางพริทฺา, มะนะฮ-กะทานฺ - การคาดคะเนทางจิตใจ, อาทมะ นิฺ - ในระดับที่บริสุทธิ์ของดวงวิญญาณ, เอวะฺ - แน่นอน, อาทมะนาฺ - ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์, ทุสทะฮฺ - พึงพอใจ, สทิทะ-พระกยะฮฺ - สถิตอยู่เหนือโลก, ทะดาฺ - ในเวลานั้น, อุชยะเทฺ - ถูกกล่าวไว้
คำแปลฺ
บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัสว่า โอ้ พารทฺะ เมื่อบุคคลยกเลิกความปรารถนานานับปการเพื่อสนองประสาทสัมผัส ซึ่งเกิดขึ้นจากการคาดคะเนของจิต และเมื่อจิตบริสุทธิ์ขึ้น เขาจะพบแต่ความพึงพอใจในตนเองเท่านั้น กล่าวไว้ว่าบุคคลผู้นี้มีจิตสำนึกทิพย์ที่บริสุทธิ์
คำอธิบายฺ
บฺากะวะธัมฺ ยืนยันว่าบุคคลใดที่มีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ หรืออุทิศตนรับใช้องค์ภควานจะมีคุณสมบัติที่ดีทั้งหมดของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ในขณะที่ผู้ที่มิได้สถิตในระดับทิพย์นี้จะไม่มีคุณสมบัติที่ดีเลย เพราะว่าเขาจะพึ่งแต่การคาดคะเนทางจิตใจของตนเองอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงกล่าวได้อย่างถูกต้อง ณ ที่นี้ว่าเราต้องยกเลิกความต้องการทางประสาทสัมผัสทั้งหมดซึ่งเกิดขึ้นจากการคาดคะเนของจิตใจความต้องการทางประสาทสัมผัสนี้ไม่สามารถหยุดอย่างผิดธรรมชาติได้ แต่ทันทีที่เราเริ่มปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึก ความต้องการทางประสาทสัมผัสจะบรรเทาลงโดยปริยายโดยไม่ต้องพยายามเป็นพิเศษ ฉะนั้น เราต้องปฏิบัติตนในคริชณะจิตสำนึกโดยไม่ลังเล เพราะการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ จะช่วยนำเรามาสู่ระดับจิตสำนึกทิพย์ทันทีจิตวิญญาณที่พัฒนาสูงแล้วจะมีความพึงพอใจในตนเองเสมอ ด้วยสำนึกที่ว่าตนเองเป็นผู้รับใช้ขององค์ภควาน บุคคลผู้สถิตในระดับทิพย์เช่นนี้จะไม่มีความต้องการทางประสาทสัมผัสอันเนื่องมาจากลัทธิวัตถุนิยมที่ไม่สำคัญ แต่เขาจะมีความสุขอยู่เสมอในสภาวะธรรมชาติแห่งการรับใช้องค์ภควานนิรันดร
ดุฮเคฺชุ อนุดวิกนะ-มะนาฮฺ
สุเคฺชุ วิกะทะ-สพริฮะฮฺ
วีทะ-รากะ-บฺะยะ-โครดฺะฮ
สทิทะ-ดีฺร มุนิร อุชยะเทฺ
ดุฮเคฺชฺุ - ในความทุกข์สามคำรบ, อนุดวิกนะ-มะนาฮฺ - ไม่มีความวุ่นวายภายในใจ, สุเคฺชฺุ - ในความสุข, วิกระทะ-สพริฮะฮฺ - ไม่มีความสนใจ, วีทะฺ - เป็นอิสระจาก, รากะฺ - ความยึดติด, บฺะยะฺ - ความกลัว, โครดฺะฮฺ - และความโกรธ, สทิทะ-ดีฮฺ - ผู้ที่มีจิตใจมั่นคง, มุนิฮฺ - นักปราชญ์, อุชยะเทฺ - เรียกว่า
คำแปลฺ
ผู้ที่จิตใจไม่ถูกรบกวนแม้ท่ามกลางความทุกข์สามคำรบ หรือมีความปีติเมื่อได้รับความสุข และเป็นอิสระจากความยึดติด ความกลัว และความโกรธ ได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ผู้มีจิตใจมั่นคง
คำอธิบายฺ
คำว่า มุนิฺ หมายถึงผู้ที่สามารถรบกวนจิตใจตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ จากการคาดคะเนทางจิตโดยไม่มีข้อสรุปอย่างแท้จริง กล่าวไว้ว่า มุนิฺ ทุกรูปมีมุมมองที่แตกต่างกันหากไม่มีมุมมองที่ต่างจาก มุนิฺ อื่นจะเรียกว่าเป็น มุนิฺ ไม่ได้ ตามคำนิยาม นาสาพ ริชิร ยัสยะ มะทัม นะ บินนัม (มะฮาบฺาระทะ, วะนะ-พารวะฺ 313.117) แต่ สทิทะ-ดีร มุนิฺ ที่องค์ภควานตรัส ณ ที่นี้ แตกต่างจาก มุนิฺ ทั่วไป สทิทะ-ดีร มุนิฺ อยู่ใน คริชณะจิตสำนึกเสมอเพราะได้เสร็จสิ้นจากภารกิจการคาดคะเนสร้างสรรค์ทั้งปวง ท่านได้ชื่อว่า พระชาน- ทะ-นิฮเชชะ-มะโน-ระทฺานทะระ (สโททระ-รัทนะฺ 43) หรือผู้ที่ข้ามพ้นระดับแห่งการคาดคะเนทางจิตใจ และได้ผลสรุปว่า องค์ชรีคริชณะหรือวาสุเดวะคือทุกสิ่งทุกอย่าง(วาสุเดวะฮ สารวัม อิทิ สะ มะฮาทมา สุ-ดุรละบฺะฮ)ฺ ท่านได้ชื่อว่า มุนิฺ ผู้มีจิตใจมั่นคงผู้ที่มีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์เช่นนี้จะไม่ถูกรบกวนจากการรุกรานของความทุกข์สามคำรบ เพราะท่านน้อมรับความทุกข์ทั้งหมดว่าเป็นพระเมตตาขององค์ภควาน และคิดว่าตนเองควรได้รับทุกข์ทรมานมากกว่านี้อันเนื่องมาจากกรรมเก่า และยังเห็นอีกว่าด้วยพระกรุณาธิคุณขององค์ภควานที่ทำให้ความทุกข์ได้รับการลดโทษจนถึงขีดต่ำสุดลักษณะเดียวกัน เมื่อได้รับความสุขท่านจะส่งมอบให้แด่องค์ภควานและคิดว่าตนเองไม่ควรค่ากับความสุขนี้ สำนึกว่าด้วยพระกรุณาธิคุณขององค์ภควานเท่านั้นท่านจึงได้มาอยู่ในสภาวะที่สะดวกสบายเช่นนี้ และทำให้สามารถปฏิบัติรับใช้พระองค์ได้ดียิ่งขึ้น สำหรับการรับใช้องค์ภควานท่านจะมีความกล้าหาญและตื่นตัวเสมอ โดยไม่มีอิทธิพลของการยึดติดหรือการไม่ยึดติดใด ๆ มาครอบงำ การยึดติดหมายถึงยอมรับเอาบางสิ่งเพื่อสนองประสาทสัมผัสและการไม่ยึดติดคือปราศจากการยึดติดกับการสนองประสาทสัมผัสเช่นนี้ แต่ผู้ที่ตั้งมั่นในคริชณะจิตสำนึกจะไม่มีทั้งการยึดติดและการไม่ยึดติดเพราะท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อการรับใช้องค์ภควานเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่มีความโกรธเลยแม้ว่าความพยายามจะไม่ประสบผลสำเร็จ บุคคลในคริชณะจิตสำนึกจะมีความมั่นใจอยู่เสมอไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว
ยะฮ สารวะทรานะบิฺสเนฮัส
ทัท ทัท พราพยะ ชุบฺาชุบัมฺ
นาบิฺนันดะทิ นะ ดเวชทิ
ทัสยะ พระกยา พระทิชทิฺทาฺ
ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, สารวะทระฺ - ทุกหนทุกแห่ง, อนะบิสะเนฮะฮฺ - ไม่มีความรัก, ทัทฺ - นั้น, ทัทฺ - นั้น, พราพยะฺ - ได้รับ, ชุบฺะฺ - ดี, อชุบัมฺ - ชั่ว, นะฺ - ไม่เคย, อบินันดะทิฺ - สรรเสริญ, นะฺ - ไม่เคย, ดเวชทิฺ - อิจฉา, ทัสยะฺ - ของเขา, พระกยาฺ - ความรู้ที่สมบูรณ์, พระทิชทิทาฺ - มั่นคง
คำแปลฺ
ในโลกวัตถุนี้ ผู้ที่ไม่เสน่หาต่อสิ่งดีหรือชั่วที่ตนเองอาจได้รับ ทั้งไม่ยกย่องหรือเหยียดหยาม ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความแน่วแน่มั่นคงในความรู้อันสมบูรณ์
คำอธิบายฺ
จะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในโลกวัตถุอยู่เสมอซึ่งอาจจะดีหรือเลว ผู้ที่ไม่ถูกรบกวนจากการเปลี่ยนแปลงทางวัตถุเช่นนี้ ผู้ที่ไม่เสน่หากับความดีหรือความชั่วเข้าใจได้ว่าเป็นผู้มีความมั่นคงในคริชณะจิตสำนึก ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกวัตถุจะมีทั้งดีและชั่วอยู่เสมอเพราะว่าโลกใบนี้เต็มไปด้วยสภาวะคู่ แต่ผู้ที่มั่นคงในคริชณะจิตสำนึกจะไม่เสน่หากับความดีหรือความชั่ว เพราะเขาสนใจแต่คริชณะผู้ทรงไว้ซึ่งความดีทั้งหมดอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์เท่านั้น จิตสำนึกในคริชณะเช่นนี้จะสถิตตนเองให้อยู่ในสภาวะทิพย์โดยสมบูรณ์ เรียกตามศัพท์เทคนิคว่า สะมาดิฺฺ
ยะดา สัมฮะระเท ชายัม
คูรโม ´งกานีวะ สารวะชะฮฺ
อินดริยาณีนดริยารเทฺบฺยัส
ทัสยะ พระกยา พระทิชทิทาฺ
ยะดาฺ - เมื่อ, สัมฮะระเทฺ - ม้วนกลับ, ชะฺ - เช่นกัน, อยัมฺ - เขา, คูรมะฮฺ - เต่า, อังกานิฺ - แขนขา, อิวะฺ - เหมือน, สารวะชะฮฺ - ทั้งหมด, อินดริยานิฺ - ประสาทสัมผัสต่างๆ, อินดริยะ-อาร เทฺบฺยะฮฺ - จากอายตะภายนอก, ทัสยะฺ - ของเขา, พระกยาฺ - จิตสำนึก, พระทิชทิทาฺ - มั่นคง
คำแปลฺ
ผู้ที่สามารถดึงประสาทสัมผัสของตนเองให้กลับมาจากอายตนะภายนอก ดังเช่นเต่าที่หดแขนขาเข้าไว้ในกระดอง เป็นผู้ที่มีความแน่วแน่มั่นคงในจิตสำนึกที่สมบูรณ์
คำอธิบายฺ
การทดสอบโยคี สาวก หรือดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งแห่งตน คือเขาสามารถควบคุมประสาทสัมผัสตามแผนของตนเองได้ อย่างไรก็ดี คนส่วนใหญ่เป็นทาสของประสาทสัมผัสจึงให้ประสาทสัมผัสเป็นผู้นำทาง นี่คือคำตอบต่อคำถามที่ว่าโยคีสถิตอย่างไร ประสาทสัมผัสเปรียบเสมือนงูพิษที่ต้องการทำอะไรตามอำเภอใจอย่างไร้กฎเกณฑ์ โยคีหรือสาวกจะต้องเข็มแข็งมากในการควบคุมงู เหมือนกับหมองูผู้ไม่ยอมปล่อยให้งูเลื้อยไปอย่างอิสระ มีกฎเกณฑ์มากมายในพระคัมภีร์ที่เปิดเผย บ้างเป็นข้อห้าม บ้างเป็นข้อปฏิบัติ นอกจากว่าเราสามารถทำตามข้อห้ามและข้อปฏิบัติ และควบคุมตนเองจากความสุขทางประสาทสัมผัส มิฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความแน่วแน่มั่นคงในคริชณะจิตสำนึก ตัวอย่างที่ดีที่สุด ณ ที่นี้คือเต่า ไม่ว่าในขณะใดเต่าสามารถหดประสาทสัมผัสของตนเองให้เข้ามาอยู่ภายในกระดอง และยืดออกมาใหม่เมื่อต้องการใช้งาน ทำนองเดียวกัน ประสาทสัมผัสของบุคคลในคริชณะจิตสำนึกใช้เฉพาะในจุดมุ่งหมายเพื่อรับใช้องค์ภควานเท่านั้น มิฉะนั้น จะดึงกลับมา อารจุนะทรงได้รับคำสั่งสอนณ ที่นี้ ให้ใช้ประสาทสัมผัสของพระองค์เพื่อรับใช้องค์ภควาน แทนที่จะใช้เพื่อความพึงพอใจของตนเอง การรักษาประสาทสัมผัสไว้เพื่อรับใช้องค์ภควานอยู่เสมอ คือตัวอย่างเปรียบเทียบกับเต่าที่สามารถรักษาประสาทสัมผัสของตนเองไว้ให้อยู่ภายในได้
วิชะยา วินิวารทันเท
นิราฮารัสยะ เดฮินะฮฺ
ระสะ-วารจัม ระโส ´พิ อัสยะ
พะรัม ดริชทวา นิวารทะเทฺ
วิชะยาฮฺ - อาตนะภายนอกเพื่อความสุขทางประสาทสัมผัส, วินิวารทันเทฺ - ฝึกฝนเพื่อให้ละเว้นจาก, นิราฮารัสยะฺ - ด้วยข้อห้ามเชิงลบ, เดฮินะฮฺ - สำหรับร่างกาย, ระสะ-วาร- จัมฺ - ยกเลิกรส, ระสะฮฺ - ความสุขทางประสาทสัมผัส, อพิฺ - ถึงแม้ว่าจะมี, อัสยะฺ - ของเขา, พะรัมฺ - สิ่งที่สูงส่งกว่ามาก, ดริชทวาฺ - โดยประสบการณ์, นิวารทะเทฺ - เขาหยุดจาก
คำแปลฺ
ดวงวิญญาณในร่างอาจถูกควบคุมจากความสุขทางประสาทสัมผัส แม้รสของอายตนะภายนอกยังคงอยู่ แต่หยุดการกระทำเช่นนี้ได้ด้วยการมาสัมผัสกับรสที่สูงกว่า จะทำให้เขามีความมั่นคงในจิตสำนึก
คำอธิบายฺ
นอกจากเราสถิตในระดับทิพย์ มิฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดแสวงหาความสุขทางประสาทสัมผัส วิธีการควบคุมความสุขทางประสาทสัมผัสด้วยกฎเกณฑ์เหมือนกับการจำกัดอาหารบางชนิดสำหรับผู้ป่วย อย่างไรก็ดี คนป่วยไม่ชอบทั้งการควบคุมและการสูญเสียรสอาหาร ในทำนองเดียวกันการจำกัดประสาทสัมผัสด้วยวิธีปฏิบัติธรรมเช่น อัชทางกะ-โยกะฺ ในเรื่องของ ยะมะ, นิยะมะ, อาสะนะ, พราณายามะ, พรัทยาฮาระ, ดฺาระณา, ดฺยานะฺ, ฯลฯ แนะนำไว้สำหรับผู้ด้อยปัญญาที่ไม่รู้อะไรดีไปกว่านี้ แต่สำหรับผู้ที่ได้รับรสแห่งความสง่างามของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าชรีคริชณะ ในขณะที่เจริญก้าวหน้าในคริชณะจิตสำนึก จะไม่มีรสสำหรับสิ่งของวัตถุที่ตายซากอีกต่อไป ฉะนั้น ข้อจำกัดมีไว้สำหรับนวกะผู้ด้อยปัญญาเพื่อให้ชีวิตก้าวหน้าในวิถีทิพย์ แต่การจำกัดเช่นนี้จะเป็นผลดีจนกระทั่งเราได้รับรสอันแท้จริงในคริชณะจิตสำนึก เมื่อมี คริชณะจิตสำนึกอย่างแท้จริง เราจะสูญเสียรสชาติในสิ่งที่ตายซากไปโดยปริยาย
