บทที่ สิบห้า
โยคะแห่งองค์ภควาน
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
อูรดฺวะ-มูลัม อดฺะฮ-ชาคัฺม
อัชวัททัฺม พราฮุร อัพยะยัมฺ
ชัฺนดามสิ ยัสยะ พารณานิ
ยัส ทัม เวดะ สะ เวดะ-วิทฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัส, อูรดฺวะ-มูลัมฺ - ด้วยรากอยู่ข้างบน, อดฺะฮฺ - ลงข้างล่าง, ชาคัฺมฺ - แยกแขนง, อัชวัททัฺมฺ - ต้นไทร, พราฮุฮฺ - กล่าวไว้ว่า, อัพยะยัมฺ - อมตะ, ชัฺนดามสิฺ - ในบทมนต์พระเวท, ยัสยะฺ - ซึ่ง, พารณานิฺ - ใบ, ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, ทัมฺ - นั้น, เวดะฺ - รู้, สะฮฺ - เขา, เวดะ-วิทฺ - ผู้รู้พระเวท
คำแปลฺ
บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัสว่า ได้กล่าวไว้ว่า มีต้นไทรที่ไม่มีวันตาย มีรากขึ้นข้างบน และกิ่งก้านสาขาลงข้างล่าง มีใบคือบทมนต์พระเวท ผู้รู้ต้นไม้นี้คือผู้รู้คัมภีร์พระเวท
คำอธิบายฺ
หลังจากที่ได้สนทนากันถึงความสำคัญของ ภักดี-โยคะฺ อาจมีคำถามขึ้นมาว่า “คัมภีร์พระเวทคืออะไร?” ได้อธิบายในบทนี้ว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาคัมภีร์พระเวทคือมาเข้าใจคริชณะ ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในคริชณะจิตสำนึก หรือผู้ปฏิบัติในการอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นผู้รู้คัมภีร์พระเวทเรียบร้อยแล้ว
การพันธนาการของโลกวัตถุนี้เปรียบเทียบกับต้นไทร ณ ที่นี้ สำหรับผู้ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุ ต้นไทรนี้ไม่มีที่สิ้นสุด เขาจะเดินทางจากกิ่งก้านหนึ่งไปสู่อีกกิ่งก้านหนึ่งและไปยังอีกกิ่งก้านหนึ่ง ต้นไม้แห่งธรรมชาติวัตถุนี้ไม่มีจุดจบ และผู้ที่ยึดติดกับต้นไม้นี้จะไม่มีทางหลุดพ้นออกไปได้ บทมนต์พระเวทที่หมายไว้เพื่อพัฒนาตัวเราเป็นใบของต้นไม้นี้ รากของต้นงอกขึ้นข้างบนเนื่องจากรากเหล่านี้เริ่มจากสถานที่ที่พระพรหมทรงประทับอยู่ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์สูงสุดแห่งจักรวาลนี้ หากผู้ใดสามารถเข้าใจต้นไม้แห่งความหลงที่ไม่มีวันถูกทำลายนี้ เขาจึงสามารถออกไปจากมันได้
เราควรเข้าใจวิธีการแก้เพื่อให้หลุดพ้น ในบทก่อน ๆ ได้อธิบายไว้ว่ามีหลายวิธีที่จะให้หลุดออกไปจากพันธนาการทางวัตถุ จนกระทั่งมาถึงบทที่สิบสาม เราพบว่าการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควานเป็นวิธีที่ดีที่สุด บัดนี้ หลักพื้นฐานแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้คือการไม่ยึดติดกับกิจกรรมทางวัตถุ และมายึดมั่นกับการรับใช้ทิพย์ต่อพระองค์ วิธีการที่จะตัดการยึดติดกับโลกวัตถุได้กล่าวไว้ในตอนต้นของบทนี้ รากแห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้งอกขึ้นข้างบน เช่นนี้หมายความว่าเริ่มจากแก่นสารทางวัตถุมวลรวม จากดาวเคราะห์สูงสุดแห่งจักรวาล และจากที่นั่นจักรวาลทั้งหมดขยายออกด้วยสาขาที่แยกแขนงออกมากมายซึ่งมาเป็นระบบดาวเคราะห์ต่าง ๆ ผลทางวัตถุที่ได้รับคือผลลัพธ์แห่งกิจกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น การศาสนา การพัฒนาเศรษฐกิจ การสนองประสาทสัมผัส และความหลุดพ้น
ในโลกนี้ไม่มีประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขาแยกแขนงลงข้างล่าง และมีรากขึ้นข้างบน ต้นไม้ชนิดนี้พบได้ที่ขอบสระน้ำ เราสามารถเห็นต้นไม้นี้สะท้อนอยู่ในน้ำมีกิ่งก้านสาขาแยกลงข้างล่างและรากขึ้นข้างบน อีกนัยหนึ่ง ต้นไม้แห่งโลกวัตถุนี้เป็นเพียงภาพสะท้อนของต้นไม้จริงในโลกทิพย์ การสะท้อนของโลกทิพย์นี้สถิตอยู่ในความปรารถนาเหมือนกับการสะท้อนของต้นไม้สถิตอยู่ในน้ำ ความปรารถนาหรือความต้องการเป็นต้นเหตุของสิ่งต่าง ๆ ที่สถิตในแสงแห่งวัตถุที่สะท้อนมานี้ ผู้ที่ปรารถนาจะออกไปจากความเป็นอยู่ทางวัตถุต้องรู้ถึงต้นไม้นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยการวิเคราะห์ศึกษาเราจึงสามารถตัดความสัมพันธ์จากมันออกไปได้
ต้นไม้ที่เป็นภาพสะท้อนจากของจริงนี้ ถอดแบบออกมาเหมือนกันทุกอย่าง มีทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกทิพย์ พวกที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์คิดว่า บระฮมันฺ เป็นรากของต้นไม้วัตถุนี้ ตามปรัชญา สางคฺยะฺ กล่าวว่าจากรากนี้ พระคริทิ, พุรุชะฺ ออกมา จากนั้นสาม กุณะฺ ออกมา จากนั้นธาตุหยาบทั้งห้า (พันชะ-มะฮา-บํูทะฺ) ออกมา จากนั้นประสาทสัมผัสทั้งสิบ (ดะเชนดริยะฺ) จิตใจ ฯลฯ ดังนี้ พวกเขาแบ่งโลกวัตถุทั้งหมดเป็นยี่สิบสี่ธาตุ หาก บระฮมันฺ เป็นศูนย์กลางของปรากฏการณ์ทั้งหมด โลกวัตถุนี้ก็เป็นปรากฏการณ์ของศูนย์กลาง 180 องศาและอีก 180 องศา เป็นโลกทิพย์ โลกวัตถุเป็นภาพสะท้อนที่กลับตาลปัตร ดังนั้น โลกทิพย์จะต้องมีความหลากหลายเช่นเดียวกัน แต่ในความเป็นจริง พระคริทิฺ เป็นพลังงานเบื้องต่ำขององค์ภควาน และ พุรุชะฺ คือตัวองค์ภควาน นั่นคือคำอธิบายใน ภควัต-คีตาฺ เนื่องจากปรากฏการณ์นี้เป็นวัตถุ จึงไม่ถาวรภาพสะท้อนไม่ถาวรเพราะว่าบางครั้งมองเห็นและบางครั้งมองไม่เห็น แต่ของแท้ที่ทำให้ได้ภาพสะท้อนมานั้นเป็นอมตะ ภาพสะท้อนวัตถุจากต้นไม้จริงจะต้องถูกตัดออก เมื่อกล่าวว่าบุคคลรู้คัมภีร์พระเวทหมายความว่า เขารู้ว่าจะตัดการยึดติดกับโลกวัตถุนี้ให้ออกไปได้อย่างไร หากรู้วิธีการนี้ เขาเป็นผู้รู้คัมภีร์พระเวทโดยแท้จริง ผู้ที่หลงใหลอยู่กับสูตรพิธีกรรมต่าง ๆ ของพระเวทเท่ากับหลงอยู่กับใบสีเขียวอันสวยงามของต้นไม้ โดยไม่รู้จุดมุ่งหมายของคัมภีร์พระเวทอย่างแท้จริง จุดมุ่งหมายของคัมภีร์พระเวทเหมือนดังที่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเปิดเผยคือ ให้ตัดภาพสะท้อนของต้นไม้นี้ออกและบรรลุถึงต้นไม้ที่แท้จริงแห่งโลกทิพย์
