ภควัต-คีตา ฉบับเดิม

บทที่ สิบหก

ธรรมชาติทิพย์และ
ธรรมชาติมาร

โศลก 1-3

ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
อบฺะยัม สัททวะ-สัมชุดดิฺร
กยานะ-โยกะ-วิยะวัสทิฺทิฮฺ

ดานัม ดะมัช ชะ ยะกยัช ชะ
สวาดฺยายัส ทะพะ อารจะวัมฺ
อฮิมสา สัทยัม อโครดัฺส
ทยากะฮ ชานทิร อไพชุนัมฺ

ดะยา บํูเทชุ อโลลุพทวัม
มารดะวัม ฮรีร อชาพะลัมฺ
เทจะฮ คชะมา ดฺริทิฮ โชชัม
อโดรโฮ นาทิ-มานิทาฺ

บฺะวันทิ สัมพะดัม ไดวีม
อบิฺจาทัสยะ บฺาระทะฺ

ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ  -  บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัส, อบฺะยัมฺ  -  ไม่มีความกลัว, สัทท วะ-สัมชุดดิฮฺ  -  ทำให้ความเป็นอยู่ของตนบริสุทธิ์, กยานะฺ  -  ในความรู้, โยกะฺ  -  เชื่อม, วิยะ วะ-สทิฺทิฮฺ  -  สถานการณ์, ดานัมฺ  -  ให้ทาน, ดะมะฮฺ  -  ควบคุมจิตใจ, ชะฺ  -  และ, ยะกยะฮฺ  -  ปฏิบัติพิธีบูชา, ชะฺ  -  และ, สวาดฺยายะฮฺ  -  ศึกษาวรรณกรรมพระเวท, ทะพะฮฺ  -  สมถะ, อารจะวัมฺ  -  เรียบง่าย, อฮิมสาฺ  -  ไม่เบียดเบียน, สัทยัมฺ  -  สัจจะ, อโครดฺะฮฺ  -  ปราศจากความโกรธ, ทยากะฮฺ  -  เสียสละ, ชานทิฮฺ  -  สงบ, อไพชุนัมฺ  -  ไม่ชอบจับผิด, ดะยาฺ  -  เมตตา, บํูเท ชฺุ  -  ต่อสรรพสัตว์, อโลลุพทวัมฺ  -  ปราศจากความโลภ, มารดะวัมฺ  -  สุภาพ, ฮรีฮฺ  -  ถ่อมตัว, อชาพะลัมฺ  -  มั่นใจ, เทจะฮฺ  -  กระปรี้กระเปร่า, คชะมาฺ  -  ให้อภัย, ดฺริทิฮฺ  -  อดทน, โชชัมฺ  -  สะอาด, อโดรฮะฮฺ  -  ปราศจากความอิจฉาริษยา, นะฺ  -  ไม่, อทิ-มานิทาฺ  -  คาดหวังการสรรเสริญ, บฺะวันทิฺ  -  เป็น, สัมพะดัมฺ  -  คุณสมบัติ, ไดวีมฺ  -  ธรรมชาติทิพย์, อบิฺจาทัสยะฺ  -  ของผู้ที่เกิดจาก, บฺาระทะฺ  -  โอ้ โอรสแห่งบฺาระทะ

คำแปลฺ

บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัสว่า  ปราศจากความกลัว  ทำให้ความเป็นอยู่ของตนบริสุทธิ์  พัฒนาความรู้ทิพย์  ให้ทาน  ควบคุมตนเอง  ปฏิบัติพิธีบูชา  ศึกษาคัมภีร์พระเวท  สมถะ  เรียบง่าย  ไม่เบียดเบียน  สัจจะ  ปราศจากความโกรธเสียสละ  สงบ  ไม่ชอบจับผิด  เมตตาต่อมวลชีวิต  ปราศจากความโลภ  สุภาพถ่อมตน  แน่วแน่มั่นคง  กระปรี้กระเปร่า  ให้อภัย  อดทน  สะอาด  ปราศจากความอิจฉาริษยา  และไม่ปรารถนาคำสรรเสริญ  โอ้  โอรสแห่งบฺาระทะ  คุณสมบัติทิพย์เหล่านี้เป็นของบรรดาเทพผู้มีธรรมชาติทิพย์

คำอธิบายฺ

ในตอนต้นของบทที่สิบห้า  อธิบายถึงต้นไทรแห่งโลกวัตถุนี้  รากพิเศษงอกออกมาเปรียบเทียบได้กับกิจกรรมของสิ่งมีชีวิต  บางครั้งเป็นมงคล  บางครั้งไม่เป็นมงคลบทที่เก้าก็เช่นกัน  ได้อธิบายถึงเทพ  เดวะฺ  และมาร  อสุระฺ  บัดนี้ตามพิธีกรรมพระเวทกิจกรรมในระดับความดีพิจารณาว่าเป็นมงคลเพื่อเจริญก้าวหน้าบนหนทางแห่งความหลุดพ้น  กิจกรรมเหล่านี้เรียกว่า  ไดวี  พระคริทิฺ  เป็นทิพย์โดยธรรมชาติ  พวกที่สถิตในธรรมชาติทิพย์เจริญก้าวหน้าบนหนทางแห่งความหลุดพ้น  อีกด้านหนึ่งสำหรับพวกที่ปฏิบัติในระดับตัณหาและอวิชชาจะไม่ได้รับความหลุดพ้น  แต่ต้องอยู่ในโลกวัตถุนี้ในร่างมนุษย์  หรือตกต่ำไปในเผ่าพันธุ์สัตว์  หรืแม้ในรูปชีวิตที่ต่ำกว่าสัตว์  บทที่สิบหกนี้องค์ภควานทรงอธิบายทั้งธรรมชาติทิพย์และคุณสมบัติที่ควบคู่กันไปและธรรมชาติมารพร้อมทั้งคุณสมบัติที่ควบคู่กันไป  และทรงอธิบายถึงประโยชน์และโทษของคุณสมบัติเหล่านี้

คำว่า  อบิฺจาทัสยะฺ  มีความสำคัญมาก  สัมพันธ์กับผู้ที่เกิดมามีคุณสมบัติทิพย์หรือแนวโน้มไปในทางเทพ  การได้บุตรธิดาในบรรยากาศเทพ  เรียกในคัมภีร์พระเวทว่า  การบฺาดฺานะสัมสคาระฺ  หากผู้ปกครองปรารถนาบุตรธิดาในคุณสมบัติเทพ  ควรปฏิบัติตามหลักธรรมสิบประการที่แนะนำไว้เพื่อชีวิตสังคมของมนุษย์  ใน  ภควัต-คีตาฺเราได้ศึกษาแล้วเช่นกันว่า  ชีวิตเพศสัมพันธ์เพื่อได้บุตรธิดาที่ดีคือคริชณะพระองค์เองชีวิตเพศสัมพันธ์ไม่ผิดหากใช้วิธีการในคริชณะจิตสำนึก  พวกที่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกอย่างน้อยไม่ควรมีบุตรธิดาเหมือนกับแมวและสุนัข  แต่ควรมีบุตรธิดาเพื่อให้มีคริชณะจิตสำนึกหลังจากเกิดมาแล้ว  เช่นนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเด็ก  ๆ  ที่เกิดกับบิดาและมารดาที่ซึมซาบอยู่ในคริชณะจิตสำนึก

สถาบันสังคมที่รู้กันในนาม  วารณาชระมะ-ดฺารมะฺ  เป็นสถาบันที่แบ่งชีวิตสังคมออกเป็นสี่ส่วนและสี่อาชีพการงานหรือวรรณะ  ไม่ได้หมายความว่าแบ่งสังคมมนุษย์ตามชาติกำเนิด  การแบ่งเช่นนี้เป็นไปตามคุณสมบัติทางการศึกษา  เพื่อรักษาความสงบและความเจริญรุ่งเรืองในสังคม  คุณสมบัติที่กล่าว  ณ  ที่นี้เป็นคุณสมบัติทิพย์เพื่อทำให้บุคคลเจริญก้าวหน้าในการเข้าใจวิถีทิพย์  จะได้เป็นอิสระจากโลกวัตถุ

ในสถาบัน  วารณาชระมะ,  สันนยาสีฺ  หรือบุคคลในชีวิตสละโลก  พิจารณาว่าเป็นผู้นำหรือเป็นพระอาจารย์ของทุก  ๆ  ระดับชั้นในสังคม  บราฮมะณะฺ  พิจารณาว่าเป็นพระอาจารย์ทิพย์ของระดับในสังคม  เช่น  คชัทริยะ  ไวชยะฺ  และ  ชูดระฺ  แต่  สันนยาสีฺ  ผู้อยู่สูงสุดของสถาบันพิจารณาว่าเป็นพระอาจารย์ทิพย์ของ  บราฮมะณะฺด้วย  เพราะคุณสมบัติแรกของ  สันนยาสีฺ  คือปราศจากความกลัว  สันนยาสีฺ  ต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้อุปถัมภ์หรือไม่รับประกันว่าจะได้รับการอุปถัมภ์  ท่านต้องพึ่งพระเมตตาของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าเท่านั้น  หากคิดว่า  “หลังจากตัดความสัมพันธ์จากสังคมไปแล้วใครจะปกป้องข้า?”  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรรับเอาชีวิตสละโลกมาปฏิบัติเราต้องมีความมั่นใจอย่างแน่วแน่ว่าคริชณะ  หรือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าในรูป  พะระมาทมาฺ  ผู้ประทับอยู่ในหัวใจของทุก  ๆ  คนทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง  และพระองค์ทรงทราบเสมอว่าเราตั้งใจทำอะไรอยู่  ดังนั้น  เราต้องมีความมั่นใจอย่างแน่วแน่ว่าคริชณะในรูปของ  พะระมาทมาฺ  จะดูแลดวงวิญญาณที่ศิโรราบต่อพระองค์  “ข้าจะไม่มีวันอยู่คนเดียว”  เราควรคิดว่า  “ถึงแม้อยู่ในเขตป่าที่มืดมิดที่สุดข้าก็จะมีคริชณะอยู่เคียงข้าง  และพระองค์จะให้การปกป้องคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา”  ความมั่นใจเช่นนี้เรียกว่า  อบฺะยัมฺปราศจากความกลัว  ระดับจิตเช่นนี้จำเป็นสำหรับบุคคลผู้รับเอาชีวิตสละโลกมาปฏิบัติ

จากนั้น  ต้องทำให้ความเป็นอยู่ของตนเองบริสุทธิ์  มีกฎเกณฑ์มากมายที่ต้องปฏิบัติตามในชีวิตสละโลก  สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ  สันนยาสีฺ  คือ  มีข้อห้ามอย่างเคร่งครัดในการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสตรี  ห้ามแม้แต่จะพูดกับสตรีในที่ลับ  องค์เชธันญะทรงเป็น  สันนยาสีฺ  ที่ดีเลิศ  ขณะทรงอยู่ที่  พุรีฺ  เหล่าสาวกสตรีไม่สามารถแม้แต่มาแสดงความเคารพใกล้พระองค์  พวกนางได้รับคำแนะนำให้ไปก้มลงกราบห่าง  ๆ  เช่นนี้  ไม่ได้แสดงว่ารังเกียจชนชั้นสตรี  แต่เป็นข้อตำหนิติเตียนที่กำหนดไว้สำหรับ  สันนยาสีฺ  ไม่ให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสตรี  เราต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของระดับชีวิตโดยเฉพาะของตนเพื่อให้ความเป็นอยู่บริสุทธิ์ขึ้น  สำหรับ  สันนยาสีฺ  ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสตรีและความเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติเพื่อสนองประสาทสัมผัสได้ถูกห้ามไว้อย่างเคร่งครัดองค์เชธันญะเองทรงเป็น  สันนยาสีฺ  ที่ดีเลิศ  เราเรียนรู้จากชีวิตของพระองค์ว่าทรงมีความเข้มงวดมากเกี่ยวกับสตรี  ถึงแม้พิจารณาว่าเป็นอวตารแห่งองค์ภควานที่มีความโอบอ้อมอารีย์และมีเสรีมากที่สุดด้วยการยอมรับพันธวิญญาณผู้ตกต่ำที่สุด  พระองค์ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของชีวิต  สันนยาสะฺ  อย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการคบหาสมาคมกับสตรี  ครั้งหนึ่ง  หนึ่งในผู้ที่ใกล้ชิดส่วนพระองค์ชื่อ  โชฺทะ  ฮะริดาสะฺ  ซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ร่วมกับสาวกรูปอื่น  ๆ  ไปมองหญิงสาวด้วยความกำหนัด  เชธันญะผู้ทรงมีความเคร่งครัดมากจึงปฏิเสธ  โชฺทะ  ฮะริดาสะฺ  ไม่ให้มาอยู่ในกลุ่มผู้ใกล้ชิดส่วนพระองค์โดยตรัสว่า  “สำหรับ  สันนยาสีฺ  หรือผู้ใดที่ปรารถนาจะออกไปจากเงื้อมมือของธรรมชาติวัตถุและพยายามพัฒนาตนเองไปสู่ธรรมชาติทิพย์เพื่อกลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควานหากมองไปเพื่อเป็นเจ้าของวัตถุและมองไปที่ผู้หญิงเพื่อสนองประสาทสัมผัส  แม้ยังไม่ได้รื่นรมณ์  แต่มองไปด้วยแนวโน้มเช่นนี้  ควรถูกประณามและไปฆ่าตัวตายเสียยังดีกว่าก่อนที่จะมีประสบการณ์กับความปรารถนาที่ผิด  ๆ  เช่นนี้”  นี่คือวิธีปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์