ยะทะโท ฮิ อพิ คะอุนเทยะ
พุรุชัสยะ วิพัชชิทะฮฺ
อินดริยาณิ พระมาทีนิ
ฮะรันทิ พระสะบัฺม มะนะฮฺ
ยะทะทะฮฺ - ขณะที่พยายาม, ฮิฺ - แน่นอน, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, พุรุชัสยะฺ - ของมนุษย์, วิพัชชิทะฮฺ - เต็มไปด้วยความรู้ที่แยกแยะ, อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, พระมาทฺีนิฺ - เร่าร้อน, ฮะรันทิฺ - โยน, พระสะบัมฺ - โดยการบังคับ, มะนะฮฺ - จิตใจ
คำแปลฺ
โอ้ อารจุนะ ประสาทสัมผัสนั้นรุนแรงและรวดเร็วมาก จนสามารถบังคับนำพาจิตใจให้เตลิดเปิดเปิงไป แม้จิตใจของผู้มีดุลยพินิจที่พยามยามควบคุมมัน
คำอธิบายฺ
มีนักบุญผู้คงแก่เรียน นักปราชญ์ และนักทิพย์นิยมมากมายที่พยายามเอาชนะประสาทสัมผัส แต่ถึงจะพยายามอย่างไร แม้ผู้เก่งกาจที่สุดบางครั้งยังพ่ายแพ้ตกลงมาเสพสุขทางประสาทสัมผัสวัตถุอันเนื่องมาจากจิตใจที่หวั่นไหว แม้แต่ วิชวามิทระ ผู้เป็นทั้งนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่และโยคีที่สมบูรณ์ได้ถูกนาง เมนะคา ยั่วยวนให้ไปเสพสุขทางเพศ ถึงแม้ว่าโยคีพยายามจะควบคุมประสาทสัมผัสด้วยการบำเพ็ญเพียรอย่างหนักและฝึกโยคะด้วยวิธีการต่าง ๆ แน่นอนว่ามีตัวอย่างคล้ายคลึงกันนี้อีกมากในประวัติศาสตร์โลก ฉะนั้น จึงเป็นการยากมากที่จะควบคุมจิตใจและประสาทสัมผัสโดยไม่มีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ หากไม่ใช้จิตใจทำสมาธิอยู่ที่คริชณะเราจะไม่สามารถหยุดกิจกรรมทางวัตถุได้ ชรี ยามุนาชารยะ นักบุญและสาวกผู้ยิ่งใหญ่ได้ให้ตัวอย่างเชิงปฏิบัติดังนี้
ยัด-อวะดิ มะมะ เชทะฮ คริชณะ-พะดาระวินเดฺ
นะวะ-นะวะ-ระสะ-ดฺามะนิ อุดยะทัม รันทุม อาสีทฺ
ทัด-อวะดิ บะทะ นารี-สังกะเม สมารยะมาเนฺ
บฺะวะทิ มุคฺะ-วิคาระฮ สุชทํุ นิชทีวะนัม ชะฺ
“ตั้งแต่นำจิตใจมาปฏิบัติรับใช้พระบาทรูปดอกบัวขององค์ชรีคริชณะอาตมาได้รับความสุขในอารมณ์ทิพย์ที่สดใหม่อยู่เสมอ เมื่อใดที่เริ่มคิดถึงเรื่องเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงอาตมาจะเมินหน้าหนีทันที และถ่มน้ำลายให้กับความคิดเช่นนี้”
คริชณะจิตสำนึกมีความสวยงามแบบทิพย์จนทำให้ความสุขทางวัตถุหมดรสชาติไปโดยปริยาย เหมือนกับคนที่หิวโหยเมื่อได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารในปริมาณที่เพียงพอจะรู้สึกพึงพอใจ มะฮาราจะ อัมบะรีชะ ทรงได้รับชัยชนะจากโยคีผู้ยิ่งใหญ่ ดุรวาสา มุนิ เพียงเพราะว่าจิตใจของพระองค์ทรงปฏิบัติอยู่ในคริชณะจิตสำนึก (สะ ไว มะนะฮ คริชณะ-พะดาระวินดะโยร วะชามสิ ไวคุณธฺะ- กุณานุวารณะเนฺ)
ทานิ สารวาณิ สัมยัมยะ
ยุคทะ อาสีทะ มัท-พะระฮฺ
วะเช ฮิ ยัสเยนดริยาณิ
ทัสยะ พระกยา พระทิชทิฺทาฺ
ทานิฺ - ประสาทสัมผัสเหล่านี้, สารวาณิฺ - ทั้งหมด, สัมยัมยะฺ - อยู่ภายใต้การควบคุม, ยุค- ทะฮฺ - ใช้, อาสีทะฺ - ควรสถิต, มัทฺ - พะระฮฺ - ในความสัมพันธ์กับข้า(คริชณะ), วะเชฺ - ในการปรามอย่างสมบูรณ์, ฮิฺ - แน่นอน, ยัสยะฺ - ผู้ซึ่ง, อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, ทัสยะฺ - ของเขา, พระกยาฺ - จิตสำนึก, พระทิชทิฺทาฺ - ตั้งมั่น
คำแปลฺ
บุคคลผู้สามารถปรามประสาทสัมผัสของตนเอง รักษาให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ และตั้งมั่นจิตสำนึกอยู่ที่ข้า ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีปัญญามั่นคง
คำอธิบายฺ
แนวคิดสูงสุดแห่งความสมบูรณ์ของโยคะ คือคริชณะจิตสำนึกซึ่งได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนในโศลกนี้ นอกจากเราจะมีคริชณะจิตสำนึกแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมประสาทสัมผัสไว้ได้ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ดุรวาสา มุนิ ผู้ยิ่งใหญ่ มีเรื่องบาดหมางกับ มะฮาราจะ อัมบะรีชะ, ดุรวาสา มุนิ เกิดโมโหโดยที่ควรหลีกเลียงได้เพราะทะนงตนจึงไม่สามารถควบคุมประสาทสัมผัสของตนเองได้ อีกด้านหนึ่งกษัตริย์แม้จะไม่ใช่โยคีหรือเป็นผู้มีฤทธิ์เช่น มุนิฺ แต่ทรงเป็นสาวกขององค์ภควาน ทรงอดทนและนิ่งเฉยต่อความไม่ยุติธรรมของ มุนิฺ จนได้รับชัยชนะ เป็นเพราะกษัตริย์ทรงสามารถควบคุมประสาทสัมผัสของพระองค์ไว้ได้ ได้กล่าวถึงคุณสมบัติที่ดีใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ(9.4.18-20) ดังต่อไปนี้
สะ ไว มะนะฮ คริชณะ-พะดาระวินดะโยร
วะชามสิ ไวคุณธฺะ-กุณานุวารณะเนฺ
คะโร ฮะเรร มันดิระ-มารจะนาดิชุ
ชรุทิม ชะคาราชยุทะ-สัท-คะโทฺดะเยฺ
มุคุนดะ-ลิงกาละยะ-ดารชะเน ดริโช
ทัด-บฺริทยะ-กาทระ-สพารเช ´นกะ-สังกะมัมฺ
กฺราณัม ชะ ทัท-พาดะ-สะโรจะ-โสระเบฺ
ชรีมัท-ทุลัสยา ระสะนาม ทัด-อารพิเทฺ
พาโด ฮะเรฮ คเชทระ-พะดานุสารพะเน
ชิโร ฮริชีเคชะ-พะดาบิฺวันดะเนฺ
คามัม ชะ ดาสเย นะ ทุ คามะ-คามยะยา
ยะโทฺททะมะ-ชโลคะ-จะนาชระยา ระทิฮฺ
“กษัตริย์ อัมบะรีชะ ทรงตั้งมั่นจิตใจของพระองค์อยู่ที่พระบาทรูปดอกบัวขององค์ชรีคริชณะ ทรงใช้พระราชดำรัสอธิบายถึงอาณาจักรขององค์ภควาน ทรงใช้พระหัตถ์ทำความสะอาดวัดขององค์ภควาน ใช้พระกรรณสดับฟังลีลาขององค์ภควาน ใช้พระเนตรดูรูปลักษณ์ขององค์ภควาน ใช้พระวรกายสัมผัสร่างของสาวก ใช้พระนาสิกดมกลิ่นดอกไม้ที่ถวายให้พระบาทรูปดอกบัวขององค์ภควาน ใช้พระชิวหาลิ้มรสใบ ทุละสีฺที่ถวายให้องค์ภควาน ใช้พระบาทเดินทางไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีวัดขององค์ภควานอยู่ ใช้พระเศียรถวายความเคารพแด่องค์ภควาน และทรงใช้พระราชประสงค์เพื่อให้พระราชประสงค์ขององค์ภควานสมปรารถนา ฯลฯ คุณสมบัติทั้งหมดนี้ทรงทำให้กษัตริย์อัมบะรีชะ เหมาะสมที่จะเป็นสาวก มัท-พะระฺ ขององค์ภควาน”