อดัฺช โชรดฺวัม พระสริทาส ทัสยะ ชาคฺา
กุณะ-พระวริดดฺา วิชะยะ-พระวาลาฮฺ
อดัฺช ชะ มูลานิ อนุสันทะทานิ
คารมานุบันดีฺนิ มะนุชยะ-โลเคฺ
อดฺะฮฺ - ลงข้างล่าง, ชะฺ - และ, อูรดฺวัมฺ - ขึ้นข้างบน, พระสริทาฮฺ - ขยายออก, ทัสยะฺ - ของมัน, ชา คฺาฮฺ - แยกแขนง, กุณะฺ - โดยระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุ, พระวริดดฺาฮฺ - พัฒนา, วิชะยะฺ - อาตยนะภายนอก, พระวาลาฮฺ - กิ่งก้าน, อดฺะฮฺ - ลงข้างล่าง, ชะฺ - และ, มูลานิฺ - ราก, อนุสันทะทานิฺ - ขยาย, คารมะฺ - งาน, อนุบันดีฺนิฺ - ผูกมัด, มะนุชยะ-โลเคฺ - ในโลกของสังคมมนุษย์
คำแปลฺ
สาขาของต้นไม้นี้แตกแขนงลงข้างล่างและขึ้นข้างบน บำรุงเลี้ยงด้วยสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ กิ่งก้านคืออายตนะภายนอก ต้นไม้นี้มีรากลงข้างล่างเช่นเดียวกัน และถูกพันธนาการอยู่ในการกระทำเพื่อผลทางวัตถุของสังคมมนุษย์
คำอธิบายฺ
ได้อธิบายถึงต้นไทรนี้ต่อไปอีกว่ามีสาขาแยกแขนงออกไปทุกทิศทาง ในส่วนล่างมีปรากฏการณ์อันหลากหลายของสิ่งมีชีวิตเช่น มนุษย์ สัตว์ ม้า วัว สุนัข แมว ฯลฯชีวิตเหล่านี้สถิตในส่วนล่าง ขณะที่ส่วนบนเป็นรูปของสิ่งมีชีวิตที่สูงกว่า เช่น เทวดา กันดฺฺารวะ และเผ่าพันธุ์ชีวิตอื่น ๆ ที่สูงกว่ามากมาย เหมือนกับต้นไม้ที่ได้รับการบำรุงเลี้ยงจากน้ำ ต้นไม้นี้ก็ได้รับการบำรุงเลี้ยงจากสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ บางครั้งเราพบว่าที่ดินผืนนี้แห้งแล้งเนื่องจากมีน้ำไม่เพียงพอ และบางครั้งเราพบว่าที่ดินอีกผืนหนึ่งมีความเขียวชอุ่มมาก ในทำนองเดียวกัน สถานที่ที่ระดับแห่งธรรมชาติวัตถุใดมีอัตราส่วนในปริมาณมากกว่า เผ่าพันธุ์ชีวิตต่าง ๆ ในระดับนั้นก็ปรากฏ
กิ่งก้านของต้นไม้พิจารณาว่าเป็นอายตนะภายนอก จากการพัฒนาระดับต่างๆ แห่งธรรมชาติ เราพัฒนาประสาทสัมผัสต่าง ๆ และจากประสาทสัมผัสเราได้รับความสุขอันหลากหลายจากอายตนะภายนอก ยอดของสาขาต่าง ๆ คือประสาทสัมผัสเช่น หู จมูก ตา ฯลฯ ซึ่งยึดติดอยู่กับความเพลิดเพลินกับอายตนะภายนอก กิ่งก้านคืออายตนะภายนอก เช่น เสียง รูป สัมผัส ฯลฯ รากรองคือความยึดติดและความเกลียดชังซึ่งเป็นผลพลอยได้ของความทุกข์และความสุขทางประสาทสัมผัสอันหลากหลาย แนวโน้มที่จะเป็นคนใจบุญหรือเป็นคนใจบาปพิจารณาว่าพัฒนาจากรากรองเหล่านี้ซึ่งแผ่ขยายไปทุกทิศทาง รากอันแท้จริงมาจาก บระฮมะโลคะฺ และรากอื่น ๆ อยู่ในระบบดาวเคราะห์มนุษย์ หลังจากรื่นเริงกับผลบุญที่ได้ไปอยู่ในระบบดาวเคราะห์ที่สูงกว่าแล้ว เขาจะตกลงมาในโลกนี้และสร้างกรรมหรือกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุต่อไป เพื่อความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุ ดาวเคราะห์ของมนุษย์นี้พิจารณาว่าเป็นสนามแห่งกิจกรรม
นะ รูพัม อัสเยฮะ ทะโทฺพะลับฺยะเท
นานโท นะ ชาดิร นะ ชะ สัมพระทิชทฺาฺ
อัชวัททัฺม เอนัม สุ-วิรูดฺะ-มูลัม
อสังกะ-ชัสเทรณะ ดริเดฺนะ ชิฺทวาฺ
ทะทะฮ พะดัม ทัท พะริมารกิทัพยัม
ยัสมิน กะทา นะ นิวารทันทิ บํูยะฮฺ
ทัม เอวะ ชาดยัม พุรุชัม พระพัดเย
ยะทะฮ พระวริททิฮ พระสริทา พุราณีฺ
นะฺ - ไม่, รูพัมฺ - รูปลักษณ์, อัสยะฺ - ของต้นไม้นี้, อิฮะฺ - ในโลกนี้, ทะทฺาฺ - เช่นกัน, อุพะลับฺยะ เทฺ - สามารถสำเหนียกได้, นะฺ - ไม่เคย, อันทะฮฺ - จบ, นะฺ - ไม่เคย, ชะฺ - เช่นกัน, อาดิฮฺ - เริ่มต้น, นะฺ - ไม่เคย, ชะฺ - เช่นกัน, สัมพระทิชทฺาฺ - รากฐาน, อัชวัททัฺมฺ - ต้นไทร, เอนัมฺ - นี้, สุ- วิรูดฺะฺ - แข็งแรง, มูลัมฺ - ราก, อสังกะ-ชัสเทรณะฺ - ด้วยอาวุธแห่งความไม่ยึดติด, ดริเดฺ นะฺ - แข็งแรง, ชิฺททวาฺ - ตัด, ทะทะฮฺ - หลังจากนั้น, พะดัมฺ - สถานการณ์, ทัทฺ - นั้น, พะริ- มารกิทัพยัมฺ - ต้องค้นหา, ยัสมินฺ - ที่ซึ่ง, กะทาฮฺ - ไป, นะฺ - ไม่เคย, นิวารทันทิฺ - พวกเขากลับมา, บํูยะฮฺ - อีกครั้ง, ทัมฺ - ถึงพระองค์, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - เช่นกัน, อาดยัมฺ - แหล่งกำเนิด, พุรุชัมฺ - องค์ภควาน, พระพัดเยฺ - ศิโรราบ, ยะทะฮฺ - จากผู้ซึ่ง, พระวริททิฮฺ - เริ่มต้น, พระสริทาฺ - ขยายออกไป, พุราณีฺ - โบราณมาก
คำแปลฺ
รูปลักษณ์อันแท้จริงของต้นไม้นี้สำเหนียกไม่ได้ในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจว่ามันจบลงที่ใด เริ่มต้นจากที่ใด หรือรากฐานอยู่ที่ไหน แต่ด้วยความมุ่งมั่น เขาต้องตัดต้นไม้ที่ฝังรากลึกอย่างแข็งแกร่งนี้ด้วยอาวุธแห่งการไม่ยึดติด ดังนั้นเขาต้องแสวงหาสถานที่ที่เมื่อไปถึงแล้วจะไม่กลับมาอีก ณ ที่นั้นเขาศิโรราบต่อบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างขยายออกมาจากพระองค์ตั้งแต่กาลสมัยดึกดำบรรพ์