รายการต่อไปคือ  กยานะ-โยกะ-วิยะวัสทิฺทิฺ  ปฏิบัติในการพัฒนาความรู้  ชีวิต  สันนยาสีฺ  หมายไว้เพื่อแจกจ่ายความรู้แก่คฤหัสถ์และบุคคลอื่น  ๆ  ผู้ลืมชีวิตอันแท้จริงแห่งความเจริญก้าวหน้าในวิถีทิพย์ของตน  สันนยาสีฺ  ควรภิกขาจารไปตามบ้านเพื่อการดำรงชีพ  เช่นนี้มิได้หมายความว่าเป็นขอทาน  การถ่อมตนก็เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งสำหรับผู้สถิตในวิถีทิพย์  ด้วยความถ่อมตนแท้  ๆ  ที่  สันนยาสีฺ  ภิกขาจารจากบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่ง  ไม่ใช่เพื่อไปขอทานโดยตรง  แต่เพื่อไปพบและปลุกพวกคฤหัสถ์ให้ตื่นขึ้นมาอยู่ในคริชณะจิตสำนึก  นี่คือหน้าที่ของ  สันนยาสีฺ  หากท่านเจริญก้าวหน้าจริงและได้รับคำสั่งจากพระอาจารย์ทิพย์  ท่านควรสอนคริชณะจิตสำนึกด้วยตรรกวิทยาและความเข้าใจ  หากยังไม่เจริญก้าวหน้าพอก็ไม่ควรรับเอาชีวิตสละโลกมาปฏิบัติโดยไม่มีความรู้เพียงพอ  ท่านควรสดับฟังจากพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้เพื่อพัฒนาความรู้โดยสมบูรณ์  สันนยาสีฺ  ผู้รับเอาชีวิตสละโลกมาปฏิบัติจะต้องไม่มีความกลัว  สัททวะ-สัมชุดดิฺฺ(มีความบริสุทธิ์)  และ  กยานะ-โยกะฺ  (มีความรู้)

คำต่อไปคือการให้ทาน  หมายไว้สำหรับคฤหัสถ์  คฤหัสถ์ควรหาเงินเลี้ยงชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและให้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้เพื่อเผยแพร่คริชณะจิตสำนึกไปทั่วโลก  ดังนั้น  คฤหัสถ์ควรให้ทานแก่สถาบันสังคมที่ปฏิบัติเช่นนี้  การให้ทานควรให้แก่ผู้รับที่ถูกต้อง  มีการให้ทานที่แตกต่างกันดังจะอธิบายการให้ทานในระดับความดีตัณหา  และอวิชชาต่อไป  พระคัมภีร์แนะนำการให้ทานในระดับความดี  การให้ทานในระดับตัณหาและอวิชชาไม่แนะนำเพราะเป็นการเสียเงินเปล่า  การให้ทานควรให้เพื่อเผยแพร่คริชณะจิตสำนึกไปทั่วโลกเท่านั้น  เช่นนี้คือการให้ทานในระดับความดี

สำหรับ  ดะมะฺ  (ควบคุมตนเอง)  ไม่เพียงหมายไว้สำหรับระดับอื่น  ๆ  ของสังคมศาสนาเท่านั้นแต่หมายไว้เฉพาะคฤหัสถ์  ถึงแม้ว่ามีภรรยาคฤหัสถ์ไม่ควรใช้ประสาทสัมผัสของตนเพื่อชีวิตเพศสัมพันธ์โดยไม่จำเป็น  มีข้อห้ามต่าง  ๆ  สำหรับคฤหัสถ์  แม้ในชีวิตเพศสัมพันธ์ซึ่งควรปฏิบัติเพื่อมีบุตรธิดาเท่านั้น  หากไม่ต้องการบุตรธิดาเราไม่ควรรื่นเริงชีวิตเพศสัมพันธ์กับภรรยา  สังคมปัจจุบันรื่นเริงชีวิตเพศสัมพันธ์ด้วยวิธีการคุมกำเนิดหรือวิธีการที่น่ารังเกียจยิ่งไปกว่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อบุตรธิดา  เช่นนี้ไม่ใช่คุณสมบัติทิพย์แต่เป็นคุณสมบัติมาร  หากผู้ที่แม้จะเป็นคฤหัสถ์ต้องการให้ชีวิตทิพย์ก้าวหน้าต้องควบคุมชีวิตเพศสัมพันธ์และไม่ควรมีบุตรหากไม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรับใช้คริชณะ  ถ้ามีบุตรธิดาที่จะมาอยู่ในคริชณะจิตสำนึกก็สามารถมีบุตรธิดาได้เป็นร้อย  ๆ  แต่ถ้าหากไม่มีความสามารถทำเช่นนี้  เราก็ไม่ควรตามใจตนเองเพียงเพื่อความสุขทางประสาทสัมผัสเท่านั้น

พิธีบูชาเป็นอีกรายการหนึ่งที่คฤหัสถ์พึงปฏิบัติ  เพราะว่าพิธีบูชาจำเป็นต้องใช้เงินมาก  พวกที่อยู่ในช่วงชีวิตอื่น  ๆ  เช่น  บระฮมะชารยะ  วานะพรัสทฺะฺ  และ  สันนยาสะฺจะไม่มีเงิน  พวกนี้อยู่ด้วยการภิกขาจาร  ดังนั้น  การปฏิบัติพิธีบูชาต่าง  ๆ  หมายไว้สำหรับคฤหัสถ์ซึ่งควรปฏิบัติพิธีบูชาอักนิ-โฮทระฺ  ดังที่ได้สอนไว้ในวรรณกรรมพระเวทแต่ในปัจจุบันพิธีบูชาเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก  เป็นไปไม่ได้ที่คฤหัสถ์จะสามารถปฏิบัติได้  พิธีบูชาที่ดีที่สุดแนะนำไว้สำหรับยุคนี้เรียกว่า  สังคีรทะนะ-ยะกยะ,  สังคีรทะนะ-ยะกยะฺหรือการสวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเร  ฮะเร/  ฮะเรรามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร  นี้  ดีที่สุดและเป็นพิธีบูชาที่ประหยัดที่สุด  ทุกๆ  คนสามารถนำไปปฏิบัติและได้รับประโยชน์  ฉะนั้น  สามรายการนี้คือการให้ทาน  การควบคุมประสาทสัมผัสของตนเอง  และการปฏิบัติพิธีบูชาหมายไว้สำหรับคฤหัสถ์

สวาดฺยายะฺ  การศึกษาคัมภีร์พระเวท  หมายไว้สำหรับ  บระฮมะชารยะฺ  หรือชีวิตนักศึกษา  บระฮมะชารีฺ  ควรถือเพศพรหมจรรย์  ไม่ควรมีความสัมพันธ์กับสตรีและใช้จิตใจศึกษาวรรณกรรมพระเวทเพื่อพัฒนาความรู้ทิพย์เช่นนี้เรียกว่า  สวาดฺยายะฺ

ทะพัสฺ  หรือความสมถะ  หมายไว้โดยเฉพาะสำหรับชีวิตเกษียณ  เราไม่ควรดำรงความเป็นคฤหัสถ์ตลอดชีวิต  ต้องจำไว้เสมอว่ามีสี่ช่วงของชีวิตคือ  บระฮมะ  ชารยะ  กริฮัสทฺะ  วานะพรัสทฺะฺ  และ  สันนยาสะฺ  หลังจาก  ชีวิตคฤหัสถ์หรือ  กริฮัสทฺะฺ  เราควรเกษียณ  หากมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยปี  เราควรใช้ยี่สิบห้าปีในชีวิตนักศึกษา  ยี่สิบห้าปีในชีวิตคฤหัสถ์  ยี่สิบห้าปีในชีวิตเกษียณ  และยี่สิบห้าปีในชีวิตสละโลก  นี่คือกฎเกณฑ์ของหลักธรรมศาสนาแห่งพระเวท  ผู้ชายเกษียณจากชีวิตคฤหัสถ์ต้องปฏิบัติความสมถะของร่างกาย  ความสมถะของจิตใจ  และความสมถะของลิ้น  นั่นคือ  ทะพัสยะฺ  สังคม  วารณาชระมะ-ดฺารมะฺ  ทั้งหมดหมายไว้เพื่อ  ทะพัสยะฺ  ปราศจาก  ทะพัสยะฺ  หรือความสมถะไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถได้รับอิสรภาพหลุดพ้น  ทฤษฏีที่ว่าไม่มีความจำเป็นในชีวิตสมถะและคาดคะเนไปเรื่อย  ๆ  แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะดีเอง  ทั้งวรรณกรรมพระเวทและ  ภควัต-คีตาฺ  ไม่แนะนำ  ทฤษฏีเหล่านี้ผลิตโดยนักทิพย์นิยมจอมอวดอ้างที่ต้องการมีลูกศิษย์มากๆ  เพราะถ้าหากว่ามีข้อห้ามและกฎเกณฑ์ต่าง  ๆ  ผู้คนจะไม่ชอบ  ดังนั้น  พวกที่ต้องการมีสานุศิษย์มาก  ๆ  ในนามของศาสนาเพื่อเป็นการอวดเพียงอย่างเดียว  โดยไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อย่างถูกต้องสำหรับชีวิตนักศึกษา  สำหรับชีวิตสาวก  หรือสำหรับตนเองวิธีการเช่นนี้คัมภีร์พระเวทไม่อนุมัติ

คุณสมบัติความเรียบง่ายของ  บระฮมะณะฺ  ไม่เพียงเฉพาะช่วงชีวิตหนึ่งชีวิตใดที่ปฏิบัติตามหลักธรรมนี้  แต่ทุก  ๆ  คนไม่ว่าจะอยู่ใน  บระฮมะชารี  อาชระมะ,  กริฮัสทฺะ  อาชระมะ,  วานาพรัสทฺะ  อาชระมะฺ  หรือ  สันนยาสะ  อาชระมะฺ  ทุกคนควรมีชีวิตเรียบง่ายและตรงไปตรงมา

อฮิมสาฺ  หมายความว่า  ไม่ทำให้การดำเนินชีวิตของสิ่งมีชีวิตใดต้องหยุดชะงักลง  เราไม่ควรคิดว่าเนื่องจากละอองวิญญาณไม่มีวันถูกฆ่าแม้หลังจากการฆ่าร่างกายไปแล้ว  จึงไม่มีภัยอันตรายในการฆ่าสัตว์เพื่อสนองประสาทสัมผัส  ปัจจุบันนี้ผู้คนมัวเมากับการกินเนื้อสัตว์  ถึงแม้ว่าจะมีอาหารต่าง  ๆ  มากมายเช่น  ธัญพืช  ผลไม้  และนม  โดยไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าสัตว์  คำสอนนี้สำหรับทุก  ๆ  คน  เมื่อไม่มีทางเลือกเราอาจฆ่าสัตว์  แต่ต้องถวายในพิธีบูชา  อย่างไรก็ดี  เมื่อมีอาหารสำหรับมนุษย์มากมาย  บุคคลผู้ปรารถนาความเจริญก้าวหน้าในความรู้แจ้งทิพย์ไม่ควรเบียดเบียนสัตว์อื่น  อฮิมสาฺที่แท้จริงหมายความว่าไม่ทำให้การดำเนินชีวิตของผู้ใดต้องหยุดชะงักลง  สัตว์ต่าง  ๆกำลังดำเนินไปในวิวัฒนาการแห่งชีวิตของตนเองด้วยการเปลี่ยนจากชีวิตสัตว์ประเภทหนึ่งไปเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่ง  หากสัตว์ตัวนี้ถูกฆ่าการดำเนินชีวิตของมันก็สะดุดลงหากสัตว์อยู่ในร่างนี้มาหลายวันหรือหลายปีและถูกฆ่าโดยยังไม่ถึงเวลาอันควร  มันต้องกลับมาเกิดอีกครั้งหนึ่งในร่างแบบนี้เพื่อให้วันที่คงเหลืออยู่เสร็จสิ้นสมบูรณ์  เพื่อได้รับการส่งเสริมไปสู่ชีวิตอีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง  ดังนั้น  การดำเนินชีวิตของพวกมันไม่ควรสะดุดลงเพียงเพื่อสนองลิ้นของเราเช่นนี้เรียกว่า  อฮิมสาฺ