คำว่า มัท-พะระฺ มีความสำคัญมาก ณ ที่นี้ เราจะมาเป็น มัท-พะระฺ ได้อย่างไรได้อธิบายไว้ในชีวิตของ มะฮาราจะ อัมบะรีชะ, ชรีละ บะละเดวะ วิทยาบํูชะณะนักวิชาการและอาชรยะผู้ยิ่งใหญ่ในสายของ มัท-พะระฺ กล่าวว่า มัด-บัคธิ-พระบฺา เวนะ สารเวนดริยะ-วิจะยะ-พูรวิคา สวาทมะ-ดริชทิฮ สุละเบฺทิ บฺาวะฮฺ “ประสาทสัมผัสสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ด้วยพลังแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้คริชณะเท่านั้น” บางครั้งได้ให้ไฟไว้เป็นตัวอย่างเช่นกันว่า “เสมือนดั่งเปลวไฟเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้อง พระวิชณุผู้ทรงสถิตในหัวใจของโยคี ทรงเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมด” โยกะ-สูทระฺ ได้อธิบายการทำสมาธิที่พระวิชณุเช่นกันว่ามิใช่เป็นการทำสมาธิอยู่กับสิ่งที่ว่างเปล่า ผู้ที่สมมุติว่าเป็นโยคีทำสมาธิอยู่กับบางสิ่งที่ไม่ใช่พระวิชณุจะเสียเวลาของตนไปโดยเปล่าประโยชน์ในการค้นหาสิ่งที่เป็นภาพหลอน เราต้องมี คริชณะจิตสำนึกด้วยการอุทิศตนให้แด่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า นี่คือจุดมุ่งหมายของโยคะที่แท้จริง
ดฺยายะโท วิชะยาน พุมสะฮ
สังกัส เทชูพะจายะเทฺ
สังกาท สันจายะเท คามะฮ
คามาท โครโดฺ ‘บิฺจายะเทฺ
ดฺยายะทะฮฺ - ขณะที่จิตจดจ่อ, วิชะยานฺ - อายตนะภายนอก, พุมสะฮฺ - ของบุคคล, สังกะฮฺ-ความยึดติด, เทชฺุ - ในอายตนะภายนอก, อุพะจายะเทฺ - พัฒนา, สังกาทฺ - จากการยึดติด, สันจายะเทฺ - พัฒนา, คามะฮฺ - ความต้องการ, คามาทฺ - จากความต้องการ, โครดฺะฮฺ - ความโกรธ, อบิจายะเทฺ - ปรากฏออกมา
คำแปลฺ
ขณะที่จิตจดจ่ออยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ผู้นั้นจะเกิดความยึดติดต่อสิ่งเหล่านี้ จากการยึดติดราคะเริ่มก่อตัว และจากราคะความโกรธก็ตามมา
คำอธิบายฺ
ผู้ที่ไม่มีคริชณะจิตสำนึกจะต้องตกอยู่ภายใต้ความต้องการทางวัตถุ ขณะที่จิตจดจ่ออยู่ที่รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ประสาทสัมผัสจำเป็นต้องปฏิบัติงาน ถ้าหากว่าประสาทสัมผัสมิได้ปฏิบัติงานรับใช้องค์ภควานด้วยความรักทิพย์ ประสาทสัมผัสจะแสวงหางานรับใช้ลัทธิวัตถุนิยมอย่างแน่นอน ในโลกวัตถุทุก ๆ คนรวมทั้งพระศิวะและพระพรหม โดยไม่ต้องกล่าวถึงเทวดาองค์อื่น ๆ บนสวรรค์ ทุก ๆ ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะออกจากปัญหาทางโลกวัตถุนี้คือการมาปฏิบัติคริชณะจิตสำนึก พระศิวะทรงเข้าฌานอย่างลึกซึ้งแต่เมื่อพระนางพารวะทีมายั่วยวนพระองค์เพื่อความสุขทางประสาทสัมผัส พระศิวะทรงคล้อยตามผลก็คือคารทิเคยะได้กำเนิดออกมา เมื่อ ฮะริดาสะ ทฺาคุระ สาวกหนุ่มขององค์ภควานถูกยั่วยวนในลักษณะเดียวกันโดยอวตารของ มายา-เทวีฺ แต่ฮะริดาสะสามารถผ่านการทดสอบไปได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าท่านได้อุทิศตนเสียสละแด่องค์ชรีคริชณะด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดังที่ได้กล่าวไว้ในโศลกของ ชรี ยามุนาชารยะ สาวกขององค์ภควานผู้มีความจริงใจสามารถหลีกเลี่ยงความสุขทางประสาทสัมผัสทั้งหมดได้ เนื่องจากได้รับรสความสุขทิพย์ที่สูงกว่าในความสัมพันธิ์กับองค์ภควาน นี่คือเคล็ดลับแห่งความสำเร็จฉะนั้น ผู้ที่ไม่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกไม่ว่าจะมีพลังอำนาจมากมายเพียงใดในการควบคุมประสาทสัมผัสด้วยการเก็บกดอย่างผิดธรรมชาติ ในที่สุดจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอนเพราะแม้แต่เสี้ยวแห่งความคิดเพื่อความสุขทางประสาทสัมผัส จะทำให้เขาหวั่นไหวไปกับการสนองความต้องการนั้น
โครดฺาด บฺะวะทิ สัมโมฮะฮ
สัมโมฮาท สมริทิ-วิบฺระมะฮฺ
สมริทิ-บฺรัมชาด บุดดฺิ-นาโช
บุดดิฺ-นาชาท พระณัชยะทิฺ
โครดฺาทฺ - จากความโกรธ, บฺะวะทิฺ - เกิดขึ้น, สัมโมฮะฮฺ - ความหลงที่สมบูรณ์, สัมโมฮาทฺ - จากความหลง, สมริทิฺ - ของความจำ, วิบฺระมะฮฺ - ความสับสน, สมริทิ-บฺรัมชาทฺ - หลังจากความจำสับสน, บุดดิฺ-นาชะฮฺ - สูญเสียปัญญา, บุดดิฺ-นาชาทฺ - และจากการสูญเสียปัญญา, พระณัชยะทิฺ - เขาตกต่ำลง
คำแปลฺ
จากความโกรธความหลงงมงายเกิดขึ้น จากความหลงงมงายทำให้ความจำเกิดสับสน เมื่อความจำสับสนปัญญาก็สูญเสียไป และเมื่อปัญญาได้สูญเสียไปแล้วเขาจะตกต่ำลงมาในสระวัตถุอีกครั้งหนึ่ง
คำอธิบายฺ
ชรีละ รูพะ โกสวามี ให้คำแนะนำเราดังนี้
พราพันชิคะทะยา บุดดฺยา
ฮะริ-สัมบันดิฺ-วัสทุนะฮฺ
มุมุคชุบิฺฮ พาริทยาโก
ไวรากยัม พัฺลกุ คัทฺยะเทฺ
(Bhakti-rasāmṛta-sindhuฺ 1.2.258)