คำอธิบายฺ
บัดนี้ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่ารูปลักษณ์อันแท้จริงของต้นไทรนี้ไม่สามารถเข้าใจได้ในโลกวัตถุ เนื่องจากรากของมันขึ้นข้างบนและการแผ่ขยายของต้นไม้จริงอยู่อีกด้านหนึ่ง เมื่อถูกพันธนาการด้วยการแพร่ขยายทางวัตถุของต้นไม้ เราไม่สามารถเห็นว่าต้นไม้นี้ขยายออกไปไกลเท่าใด และก็ไม่สามารถเห็นจุดเริ่มต้นของต้นไม้นี้ ถึงกระนั้นเราต้องค้นหาสาเหตุว่า “ข้าเป็นบุตรของบิดา บิดาข้าเป็นบุตรของบุคคลคนนี้ ฯลฯ” จากการค้นหาเช่นนี้จะมาถึงพระพรหมผู้ซึ่ง การโบฺดะคะชายี วิชณฺุ ทรงเป็นผู้ให้กำเนิด ในที่สุดเมื่อมาถึงองค์ภควานงานวิจัยก็เสร็จสิ้น เราต้องค้นหาบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของต้นไม้นี้ ด้วยการคบหาสมาคมกับบุคคลผู้มีความรู้แห่งองค์ภควานนั้น จากความเข้าใจเช่นนี้จะค่อย ๆ ไม่ยึดติดกับภาพสะท้อนที่ผิดซึ่งไม่ใช่ของจริงจากความรู้นี้จึงสามารถตัดขาดความสัมพันธ์กับมันและสถิตอย่างแท้จริงในต้นไม้จริง
คำว่า อสังกะฺ มีความสำคัญมากในประเด็นนี้ เพราะว่าการยึดติดกับความรื่นเริงทางประสาทสัมผัสและความเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุมีความแข็งแกร่งมากฉะนั้น เราต้องเรียนรู้การไม่ยึดติดด้วยการสนทนาศาสตร์ทิพย์ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ที่พระคัมภีร์ที่เชื่อถือได้ และต้องสดับฟังจากบุคคลผู้อยู่ในความรู้จริง ๆ จากผลของการสนทนาในการคบหาสมาคมกับเหล่าสาวกเช่นนี้ เราจะมาถึงบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า สิ่งแรกที่ต้องกระทำคือศิโรราบต่อพระองค์ การบรรยายถึงสถานที่ซึ่งเมื่อไปถึงแล้วจะไม่กลับมายังภาพสะท้อนของต้นไม้ที่ผิด ๆ นี้อีก ได้ให้ไว้ ณ ที่นี้ว่า องค์ภควาน คริชณะทรงเป็นรากเดิมแท้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏออกมา เพื่อให้พระองค์ทรงพระกรุณาเราต้องศิโรราบอย่างเดียว และนี่คือผลแห่งการปฏิบัติอุทิศตนเสียสละรับใช้ด้วยการสดับฟัง การสวดภาวนา ฯลฯ พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งการแผ่ขยายของโลกวัตถุ ซึ่งพระองค์ทรงอธิบายไว้แล้วว่า อฮัม สารวัสยะ พระบฺะวะฮฺ “ข้าคือแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง” ฉะนั้น ในการออกจากพันธนาการของต้นไทรแห่งชีวิตวัตถุที่แข็งแกร่งนี้เราต้องศิโรราบต่อคริชณะ ทันทีที่ศิโรราบต่อคริชณะเราจะไม่ยึดติดกับการแผ่ขยายทางวัตถุนี้โดยปริยาย
นิรมานะ-โมฮา จิทะ-สังกะ-โดชา
อัดฺยาทมะ-นิทยา วินิวริททะ-คามาฮฺ
ดวันดไวร วิมุคทาฮ สุคฺะ-ดุฮคฺะ-สัมกไยร
กัชชัฺนทิ อมูดฺาฮ พะดัม อัพยะยัม ทัทฺ
นิฮฺ - ปราศจาก, มานะฺ - เกียรติยศที่ผิด, โมฮาฮฺ - และความหลง, จิทะฺ - เอาชนะ, สังกะฺ - การคบหาสมาคม, โดชาฮฺ - ความผิด, อัดฺยาทมะฺ - ในความรู้ทิพย์, นิทยาฮฺ - ในความเป็นอมตะ, วินิวริททะฺ - ไม่คบหาสมาคม, คามาฮฺ - จากราคะ, ดวันดไวฮฺ - จากสิ่งคู่, วิมุคทาฮฺ - หลุดพ้น, สุคฺะ-ดุฮคฺะฺ - ความสุขและความทุกข์, สัมกไยฮฺ - ชื่อ, กัชชัฺนทิฺ - บรรลุ, อมูดฺาฮฺ - ไม่สับสน, พะดัมฺ - สถานการณ์, อัพยะยัมฺ - อมตะ, ทัทฺ - นั้น
คำแปลฺ
พวกที่เป็นอิสระจากเกียรติยศที่ผิด ความหลง และการคบหาสมาคมที่ผิด ผู้ที่เข้าใจความเป็นอมตะ จบสิ้นกับราคะทางวัตถุ ผู้เป็นอิสระจากสิ่งคู่แห่งความสุขและความทุกข์ ไม่สับสน รู้ว่าจะศิโรราบต่อองค์ภควานอย่างไรบรรลุถึงอาณาจักรอมตะนั้น
คำอธิบายฺ
วิธีการศิโรราบได้อธิบายไว้อย่างสวยงาม ณ ที่นี้ว่า เราไม่ควรหลงอยู่กับความหยิ่งยะโส เนื่องจากพันธวิญญาณผยองคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติวัตถุจึงเป็นการยากมากที่จะศิโรราบต่อบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า จากการพัฒนาความรู้ที่แท้จริง เราควรรู้ว่าตัวเราไม่ใช่เจ้าแห่งธรรมชาติวัตถุ องค์ภควานทรงเป็นเจ้าของเมื่อเป็นอิสระจากความหลงอันเนื่องมาจากความหยิ่งยะโส เราจะสามารถเริ่มวิธีการศิโรราบ สำหรับผู้ที่คาดหวังเกียรติยศบางอย่างในโลกวัตถุนี้เสมอ เป็นไปไม่ได้ที่จะศิโรราบต่อองค์ภควาน ความหยิ่งยะโสเนื่องมาจากความหลง ถึงแม้ว่าเรามาที่นี่อยู่เพียงระยะเวลาสั้นแล้วต้องจากไป ยังมีความเห็นอย่างโง่ ๆ ว่าเราคือเจ้าโลก ดังนั้น จึงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสับสนและมีปัญหาเสมอ โลกทั้งโลกหมุนไปภายใต้ความรู้สึกเช่นนี้ ผู้คนพิจารณาว่าแผ่นดินและโลกนี้เป็นของสังคมมนุษย์ และได้แบ่งที่ดินภายใต้ความรู้สึกผิด ๆ ว่าพวกตนเป็นเจ้าของ เราต้องออกจากความเห็นที่ผิดนี้ว่าสังคมมนุษย์เป็นเจ้าของโลกใบนี้ เมื่อเป็นอิสระจากความเห็นผิดเช่นนี้ เราจึงเป็นอิสระจากการคบหาสมาคมที่ผิดทั้งหลาย อันเนื่องมาจากความหลงผิดอยู่กับครอบครัว สังคม และประเทศชาติ การคบหาสมาคมที่ผิดเหล่านี้ผูกมัดเราให้อยู่ในโลกวัตถุ หลังจากระดับนี้เราต้องพัฒนาความรู้ทิพย์ ต้องพัฒนาความรู้ว่าอะไรเป็นของตนที่แท้จริง และอะไรไม่ใช่ของตนที่แท้จริง และเมื่อเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงก็จะเป็นอิสระจากแนวคิดที่เป็นสิ่งคู่ทั้งหลายเช่น ความสุขและความทุกข์ ความรื่นเริงและความเจ็บปวด เราจะเปี่ยมไปด้วยความรู้ จากนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะศิโรราบต่อบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า