สัทยัมฺ  คำนี้หมายความว่าไม่ควรบิดเบือนความจริงเพื่อประโยชน์ส่วนตัวบางอย่าง  ในวรรณกรรมพระเวทมีบางตอนที่ยาก  แต่ความหมายหรือจุดมุ่งหมายควรเรียนรู้จากพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้  นั่นคือวิธีการเพื่อความเข้าใจคัมภีร์พระเวท  ชรุทิฺหมายความว่าควรสดับฟังจากผู้ที่เชื่อถือได้  เราไม่ควรตีความหมายในคำอธิบายต่าง  ๆเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเราเอง  มีคำอธิบาย  ภควัต-คีตาฺ  มากมายที่ตีความหมายผิดไปจากฉบับเดิม  ความหมายที่แท้จริงของคำควรแสดงออก  เช่นนี้ควรเรียนรู้จากพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้

อโครดฺะฺ  หมายความว่าระงับความโกรธ  แม้จะมีการยั่วโทสะ  เราควรอดทนเพราะเมื่อโกรธทำให้ทั่วทั้งเรือนร่างมีมลทิน  ความโกรธเป็นผลผลิตของระดับตัณหาและราคะ  ดังนั้น  ผู้สถิตในวิถีทิพย์ควรระงับตนเองจากความโกรธ  อไพรชุนัมฺหมายความว่า  เราไม่ควรจับผิดหรือติเตียนผู้อื่นโดยไม่จำเป็นแน่นอนว่าการเรียกโจรว่าเป็นโจรไม่ใช่การจับผิด  แต่การเรียกคนซื่อสัตว์สุจริตว่าเป็นโจรเป็นความผิดมหันต์สำหรับผู้ต้องการความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์  ฮรีฺ  หมายความว่า  ควรถ่อมตัวมากและไม่ควรกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจ  อชาพะลัมฺ  ความมั่นใจ  หมายความว่าไม่ควรเร่าร้อนหรือหงุดหงิดกับความพยายามบางอย่าง  ความพยายามในบางสิ่งบางอย่างอาจไม่ประสบผลสำเร็จแต่ไม่ควรเสียใจ  เราควรทำความเจริญก้าวหน้าด้วยความอดทนและมั่นใจ

คำว่า  เทจัสฺ  ใช้  ณ  ที่นี้  หมายไว้สำหรับ  คชัทริยะ,  คชัทริยะฺ  ควรมีความแข็งแรงมากอยู่เสมอเพื่อปกป้องผู้ที่อ่อนแอ  คชัทริยะฺ  ไม่ควรทำตัวว่าเป็นผู้ไม่เบียดเบียน  หากจำเป็นต้องเบียดเบียน  จะต้องแสดงออก  ในบางสถานการณ์  ผู้ปราบศัตรูอาจให้อภัยและอาจยกโทษให้กับความผิดเล็ก  ๆ  น้อย  ๆ

โชชัมฺ  หมายความว่าความสะอาด  ไม่เฉพาะแต่จิตใจและร่างกายเท่านั้นแต่รวมทั้งการติดต่อกับผู้อื่นด้วย  หมายไว้โดยเฉพาะสำหรับพ่อค้าวาณิช  ซึ่งไม่ควรทำธุรกิจในตลาดมืด  นาทิ-มานิทาฺ  ไม่คาดหวังเกียรติยศ  ใช้สำหรับ  ชูดระฺ  หรือชนชั้นแรงงาน  ตามคำสั่งสอนพระเวทพิจารณาว่าเป็นพวกต่ำสุดในสี่ชั้น  พวกนี้ไม่ควรผยองกับเกียรติยศหรือชื่อเสียงที่ไม่จำเป็น  และควรดำรงอยู่ในระดับของตนเอง  เป็นหน้าที่ของ  ชูดระฺ  ที่ต้องแสดงความเคารพต่อชนชั้นที่สูงกว่าเพื่อรักษาสถานภาพของสังคม

คุณสมบัติทั้งยี่สิบหกประการที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติทิพย์  เราควรพัฒนาตามสถานภาพทางสังคมและอาชีพที่ต่างกันไป  คำอธิบายก็คือถึงแม้ว่าสภาวะทางวัตถุจะมีความทุกข์  หากคุณสมบัติเหล่านี้ได้รับการพัฒนาและฝึกฝนโดยมนุษย์ทุกชั้นวรรณะก็เป็นไปได้ที่จะค่อย  ๆ  เจริญขึ้นมาถึงระดับสูงสุดแห่งความรู้แจ้งทิพย์

โศลก 4

ดัมโบฺ ดารโพ ่บิฺมานัช ชะ
โครดฺะฮ พารุชยัม เอวะ ชะฺ

อกยานัม ชาบิฺจาทัสยะ
พารทฺะ สัมพะดัม อาสุรีมฺ

ดัมบฺะฮฺ  -  หยิ่งยะโส, ดารพะฮฺ  -  จองหอง, อบิฺมานะฮฺ  -  อวดดี, ชะฺ  -  และ, โครดฺะฮฺ  -  โกรธ, พารุชยัมฺ  -  เกรี้ยวกราด, เอวะฺ  -  แน่นอน, ชะฺ  -  และ, อกยานัมฺ  -  อวิชชา, ชะฺ  -  และ, อบิฺจา- ทัสยะฺ  -  ของผู้ที่เกิด, พารทฺะฺ  -  โอ้ โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, สัมพะดัมฺ  -  คุณสมบัติ, อาสุรีมฺ  -  ธรรมชาติมาร

คำแปลฺ

หยิ่งยโส  จองหอง  อวดดี  ชอบโกรธ  เกรี้ยวกราด  และอวิชชา  คุณสมบัติเหล่านี้เป็นของพวกที่มีธรรมชาติมาร  โอ้  โอรสพระนางพริทฺา

คำอธิบายฺ

ในโศลกนี้อธิบายถึงทางหลวงไปสู่นรก  พวกมารต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองมีศาสนาและเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทิพย์  ถึงแม้ไม่ปฏิบัติตามหลักธรรม  และมีความหยิ่งจองหองเสมอ  กับการที่มีการศึกษาสูงหรือร่ำรวยมาก  มารต้องการให้ผู้อื่นบูชาตนเองและเรียกร้องให้เคารพนับถือพวกตน  ถึงแม้จะไม่สมควร  ด้วยเรื่องเล็กน้อยก็จะโกรธมากและพูดจาเกรี้ยวกราดไม่สุภาพ  โดยไม่รู้ว่าอะไรควรทำและอะไรไม่ควรทำพวกมารทำทุกอย่างตามอำเภอใจ  และมองไม่เห็นผู้ที่ควรเคารพนับถือ  คุณสมบัติมารเหล่านี้ติดตามตัวมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของร่างนี้ในครรภ์มารดา  และเมื่อเจริญเติบโตขึ้นคุณสมบัติอันไม่เป็นมงคลทั้งหลายเหล่านี้จะปรากฏออกมา

โศลก 5

ไดวี สัมพัด วิโมคชายะ
นิบันดฺายาสุรี มะทาฺ

มา ชุชะฮ สัมพะดัม ไดวีม
อบิฺจาโท ่สิ พาณดะวะฺ

ไดวีฺ  -  ทิพย์, สัมพัทฺ  -  ทรัพย์สิน, วิโมคชายะฺ  -  หมายไว้เพื่อความหลุดพ้น, นิบันดฺายะฺ  -  เพื่อพันธนาการ, อาสุรีฺ  -  คุณสมบัติมาร, มะทาฺ  -  พิจารณาว่า, มาฺ  -  ไม่, ชุชะฮฺ  -  วิตก, สัมพะดัมฺ  -  ทรัพย์สิน, ไดวีมฺ  -  ทิพย์, อบิฺจาทะฮฺ  -  เกิดจาก, อสิฺ  -  เธอเป็น, พาณดะวะฺ  -  โอ้โอรสแห่งพาณดุ

คำแปลฺ

คุณสมบัติทิพย์นำมาซึ่งอิสรภาพหลุดพ้น  ขณะที่คุณสมบัติมารทำให้ถูกพันธนาการ  โอ้  โอรสแห่งพาณดุ  ไม่ต้องวิตกเพราะว่าเธอเกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติทิพย์

คำอธิบายฺ

องค์ชรีคริชณะทรงให้กำลังใจอารจุนะด้วยการบอกว่า  อารจุนะทรงไม่ได้เกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติมาร  การที่มาร่วมในการต่อสู้ไม่ใช่มาร  เพราะอารจุนะทรงได้พิจารณาถึงข้อดีและข้อเสีย  ทรงพิจารณาว่าบุคคลที่เคารพนับถือ  เช่น  บีฺชมะฺ  และ  โดรณะฺ  ควรถูกสังหารหรือไม่  ดังนั้น  จึงไม่ได้ปฏิบัติภายใต้อิทธิพลของความโกรธเกียรติยศที่ผิด  ๆ  หรือความเกรี้ยวกราด  ท่านจึงไม่มีคุณสมบัติมาร  สำหรับทหารนักรบ  คชัทริยะฺ  การยิงธนูไปที่ศัตรูพิจารณาว่าเป็นทิพย์  และการละเว้นหน้าที่เช่นนี้เป็นมารดังนั้น  จึงไม่มีเหตุผลที่อารจุนะทรงควรเศร้าโศก  ผู้ใดที่ปฏิบัติตามหลักธรรมในวรรณะชีวิตของตนที่ต่างกันไปเท่ากับสถิตในระดับทิพย์

โศลก 6

ดโว บํูทะ-สารโก โลเค ่สมินฺ
ไดวะ อาสุระ เอวะ ชะฺ
ไดโว วิสทะระชะฮ โพรคทะ
อาสุรัม พารทฺะ เม ชริณฺุ

ดโวฺ  -  สอง, บํูทะฺ  -  สารโกฺ  -  สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมา, โลเคฺ  -  ในโลก, อัสมินฺ  -  นี้, ไดวะฮฺ  -  เทพ, อาสุระฮฺ  -  มาร, เอวะฺ  -  แน่นอน, ชะฺ  -  และ, ไดวะฮฺ  -  ทิพย์, วิสทะระชะฮฺ  -  ยาวมาก, โพรคทะฮฺ  -  กล่าว, อาสุรัมฺ  -  มาร, พารทฺะฺ  -  โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, เมฺ  -  จากข้า, ชริณฺุ  -  จงสดับฟัง

คำแปลฺ

โอ้  โอรสพระนางพริทฺา  ในโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นมาสองพวก  พวกหนึ่งเรียกว่าคนทิพย์  และอีกพวกหนึ่งเรียกว่าคนมาร  ข้าได้อธิบายแก่เธอถึงคุณสมบัติทิพย์มามากแล้ว  บัดนี้จงฟังคุณสมบัติมารจากข้า

คำอธิบายฺ

องค์ชรีคริชณะทรงให้ความมั่นใจแด่อารจุนะว่าทรงเกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติทิพย์  บัดนี้ทรงอธิบายถึงวิถีมาร  พันธชีวิตแบ่งออกเป็นสองพวกในโลกนี้  พวกที่เกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติทิพย์ปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งชีวิต  หมายความว่าพวกนี้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระคัมภีร์และบุคคลผู้เชื่อถือได้  เราควรปฏิบัติหน้าที่ตามแสงสว่างแห่งพระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้  ความคิดเห็นเช่นนี้เรียกว่าทิพย์  ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักธรรมดังที่กำหนดไว้ในพระคัมภีร์และเป็นผู้ปฏิบัติตามอำเภอใจของตนเองเรียกว่ามาร  เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติตามหลักธรรมของพระคัมภีร์  ได้กล่าวไว้ในวรรณกรรมพระเวทว่า  ทั้งคนทิพย์และคนมารเกิดจาก  พระจาพะทิฺ  ข้อแตกต่างก็คือ  พวกหนึ่งเชื่อฟังคำสั่งสอนพระเวท  และอีกพวกหนึ่งไม่เชื่อฟัง