ด้วยการพัฒนาคริชณะจิตสำนึกเราทราบว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามาถนำมาใช้สอยเพื่อประโยชน์ในการรับใช้องค์ภควานได้ ผู้ที่ไม่มีความรู้ในคริชณะจิตสำนึกพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งของวัตถุอย่างผิดธรรมชาติ ผลก็คือแม้จะต้องการเสรีภาพจากพันธนาการทางวัตถุเพียงใด ก็จะไม่สามารถบรรลุถึงระดับความสมบูรณ์แห่งการเสียสละ สิ่งที่เรียกว่าการเสียสละของพวกเขาเรียกว่า พัลกฺุ หรือสำคัญน้อย อีกด้านหนึ่ง บุคคลในคริชณะจิตสำนึกทราบว่าควรใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในการรับใช้องค์ภควานได้อย่างไร ฉะนั้นท่านไม่มาเป็นผู้พ่ายแพ้แก่จิตสำนึกทางวัตถุ ดังตัวอย่างของผู้ที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์และเข้าใจว่าองค์ภควานหรือสัจธรรมทรงไม่มีรูปลักษณ์จึงไม่สามารถรับประทานอาหารได้ขณะที่ผู้ไม่เชื่อในรูปลักษณ์พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดี ๆ สาวกทราบว่าองค์ชรีคริชณะทรงเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญสูงสุด พระองค์ทรงเสวยทุกสิ่งทุกอย่างที่เราถวายให้พระองค์ด้วยการอุทิศตนเสียสละ ฉะนั้น หลังจากการถวายเครื่องเสวยอันประณีตแด่องค์ภควานแล้ว สาวกจะรับประทานส่วนที่เหลือซึ่งเรียกว่า พระ- สาดัมฺ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลายมาเป็นทิพย์ และไม่มีอันตรายที่จะทำให้ตกลงต่ำสาวกรับประทาน พระสาดัมฺ ในคริชณะจิตสำนึก ขณะที่ผู้ไม่ใช่สาวกปฏิเสธว่าเป็นวัตถุฉะนั้น ผู้ที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์ไม่สามารถมีความสุขในชีวิตอันเนื่องมาจากการเสียสละที่ผิดธรรมชาติ และด้วยเหตุนี้ความหวั่นไหวทางจิตใจเพียงเล็กน้อยจะดึงเขาให้ตกต่ำลงมาในสระแห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุอีกครั้ง ได้กล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณนี้ถึงแม้จะเจริญขึ้นมาถึงจุดแห่งความหลุดพ้น แต่จะสามารถตกลงต่ำได้อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากไม่มีการอุทิศตนเสียสละรับใช้มาสนับสนุน
รากะ-ดเวชะ-วิมุคไทส ทุ
วิชะยาน อินดริไยช ชะรันฺ
อาทมะ-วัชไยร วิเดฺยาทมา
พระสาดัม อดิกัชชะทิฺ
รากะฺ - ความยึดติด, ดเวชะฺ - และความรังเกียจ, วิมุคไทฮฺ - โดยผู้มีอิสระจาก, ทฺุ - แต่, วิชะยานฺ - อายตนะภายนอก, อินดริไยฮฺ - ด้วยประสาทสัมผัส, ชะรันฺ - กระทำอยู่, อาทมะฺ - วัชไยฮฺ - ภายใต้การควบคุมของตน, วิเดฺยะ-อาทมาฺ - ผู้ปฏิบัติตามกฎแห่งอิสรภาพ, พระสาดัมฺ - พระเมตตาธิคุณขององค์ภควาน, อดิกัชชฺะทิฺ - ได้รับ
คำแปลฺ
แต่ผู้ที่มีอิสรภาพจากการยึดติดและความรังเกียจจะสามารถควบคุมประสาทสัมผัสของตนเองได้ และด้วยการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์แห่งอิสรภาพ สามารถได้รับพระเมตตาโดยสมบูรณ์จากองค์ภควาน
คำอธิบายฺ
ได้อธิบายแล้วว่าภายนอกเราอาจควบคุมประสาทสัมผัสด้วยวิธีที่ฝืนธรรมชาตินอกจากประสาทสัมผัสจะได้มาปฏิบัติการรับใช้ทิพย์ต่อองค์ภควาน มิฉะนั้นแล้ว จะมีโอกาสตกต่ำลงได้ทุกเมื่อ อาจดูเหมือนว่าผู้มีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์อยู่ในระดับประสาทสัมผัส แต่เนื่องจากมีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์จึงไม่ยึดติดกับกิจกรรมทางประสาทสัมผัส ผู้มีคริชณะจิตสำนึกคำนึงเพียงแต่ให้คริชณะทรงพอพระทัยเท่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ฉะนั้น ท่านจึงอยู่เหนือความยึดติดและความรังเกียจทั้งปวง หากคริชณะทรงปรารถนาสาวกสามารถทำอะไรก็ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ชอบทำ และถ้าหากคริชณะไม่ทรงปรารถนาท่านจะไม่ทำ แม้โดยปกติธรรมดาชอบทำเพื่อความพึงพอใจของตนเอง ดังนั้น การทำหรือไม่ทำจะอยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน แต่จะปฏิบัติภายใต้การแนะนำของคริชณะเท่านั้น จิตสำนึกเช่นนี้คือพระเมตตาธิคุณอันหาที่สุดมิได้จากองค์ภควาน ซึ่งสาวกสามารถบรรลุได้แม้จะมีความยึดติดอยู่ในระดับประสาทสัมผัส
พระสาเด สารวะ-ดุฮคฺานาม
ฮานิร อัสโยพะจายะเทฺ
พระสันนะ-เชทะโส ฮิ อาชุ
บุดดิฺฮ พารยะวะทิชทฺะเทฺ
พระสาเดฺ - จากการได้รับพระเมตตาธิคุณอันล้นพ้นขององค์ภควาน, สารวะฺ - ทั้งหมด, ดุฮคฺานามฺ - ความทุกข์ทางวัตถุ, ฮานิฮฺ - การทำลาย, อัสยะฺ - ของเขา, อุพะจายะเทฺ - เกิดขึ้น, พระสันนะฺ - เชทสะฮฺ - ของจิตใจที่มีความสุข, ฮิฺ - แน่นอน, อาชฺุ - เร็ว ๆ นี้, บุดดิฺฮฺ - ปัญญา, พะริฺ - เพียงพอ, อวะทิชทฺะเทฺ - มั่นคง
คำแปลฺ
สำหรับผู้ที่มีความพึงพอใจ (ในคริชณะจิตสำนึก) ความทุกข์สามคำรบแห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุจะไม่มีอีกต่อไป ในจิตสำนึกที่มีความพึงพอใจเช่นนี้ ในไม่ช้าปัญญาของเขาจะแน่วแน่มั่นคง
นาสทิ บุดดิฺร อยุคทัสยะ
นะ ชายุคทัสยะ บฺาวะนาฺ
นะ ชาบฺาวะยะทะฮ ชานทิร
อชานทัสยะ คุทะฮ สุคัฺมฺ
นะ อัสทิฺ - ไม่สามารถมี, บุดดิฺฮฺ - ปัญญาทิพย์, อยุคทัสยะฺ - ของผู้ที่ไม่สัมพันธ์ (กับคริชณะจิตสำนึก), นะฺ - ไม่, ชะฺ - และ, อยุคทัสยะฺ - ของผู้ไม่มีคริชณะจิตสำนึก, บฺาวะนาฺ - จิตตั้งมั่น (ในความสุข), นะฺ - ไม่, ชะฺ - และ, อบฺาวะยะทะฮฺ - ของผู้ที่ไม่ตั้งมั่น, ชานทิฮฺ - ความสงบ, อชานทัสยะฺ - ของความไม่สงบ, คุทะฮฺ - ที่ไหน, สุคัมฺ - ความสุข
คำแปลฺ
ผู้ที่ไม่เชื่อมสัมพันธ์กับองค์ภควาน (ในคริชณะจิตสำนึก) ไม่มีทั้งปัญญาทิพย์หรือจิตใจที่มั่นคง ขาดสองสิ่งนี้แล้วจะหาความสงบไม่ได้ แล้วจะมีความสุขได้อย่างไรโดยปราศจากความสงบ?