นะ ทัด บฺาสะยะเท สูรโย
นะ ชะชางโค นะ พาวะคะฮฺ
ยัด กัทวา นะ นิวารทันเท
ทัด ดฺามะ พะระมัม มะมะฺ
นะฺ - ไม่, ทัทฺ - นั้น, บฺาสะยะเทฺ - ส่องแสง, สูรยะฮฺ - ดวงอาทิตย์, นะฺ - ไม่, ชะชางคะฮฺ - ดวงจันทร์, นะฺ - ไม่, พาวะคะฮฺ - ไฟ, ไฟฟ้า, ยัทฺ - ที่ไหน, กัทวาฺ - ไป, นะฺ - ไม่, นิวารทันเทฺ - พวกเขากลับมา, ทัท ดฺามะฺ - สถานที่นั้น, พะระมัมฺ - สูงสุด, มะมะฺ - ของข้า
คำแปลฺ
พระตำหนักสูงสุดของข้านั้นมิใช่สว่างไสวด้วยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ไฟ หรือไฟฟ้า ผู้ที่ไปถึงที่นั่นจะไม่กลับมายังโลกวัตถุนี้อีก
คำอธิบายฺ
โลกทิพย์หรือพระตำหนักของคริชณะบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้ามีชื่อว่า คริชณะ โลคะ โกโลคะ วรินดาวะนะฺ อธิบายไว้ ณ ที่นี้ว่า ในท้องฟ้าทิพย์ไม่จำเป็นต้องมีแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ แสงไฟ หรือไฟฟ้า เพราะว่าดาวเคราะห์ทั้งหมดมีแสงสว่างอยู่ในตัว ในจักรวาลนี้มีดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีแสงอยู่ในตัวคือดวงอาทิตย์ แต่ดาวเคราะห์ในท้องฟ้าทิพย์ทั้งหมดมีแสงสว่างอยู่ในตัว รัศมีที่ส่องออกมาจากดาวเคราะห์ทั้งหมด (ไวคุณธฺะฺ) ประกอบกันเป็นท้องฟ้าที่เจิดจรัสเรียกว่า บระฮมะจโยทิฺ อันที่จริงรัศมีได้สาดส่องออกมาจากดาวเคราะห์ของคริชณะคือ โกโลคะ วรินดาวะนะฺ ส่วนหนึ่งของรัศมีที่สาดส่องออกมานั้นถูก มะฮัท-ทัททวะฺ หรือโลกวัตถุปกคลุม นอกนั้นส่วนใหญ่ของท้องฟ้าที่สาดแสงจะเต็มไปด้วยดาวเคราะห์ทิพย์เรียกว่า ไวคุณธฺะฺ ดวงที่สำคัญที่สุดคือ โกโลคะ วรินดาวะนะฺ
ตราบใดที่สิ่งมีชีวิตยังอยู่ในโลกวัตถุอันมืดมนนี้ เขาต้องติดอยู่ในชีวิตที่ถูกพันธนาการแต่ทันทีที่ไปถึงท้องฟ้าทิพย์ด้วยการตัดต้นไม้ไม่จริงที่กลับตาลปัตรแห่งโลกวัตถุนี้ เขาจะเป็นอิสระและไม่มีโอกาสกลับมาที่นี่อีก ในชีวิตที่ถูกพันธนาการสิ่งมีชิวิตพิจารณาว่าตนเองเป็นเจ้าของแห่งโลกวัตถุนี้ แต่ในระดับหลุดพ้นเขาเข้าไปในอาณาจักรทิพย์อยู่ใกล้ชิดกับองค์ภควาน ณ ที่นั้น เขารื่นเริงอยู่กับความปลื้มปีติสุขนิรันดร มีชีวิตเป็นอมตะ และเปี่ยมไปด้วยความรู้
เราควรยินดีกับข้อมูลนี้ และควรปรารถนาที่จะย้ายตนเองไปยังโลกอมตะนั้น เราควรแก้ไขตนเองให้หลุดพ้นจากภาพสะท้อนที่ผิดไปจากความจริงนี้ สำหรับผู้ที่ยึดติดมากอยู่กับโลกวัตถุ การตัดจากความยึดติดนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก ถ้าหากว่าเราปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกก็จะค่อย ๆ ยึดติดน้อยลง เราต้องคบหาสมาคมกับสาวกผู้อยู่ในคริชณะจิตสำนึก ควรแสวงหาสมาคมที่อุทิศตนให้แก่คริชณะจิตสำนึก และเรียนรู้การปฏิบัติอุทิศตนเสียสละรับใช้ เช่นนี้จะทำให้สามารถตัดความยึดติดกับโลกวัตถุนี้ได้ หากครองผ้าสีส้มเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถทำให้เราตัดความยึดติดกับความหลงใหลในโลกวัตถุได้ เราต้องยึดมั่นกับการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควาน และควรปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างจริงจัง ดังที่ได้อธิบายไว้ในบทที่สิบสอง ซึ่งเป็นวิถีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เราออกไปจากตัวแทนจอมปลอมของต้นไม้จริงนี้ ในบทที่สิบสี่ได้อธิบายถึงวิธีการทั้งหลายของธรรมชาติวัตถุที่ทำให้มีมลทิน ได้กล่าวไว้ว่าการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่านั้นที่เป็นทิพย์อย่างบริสุทธิ์
คำว่า พะระมัม มะมะฺ มีความสำคัญมาก ณ ที่นี้ อันที่จริงทุกซอกทุกมุมเป็นสมบัติขององค์ภควาน แต่โลกทิพย์เป็น พะระมัมฺ ซึ่งเต็มไปด้วยความมั่งคั่งหกประการ คะทฺะ อุพะนิชัดฺ (2.2.15) ยืนยันไว้เช่นกันว่า ในโลกทิพย์ไม่จำเป็นต้องมีแสงอาทิตย์แสงจันทร์ หรือหมู่ดวงดาว (นะ ทะทระ สูรโย บฺาทิ นะ ชันดระ-ทาระคัมฺ ) เนื่องจากพลังงานเบื้องสูงขององค์ภควานส่องแสงสว่างไสวไปทั่วท้องฟ้าทิพย์ทั้งหมด พระตำหนักสูงสุดจะบรรลุได้ด้วยการศิโรราบเท่านั้น มิใช่ด้วยวิธีอื่นใดทั้งสิ้น
มะไมวามโช จีวะ-โลเค
จีวะ-บํูทะฮ สะนาทะนะฮฺ
มะนะฮ-ชัชทฺานีนดริยาณิ
พระคริทิ-สทฺานิ คารชะทิฺ
มะมะฺ - ของข้า, เอวะฺ - แน่นอน, อัมชะฮฺ - ละอองน้อย ๆ, จีวะ-โลเคฺ - ในโลกแห่งชีวิตพันธนาการ, จีวะ-บํูทะฮฺ - พันธชีวิต, สะนาทะนะฮฺ - อมตะ, มะนะฮฺ - ด้วยจิตใจ, ชัชทฺานิฺ - หก, อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, พระคริทิฺ - ธรรมชาติวัตถุ, สทฺานิฺ - สถิต, คารชะทิฺ - ดิ้นรนด้วยความยากลำบาก
คำแปลฺ
สิ่งมีชีวิตในโลกแห่งพันธนาการนี้เป็นละอองน้อย ๆ นิรันดรของข้า เนื่องจากชีวิตที่ถูกพันธนาการ พวกเขาจึงต้องดิ้นรนด้วยความยากลำบากมากกับประสาทสัมผัสทั้งหกซึ่งรวมทั้งจิตใจ
คำอธิบายฺ