โศลก 7

พระวริททิม ชะ นิวริททิม ชะ
จะนา นะ วิดุร อาสุราฮฺ

นะ โชชัม นาพิ ชาชาโร
นะ สัทยัม เทชุ วิดยะเทฺ

พระวริททิมฺ  -  ปฏิบัติถูกต้อง, ชะฺ  -  เช่นกัน, นิวริททิมฺ  -  ปฏิบัติไม่ถูกต้อง, ชะฺ  -  และ, จะนาฮฺ  -  บุคคล, นะฺ  -  ไม่, วิดุฮฺ  -  รู้, อาสุราฮฺ  -  ของคุณสมบัติมาร, นะฺ  -  ไม่เคย, โชชัมฺ  -  ความสะอาด, นะฺ  -  ไม่, อพิฺ  -  เช่นกัน, ชะฺ  -  และ, อาชาระฮฺ  -  พฤติกรรม, นะฺ  -  ไม่เคย, สัทยัมฺ  -  สัจจะ, เทชฺุ  -  ในพวกเขา, วิดยะเทฺ  -  มี

คำแปลฺ

พวกมารไม่รู้ว่าอะไรควรทำ  อะไรไม่ควรทำ  ทั้งความสะอาด  ความประพฤติที่ถูกต้อง  หรือสัจจะ  จะไม่มีในหมู่มาร

คำอธิบายฺ

ในทุกสังคมมนุษย์ที่ศิวิไลจะมีกฎเกณฑ์จากพระคัมภีร์เป็นชุดที่ปฏิบัติตามตั้งแต่ต้น  โดยเฉพาะในหมู่ชาวอารยัน  หรือพวกที่รับเอาวัฒนธรรมพระเวทมาปฏิบัติซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นพวกที่มีวัฒนธรรมเจริญสูงสุด  พวกที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระคัมภีร์ถือว่าเป็นมาร  ดังนั้น  ได้กล่าวไว้  ณ  ที่นี้ว่าพวกมารไม่รู้กฎของพระคัมภีร์และไม่มีใจจะปฏิบัติตาม  ส่วนใหญ่ไม่รู้  แม้บางคนรู้ก็ไม่มีแนวโน้มจะปฏิบัติตาม  พวกมารไม่มีศรัทธาและไม่ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเวท  เหล่ามารไม่มีความสะอาดทั้งภายนอกหรือภายใน  เราควรรักษาร่างกายให้สะอาดด้วยการอาบน้ำ  แปรงฟัน  โกนหนวด  เปลี่ยนเสื้อผ้า  ฯลฯ  อยู่เสมอ  สำหรับความสะอาดภายใน  เราควรระลึกถึงพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควานเสมอ  และสวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะคริชณะ  ฮะเร  ฮะเร/  ฮะเร  รามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร  พวกมารไม่ชอบและไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เพื่อความสะอาดทั้งภายนอกและภายในเหล่านี้

สำหรับความประพฤติ  มีกฎเกณฑ์มากมายที่ชี้นำพฤติกรรมมนุษย์  เช่น  มะนุ-สัมฮิทาฺ  ซึ่งเป็นกฎหมายของเผ่าพันธุ์มนุษย์  แม้จนกระทั่งปัจจุบันชาวฮินดูยังปฏิบัติตาม  มะนุ-สัมฮิทาฺ  กฎหมายมรดกและกฎหมายอื่น  ๆ  ก็มาจากหนังสือเล่มนี้  ใน  มะนุ-สัมฮิทาฺ  ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าสตรีไม่ควรได้รับเสรีภาพ  เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าสตรีควรถูกเก็บไว้เป็นทาส  แต่พวกเธอเหมือนเด็ก  ๆ  เด็ก  ๆ  ไม่ควรปล่อยเป็นอิสระแต่มิได้หมายความว่าเก็บพวกเด็กไว้เป็นทาส  ปัจจุบันพวกมารละเลยคำสั่งสอนเหล่านี้และคิดว่าสตรีควรได้รับเสรีภาพเท่าเทียมกับบุรุษ  อย่างไรก็ดี  การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ทำให้สภาวะสังคมโลกดีขึ้น  อันที่จริง  สตรีควรได้รับการปกป้องคุ้มครองในทุกระดับของชีวิต  เช่น  ได้รับความคุ้มครองจากบิดาในเยาว์วัย  จากสามีตอนเป็นสาว  และจากบุตรที่โตแล้วเมื่อยามชรา  เช่นนี้เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมทางสังคมตาม  มะนุ-สัมฮิทาฺ  แต่การศึกษาปัจจุบันได้ออกอุบายแนวคิดทำให้ชีวิตสตรีผยองแบบผิดธรรมชาติ  ดังนั้น  การแต่งงานในปัจจุบันเป็นเพียงจินตนาการในสังคมมนุษย์  และสภาวะศีลธรรมของผู้หญิงปัจจุบันจึงไม่ค่อยดี  ดังนั้น  เหล่ามารไม่ยอมรับคำสั่งสอนที่เป็นสิ่งดีสำหรับสังคม  และเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามประสบการณ์ของนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่  และกฎเกณฑ์ที่เหล่านักปราชญ์ได้วางไว้  สภาวะสังคมของคนมารจึงมีความทุกข์ระทมมาก

โศลก 8

อสัทยัม อพระทิชทัฺม เทฺ
จะกัด อาฮุร อนีชวะรัมฺ
อพะรัสพะระ-สัมบํูทัม
คิม อันยัท คามะ-ไฮทุคัมฺ

อสัทยัมฺ  -  ไม่จริง, อพระทิชทัฺมฺ  -  ไม่มีพื้นฐาน, เทฺ  -  พวกเขา, จะกัทฺ  -  ปรากฏการณ์ในจักรวาล, อาฮุรฺ  -  กล่าวว่า, อนีชวะรัมฺ  -  ไม่มีผู้ควบคุม, อพะรัสพะระฺ  -  ไม่มีสาเหตุ, สัมบํูทัมฺ  -  เกิดขึ้น, คิม อันยัทฺ  -  ไม่มีสาเหตุอื่น, คามะฺ  -  ไฮทุคัมฺ  -  อันเนื่องมาจากราคะเท่านั้น

คำแปลฺ

พวกเขากล่าวว่าโลกนี้ไม่จริง  ไม่มีรากฐาน  ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าควบคุม  และกล่าวว่ามันผลิตมาจากความต้องการทางเพศ  โดยไม่มีสาเหตุอื่นนอกจากราคะ

คำอธิบายฺ

ข้อสรุปของมารที่ว่าโลกเป็นสิ่งหลอกลวง  ไม่มีเหตุและผล  ไม่มีผู้ควบคุม  ไม่มีจุดมุ่งหมาย  ทุกสิ่งทุกอย่างไม่จริง  พวกเขากล่าวว่า  ปรากฏการณ์ทางจักรวาลนี้เกิดขึ้นเนื่องมาจากความบังเอิญของการกระทำและปฏิกิริยาทางวัตถุ  โดยไม่คิดว่าองค์ภควานทรงสร้างโลกเพื่อจุดมุ่งหมายบางประการ  พวกนี้มีทฤษฎีของตนเองว่าโลกนี้เกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง  และไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่ามีองค์ภควานอยู่เบื้องหลัง  สำหรับพวกมารไม่มีข้อแตกต่างระหว่างวิญญาณและวัตถุ  และไม่ยอมรับดวงวิญญาณสูงสุด  ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงวัตถุเท่านั้น  จักรวาลทั้งหมดเข้าใจว่าเป็นอวิชชามหึมาก้อนหนึ่งตามแนวคิดของพวกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า  ปรากฏการณ์อะไรก็แล้วแต่ที่มีอยู่ก็เนื่องมาจากอวิชชาในการสำเหนียกของตนเอง  เพราะเชื่ออย่างจริงจังว่าปรากฏการณ์อันหลากหลายทั้งหมดเป็นการแสดงออกของอวิชชาเหมือนกับในความฝัน  เราอาจสร้างหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นมาซึ่งความจริงมันไม่มี  ดังนั้น  เมื่อตื่นขึ้นเราจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน  แต่อันที่จริงถึงแม้ว่าพวกมารกล่าวว่าชีวิตคือความฝันแต่ก็มีความชำนาญมากในการรื่นรมย์อยู่กับความฝันนี้  ดังนั้น  แทนที่จะได้รับความรู้กลับพัวพันมากยิ่งขึ้นในดินแดนแห่งความฝัน  และสรุปว่าทารกเป็นเพียงผลแห่งเพศสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง  โลกนี้เกิดขึ้นมาโดยปราศจากดวงวิญญาณ  มันเป็นเพียงการรวมตัวกันของวัตถุที่ผลิตสิ่งที่มีชีวิตโดยไม่ต้องมีคำถามว่าจะมีดวงวิญญาณหรือไม่  เหมือนกับที่หลายชีวิตออกมาจากเหงื่อและออกมาจากซากศพโดยไม่มีสาเหตุ  สิ่งมีชีวิตทั้งหมดออกมาจากการรวมตัวกันทางวัตถุของปรากฏการณ์แห่งจักรวาล  ฉะนั้นธรรมชาติวัตถุเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์นี้  และไม่มีสาเหตุอื่น  พวกเขาไม่เชื่อในคำดำรัสของคริชณะใน  ภควัต-คีตาฺ  ว่า  มายาดฺยัคเชณะ  พระคริทิฮ  สูยะเท  สะ-ชะราชะรัมฺ“ภายใต้การกำกับของข้า  โลกวัตถุทั้งหมดจึงเคลื่อนไหว”  อีกนัยหนึ่ง  ในหมู่มารไม่มีความรู้สมบูรณ์แห่งการสร้างโลก  มารทุกรูปจะมีทฤษฏีบางอย่างโดยเฉพาะของตนเองตามความคิดของพวกนี้  การตีความหมายของพระคัมภีร์หนึ่งก็ดีเท่า  ๆ  กับพระคัมภีร์เล่มอื่น  เพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อในความเข้าใจมาตรฐานแห่งคำสั่งสอนของพระคัมภีร์

โศลก 9

เอทาม ดริชทิม อวัชทับฺยะ
นัชทาทมาโน ่ลพะ-บุดดฺะยะฮฺ

พระบฺะวันทิ อุกระ-คารมาณะฮ
คชะยายะ จะกะโท ่ฮิทาฮฺ

เอทามฺ  -  นี้, ดริชทิมฺ  -  วิสัยทัศน์, อวัชทับฺยะฺ  -  ยอมรับ, นัชทะฺ  -  สูญเสีย, อาทมานะฮฺ  -  พวกเขา, อัลพะฺ  -  บุดดฺะยะฮฺ  -  ผู้ด้อยปัญญา, พระบฺะวันทิฺ  -  เฟื่องฟู, อุกระ-คารมาณะฮฺ  -  ปฏิบัติในกิจกรรมที่เจ็บปวด, คชะยายะฺ  -  เพื่อการทำลาย, จะกะทะฮฺ  -  ของโลก, อฮิทาฮฺ  -  ไม่เป็นประโยชน์

คำแปลฺ

ปฏิบัติตามข้อสรุปเช่นนี้  พวกมารผู้หลงตนเอง  ไม่มีปัญญา  ปฏิบัติการอันไร้ประโยชน์น่าสะพรึงกลัวหมายไว้เพื่อทำลายโลก

คำอธิบายฺ

เหล่ามารปฏิบัติในกิจกรรมที่จะนำไปสู่ความหายนะของโลก  องค์ภควานตรัสณ  ที่นี้ว่าพวกนี้ด้อยปัญญา  นักวัตถุนิยมที่ไม่มีแนวคิดแห่งองค์ภควานคิดว่าพวกตนเจริญก้าวหน้า  แต่ตาม  ภควัต-คีตาฺ  พวกนี้ไม่มีปัญญาและไร้ซึ่งเหตุผล  พยายามรื่นเริงกับโลกวัตถุนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ดังนั้น  จึงค้นคว้าบางสิ่งบางอย่างเพื่อสนองประสาทสัมผัสเสมอ  การค้นคว้าของนักวัตถุนิยมเหล่านี้พิจารณาว่าเป็นความเจริญก้าวหน้าของวัฒนธรรมมนุษย์  แต่ผลก็คือผู้คนก้าวร้าวและโหดร้ายมากยิ่งขึ้น  โหดร้ายต่อสัตว์และโหดร้ายต่อมนุษย์ด้วยกันเอง  โดยไม่รู้ว่าควรประพฤติต่อผู้อื่นอย่างไร  การฆ่าสัตว์โดดเด่นมากในหมู่มาร  บุคคลเหล่านี้พิจารณาว่าเป็นศัตรูของโลกเพราะว่าในที่สุดพวกเขาจะค้นคว้าหรือสร้างบางสิ่งบางอย่างที่จะนำความหายนะมาสู่ทุก  ๆ  คน  โดยทางอ้อมโศลกนี้ได้ทำนายการค้นพบระเบิดปรมณูซึ่งปัจจุบันนี้ทั่วทั้งโลกมีความภาคภูมิใจยิ่งนักสงครามอาจเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้และอาวุธปรมณูเหล่านี้จะสร้างความหายนะ  สิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายล้างโลกโดยเฉพาะ  ได้แสดงไว้  ณ  ที่นี้  เนื่องจากขาดคุณธรรมสังคมมนุษย์จึงค้นคว้าอาวุธเหล่านี้  ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อสันติภาพหรือความเจริญรุ่งเรืองของโลก