คำอธิบายฺ
หากเราไม่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกจะไม่มีความสงบ บทที่ห้า (5.29) ได้ยืนยันว่าเมื่อเราเข้าใจว่าคริชณะทรงเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญเพียงพระองค์เดียวจากผลดีแห่งพิธีบูชาและการบำเพ็ญเพียรทั้งหมด พระองค์ทรงเป็นเจ้าของสิ่งที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลทั้งหมด และพระองค์ทรงเป็นมิตรแท้ของมวลชีวิต ด้วยความเข้าใจเช่นนี้เท่านั้นเราจึงสามารถมีความสงบที่แท้จริงได้ ดังนั้น หากไม่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกเราจะไม่มีจุดมุ่งหมายสูงสุดภายในจิตใจ ความวุ่นวายใจเกิดจากความต้องการจุดมุ่งหมายสูงสุดและเมื่อมั่นใจว่าคริชณะทรงเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญ ทรงเป็นเจ้าของและทรงเป็นเพื่อนของทุกชีวิตและทุกสิ่ง ด้วยจิตใจอันแน่วแน่มั่นคงเช่นนี้จะนำมาซึ่งความสงบ ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติตนโดยไม่มีความสัมพันธ์กับคริชณะแน่นอนว่าจะต้องมีความทุกข์ ไร้ความสงบ ไม่ว่าเขาจะพยายามแสดงออกมาว่าชีวิตมีความสงบและมีความเจริญในวิถีทิพย์มากเพียงใด คริชณะจิตสำนึกเป็นสภาวะแห่งความสงบร่มเย็นที่ปรากฏอยู่ในตัวเอง ซึ่งสามารถบรรลุได้ด้วยการมาเชื่อมสัมพันธ์กับคริชณะเท่านั้น
อินดริยาณาม ฮิ ชะระทาม
ยัน มะโน ´นุวิดีฺยะเทฺ
ทัด อัสยะ ฮะระทิ พระกยาม
วายุร นาวัม อิวามบฺะสิฺ
อินดริยาณามฺ - ของประสาทสัมผัส, ฮิฺ - แน่นอน, ชะระทามฺ - ขณะที่ท่องไป, ยัทฺ - กับสิ่งที่, มะนะฮฺ - จิตใจ, อนุวิดียะเทฺ - ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ, ทัทฺ - นั้น, อัสยะฺ - ของเขา, ฮะระทิฺ - นำไป, พระกยามฺ - ปัญญา, วายุฮฺ - ลม, นาวัมฺ - เรือ, อิวะฺ - เหมือน, อัมบฺะสิฺ - บนน้ำ
คำแปลฺ
เสมือนดั่งเรือในกระแสน้ำที่ถูกลมพายุพัดพาไป แม้ประสาทสัมผัสเพียงส่วนเดียวที่เตลิดเปิดเปิงไปตามกระแสแห่งจิตใจ สามารถนำพาปัญญาของผู้นั้นให้ล่องลอยไปได้
คำอธิบายฺ
หากประสาทสัมผัสทั้งหมดมิได้ปฏิบัติรับใช้องค์ภควาน แม้ประสาทสัมผัสเพียงส่วนเดียวที่ปฏิบัติเพื่อสนองประสาทสัมผัสก็สามารถหันเหสาวกจากวิถีทางเพื่อความเจริญในวิถีทิพย์ได้ ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในชีวิตของ มะฮาราจะ อัมบะรีชะ ประสาทสัมผัสทั้งหมดจะต้องใช้ปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึกเท่านั้น เพราะนี่คือเทคนิคที่ถูกต้องในการควบคุมจิตใจ
ทัสมาด ยัสยะ มะฮา-บาโฮ
นิกริฮีทานิ สารวะชะฮฺ
อินดริยาณีนดริยารเทฺบฺยัส
ทัสยะ พระกยา พระทิชทิทาฺ
ทัสมาทฺ - ดังนั้น, ยัสยะฺ - ผู้ซึ่ง, มะฮา-บาโฮฺ - โอ้ นักรบผู้ยอดเยี่ยม, นิกริฮีทานิฺ - เหนี่ยวรั้งลงมา, สารวะชะฺ - รอบ ๆ ทั้งหมด, อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, อินดริยะ-อารเทฺบยะฮฺ - จากอายตนะภายนอก, ทัสยะฺ - ของเขา, พระกยาฺ - ปัญญา, พระทิชทิทาฺ - ตั้งมั่น
คำแปลฺ
ฉะนั้น โอ้ขุนศึกผู้ยอดเยี่ยม ผู้ที่สามารถปรามประสาทสัมผัสจากอายตนะภายนอกได้ จึงเป็นผู้มีปัญญาที่มั่นคงอย่างแน่นอน
คำอธิบายฺ
เราสามารถปรามพลังแห่งความต้องการสนองประสาทสัมผัสด้วยวิธีการในคริชณะจิตสำนึก หรือการใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเพื่อรับใช้องค์ภควานด้วยความรักเท่านั้น เปรียบเสมือนศัตรูถูกกักบริเวณไว้ด้วยอำนาจที่สูงกว่า ประสาทสัมผัสสามารถถูกปรามไว้ได้เช่นเดียวกัน ไม่ใช่จากความพยายามใด ๆ ของมนุษย์ แต่จากการให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดปฏิบัติรับใช้องค์ภควานเท่านั้น ผู้ที่เข้าใจว่าจากการปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกเพียงอย่างเดียว ปัญญาจึงจะมีความมั่นคงอย่างแท้จริง และเราสมควรฝึกฝนศิลปะนี้ภายใต้การแนะนำของพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้ จึงจะได้ชื่อว่า สาดฺะคะฺ หรือผู้ที่เหมาะสมเพื่อความหลุดพ้น
ยา นิชา สารวะ-บํูทานาม
ทัสยาม จาการทิ สัมยะมีฺ
ยัสยาม จากระทิ บํูทานิ
สา นิชา พัชยะโท มุเนฮฺ
ยาฺ - อะไร, นิชาฺ - เป็นเวลากลางคืน, สารวะฺ - ทั้งหมด, บํูทานามฺ - ของสิ่งมีชีวิต, ทัสยามฺ - ในนั้น, จาการทิฺ - จะตื่น, สัมยะมีฺ - การควบคุมตนเอง, ยัสยามฺ - ในที่ซึ่ง, จากระทิฺ - ตื่นอยู่, บํูทานิฺ - สิ่งมีชีวิตทั้งหมด, สาฺ - นั้นเป็น, นิชาฺ - กลางคืน, พัสยะทะฮฺ - สำหรับผู้ใคร่ครวญ, มุเนฮฺ -นักปราชญ์
คำแปลฺ
เวลากลางคืนของมวลชีวิตเป็นเวลาตื่นของผู้ควบคุมตนเองได้ และเวลาตื่นของมวลชีวิตจะเป็นเวลากลางคืนของนักปราชญ์ผู้พิจารณาใคร่ครวญตนเอง
คำอธิบายฺ