โศลกนี้บุคลิกลักษณะของสิ่งมีชีวิตได้ให้ไว้อย่างชัดเจน สิ่งมีชีวิตเป็นละอองน้อย ๆ ขององค์ภควานชั่วกัลปวสาน ไม่ใช่ว่าเราเป็นปัจเจกบุคคลในพันธชีวิตและเมื่อหลุดพ้นแล้วจะมาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เรายังคงเป็นละอองน้อย ๆ ชั่วนิรันดร ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า เป็น สะนาทะฮฺ ตามความเห็นของพระเวท องค์ภควานทรงปรากฏและแบ่งภาคเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ภาคที่แบ่งแยกครั้งแรกเรียกว่า วิชณุ-ทัทท- วะฺ และภาคแบ่งแยกครั้งที่สองคือสิ่งมีชีวิต อีกนัยหนึ่ง วิชณุ-ทัททวะฺ คือภาคแบ่งแยกส่วนพระองค์และสิ่งมีชีวิตเป็นภาคแบ่งแยกที่แยกออกไปจากภาคแบ่งแยกส่วนพระองค์พระองค์ทรงปรากฏในรูปลักษณ์ต่าง ๆ เช่น พระราม นริสิมฮะเดวะ วิชณุมูรทิ และพระปฏิมาผู้ปกครองสูงสุดในดาวเคราะห์ไวคุณธฺะทั้งหมด สิ่งมีชีวิตผู้เป็นภาคแบ่งแยกที่แยกออกมาเป็นผู้รับใช้นิรันดร ภาคแบ่งแยกส่วนพระองค์ของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าซึ่งเป็นปัจเจกบุคคลแห่งองค์ภควานทรงปรากฏอยู่เสมอ ในทำนองเดียวกัน ภาคแบ่งแยกที่แยกออกไปแห่งสิ่งมีชีวิตก็มีบุคลิกลักษณะของตนเองเช่นกัน ในฐานะที่เป็นละอองอณูขององค์ภควาน สิ่งมีชีวิตก็มีคุณสมบัติส่วนน้อย ๆ ของพระองค์ ดังเช่นอิสรภาพก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติ ทุก ๆ ชีวิตในฐานะที่เป็นปัจเจกวิญญาณมีบุคลิกลักษณะส่วนตัวและมีรูปแบบแห่งความเป็นอิสระอยู่เล็กน้อย จากการใช้อิสระภาพไปในทางที่ผิด ทำให้กลายมาเป็นพันธวิญญาณ และจากการใช้อิสรภาพไปในทางที่ถูกจะทำให้เขาหลุดพ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าในกรณีใดปัจเจกวิญญาณมีคุณสมบัติเหมือนกับองค์ภควานชั่วนิรันดรในสภาวะหลุดพ้นเขาเป็นอิสระจากสภาวะทางวัตถุ และอยู่ภายใต้การปฏิบัติรับใช้ทิพย์ต่อองค์ภควาน ในพันธชีวิตเขาถูกสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุครอบงำจนทำให้ลืมการรับใช้ด้วยความรักทิพย์ต่อพระองค์ ผลก็คือต้องดิ้นรนด้วยความยากลำบากเพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นอยู่ในโลกวัตถุ
สิ่งมีชีวิตไม่เฉพาะแต่มนุษย์ แมว และสุนัข แม้แต่บรรดาผู้ควบคุมโลกวัตถุผู้ยิ่งใหญ่ เช่น พระพรหม พระศิวะ หรือแม้แต่พระวิชณุ ทั้งหมดเป็นละอองอณูขององค์ภควาน ทั้งหมดเป็นอมตะไม่ใช่ปรากฏการณ์ชั่วคราว คำว่า คารชะทิฺ (“ดิ้นรน” หรือ“ต่อสู้อย่างหนัก”) มีความสำคัญมาก พันธวิญญาณถูกพันธนาการเหมือนถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน ถูกอหังการล่ามโซ่ และจิตใจเป็นหัวหน้าผู้แทนซึ่งผลักให้เขามีความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้ เมื่อจิตใจอยู่ในระดับความดีกิจกรรมก็ดี แต่เมื่อจิตใจอยู่ในระดับตัณหากิจกรรมจะสร้างปัญหา และเมื่อจิตใจอยู่ในระดับอวิชชาเขาจะเดินทางอยู่ในเผ่าพันธุ์ชีวิตที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ดี ในโศลกนี้ มีความชัดเจนว่า พันธวิญญาณพร้อมทั้งจิตใจและประสาทสัมผัสต่าง ๆ ถูกร่างวัตถุปกคลุม และเมื่อหลุดพ้นแล้วสิ่งปกคลุมทางวัตถุนี้จะสูญสลายไป แต่ร่างทิพย์ของเขาจะปรากฏปัจเจกศักยภาพในตัวเอง มีข้อมูลนี้ใน มาดฺยัน ดินายะนะ-ชรุทิฺ ดังนั้น สะ วา เอชะ บระฮมะ-นิฺชทฺะ อิดัม ชะรีรัม มารทยัม อทิสริจยะ บระฮมาบิฺสัมพัดยะ บระฮมะณา พัชยะทิ บระฮมะณา ชริโณทิ บระฮมะไณเวดัม สารวัม อนุบฺะวะทิฺ ได้กล่าว ณ ที่นี้ว่า เมื่อสิ่งมีชีวิตยกเลิกร่างวัตถุนี้ และเข้าไปในโลกทิพย์เขาฟื้นฟูร่างทิพย์ของตนเอง ในร่างทิพย์เขาสามารถเห็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าซึ่ง ๆหน้า สามารถสดับฟังและพูดกับพระองค์ซึ่ง ๆ หน้าและสามารถเข้าใจ องค์ภควานตามความเป็นจริง จาก สมริทิฺ เช่นกัน เข้าใจว่า วะสันทิ ยะทระ พุรุชาฮ สารเว ไวคุณทธะ- มูรทะยะฮฺ ในดาวเคราะห์ทิพย์ ทุก ๆ ชีวิตอยู่ในร่างกายที่มีลักษณะคล้ายพระวรกายขององค์ภควาน สำหรับโครงสร้างของร่างกายไม่มีข้อแตกต่างระหว่างละอองอณูสิ่งมีชีวิตและภาคแบ่งแยกของ วิชณุ-มูรทิฺ อีกนัยหนึ่ง เมื่อเป็นอิสรภาพสิ่งมีชีวิตจะได้รับร่างทิพย์ด้วยพระกรุณาธิคุณของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า
คำว่า มะไมวามชะฮฺ (“ละอองอณูขององค์ภควาน”) มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน ส่วนน้อย ๆ ขององค์ภควานไม่เหมือนกับส่วนที่แตกหักของวัตถุบางอย่าง เราทราบจากบทที่สองว่า ดวงวิญญาณถูกตัดเป็นชิ้น ๆ ไม่ได้ ละอองน้อย ๆ นี้ไม่สามารถสำเหนียกได้ในเชิงวัตถุ ไม่เหมือนกับวัตถุที่ถูกตัดเป็นชิ้น ๆ และนำมาต่อเข้าด้วยกันอีกครั้งได้ แนวคิดนั้นใช้ไม่ได้ ณ ที่นี้ ได้ใช้คำสันสฤต สะนาทะนะฺ (“อมตะ”) หมายความว่าละอองอณูเป็นอมตะ ได้กล่าวไว้ในตอนต้นของบทที่สองเช่นกันว่า ในแต่ละและทุก ๆปัจเจกร่างกายมีละอองอณูขององค์ภควานปรากฏอยู่ (เดฮิโน ่สมิน ยะทฺา เดเฮฺ) ละอองอณูนั้นเมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการทางร่างกายแล้ว จะฟื้นฟูร่างทิพย์เดิมแท้ของตนในท้องฟ้าทิพย์ภายในดาวเคราะห์ทิพย์และรื่นเริงในการอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ อย่างไรก็ดี เข้าใจได้ ณ ที่นี้ว่าสิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูขององค์ภควาน มีคุณภาพเช่นเดียวกับพระองค์เปรียบเสมือนเศษทองก็เป็นทองเช่นเดียวกัน