โศลก 10

คามัม อาชริทยะ ดุชพูรัม
ดัมบฺะ-มานะ-มะดานวิทาฮฺ

โมฮาด กริฮีทวาสัด-กราฮาน
พระวารทันเท ่ชุชิ-วระทาฮฺ

คามัมฺ  -  ราคะ, อาชทริยะฺ  -  ไปพึ่ง, ดุชพูรัมฺ  -  ไม่รู้จักพอ, ดัมบฺะฺ  -  หยิ่งยะโส, มานะ-และชื่อเสียงที่ผิด, มะดะ-อันวิทาฮฺ  -  ซึมซาบอยู่ในความอวดดี, โมฮาทฺ  -  ด้วยความหลง, กริฮีทวาฺ  -  รับ, อสัทฺ  -  ไม่ถาวร, กราฮานฺ  -  สิ่งต่าง ๆ, พระวารทันเทฺ  -  พวกเขาเฟื่องฟู, อชุชิฺ  -  กับสิ่งสกปรก, วระทาฮฺ  -  สาบาน

คำแปลฺ

ไปพึ่งราคะที่ไม่รู้จักพอ  และซึมซาบอยู่ในความอวดดีกับความยโสและเกียรติยศชื่อเสียงที่ผิด  ๆ  พวกมารผู้อยู่ในความหลงสาบานอยู่กับงานสกปรกเสมอ  จมปรักอยู่กับสิ่งที่ไม่ถาวร

คำอธิบายฺ

ได้อธิบายความคิดของเหล่ามาร  ณ  ที่นี้ว่าไม่มีความพอใจกับราคะของตนเองซึ่งจะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นด้วยความปรารถนาที่ไม่รู้จักพอกับการรื่นรมย์ทางวัตถุ  ถึงแม้เต็มไปด้วยความวิตกกังวลตลอดเวลาอันเนื่องมาจากไปยอมรับสิ่งที่ไม่ถาวร  ด้วยความหลงจึงยังคงปฏิบัติกิจกรรมเช่นนี้  โดยไม่มีความรู้และไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองกำลังเดินทางผิด  ยอมรับเอาสิ่งที่ไม่ถาวร  คนมารเหล่านี้สร้างพระเจ้า  สร้างบทมนต์ของพวกตนขึ้นมาแล้วสวดตามนั้น  ผลก็คือทำให้ยึดติดอยู่กับสองสิ่งมากยิ่งขึ้นคือ  การรื่นรมย์ทางเพศและการสะสมทรัพย์สมบัติทางวัตถุ  คำว่า  อชุชิ-วระทาฮฺ  “คาสาบานที่ไม่สะอาด”  มีความสำคัญมากในความสัมพันธ์กับประเด็นนี้  คนมารเหล่านี้หลงติดอยู่กับไวน์  ผู้หญิง  การพนัน  และการรับประทานเนื้อสัตว์เป็นประจำ  สิ่งเหล่านี้คือ  อชุชิฺ  หรือนิสัยที่ไม่สะอาด  ด้วยแรงกระตุ้นจากความยโสและชื่อเสียงที่ผิด  ๆ  พวกมารได้สร้างหลักการทางศาสนาขึ้นมาซึ่งคำสั่งสอนพระเวทไม่รับรอง  ถึงแม้มารเหล่านี้น่ารังเกียจที่สุดในโลก  แต่ด้วยวิธีที่ผิดธรรมชาติ  โลกได้สร้างเกียรติยศชื่อเสียงผิด  ๆ  ให้พวกเขา  ถึงแม้กำลังถลำลงสู่นรก  ยังพิจารณาว่าพวกตนมีความเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมาก

โศลก 11-12

ชินทาม อพะริเมยาม ชะ
พระละยานทาม อุพาชริทาฮฺ

คาโมพะโบฺกะ-พะระมา
เอทาวัด อิทิ นิชชิทาฮฺ
อาชา-พาชะ-ชะไทร บัดดฺาฮ
คามะ-โครดฺะ-พะรายะณาฮฺ

อีฮันเท คามะ-โบฺการทัฺม
อันยาเยนารทฺะ-สันชะยานฺ

ชินทามฺ  -  ความกลัวและความวิตกกังวล, อพะริเมยามฺ  -  วัดไม่ได้, ชะฺ  -  และ, พระละยะฺ  -  อันทาม-ถึงจุดแห่งความตาย, อุพาชริทาฮฺ  -  เป็นที่พึ่ง, คามะ-อุพะโบฺกะฺ  -  การสนองประสาทสัมผัส, พะระมาฮฺ  -  เป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต, เอทาวัทฺ  -  ดังนั้น, อิทิฺ  -  เช่นนี้, นิชชิ ทาฮฺ  -  มีความแน่ใจ, อาชาฺ  -  พาชะฺ  -  ปฏิบัติในเครือข่ายแห่งความหวัง, ชะไทฮฺ  -  เป็นร้อยๆ, บัดดฺาฮฺ  -  ถูกพันธนาการ, คามะฺ  -  ราคะ, โครดฺะฺ  -  และความโกรธ, พะรายะณาฮฺ  -  สถิตในความคิดนั้นเสมอ, อีฮันเทฺ  -  พวกเขาปรารถนา, คามะฺ  -  ราคะ, โบฺกะฺ  -  สนองประสาทสัมผัส, อารทัฺมฺ  -  เพื่อจุดมุ่งหมาย, อันยาเยนะฺ  -  ผิดกฎหมาย, อารทฺะฺ  -  แห่งความร่ำรวย, สันชะยานฺ  -  สะสม

คำแปลฺ

พวกมารเชื่อว่าการสนองประสาทสัมผัสเป็นความจำเป็นพื้นฐานแห่งความศิวิไลของมนุษย์  ดังนั้นจึงมีความวิตกกังวลที่วัดไม่ได้จนกว่าชีวิตจะหาไม่  ถูกพันธนาการอยู่ในเครือข่ายแห่งความต้องการเป็นร้อย  ๆ  พัน  ๆ  ซึมซาบอยู่กับราคะและความโกรธ  พวกมารสะสมเงินด้วยวิธีที่ผิดกฎหมายเพื่อสนองประสาทสัมผัส

คำอธิบายฺ

พวกมารยอมรับว่าการรื่นรมย์ทางประสาทสัมผัสเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งชีวิตและจะรักษาแนวคิดนี้จนกว่าจะตาย  โดยไม่เชื่อในชีวิตหลังจากตายไปแล้ว  และไม่เชื่อว่าต้องไปอยู่ในร่างที่แตกต่างกันตามกรรม  (คารมะ)  หรือตามกิจกรรมที่ตนได้กระทำในโลกนี้  แผนการสำหรับชีวิตไม่เคยหมด  พวกนี้วางแผนแล้วแผนเล่าซึ่งไม่มีวันจบสิ้น  เรามีประสบการณ์โดยตรงกับบุคคลที่มีแนวคิดมารเช่นนี้  ซึ่งแม้ถึงเวลาตายยังถามหาแพทย์ให้ช่วยต่อชีวิตอีกสี่ปี  เพราะว่าแผนของตนยังไม่เสร็จสมบูรณ์  คนโง่เช่นนี้ไม่รู้ว่าแพทย์ไม่สามารถต่ออายุให้แม้แต่วินาทีเดียว  เมื่อคำสั่งมาถึงจะไม่มีการพิจารณาถึงความต้องการของมนุษย์  กฎแห่งธรรมชาติไม่อนุญาตแม้แต่วินาทีเดียวนอกเหนือไปจากที่เขาได้ถูกกำหนดไว้ให้รื่นรมย์

คนมารผู้ไม่มีความศรัทธาในองค์ภควานหรืออภิวิญญาณภายในใจตนเองทำบาปทุกอย่างเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตน  โดยไม่รู้ว่ามีพยานนั่งอยู่ภายในหัวใจอภิวิญญาณทรงดูกิจกรรมของปัจเจกวิญญาณ  ดังที่ได้กล่าวไว้ใน  อุพะนิชัดฺ  ว่ามีนกสองตัวเกาะอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน  นกตัวหนึ่งปฏิบัติการและได้รับความสุขหรือความทุกข์จากผลไม้ของต้นและนกอีกตัวหนึ่งทรงเป็นพยาน  แต่คนมารไม่มีความรู้ในคัมภีร์พระเวทและไม่มีความศรัทธา  ดังนั้น  จึงรู้สึกเป็นอิสระที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสนองประสาทสัมผัส  ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร

โศลก 13-15

อิดัม อัดยะ มะยา ลับดัฺม
อิมัม พราพสเย มะโนระทัฺมฺ

อิดัม อัสทีดัม อพิ เม
บฺะวิชยะทิ พุนาร ดฺะนัมฺ
อโส มะยา ฮะทะฮ ชะทรุร
ฮะนิชเย ชาพะราน อพิฺ

อีชวะโร ่ฮัม อฮัม โบฺกี
สิดโดฺ ่ฮัม บะละวาน สุคีฺฺ
อาดฺโย ่บิฺจะนะวาน อัสมิ
โค ่นโย ่สทิ สะดริโช มะยาฺ

ยัคชเย ดาสยามิ โมดิชยะ
อิทิ อกยานะ-วิโมฮิทาฮฺ

อิดัมฺ  -  นี้, อัดยะฺ  -  วันนี้, มะยาฺ  -  โดยข้า, ลับดัฺมฺ  -  กำไร, อิมัมฺ  -  นี้, พราพสเยฺ  -  ข้าจะกำไร, มะนะฮ-ระทัฺมฺ  -  ตามความปรารถนาของข้า, อิดัมฺ  -  นี้, อัสทิฺ  -  มี, อิดัมฺ  -  นี้, อพิฺ  -  เช่นกัน, เมฺ  -  ของข้า, บฺะวิชยะทิฺ  -  จะเพิ่มพูนขึ้นในอนาคต, พุนะฮฺ  -  อีกครั้งหนึ่ง, ดฺะนัมฺ  -  ทรัพย์สมบัติ, อโสฺ  -  นั้น, มะยาฺ  -  โดยข้า, ฮะทะฮฺ  -  ได้ถูกสังหาร, ชะทรุฮฺ  -  ศัตรู, ฮะนิชเยฺ  -  ข้าจะสังหาร, ชะฺ  -  เช่นกัน, อพะรานฺ  -  บุคคลอื่น ๆ, อพิฺ  -  แน่นอน, อีชวะระฮฺ  -  เจ้า, อฮัมฺ  -  ข้าเป็น, อฮัมฺ  -  ข้าคือ, โบฺกีฺ  -  ผู้มีความสุขเกษมสำราญ, สิดดฺะฮฺ  -  สมบูรณ์, อฮัมฺ  -  ข้าเป็น, บะละฺ  -  วาน-มีอำนาจ, สุคีฺฺ  -  ความสุข, อาดฺยะฮฺ  -  ร่ำรวย, อบิฺจะนะฺ  -  วานฺ  -  รายล้อมไปด้วยญาติ ๆที่มีสกุล, อัสมิฺ  -  ข้าคือ, คะฮฺ  -  ผู้ซึ่ง, อันยะฮฺ  -  คนอื่น, อัสทิฺ  -  มี, สะดริชะฮฺ  -  เหมือน, มะยาฺ  -  ข้า, ยัคชเยฺ  -  ข้าจะทำพิธีบูชา, ดาสยามิฺ  -  ข้าจะให้ทาน, โมดิชเยฺ  -  ข้าจะรื่นเริง, อิทิฺ  -  ดังนั้น, อกยานะฺ  -  ด้วยอวิชชา, วิโมฮิทาฮฺ  -  ลุ่มหลง