มีผู้มีปัญญาอยู่สองประเภท ประเภทที่หนึ่งมีปัญญาในกิจกรรมทางวัตถุเพื่อสนองประสาทสัมผัส และอีกประเภทหนึ่งเป็นผู้พิจารณาใคร่ครวญตนเองและเป็นผู้ตื่นในการฝึกฝนเพื่อความรู้แจ้งแห่งตน เวลาปฏิบัติธรรมของนักปราชญ์ผู้พิจารณาใคร่ครวญตนเองหรือผู้มีความสุขุมรอบคอบ จะเป็นเวลากลางคืนของผู้ที่ซึมซาบอยู่ในวัตถุ นักวัตถุนิยมจะคงนอนในเวลากลางคืนเช่นนี้เนื่องมาจากอวิชชาในความรู้แจ้งแห่งตน นักปราชญ์ผู้พิจารณาใคร่ครวญตนเองจะตื่น “ในเวลากลางคืน” ของนักวัตถุนิยมนักปราชญ์มีความรู้สึกปลื้มปีติสุขทิพย์ในการพัฒนาวัฒนธรรมแห่งดวงวิญญาณทีละน้อย ขณะที่นักวัตถุนิยมนอนหลับต่อความรู้แจ้งแห่งตน ฝันถึงความสุขทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ นานา มีความรู้สึกสุขบ้างและทุกข์บ้างในขณะที่หลับอยู่ ผู้ที่พิจารณาใคร่ครวญตนเองจะไม่ใยดีกับความสุขหรือความทุกข์ทางวัตถุ ท่านมุ่งหน้าต่อไปกับกิจกรรมเพื่อความรู้แจ้งแห่งตนโดยไม่หวั่นไหวต่อผลกรรมทางวัตถุ
อาพูรยะมาณัม อชะละ-พระทิชทัฺม
สะมุดรัม อาพะฮ พระวิชันทิ ยัดวัทฺ
ทัดวัท คามา ยัม พระวิชันทิ สารเว
สะ ชานทิม อาพโนทิ นะ คามะ-คามีฺ
อาพูรยะมาณัมฺ - เต็มเปี่ยมอยู่เสมอ, อชะละ-พริทิชทัมฺ - สถิตอย่างมั่นคง, สะมุดรัมฺ - มหาสมุทร, อาพะฮฺ - น้ำ, พระวิชันทิฺ - เข้า, ยัดวัทฺ - ดังเช่น, ทัดวัทฺ - ดังนั้น, คามาฮฺ - ความต้องการ, ยัมฺ - แด่ผู้ซึ่ง, พระวิชันทิฺ - เข้า, สารเวฺ - ทั้งหมด, สะฮฺ - ผู้นั้น, ชานทิมฺ - ความสงบ, อาพโนทิฺ - บรรลุ, นะฺ - ไม่, คามะ-คามีฺ - ผู้ปรารถนาสนองความต้องการ
คำแปลฺ
ผู้ที่ไม่หวั่นไหวต่อความต้องการที่ไหลเชี่ยวอย่างไม่หยุดยั้ง เสมือนดังน้ำในแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร ซึ่งเต็มเปี่ยมแต่นิ่งสงบอยู่เสมอ จะเป็นผู้เดียวที่สามารถได้รับความสงบ มิใช่บุคคลผู้พยายามสนองความต้องการเหล่านี้
คำอธิบายฺ
แม้มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลจะเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีน้ำไหลเข้ามาอย่างมากมาย แต่มหาสมุทรก็ยังคงเหมือนเดิม มีความมั่นคงไม่หวั่นไหว และน้ำไม่เคยข้ามพ้นขอบเขตของมหาสมุทร นี่คือความจริงเช่นเดียวกันกับผู้ที่มีความมั่นคงในคริชณะจิตสำนึก ตราบใดที่เรายังมีร่างวัตถุอยู่ ความต้องการทางร่างกายเพื่อสนองประสาทสัมผัสจะดำเนินต่อไป อย่างไรก็ดี สาวกไม่หวั่นไหวไปกับความต้องการเหล่านี้ เนื่องจากความเต็มเปี่ยมในตนเอง บุคคลในคริชณะจิตสำนึกไม่ต้องการสิ่งใด เพราะว่าองค์ภควานทรงประทานสิ่งจำเป็นทางวัตถุทั้งหมดให้อยู่แล้วดังนั้น ตัวเขาเปรียบเสมือนกับมหาสมุทรที่มีความเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวเองเสมอ ความต้องการอาจไหลเข้ามาเสมือนดังน้ำในแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร แต่เขายังมั่นคงในกิจกรรมของตนเองเสมอ ไม่เคยหวั่นไหวแม้แต่เพียงนิดเดียวจากความต้องการเพื่อสนองประสาทสัมผัส นี่คือข้อพิสูจน์ของบุคคลในคริชณะจิตสำนึก ผู้ที่สูญเสียความต้องการทั้งหมดเพื่อสนองประสาทสัมผัสวัตถุ ถึงแม้ความต้องการจะยังปรากฏอยู่เพราะว่าเขายังคงรักษาความพึงพอใจในการรับใช้องค์ภควานด้วยความรักทิพย์ ยังคงสามารถรักษาความมั่นคงเหมือนดั่งมหาสมุทร ดังนั้น จึงได้รับความสุขจากความสงบอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ดี ผู้อื่นที่ต้องการสนองความต้องการของตน แม้มาถึงจุดแห่งความหลุดพ้นก็จะไม่ได้รับความสงบ จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความสำเร็จทางวัตถุ ผู้ทำงานเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุ ผู้ต้องการความหลุดพ้น รวมทั้งโยคีที่ต้องการอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ทั้งหมดไม่ได้รับความสุขเพราะความต้องการจะไม่ได้รับการสนองตอบแต่บุคคลในคริชณะจิตสำนึกมีความสุขในการรับใช้องค์ภควาน และไม่มีความต้องการใด ๆ ที่จะต้องตอบสนอง อันที่จริง เขาไม่ต้องการแม้กระทั่งความหลุดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่าพันธนาการทางวัตถุ สาวกของชรีคริชณะไม่มีความต้องการทางวัตถุ ดังนั้น จึงเป็นผู้ที่มีความสงบอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์
วิฮายะ คามาน ยะฮ สารวาน
พุมามช ชะระทิ นิฮสพริฮะฮฺ
นิรมะโม นิระฮังคาระฮ
สะ ชานทิม อดิกัชชฺะทิฺ
วิฮายะฺ - ยกเลิก, คามานฺ - ความต้องการทางวัตถุเพื่อสนองประสาทสัมผัส, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, สารวานฺ - ทั้งหมด, พุมานฺ - บุคคล, ชะระทิฺ - มีชีวิต, นิฮสพริฮะฮฺ - ไม่มีความต้องการ, นิรมะมะฮฺ - ไม่มีความคิดว่าเป็นเจ้าของ, นิระฮังคาระฮฺ - ไม่มีอหังการ, สะฮฺ - เขา, ชานทิมฺ - ความสงบที่สมบูรณ์, อดิกัชชฺะทิฺ - ได้รับ
คำแปลฺ
บุคคลผู้สลัดความต้องการทั้งหมดในการสนองประสาทสัมผัส มีชีวิตอยู่โดยปราศจากความต้องการ สลัดความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ ปราศจากอหังการ จะเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถได้รับความสงบอย่างแท้จริง
คำอธิบายฺ