ชะรีรัม ยัด อวาพโนทิ
ยัช ชาพิ อุทครามะทีชวะระฮฺ
กริฮีทไวทานิ สัมยาทิ
วายุร กันดฺาน อิวาชะยาทฺ
ชะรีรัมฺ - ร่างกาย, ยัทฺ - ประหนึ่ง, อวาพโนทิฺ - ได้รับ, ยัทฺ - ประหนึ่ง, ชะ-อพิฺ - เช่นกัน, อุทครามะทิฺ - ยกเลิก, อีชวะระฮฺ - เจ้าแห่งร่างกาย, กริฮีทวาฺ - ได้รับ, เอทานิฺ - ทั้งหมดนี้, สัมยาทิฺ - ไป, วายุฮฺ - ลม, กันดฺานฺ - กลิ่น, อิวะฺ - เหมือน, อาชะยาทฺ - จากแหล่งของพวกเขา
คำแปลฺ
สิ่งมีชีวิตในโลกวัตถุนำเอาแนวคิดแห่งชีวิตที่ไม่เหมือนกันจากร่างหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่ง เหมือนกับลมที่นำพาเอากลิ่นไป ดังนั้นเขาจึงรับเอาร่างหนึ่งมา แล้วออกไปเพื่อรับเอาอีกร่างหนึ่ง
คำอธิบายฺ
ณ ที่นี้ อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตเป็น อีชวะระฺ หรือผู้ควบคุมร่างกายของตนเองหากปรารถนาเขาสามารถเปลี่ยนร่างกายให้ได้คุณภาพที่สูงกว่า ในลักษณะเดียวกันก็สามารถย้ายลงไปในชั้นที่ต่ำกว่า เขามีอิสรภาพเพียงเล็กน้อย การเปลี่ยนร่างกายขึ้นอยู่กับตัวเขาเองในขณะตายจิตสำนึกที่สร้างขึ้นมาจะนำพาเขาไปยังร่างต่อไป หากทำให้จิตสำนึกเหมือนกับแมวหรือสุนัข แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนเป็นร่างแมวหรือสุนัข และหากตั้งมั่นจิตสำนึกในคุณสมบัติเทพ เขาจะเปลี่ยนร่างเป็นเทพ และหากอยู่ในคริชณะจิตสำนึกเขาจะย้ายไปยังคริชณะโลคะในโลกทิพย์ และจะอยู่ใกล้กับคริชณะ เป็นการอ้างผิด ๆ ที่ว่าหลังจากร่างกายนี้ถูกทำลายไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นลง อันที่จริงปัจเจกวิญญาณย้ายจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง ร่างกายและกิจกรรมปัจจุบันเป็นพื้นฐานสำหรับร่างต่อไป เราได้รับร่างกายที่ไม่เหมือนกันตามกรรม และต้องออกจากร่างนี้ไปตามกาลเวลา ได้กล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่าร่างละเอียดจะนำพาแนวคิดไปยังร่างต่อไป และพัฒนาอีกร่างหนึ่งในชาติหน้า กรรมวิธีแห่งการเปลี่ยนจากร่างหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่งและดิ้นรนต่อสู้ขณะอยู่ในร่างกายเรียกว่าคารชะทิฺ หรือการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
ชโรทรัม ชัคชุฮ สพารชะนัม ชะ
ระสะนัม กฺราณัม เอวะ ชะฺ
อดิฺชทฺายะ มะนัช ชายัม
วิชะยาน อุพะเสวะเทฺ
ชโรทรัม-หู, ชัคชุฮฺ - ตา, สพะชะนัมฺ - สัมผัส, ชะฺ - เช่นกัน, ระสะนัมฺ - ลิ้น, กฺราณัมฺ - อำนาจในการดมกลิ่น, เอวะฺ - เช่นกัน, ชะฺ - และ, อดิฺชทฺายะฺ - สถิตใน, มะนะฮฺ - จิตใจ, ชะฺ - เช่นกัน, อยัมฺ - เขา, วิชะยานฺ - อายตะนภายนอก, อุพะเสวะเทฺ - รื่นเริง
คำแปลฺ
ดังนั้น สิ่งมีชีวิตได้ร่างหยาบอีกร่างหนึ่ง มีชนิดของหู ตา ลิ้น จมูก และความรู้สึกในการสัมผัสโดยเฉพาะซึ่งรวมกันอยู่รอบ ๆ จิตใจ จากนั้นเขาก็รื่นเริงกับอายตนะภายนอกอีกชุดหนึ่งโดยเฉพาะ
คำอธิบายฺ
อีกนัยหนึ่ง หากสิ่งมีชีวิตเจือปนจิตสำนึกของตนเองกับคุณสมบัติของแมวและสุนัข ในชาติหน้าจะได้รับร่างแมวหรือร่างสุนัข และรื่นเริงกับมัน เดิมทีจิตสำนึกบริสุทธิ์เหมือนน้ำ แต่ถ้าเราผสมน้ำกับสีมันจะเปลี่ยนสี ในทำนองเดียวกัน จิตสำนึกบริสุทธิ์เพราะว่าดวงวิญญาณนั้นบริสุทธิ์ แต่จิตสำนึกเปลี่ยนไปตามที่เรามาใกล้ชิดกับคุณลักษณะทางวัตถุ จิตสำนึกที่แท้จริงคือคริชณะจิตสำนึก ดังนั้น เมื่อสถิตในคริชณะจิตสำนึก เราจะอยู่ในชีวิตที่บริสุทธิ์แห่งตนเอง แต่หากว่าจิตสำนึกเจือปนกับแนวคิดทางวัตถุบางอย่าง ในชาติหน้าเราจะได้รับร่างกายตามนั้น ไม่จำเป็นที่ต้องได้รับร่างมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง เราอาจได้รับร่างแมว ร่างสุนัข ร่างสุกร ร่างเทวดา หรือหนึ่งในหลาย ๆ ร่างเพราะมีถึง 8, 4000, 000 เผ่าพันธุ์
อุทครามันทัม สทิฺทัม วาพิ
บํุนจานัม วา กุณานวิทัมฺ
วิมูดฺา นานุพัชยันทิ
พัชยันทิ กยานะ-ชัคชุชะฮฺ
อุทครามันทัมฺ - ออกจากร่างกาย, สทิฺทัมฺ - สถิตในร่างกาย, วา อพิฺ - ทั้งสอง, บํุนจานัมฺ - รื่นเริง, วาฺ - หรือ, กุณะ-อันวิทัมฺ - ภายใต้มนต์สะกดของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ, วิมูดฺาฮฺ - คนโง่, นะฺ - ไม่เคย, อนุพัชยันทิฺ - สามารถเห็น, พัชยันทิฺ - สามารถเห็น, กยานะ- ชัคชุชะฮฺ - พวกที่มีจักษุแห่งความรู้
คำแปลฺ
คนโง่เขลาไม่สามารถเข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตจะออกจากร่างกายของตนเองได้อย่างไรและก็ไม่สามารถเข้าใจว่าร่างกายชนิดไหนที่เขาจะรื่นเริงภายใต้มนต์สะกดของระดับแห่งธรรมชาติ แต่ผู้มีสายตาที่ได้รับการฝึกฝนในความรู้จะสามารถเห็นทั้งหมดนี้
คำอธิบายฺ