คำแปลฺ

คนมารคิดว่า  ”วันนี้ข้ามีทรัพย์สมบัติมากแค่นี้  ข้าจะกอบโกยมากยิ่งขึ้นไปอีกตามแผนการ  ปัจจุบันนี้เป็นของข้ามากเท่านี้และจะเพิ่มมากยิ่ง  ๆ  ขึ้นไปในอนาคตคนนี้เป็นศัตรูข้า  ข้าได้สังหารมัน  และศัตรูอื่น  ๆ  ก็จะถูกสังหารเช่นเดียวกัน  ข้าเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง  ข้าเป็นผู้มีความสุขเกษมสำราญ  ข้าสมบูรณ์  ข้ามีอำนาจ  และมีความสุข  ข้าเป็นคนที่รวยที่สุด  รายล้อมไปด้วยญาติ  ๆ  ที่มีสกุลรุนชาติ  ไม่มีผู้ใดมีอำนาจและมีความสุขเหมือนดังข้า  ข้าจะทำพิธีบูชา  ข้าจะทำบุญดังนั้นข้าจะรื่นเริง”  เช่นนี้บุคคเหล่านี้ลุ่มหลงอยู่ในอวิชชา

โศลก 16

อเนคะ-ชิททะวิบฺรานทา
โมฮะ-จาละ-สะมาวริททาฮฺ

พระสัคทาฮ คามะ-โบฺเกชุ
พะทันทิ นะระเค ่ชุโชฺ

อเนคะฺ  -  มากมาย, ชิททะฺ  -  ด้วยความวิตกกังวล, วิบฺรานทาฮฺ  -  สับสน, โมฮะฺ  -  ของความหลง, จาละฺ  -  โดยเครือข่าย, สะมาวริทาฮฺ  -  รายล้อม, พระสัคทาฮฺ  -  ยึดติด, คามะ-โบฺเกชฺุ  -  กับการสนองประสาทสัมผัส, พะทันทิฺ  -  พวกเขาถลำลง, นะระเคฺ  -  สู่นรก, อชุโชฺ  -  สกปรก

คำแปลฺ

ดังนั้น  จึงสับสนอยู่กับความวิตกกังวลมากมายและถูกพันธนาการอยู่ในเครือข่ายแห่งความหลง  พวกเขายึดติดอย่างเหนียวแน่นมากกับความรื่นเริงทางประสาทสัมผัสและถลำลงสู่เหวนรก

คำอธิบายฺ

คนมารไม่รู้จักพอกับความต้องการที่จะได้เงินมา  ไม่มีวันเพียงพอ  คิดเพียงแต่ว่าปัจจุบันนี้ทรัพย์สินของตนเองมีอยู่เท่าไร  และวางแผนที่จะใช้ทรัพย์สินเหล่านี้ให้เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น  ด้วยเหตุนี้จึงไม่ลังเลที่จะกระทำบาปใด  ๆ  ดังนั้น  เขาจึงทำธุรกิจในตลาดมืดที่ผิดกฎหมายเพื่อสนองประสาทสัมผัส  ลุ่มหลงอยู่กับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่แล้วเช่น  ที่ดิน  ครอบครัว  บ้าน  และตัวเลขในธนาคาร  และวางแผนที่จะพัฒนามันไปเรื่อย  ๆมีความเชื่อในพลังความสามารถของตนเอง  โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้มานั้นก็เนื่องมาจากบุญเก่าในอดีตจึงได้รับโอกาสสะสมสิ่งของเหล่านี้  แต่เขาไม่มีแนวคิดถึงเหตุในอดีต  เพียงแต่คิดว่าทรัพย์สมบัติที่สะสมได้อย่างมหาศาลทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากความพยายามของตนเอง  คนมารเชื่อในพลังความสามารถในการทำงานของตนแต่ไม่เชื่อในกฎแห่งกรรมตามกฎแห่งกรรมบอกว่า  มนุษย์เกิดในตระกูลสูง  ร่ำรวย  มีการศึกษาดี  หรือมีความสวยงามมาก  ก็เนื่องมาจากผลบุญในอดีต  พวกมารคิดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหตุบังเอิญและเนื่องมาจากพลังความสามารถส่วนตัว  พวกเขาไม่สามารถสำเหนียกถึงการจัดการที่อยู่เบื้องหลังผู้คนอันหลากหลายที่มีความสวยงามและการศึกษาทั้งหมดนี้  ผู้ใดที่มาแข่งขันกับคนมารเช่นกันจะเป็นศัตรูของเขา  มีคนมารอยู่มากมาย  และมารแต่ละคนจะเป็นศัตรูกับมารคนอื่น  ๆ  ความเป็นปรปักษ์กันนี้ลุ่มลึกมากยิ่งขึ้นระหว่างบุคคลระหว่างครอบครัว  ระหว่างสังคม  และในที่สุดระหว่างชาติ  ดังนั้น  จึงมีการต่อสู้กันเสมอทั้งสงครามและความเป็นปรปักษ์มีอยู่ทั่วโลก

มารแต่ละคนคิดว่าตนเองควรมีชีวิตอยู่ด้วยการเสียสละของคนอื่นทั้งหมดโดยทั่วไปคนมารคิดว่าตัวเองเป็นพระผู้เป็นเจ้าสูงสุด  และครูมารสอนสาวกของตนว่า“ทำไมพวกเจ้าเสาะแสวงหาพระเจ้าที่อื่น?  พวกเจ้าทั้งหมดเป็นพระเจ้า!  พวกเจ้าชอบอะไรเจ้าก็ทำได้  อย่าไปเชื่อในพระเจ้า  โยนพระเจ้าทิ้งไปเสีย  พระเจ้าตายแล้ว”  เหล่านี้คือคำสั่งสอนของพวกมาร

ถึงแม้ว่าคนมารเห็นคนอื่นมีความร่ำรวยและมีอิทธิพลเท่า  ๆ  กัน  หรือแม้มากกว่าก็ยังคิดว่าไม่มีผู้ใดรวยไปกว่าตน  และไม่มีผู้ใดมีอิทธิพลมากไปกว่าตน  สำหรับการส่งเสริมไปสู่ระบบดาวเคราะห์ที่สูงกว่า  มารไม่เชื่อในการปฏิบัติ  ยะกยะฺ  หรือการบูชา  เหล่ามารคิดจะผลิตวิธี  ยะกยะฺ  ของตนเอง  และเตรียมเครื่องจักรกลบางอย่างที่จะสามารถนำพาพวกตนไปถึงดาวเคราะห์ที่สูงกว่าดวงใดก็ได้  ตัวอย่างที่ดีของคนมารเช่นนี้คือ  ราวะณะฺ  (ทศกรรณ์)  ผู้เสนอนโยบายแก่ผู้คนว่าจะเตรียมบันไดซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถไปถึงสรวงสวรรค์ได้โดยไม่ต้องปฏิบัติพิธีบูชาดังที่ได้กำหนดไว้ในคัมภีร์พระเวทในทำนองเดียวกัน  ในยุคปัจจุบันคนมารเหล่านี้พยายามไปยังระบบดาวเคราะห์ที่สูงกว่าด้วยการเตรียมเครื่องจักรกล  เหล่านี้คือตัวอย่างแห่งความสับสน  ผลก็คือ  โดยไม่รู้ตัวพวกมารกำลังถลำลงสู่เหวนนรก  ณ  ที่นี้  คำสันสกฤต  โมฮะ-จาละฺ  มีความสำคัญมาก  จาละฺ  หมายความถึง  “แหฺ”  เหมือนกับปลาที่อยู่ในร่างแหไม่มีทางที่จะหลุดออกมาได้

โศลก 17

อาทมะ-สัมบฺาวิทาฮ สทับดฺา
ดฺะนะ-มานะ-มะดานวิทาฮฺ

ยะจันเท นามะ-ยะกไยส เท
ดัมเบฺนาวิดิฺ-พูรวะคัมฺ

อาทมะ-สัมบฺาวิทาฮฺ  -  ความกระหยิ่มใจ, สทับดฺาฮฺ  -  ถือดี, ดฺะนะฺ  -  มานะฺ  -  ทรัพย์สมบัติและเกียรติยศที่ผิด, มะดะฺ  -  ในความหลง, อันวิทาฮฺ  -  ซึมซาบ, ยะจันเทฺ  -  พวกเขาทำพิธีบูชา, นามะฺ  -  เพียงชื่อเท่านั้น, ยะกไยฮฺ  -  ด้วยพิธีบูชา, เทฺ  -  พวกเขา, ดัมเบฺนะฺ  -  ด้วยความหยิ่งยะโส, อวิดิฺ-พูรวะคัมฺ  -  โดยไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใด ๆ

คำแปลฺ

ด้วยความกระหยิ่มใจและถือดีเสมอ  หลงอยู่กับความร่ำรวยและเกียรติยศชื่อเสียงที่ผิด  ๆ  บางครั้งพวกมารกระทำพิธีบูชาด้วยความภาคภูมิใจ  ทำไปเพียงเพื่อให้ได้ชื่อเท่านั้น  แต่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ใด  ๆ

คำอธิบายฺ

คิดว่าตนเองเป็นทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่สนใจกับผู้ที่เชื่อถือได้หรือพระคัมภีร์เหล่ามารบางครั้งปฏิบัติพิธีที่สมมติว่าเป็นพิธีทางศาสนาหรือพิธีการบูชา  เนื่องจากไม่เชื่อในผู้ที่เชื่อถือได้  พวกเขาถือดีมาก  เป็นเช่นนี้เนื่องจากความหลงที่มีสาเหตุมาจากการสะสมทรัพย์สมบัติและเกียรติยศชื่อเสียงที่ผิด  ๆ  บางครั้งมารเหล่านี้แสดงบทเป็นนักเทศน์นำพาผู้คนไปในทางที่ผิด  และมีชื่อเสียงในฐานะนักปฏิรูปทางศาสนา  หรือในฐานะอวตารแห่งพระเจ้า  พวกเขาอวดแสดงพิธีสังเวยบูชาต่าง  ๆ  หรือบูชาเหล่าเทวดา  หรือผลิตพระเจ้าของพวกตนขึ้นมา  คนธรรมดาสามัญโฆษณาว่าตนเองเป็นพระเจ้า  และให้บูชาพวกตน  จากการกระทำของคนโง่เขลาเหล่านี้และยังพิจารณาว่าตนเองเจริญในหลักธรรมแห่งศาสนา  หรือในหลักธรรมแห่งความรู้ทิพย์  นุ่งห่มแบบนักบวชสละโลกแต่ปฏิบัติตัวเหลวใหลนานัปการในคาบนักบวชนี้  อันที่จริงมีกฎข้อห้ามมากมายสำหรับผู้ที่สละโลกแล้ว  อย่างไรก็ดี  เหล่ามารไม่สนใจต่อกฎเกณฑ์เหล่านี้  คิดว่าวิถีทางใดก็แล้วแต่ที่ตนสามารถสร้างขึ้นมาก็เป็นวิถีทางของตนเอง  เพราะไม่มีวิถีทางมาตรฐานที่จะปฏิบัติตาม  คำว่า  อวิดิฺ-พูรวะคัมฺ  หมายความว่า  ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ข้อห้ามต่าง  ๆได้เน้นไว้โดยเฉพาะ  ณ  ที่นี้  สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเสมอเนื่องจากอวิชชาและความหลง

โศลก 18

อฮังคารัม บะลัมดารพัม
คามัม โดรดัฺม ชะ สัมชริทาฮฺ

มาม อาทมะ-พะระ-เดเฮชุ
พรัดวิชันโท ่บฺยะสูยะคาฮฺ

อฮังคารัมฺ  -  อหังการ, บะลัมฺ  -  อำนาจ, ดารพัมฺ  -  ความหยิ่งยะโส, คามัมฺ  -  ราคะ, โครดัฺมฺ  -  ความโกรธ, ชะฺ  -  เช่นกัน, สัมชริทาฮฺ  -  ไปพึ่ง, มามฺ  -  ข้า, อาทมะฺ  -  ในพวกเขาเอง, พะระฺ  -  และในผู้อื่น, เดเฮชฺุ  -  ร่างกาย, พรัดวิชันทะฮฺ  -  หมิ่นประมาท, อับฺยะสูยะคาฮฺ  -  อิจฉาริษยา

คำแปลฺ

สับสนด้วยอหังการ  อำนาจ  ความยโส  ราคะ  และความโกรธ  เหล่ามารอิจฉาริษยาบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  ผู้ทรงประทับอยู่ภายในร่างกายของตนเองและในร่างกายของบุคคลอื่น  ๆ  และหมิ่นประมาทศาสนาที่แท้จริง