ไม่มีความต้องการหมายความว่าไม่ต้องการสิ่งใดเพื่อสนองประสาทสัมผัสอีกนัยหนึ่งคือการมีคริชณะจิตสำนึกคือการไม่มีความต้องการอย่างแท้จริง การเข้าใจสถานภาพอันแท้จริงของเราว่าเป็นผู้รับใช้นิรันดรของคริชณะโดยไม่อ้างอย่างผิด ๆ ว่าร่างกายวัตถุนี้เป็นตนเอง และไม่อ้างอย่างผิด ๆ ว่าตนเป็นเจ้าของสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลกนี่คือระดับสมบูรณ์ของคริชณะจิตสำนึกผู้ที่สถิตในระดับอันสมบูรณ์นี้ทราบว่าคริชณะทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงต้องนำมาใช้เพื่อให้คริชณะทรงพอพระทัย อารจุนะไม่ต้องการต่อสู้ เช่นนี้ เป็นการกระทำเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตนเอง แต่เมื่อมีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์อารจุนะจะต่อสู้เพราะคริชณะทรงปราถนาให้สู้ เพื่อสนองความต้องการของตนเองอารจุนะไม่ต้องการสู้ แต่เพื่อคริชณะอารจุนะองค์เดียวกันนี้จะต่อสู้อย่างสุดความสามารถ การไม่มีความต้องการที่แท้จริงคือต้องการเพียงให้คริชณะทรงพึงพอพระทัย มิใช่พยายามละทิ้งความต้องการแบบผิดธรรมชาติ เป็นไปไม่ได้ที่สิ่งมีชีวิตจะไม่มีความต้องการหรือไม่มีความรู้สึก แต่เราต้องเปลี่ยนคุณภาพของความต้องการ บุคคลผู้ไม่มีความต้องการทางวัตถุ ทราบดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของคริชณะ (อีชาวาสยัม อิดัม สารวัมฺ) ดังนั้น จึงไม่อ้างอย่างผิด ๆ ว่าเป็นเจ้าของสิ่งใด ความรู้ทิพย์นี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความรู้แจ้งตนเอง เช่น รู้ดีว่าในบุคลิกภาพทิพย์ทุก ๆ ชีวิตเป็นละอองอณูนิรันดรของคริชณะ ฉะนั้น สถานภาพนิรันดรของสิ่งมีชีวิตจะไม่มีวันอยู่ในระดับเดียวกันกับคริชณะ หรือจะยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์ความเข้าใจคริชณะจิตสำนึกเช่นนี้เป็นหลักพื้นฐานแห่งความสงบอย่างแท้จริง
เอชา บราฮมี สทิทิฮ พารทฺะ
ไนนาม พราพยะ วิมุฮยะทิฺ
สทิทวาสยาม อันทะ-คาเล ´พิ
บระฮมะ-นิรวาณัม ริชชฺะทิฺ
เอชาฺ - นี้, บราฮมีฺ - ทิพย์, สทิทิฮฺ - สถานการณ์, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, นะฺ - ไม่เคย, เอนามฺ - นี้, พราพยะฺ - บรรลุถึง, วิมุฮยะทิฺ - ผู้ที่สับสน, สทิทวาฺ - สถิต, อัสยามฺ - ในนี้, อันทะ-คาเลฺ - ในบั้นปลายของชีวิต, อพิฺ - เช่นกัน, บระฮมะ-นิรวาณัมฺ - อาณาจักรทิพย์ขององค์ภควาน, ริชชฺะทิฺ - ผู้ได้รับ
คำแปลฺ
นี่คือวิถีแห่งชีวิตทิพย์ที่มีศีลธรรม หลังจากบรรลุแล้วผู้นั้นจะไม่สับสน หากเราสถิตเช่นนี้แม้ในชั่วโมงแห่งความตาย เราสามารถบรรลุถึงอาณาจักรแห่งองค์ภควาน
คำอธิบายฺ
เราสามารถบรรลุถึงคริชณะจิตสำนึกหรือชีวิตทิพย์นี้ได้ในทันทีภายในหนึ่งวินาที หรือเราอาจไม่บรรลุถึงระดับชีวิตเช่นนี้ได้เลยแม้เป็นเวลาล้าน ๆ ชาติ มันเป็นเรื่องของความเข้าใจและยอมรับความจริงเท่านั้น คัทวางกะ มะฮาราจะ ทรงบรรลุถึงระดับชีวิตเช่นนี้เพียงไม่กี่นาทีก่อนจะสวรรคตด้วยการศิโรราบต่อคริชณะ นิรวาณะฺหมายถึงสิ้นสุดการดำเนินชีวิตทางวัตถุ ตามปรัชญา สูนยะวาดิฺ จะมีแต่ความว่างเปล่าหลังจากเสร็จสิ้นชีวิตวัตถุนี้ แต่ ภควัต-คีตาฺ สอนแตกต่างออกไป ชีวิตจริงเริ่มต้นหลังจากชีวิตวัตถุนี้สิ้นสุดลง สำหรับนักวัตถุนิยมหยาบ ๆ เป็นการเพียงพอแล้วที่ได้รู้ว่าเราต้องจบสิ้นวิถีชีวิตทางวัตถุนี้ แต่สำหรับบุคคลผู้เจริญทางจิตวิญญาณจะมีอีกชีวิตหนึ่งหลังจากชีวิตวัตถุนี้ ก่อนจบสิ้นชีวิตนี้หากเราโชคดีพอที่จะพัฒนาคริชณะจิตสำนึก เราจะบรรลุถึงระดับ บระฮมะ-นิรวาณะฺ ทันที ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างอาณาจักรแห่งองค์ภควานและการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควาน เพราะทั้งสองสิ่งอยู่ในระดับที่สมบูรณ์บริบูรณ์ การอุทิศตนรับใช้องค์ภควานด้วยความรักทิพย์คือการบรรลุถึงอาณาจักรทิพย์ในโลกวัตถุมีกิจกรรมเพื่อสนองประสาทสัมผัส ขณะที่ในโลกทิพย์มีกิจกรรมคริชณะจิตสำนึก การบรรลุถึงคริชณะจิตสำนึกแม้ในชีวิตนี้ก็เป็นการบรรลุถึง บระฮมันฺ ทันทีและผู้ที่สถิตในคริชณะจิตสำนึกได้เข้าไปสู่อาณาจักรแห่งองค์ภควานเรียบร้อยแล้วอย่างแน่นอน
บระฮมันฺ เป็นสิ่งตรงข้ามกับวัตถุ ดังนั้น บราฮมี สทิฺทิฺ หมายถึง “ไม่อยู่ในระดับกิจกรรมทางวัตถุ” การอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานได้รับการยอมรับในภควัต- คีตาฺ ว่าเป็นระดับหลุดพ้น (สะ กุณาน สะมะทีท ไยทาน บระฮมะ-บํูยายะ คัลพะเทฺ) ดังนั้น บราฮมี สทิฺทิฺ คือความหลุดพ้นจากพันธนาการทางวัตถุ
ชรีละ บัคธิวิโนดะ ทฺาคุระ สรุปบทที่สองของ ภควัต-คีตาฺ ว่าเป็นบทสรุปทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้ ใน ภควัต-คีตาฺ เป็นเรื่องของ คารมะ-โยกะ, กยานะ-โยกะฺ.และ บัคธิ-โยกะฺ ในบทที่สองได้อธิบาย คารมะ-โยกะฺ และ กยานะ-โยกะฺ อย่างชัดเจนและกล่าวถึง บัคธิ-โยกะฺ เพียงเล็กน้อย ดังนั้น จึงเป็นบทสรุปของหนังสือเล่มนี้
ดังนั้น ได้จบคำอธิบายโดยบัฺคธิเวดันธะ บทที่สองของหนังสือฺ ชรีมัด บฺะกะวัด-กีทา ในหัวข้อเรื่องบทสรุป ภควัต-คีตาฺ