คำว่า กยานะ-ชัคชุชะฮฺ สำคัญมาก ปราศจากความรู้จะไม่สามารถเข้าใจว่า สิ่งมีชีวิตออกจากร่างปัจจุบันได้อย่างไร ร่างกายชนิดไหนที่เขาจะได้รับในชาติหน้าและทำไมจึงมาอยู่ในร่างนี้โดยเฉพาะ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องมีความรู้มากพอสมควรที่เข้าใจมาจาก ภควัต-คีตาฺ และวรรณกรรมคล้ายกันนี้ รวมทั้งสดับฟังมาจากพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือ ผู้ใดที่ได้รับการฝึกฝนให้สำเหนียกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นผู้โชคดี ทุกๆ ชีวิตออกจากร่างของตนภายใต้สถานการณ์เฉพาะ ซึ่งอยู่ภายใต้มนต์สะกดของธรรมชาติวัตถุ ผลก็คือเราได้รับความทรมานต่าง ๆ จากความสุขและความทุกข์ ภายใต้ความหลงแห่งการรื่นรมณ์ในประสาทสัมผัส คนที่โง่อยู่กับราคะและความต้องการอยู่ตลอดเวลา ได้สูญเสียพลังอำนาจในการเข้าใจทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนร่างและการที่ตนเองมาอยู่ในร่างเฉพาะนี้ บุคคลเหล่านี้ไม่สามารถทำความเข้าใจ อย่างไรก็ดี พวกที่ได้พัฒนาความรู้ทิพย์จะสามารถเห็นว่าดวงวิญญาณนั้นแตกต่างจากร่างกายดวงวิญญาณเปลี่ยนร่างและรื่นเริงในวิถีทางต่าง ๆ ผู้มีความรู้เช่นนี้สามารถเข้าใจว่าชีวิตที่ถูกพันธนาการได้รับความทุกข์ทรมานในความเป็นอยู่ทางวัตถุนี้ได้อย่างไร ดังนั้นบุคคลผู้ที่พัฒนาในคริชณะจิตสำนึกอย่างจริงจังพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อแจกจ่ายความรู้นี้แก่ผู้คนโดยทั่วไป เนื่องจากพันธชีวิตมีปัญหามาก เราจึงควรออกไปจากมันและมีคริชณะจิตสำนึกซึ่งจะทำให้ตนเองได้รับอิสรภาพและย้ายไปอยู่โลกทิพย์
ยะทันโท โยกินัช ไชนัม
พัชยันทิ อาทมะนิ อวัสทิฺทัมฺ
ยะทันโท ่พิ อคริทาทมาโน
ไนนัม พัชยันทิ อเชทะสะฮฺ
ยะทันทะฮฺ - ความพยายาม, โยกินะฮฺ - นักทิพย์นิยม, ชะฺ - เช่นกัน, เอนัมฺ - นี้, พัชยินทิฺ - สามารถเห็น, อาทมะนิฺ - ในตัว, อวัสทิฺทัมฺ - สถิต, ยะทันทะฮฺ - พยายาม, อพิฺ - ถึงแม้, อคริทะ-อาทมานะฮฺ - พวกที่ไม่มีความรู้แจ้งแห่งตน, นะฺ - ไม่, เอนัมฺ - นี้, พัชยันทิฺ - เห็น, อเชทะสะฮฺ - มีจิตใจที่ไม่พัฒนา
คำแปลฺ
นักทิพย์นิยมผู้มีความพยายามสถิตในความรู้แจ้งแห่งตนสามารถเห็นทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน แต่พวกที่จิตใจไม่พัฒนาและไม่สถิตในความรู้แจ้งแห่งตนไม่สามารถเห็นว่าอะไรเกิดขึ้นแม้อาจพยายาม
คำอธิบายฺ
มีนักทิพย์นิยมมากมายบนหนทางแห่งความรู้แจ้งแห่งตน แต่ผู้ที่ไม่สถิตในความรู้แจ้งแห่งตน จะไม่สามารถเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร คำว่า โยกินะฮฺ มีความสำคัญในประเด็นนี้ ปัจจุบันมีพวกที่สมมติว่าเป็นโยคีมากมาย และมีสถานที่ที่สมมติว่าเป็นสมาคมของพวกโยคีมากมายเช่นกัน แต่อันที่จริงมืดมนเกี่ยวกับเรื่องความรู้แจ้งแห่งตน พวกเขาเพียงแต่มัวเมาอยู่กับท่าบริหารยิมนาสติกต่าง ๆ และมีความพึงพอใจหากร่างกายสวยงามและสุขภาพดี โดยไม่มีข้อมูลอื่น พวกนี้เรียกว่า ยะทันโท ่พิ อคริทามานะฮฺ ถึงแม้ว่าพยายามในสิ่งที่สมมติว่าเป็นระบบโยคะ แต่จะไม่รู้แจ้งตนเองและไม่สามารถเข้าใจวิธีการเปลี่ยนร่างของดวงวิญญาณ พวกที่อยู่ในระบบโยคะที่แท้จริงเท่านั้น จึงรู้แจ้งตนเอง รู้แจ้งโลก และรู้แจ้งองค์ภควาน อีกนัยหนึ่ง พวก ภักดี-โยคีฺ ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกอย่างบริสุทธิ์ จึงจะเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร
ยัด อาดิทยะ-กะทัม เทโจ
จะกัด บฺาสะยะเท ่คิฺลัมฺ
ยัช ชันดระมะสิ ยัช ชากโน
ทัท เทโจ วิดดิฺ มามะคัมฺ
ยัทฺ - ซึ่ง, อาดิทยะ-กะทัมฺ - ในแสงอาทิตย์, เทจะฮฺ - วิเศษ, จะกัทฺ - ทั่วทั้งโลก, บฺาสะยะ เทฺ - สว่างไสว, อคิฺลัมฺ - ทั้งหมด, ยัทฺ - ซึ่ง, ชันดระมะสิฺ - ในดวงจันทร์, ยัทฺ - ซึ่ง, ชะฺ - เช่นกัน, อักโนฺ - ในไฟ, ทัทฺ - นั้น, เทจะฮฺ - วิเศษ, วิดดิฺฺ - เข้าใจ, มามะคัมฺ - จากข้า
คำแปลฺ
ความวิเศษของดวงอาทิตย์ที่ขจัดความมืดแห่งโลกนี้ทั้งหมดมาจากข้า ความวิเศษของดวงจันทร์และความวิเศษของไฟก็มาจากข้าเช่นกัน
คำอธิบายฺ
ผู้ไม่มีปัญญาไม่สามารถเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เริ่มสถิตในความรู้ด้วยการเข้าใจสิ่งที่องค์ภควานทรงอธิบาย ณ ที่นี้ ทุก ๆ คนเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ คบเพลิง และไฟฟ้า เราควรพยายามเข้าใจว่าความวิเศษของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ไฟฟ้า หรือคบเพลิงมาจากองค์ภควาน แนวคิดแห่งชีวิตเช่นนี้ทำให้จุดเริ่มต้นของคริชณะจิตสำนึกเจริญก้าวหน้าอย่างมหาศาลสำหรับพันธวิญญาณภายในโลกวัตถุนี้โดยเนื้อแท้สิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูขององค์ภควาน ทรงชี้แนะ ณ ที่นี้ว่า พวกเราสามารถกลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควานได้อย่างไร