คำอธิบายฺ

คนมารต่อต้านความยิ่งใหญ่ขององค์ภควานเสมอ  ไม่เชื่อในพระคัมภีร์  อิจฉาริษยาทั้งพระคัมภีร์และความมีอยู่ของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  สาเหตุก็เนื่องมาจากสิ่งที่สมมติว่าเป็นเกียรติยศ  ทรัพย์สมบัติ  และอำนาจที่ตนสะสม  โดยไม่รู้ว่าชาตินี้เป็นการเตรียมตัวเพื่อชาติหน้า  เมื่อไม่รู้เช่นนี้  อันที่จริงเขาอิจฉาริษยาตนเองรวมทั้งบุคคลอื่น  ๆ  ด้วย  เขาก้าวร้าวต่อร่างกายของผู้อื่นและของตนเอง  ไม่สนใจต่อการควบคุมสูงสุดของบุคลิกภาพแห่งพระเจ้า  เนื่องจากไม่มีความรู้  และจากการอิจฉาริษยาพระคัมภีร์และบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า  เขาโต้เถียงเกี่ยวกับความมีอยู่ขององค์ภควานอย่างผิด  ๆ  และปฏิเสธความเชื่อถือได้ของพระคัมภีร์  คิดว่าตัวเองมีอิสระและมีอำนาจในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง  คิดว่าเนื่องจากไม่มีผู้ใดมีอำนาจ  มีกำลัง  หรือความร่ำรวยเทียบเท่าตนเอง  จึงสามารถทำสิ่งใดก็ได้และจะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งเขาได้  ถ้าหากว่ามีศัตรูผู้อาจตรวจสอบความก้าวหน้าในกิจกรรมสนองประสาทสัมผัสของตน  ก็จะวางแผนใช้อำนาจขจัดศัตรูคนนี้เสีย

โศลก 19

ทาน อฮัม ดวิชะทะฮ ครูราน
สะสาเรชุ นะราดฺะมานฺ

ชิพามิ อจัสรัม อชุบฺาน
อาสุรีชุ เอวะ โยนิชฺุ

ทานฺ  -  เหล่านั้น, อฮัมฺ  -  ข้า, ดวิชะทะฮฺ  -  อิจฉาริษยา, ครูรานฺ  -  มุ่งร้าย, สัมสาเรชฺุ  -  ในมหาสมุทรแห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุ, นะระ-อดฺะมานฺ  -  ต่ำสุดแห่งมนุษยชาติ, คชิพามิฺ  -  ข้าส่ง, อจัสรัมฺ  -  ชั่วกัลปวสาน, อชุบฺานฺ  -  อัปมงคล, อาสุรีชฺุ  -  มาร, เอวะฺ  -  แน่นอน, โยนิชฺุ  -  ในครรภ์

คำแปลฺ

พวกที่อิจฉาริษยาและมุ่งร้ายเป็นผู้ที่ต่ำสุดในหมู่มนุษย์  ข้าโยนพวกเขาไปในมหาสมุทรแห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุ  ไปอยู่ในเผ่าพันธุ์ชีวิตมารต่าง  ๆ  ชั่วกัลปวสาน

คำอธิบายฺ

โศลกนี้  การวางแต่ละปัจเจกวิญญาณไปในเฉพาะร่างเป็นสิทธิพิเศษแห่งความปรารถนาขององค์ภควาน  คนมารอาจไม่ตกลงยอมรับอำนาจสูงสุดขององค์ภควานและเป็นความจริงที่ว่า  เขาอาจกระทำตามความพึงพอใจของตนเอง  แต่ในชาติหน้าจะต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าไม่ใช่ขึ้นอยู่กับตนเอง  ใน  ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ  ภาคสาม  ได้กล่าวไว้ว่า  ปัจเจกวิญญาณหลังจากตายไปจะถูกจับไปอยู่ในครรภ์ของมารดาซึ่งได้รับร่างกายนั้น  ๆ  ภายใต้การควบคุมของพลังอำนาจที่สูงกว่า  ดังนั้น  ในความเป็นอยู่ทางวัตถุ  เราพบเผ่าพันธุ์ชีวิตมากมาย  เช่น  สัตว์  แมลงมนุษย์  ฯลฯ  ทั้งหมดถูกจัดการโดยพลังอำนาจที่สูงกว่า  ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ  สำหรับพวกมารได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน  ณ  ที่นี้ว่า  จะถูกส่งไปอยู่ในครรภ์ของพวกมารชั่วกัลปวสาน  ดังนั้น  พวกเขายังคงเป็นมนุษย์ต่ำสุดที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา  เผ่าพันธุ์คนมารเหล่านี้เต็มไปด้วยราคะ  ความก้าวร้าว  เกลียดชังเสมอ  และสกปรกมาก  นักล่าสัตว์หลายประเภทในป่าถือว่าอยู่ในเผ่าพันธุ์ชีวิตมารเหล่านี้

โศลก 20

อาสุรีม โยนิม อาพันนา
มูดฺา จันมะนิ จันมะนิฺ

มาม อพราพไยวะ คะอุนเทยะ
ทะโท ยานทิ อดฺะมาม กะทิมฺ

อาสุรีมฺ  -  มาร, โยนิมฺ  -  เผ่าพันธุ์, อาพันนาฮฺ  -  ได้รับ, มูดฺาฮฺ  -  คนโง่, จันมะนิ จันมะนิฺ  -  เกิดซ้ำซาก, มามฺ  -  ข้า, อพราพยะฺ  -  โดยไม่บรรลุ, เอวะฺ  -  แน่นอน, คะอุนเทยะฺ  -  โอ้โอรสพระนางคุนที, ทะทะฮฺ  -  หลังจากนั้น, ยานทิฺ  -  ไป, อดฺะมามฺ  -  ลงโทษ, กะทิมฺ  -  จุดหมายปลายทาง

คำแปลฺ

ได้เกิดซ้ำซากในบรรดาเผ่าพันธุ์ชีวิตมาร  โอ้  โอรสพระนางคุนที  บุคคลเหล่านี้ไม่สามารถมาถึงข้า  พวกเขาค่อย  ๆ  จมลงไปอยู่ในชีวิตที่น่ารังเกียจที่สุด

คำอธิบายฺ

ได้รู้กันว่าองค์ภควานทรงมีพระเมตตาธิคุณมาก  แต่  ณ  ที่นี้  เราพบว่าพระองค์ทรงไม่เคยเมตตาต่อเหล่ามาร  ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าพวกมารถูกจับไปอยู่ในครรภ์ของมารคล้าย  ๆ  กันนี้ชาติแล้วชาติเล่า  และไม่ได้รับพระเมตตาจากพระองค์  พวกเขาตกต่ำลง  เพื่อในที่สุดจะได้รับร่างกายคล้ายแมว  สุนัข  และสุกร  ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า  มารเหล่านี้ไม่มีโอกาสได้รับพระเมตตาจากองค์ภควานไม่ว่าในช่วงไหนของชาติต่อๆ  ไป  ในคัมภีร์พระเวทได้กล่าวไว้เช่นกันว่า  บุคคลเหล่านี้ค่อย  ๆ  จมลงไปกลายมาเป็นสุนัขและสุกร  อาจจะเถียงเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า  องค์ภควานไม่ควรโฆษณาว่าทรงมีพระเมตตาเป็นล้นพ้นหากทรงไม่มีเมตตาต่อมารเหล่านี้  การตอบคำถามใน  เวดานธะ-สูทระฺเราพบว่า  องค์ภควานทรงไม่เกลียดชังผู้ใด  การจัดส่งพวกมาร  อสุระฺ  ไปในสภาวะต่ำสุดของชีวิตเป็นเพียงอีกลักษณะหนึ่งแห่งพระเมตตาของพระองค์  บางครั้ง  อสุระฺ  ถูกองค์ภควานสังหาร  แต่การสังหารนี้ก็เป็นสิ่งดีสำหรับพวกเขาเช่นกัน  เพราะในวรรณกรรมพระเวทเราพบว่า  ผู้ใดที่ถูกองค์ภควานสังหารจะกลายมาเป็นผู้หลุดพ้น  มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ของ  อสุระฺ  มากมาย  เช่น  ราวะณะ,  คัมสะ,  ฮิรัณยะคะชิพฺุ  ซึ่งองค์ภควานทรงปรากฏในอวตารต่าง  ๆ  เพียงเพื่อสังหารพวกนี้  ดังนั้น  พระเมตตาขององค์ภควานจึงแสดงให้แก่เหล่า  อสุระฺ  หากพวกเขาโชคดีพอที่ถูกพระองค์สังหาร

โศลก 21

ทริ-วิดัฺม นะระคัสเยดัม
ดวารัม นาชะนัม อาทมะนะฮฺ

คามะฮ โครดัฺส ทะทา โสบัฺส
ทัสมาด เอทัท ทระยัม ทยะเจทฺ

ทริ-วิดัฺมฺ  -  ของสามอย่าง, นะระคัสยะฺ  -  แห่งนรก, อิดัมฺ  -  นี้, ดวารัมฺ  -  ประตู, นาชะนัมฺ  -  ทำลาย, อาทมะนะฮฺ  -  ของตัวเอง, คามะฮฺ  -  ราคะ, โครดฺะฮฺ  -  ความโกรธ, ทะทฺาฺ  -  รวมทั้ง, โลบฺะฮฺ  -  ความโลภ, ทัสมาทฺ  -  ดังนั้น, เอทัทฺ  -  เหล่านี้, ทระยัมฺ  -  สาม, ทยะเจทฺ  -  เขาต้องยกเลิก

คำแปลฺ

มีสามประตูที่จะนำไปสู่นรกนี้  คือ  ราคะ  ความโกรธ  และความโลภ  ทุกคนที่มีสติสัมปชัญญะดีควรละทิ้งสิ่งเหล่านี้เสีย  เพราะมันจะนำพาดวงวิญญาณให้ตกต่ำ

คำอธิบายฺ

จุดเริ่มต้นของชีวิตมารได้อธิบายไว้  ณ  ที่นี้ว่า  เขาพยายามสนองราคะของตนเอง  เมื่อไม่สมประสงค์ก็จะเกิดความโกรธและความโลภ  คนที่มีสติสัมปชัญญะดีและไม่ปรารถนาถลำลงไปสู่เผ่าพันธุ์ชีวิตมาร  ต้องพยายามสลัดทิ้งศัตรูทั้งสามตัวนี้ซึ่งจะมาสังหารตนเอง  จนกระทั่งทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากพันธนาการทางวัตถุนี้ได้

โศลก 22

เอไทร วิมุคทะฮ คะอุนเทยะ
ทะโม-ดวาไรส ทริบิฺร นะระฮฺ

อาชะระทิ อาทมะนะฮ ชเรยัส
ทะโท ยาทิ พะราม กะทิมฺ

เอไทฮฺ  -  จากสิ่งเหล่านี้, วิมุคทะฮฺ  -  หลุดพ้น, คะอุนเทยะฺ  -  โอ้ โอรสพระนางคุนที, ทะมะฮ- ดวาไรฮฺ  -  จากประตูแห่งอวิชชา, ทริบิฺฮฺ  -  สามประตู, นะระฮฺ  -  บุคคล, อาชะระทิฺ  -  ปฏิบัติ, อาทมะนะฮฺ  -  เพื่อตัวเอง, ชะเรยะฮฺ  -  พร, ทะทะฮ-หลังจากนั้น, ยาทิฺ  -  เขาไป, พะราม-สูงสุด, กะทิม-จุดหมายปลายทาง

คำแปลฺ

มนุษย์ผู้หลบหนีประตูทั้งสามที่นำไปสู่นรกนี้ได้  โอ้  โอรสพระนางคุนที  ปฏิบัติสิ่งที่จะนำมาซึ่งความรู้แจ้งแห่งตน  และค่อย  ๆ  บรรลุถึงจุดหมายปลายทางสูงสุด

คำอธิบายฺ

เราควรระวังเป็นอย่างมากเกี่ยวกับศัตรูทั้งสามตัวของชีวิตมนุษย์คือ  ราคะความโกรธ  และความโลภ  บุคคลที่เป็นอิสระจากราคะ  ความโกรธ  และความโลภได้มากเพียงใดความเป็นอยู่ของเขาก็จะบริสุทธิ์มากเพียงนั้น  และจะสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรณกรรมพระเวทได้  จากการปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งชีวิตมนุษย์  เราจะค่อย  ๆ  ยกระดับตนเอง  และค่อย  ๆ  พัฒนามาสู่ระดับแห่งความรู้แจ้งทิพย์  ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้  หากโชคดีพอที่จะเจริญขึ้นมาถึงระดับแห่งคริชณะจิตสำนึกความสำเร็จของเราก็รับประกันได้  ในวรรณกรรมพระเวทมีวิถีทางแห่งการกระทำและผลของการกระทำ  ซึ่งอธิบายเพื่อให้มาถึงระดับแห่งความบริสุทธิ์  วิธีการทั้งหมดมีพื้นฐานอยู่ที่การละทิ้ง  ราคะ  ความโลภ  และความโกรธ  จากการพัฒนาความรู้แห่งวิธีการนี้  เราสามารถพัฒนามาถึงสถานภาพสูงสุดในความรู้แจ้งแห่งตน  ความรู้แจ้งแห่งตนนี้มีความสมบูรณ์อยู่ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้  ในการอุทิศตนเสียสละรับใช้นั้นสามารถรับประกันได้ถึงความหลุดพ้นของพันธวิญญาณ  ดังนั้น  ตามระบบพระเวทมีสถาบันแห่งชีวิตสี่ระดับและสี่อาชีพเรียกว่า  ระบบวรรณะและระบบชีวิตทิพย์  มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันสำหรับวรรณะที่ไม่เหมือนกันหรือระดับของสังคมที่ไม่เหมือนกัน  และหากผู้ใดสามารถปฏิบัติตาม  เขาจะพัฒนามาถึงระดับสูงสุดแห่งความรู้แจ้งทิพย์โดยปริยาย  และจะได้รับความหลุดพ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

โศลก 23

ยะฮ ชาสทระ-วิดิฺม อุทสริจยะ
วารทะเท คามะ-คาระทะฮฺ

นะ สะ สิดดิฺม อวาพโนทิ
นะ สุคัฺม นะ พะราม กะทิมฺ

ยะฮฺ  -  ผู้ใดซึ่ง, ชาสทระ-วิดิฺมฺ  -  กฎของพระคัมภีร์, อุทสริจยะฺ  -  ยกเลิก, วารทะเทฺ  -  ยังคง, คามะฺ  -  คาระทะฮฺ  -  ทำตามอำเภอใจในราคะ, นะฺ  -  ไม่, สะฮฺ  -  เขา, สิดดิฺมฺ  -  ความสมบูรณ์, อวาพโนทิฺ  -  บรรลุ, นะฺ  -  ไม่เคย, สุคัฺมฺ  -  ความสุข, นะฺ  -  ไม่, พะรามฺ  -  สูงสุด, กะทิมฺ  -  ระดับสมบูรณ์

คำแปลฺ

ผู้ที่ยกเลิกคำสั่งสอนของพระคัมภีร์  และทำตามอำเภอใจของตนเอง  จะไม่บรรลุถึงความสมบูรณ์  ความสุข  หรือจุดหมายปลายทางสูงสุด

คำอธิบายฺ

ดังที่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ว่าชาสทระ-วิดิฺฺ  หรือทิศทางของ  ชาสทระฺ  ได้ให้ไว้แก่วรรณะต่าง  ๆ  และระดับต่าง  ๆ  ของสังคมมนุษย์  คาดว่าทุกคนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้  หากไม่ปฏิบัติตามและทำตามอำเภอใจ  ตามราคะ  ความโลภ  และความปรารถนาของตนเองจะไม่มีวันสมบูรณ์ในชีวิต  อีกนัยหนึ่ง  มนุษย์อาจรู้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหลายเหล่านี้ทางทฤษฎี  แต่หากไม่ได้นำไปใช้กับชีวิตของตน  ควรรู้ไว้ว่าเขาเป็นผู้ต่ำสุดของมนุษยชาติ  ในรูปชีวิตมนุษย์  สิ่งมีชีวิตคาดหวังว่าจะมีสติสัมปชัญญะดีพอและปฏิบัติตามกฎที่ให้ไว้เพื่อพัฒนาชีวิตของตนเองไปสู่ระดับสูงสุด  แต่หากไม่ปฏิบัติตามนั้นเท่ากับดึงตัวเองให้ตกต่ำลง  ถ้าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และตามหลักศีลธรรม  แต่ในที่สุดมาไม่ถึงระดับแห่งความเข้าใจองค์ภควาน  ก็เท่ากับความรู้ทั้งหมดสูญเปล่า  และหากยอมรับความมีอยู่ขององค์ภควาน  แต่ไม่ปฏิบัติในการรับใช้พระองค์ความพยายามก็สูญเปล่า  ดังนั้น  เราควรค่อย  ๆ  พัฒนาตนเองมาสู่ระดับแห่งคริชณะจิตสำนึก  และอุทิศตนเสียสละรับใช้  ณ  ตรงนี้  ที่สามารถบรรลุถึงระดับแห่งความสมบูรณ์สูงสุด  ไม่ใช่ไปพัฒนาอย่างอื่น

คำว่า  คามะ-คาระทะฮฺ  สำคัญมาก  บุคคลทั้ง  ๆ  ที่รู้  ยังไปละเมิดกฎคลุกคลีอยู่ในราคะทั้ง  ๆ  ที่รู้  และรู้ว่าสิ่งนี้ต้องห้าม  แต่ก็ยังทำ  เช่นนี้เรียกว่าทำตามอำเภอใจหากรู้ว่าสิ่งนี้ควรทำแต่ไม่กระทำก็เรียกว่าทำตามอำเภอใจ  บุคคลเหล่านี้จะถูกพระองค์ลงโทษในที่สุดและจะไม่สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์ซึ่งหมายไว้สำหรับชีวิตมนุษย์ชีวิตมนุษย์หมายไว้โดยเฉพาะเพื่อทำให้ความเป็นอยู่ของตนเองบริสุทธิ์  หากไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก็จะไม่สามารถทำให้ตนเองบริสุทธิ์และไม่สามารถบรรลุถึงระดับแห่งความสุขที่แท้จริงได้

โศลก 24

ทัสมาช ชฺาสทรัม พระมาณัม เท
คารยาคารยะ-วิยะวัสทิฺโทฺ

กยาทวา ชาสทระ-วิดฺาโนคทัม
คารมะ คารทุม อิฮารฮะสิฺ

ทัสมาทฺ  -  ดังนั้น, ชาสทรัมฺ  -  พระคัมภีร์, พระมาณัมฺ  -  หลักฐาน, เทฺ  -  ของท่าน, คารยะฺ  -  หน้าที่, อคารยะฺ  -  และกิจกรรมต้องห้าม, วิยะวัสทิฺโทฺ  -  ในความมั่นใจ, กยาทวาฺ  -  รู้, ชาสทระฺ  -  ของพระคัมภีร์, วิดฺานะฺ  -  กฎ, อุคทัมฺ  -  ดังที่ประกาศ, คารมะฺ  -  งาน, คารทุมฺ  -  ทำ, อิฮะฺ  -  ในโลกนี้, อารฮะสิฺ  -  เธอควร

คำแปลฺ

ดังนั้น  เขาควรเข้าใจว่าอะไรคือหน้าที่และอะไรไม่ใช่หน้าที่  ด้วยกฎแห่งพระคัมภีร์  เมื่อรู้กฎเกณฑ์เหล่านี้แล้วเขาควรปฏิบัติ  เพื่อตนเองอาจค่อย  ๆ  พัฒนาขึ้น

คำอธิบายฺ

ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทที่สิบห้า  กฎเกณฑ์ทั้งหมดของพระเวทหมายไว้เพื่อให้รู้คริชณะ  หากเข้าใจคริชณะจาก  ภควัต-คีตาฺ  และมาสถิตในคริชณะจิตสำนึก  ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้  เราจะบรรลุถึงความสมบูรณ์สูงสุดแห่งความรู้ที่วรรณกรรมพระเวทเสนอไว้  องค์เชธันญะ  มะฮาพระบํุ  ทรงทำให้วิธีการนี้ง่ายมาก  พระองค์ทรงขอร้องให้ผู้คนเพียงแต่สวดภาวนา  ฮะเร  คริชณะ  ฮะเร  คริชณะ  คริชณะ  คริชณะ  ฮะเรฮะเร/  ฮะเร  รามะ  ฮะเร  รามะ  รามะ  รามะ  ฮะเร  ฮะเร  ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควาน  และรับประทานอาหารที่เหลือหลังจากถวายให้พระปฏิมาแล้ว  ผู้ที่ปฏิบัติกิจกรรมแห่งการอุทิศตนเหล่านี้ทั้งหมดโดยตรง  เข้าใจว่าได้ศึกษาวรรณกรรมพระเวททั้งหมดเรียบร้อยแล้วและมาถึงจุดสรุปอย่างสมบูรณ์  แน่นอนสำหรับบุคคลธรรมดาผู้ไม่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกหรือไม่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้  ต้องให้คำสอนของคัมภีร์พระเวทแนะนำว่าอะไรควรทำ  อะไรไม่ควรทำ  และควรปฏิบัติตามนั้นโดยไม่มีข้อขัดแย้งเช่นนี้เรียกว่าปฏิบัติตามหลักของ  ชาสทระฺ  หรือพระคัมภีร์  ชาสทระฺ  ปราศจากข้อผิดพลาดสำคัญสี่ประการที่ปรากฏในพันธวิญญาณ  คือ  ประสาทสัมผัสไม่สมบูรณ์  ชอบโกง  แน่นอนว่าต้องทำผิด  และแน่นอนว่าต้องอยู่ในความหลง  ข้อบกพร่องหลักสี่ประการในพันธชีวิตนี้  ทำให้เขาไม่มีสิทธิ์มาร่างกฎเกณฑ์ต่าง  ๆ  ดังนั้น  กฎเกณฑ์ต่าง  ๆ  ดังที่ได้อธิบายไว้ใน  ชาสทระฺ  อยู่เหนือข้อบกพร่องเหล่านี้  นักบุญผู้ยิ่งใหญ่  อาชารยะฺ  และดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายยอมรับโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ในประเทศอินเดียมีพวกเข้าใจวิถีทิพย์หลายกลุ่ม  โดยทั่วไปแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ  กลุ่มที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์  และกลุ่มที่เชื่อในรูปลักษณ์  อย่างไรก็ดี  ทั้งสองกลุ่มนี้ใช้ชีวิตตามหลักธรรมพระเวท  ปราศจากการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระคัมภีร์  เราไม่สามารถพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่สมบูรณ์ได้  ดังนั้น  ผู้ที่เข้าใจคำอธิบายของ  ชาสทระฺโดยแท้จริงพิจารณาว่าโชคดี

ในสังคมมนุษย์การไม่ชอบหลักธรรมเพื่อให้เข้าใจบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าเป็นต้นเหตุแห่งการตกต่ำลงทั้งหมด  นั่นคือความผิดอันยิ่งใหญ่ของชีวิตมนุษย์  ฉะนั้น  มายาฺ  หรือพลังงานวัตถุขององค์ภควานสร้างปัญหาให้พวกเราในรูปของความทุกข์สามคำรบเสมอ  พลังงานวัตถุนี้ประกอบด้วยสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ  เราต้องพัฒนาตนเองอย่างน้อยให้มาถึงระดับความดีก่อนที่วิถีทางการเข้าใจองค์ภควานจะเปิดขึ้นปราศจากการพัฒนาตนเองให้มาถึงมาตรฐานระดับความดี  เรายังคงอยู่ในอวิชชาและตัณหาซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิตมาร  พวกที่อยู่ในระดับตัณหาและอวิชชาเยาะเย้ยพระคัมภีร์  เยาะเย้ยบุคคลผู้บริสุทธิ์  และเยาะเย้ยความเข้าใจที่ถูกต้องแห่งองค์ภควาน  พวกเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระอาจารย์ทิพย์  และไม่สนใจต่อกฎเกณฑ์ของพระคัมภีร์ถึงแม้ว่าได้สดับฟังถึงความประเสริฐดีเลิศแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้  ก็ไม่สนใจ  ดังนั้น  พวกเขาจะผลิตวิถีทางเพื่อการพัฒนาของตนเองขึ้นมา  เหล่านี้คือข้อบกพร่องบางประการของสังคมมนุษย์ซึ่งนำไปสู่สภาวะชีวิตมาร  อย่างไรก็ดี  หากได้รับการแนะนำจากพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้และเหมาะสม  ซึ่งสามารถนำเราไปสู่หนทางแห่งความเจริญก้าวหน้า  ไปสู่ระดับที่สูงกว่า  ชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จ

ดังนั้น ได้จบคำอธิบายโดยบัฺคธิเวดันธะ บทที่สิบหกของหนังสือฺ ชรีมัด บฺะกะวัด-กีทา ในข้อหัวเรื่องธรรมชาติทิพย์และธรรมชาติมารฺ