จากโศลกนี้ เราสามารถเข้าใจว่าดวงอาทิตย์ส่องแสงไปทั่วทั้งระบบสุริยะ มีจักรวาลและระบบสุริยะต่าง ๆ มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หลายดวง และมีดาวเคราะห์มากมายเช่นกัน ซึ่งในแต่ละจักรวาลมีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว ดังที่ได้กล่าวไว้ใน ภควัต-คีตาฺ (10.21) ว่า ดวงจันทร์เป็นหนึ่งในหมู่ดวงดาว (นัคชะทราณาม อฮัม ชะชีฺ)ที่มีแสงอาทิตย์ก็เนื่องมาจากรัศมีทิพย์ในท้องฟ้าทิพย์ขององค์ภควาน เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นกิจกรรมของมนุษย์จึงเริ่มดำเนินขึ้น เราจุดไฟเพื่อปรุงอาหาร จุดไฟเพื่อเริ่มปฏิบัติงานในโรงงาน ฯลฯ ดังนั้น หลายสิ่งหลายอย่างดำเนินไปเนื่องจากการช่วยเหลือของไฟ ฉะนั้น แสงอาทิตย์ แสงไฟ และแสงจันทร์เป็นที่น่าชื่นชมยินดีอย่างมากมายสำหรับสิ่งมีชีวิต หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากสิ่งเหล่านี้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น หากสามารถเข้าใจว่าแสงและความวิเศษของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และไฟออกมาจากคริชณะบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า จากตรงนี้คริชณะจิตสำนึกของเราเริ่มต้นขึ้น จากแสงจันทร์พืชผักทั้งหลายได้รับการบำรุงเลี้ยง แสงจันทร์เป็นที่ชื่นชมยินดีมากจนผู้คนสามารถเข้าใจได้โดยง่ายว่าพวกเรามีชีวิตอยู่ได้ก็เนื่องจากพระเมตตาของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าคริชณะ หากปราศจากพระเมตตาของพระองค์แล้วจะไม่มีดวงอาทิตย์ ปราศจากพระเมตตาของพระองค์จะไม่มีดวงจันทร์ ปราศจากพระเมตตาของพระองค์จะไม่มีไฟ และปราศจากการช่วยเหลือของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และไฟจะไม่มีผู้ใดสามารถมีชีวิตอยู่ได้ เหล่านี้เป็นแนวคิดบางประการที่จะช่วยกระตุ้นคริชณะจิตสำนึกในพันธวิญญาณ
กาม อาวิชยะ ชะ บํูทานิ
ดฺาระยามิ อฮัม โอจะสาฺ
พุชณามิ โชชะดีฺฮ สารวาฮ
โสโม บํูทวา ระสารทมะคะฮฺ
กามฺ - ดาวเคราะห์, อาวิชยะฺ - เข้าไป, ชะฺ - เช่นกัน, บํูทานิฺ - สิ่งมีชีวิต, ดฺาระยามิฺ - ค้ำจุน, อฮัมฺ - ข้า, โอจะสาฺ - ด้วยพลังงานของข้า, พุชณามิฺ - บำรุงเลี้ยง, ชะฺ - และ, โอชะดีฺฮฺ - พวกผัก, สารวาฮฺ - ทั้งหมด, โสมะฮฺ - ดวงจันทร์, บํูทวาฺ - มาเป็น, ระสะ-อาทมะคะฮฺ - ส่งน้ำให้
คำแปลฺ
ข้าเข้าไปในแต่ละดาวเคราะห์ ด้วยพลังงานของข้าทั้งหมดมันจึงโคจรไปรอบตัวข้า กลายมาเป็นดวงจันทร์ที่ส่งน้ำแห่งชีวิตไปให้พืชผักทั้งหลาย
คำอธิบายฺ
เข้าใจว่าดาวเคราะห์ทั้งหมดลอยอยู่ในอากาศได้ก็เนื่องด้วยพลังงานขององค์ภควานเท่านั้น พระองค์เสด็จเข้าไปในทุกๆ อณู ทุกๆ ดาวเคราะห์ และทุกๆ ชีวิต ได้อธิบายไว้ใน บระฮมะ-สัมฮิทา ว่า หนึ่งในภาคแบ่งแยกอันสมบูรณ์ของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า พะระมาทมาฺ ได้เสด็จเข้าไปในดาวเคราะห์ ในจักรวาล ในสิ่งมีชีวิต และแม้แต่ในอณู เนื่องจากพระองค์เสด็จเข้าไป ทุกสิ่งทุกอย่างจึงปรากฏอย่างเหมาะสมเมื่อมีดวงวิญญาณอยู่ในร่าง มนุษย์จึงสามารถลอยอยู่ในน้ำได้ แต่เมื่อละอองชีวิตออกไปจากร่าง ร่างกายจะตายและจมน้ำ แน่นอนว่าเมื่อร่างกายเน่าเปื่อยก็จะลอยขึ้นมาเหมือนกับฟางและสิ่งอื่นๆ แต่ทันทีที่คนตายศพจะจมลงไปในน้ำ ลักษณะเดียวกันดาวเคราะห์ทั้งหมดลอยอยู่ในอวกาศ เป็นเช่นนี้ได้ก็เนื่องจากพลังงานเบื้องสูงขององค์ภควานเข้าไป พลังงานของพระองค์ทรงค้ำจุนแต่ละดาวเคราะห์เหมือนกับฝุ่นในกำมือ หากผู้ใดกำฝุ่นอยู่ในมือ ฝุ่นก็จะไม่หลุดลอยไป แต่หากปาออกไปในอากาศฝุ่นก็จะกระจายตกลงพื้นดิน ทำนองเดียวกัน ดาวเคราะห์เหล่านี้ที่ลอยอยู่ในอากาศ อันที่จริงอยู่ในกำมือของรูปลักษณ์จักรวาลแห่งองค์ภควาน ด้วยพลังและอำนาจของพระองค์สิ่งต่างๆ ทั้งหมดทั้งเคลื่อนที่และไม่เคลื่อนจึงอยู่ในตำแหน่งของตนเอง ได้กล่าวไว้ในบทมนต์พระเวทว่าเนื่องมาจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าดวงอาทิตย์จึงส่องแสง และดาวเคราะห์ต่างๆ จึงเคลื่อนไปอย่างมั่นคง หากพระองค์ทรงไม่ทำเช่นนี้ดาวเคราะห์ทั้งหมดจะกระจัดกระจายเหมือนกับฝุ่นในอากาศและสูญสลายไป ในทำนองเดียวกันเนื่องจากพระองค์ที่ทำให้ดวงจันทร์บำรุงเลี้ยงพืชผักต่างๆ ทั้งหมด และด้วยอิทธิพลของดวงจันทร์พืชผักต่างๆ จึงมีรสอร่อยปราศจากแสงจันทร์พืชผักต่างๆ เจริญเติบโตไม่ได้และจะไม่มีรสชุ่มฉ่่ำ สังคมมนุษย์ดำเนินต่อไป มีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายและรื่นเริงไปกับอาหาร ทั้งหมดนี้เนื่องมาจากองค์ภควานทรงเป็นผู้จัดส่งให้ มิฉะนั้นมนุษยชาติจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ คำว่า ระสาทมะคะฮฺ มีความสำคัญมาก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่อร่อยปากก็เนื่องมาจากผู้แทนขององค์ภควานโดยผ่านทางอิทธิพลของดวงจันทร์
อฮัม ไวชวานะโร บํูทวา
พราณินาม เดฮัม อาชริทะฮฺ
พราณาพานะ-สะมายุคทะฮ
พะชามิ อันนัม ชะทุร-วิดัฺมฺ
อฮัมฺ - ข้า, ไวชวานะระฮฺ - ส่วนอันสมบูรณ์ของข้าที่เป็นไฟสำหรับย่อยอาหาร, บํูทวาฺ - มาเป็น, พราณินามฺ - ของมวลชีวิต, เดฮัมฺ - ในร่างกาย, อาชริทะฮฺ - สถิต, พราณะฺ - ลมหายใจออก, อพานะฺ - ลมลงข้างล่าง, สะมายุคทะฮฺ - รักษาดุลยภาพ, พะชามิฺ - ข้าย่อย, อันนัมฺ - อาหาร, ชะทุฮ-วิดัฺมฺ - สี่ชนิด
คำแปลฺ
ข้าคือไฟในการย่อยอาหารภายในร่างกายของมวลชีวิต และข้าได้ร่วมกับลมปราณแห่งชีวิตทั้งออกและเข้าเพื่อย่อยอาหารสี่ชนิด
คำอธิบายฺ
ตามอยุรเวท ชาสทระฺ เราเข้าใจว่ามีไฟในท้องซึ่งย่อยอาหารทั้งหมดที่ถูกส่งไป เมื่อไฟไม่ร้อนจะไม่มีความหิว เมื่อไฟทำงานเป็นปกติเราจะรู้สึกหิว บางครั้งไฟไม่ทำงานจำเป็นต้องรักษา ในทุกกรณี ไฟนี้คือผู้แทนของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า มันทระ พระเวทฺ (บริฮัด-อารัณยะคะ อุพะนิชัดฺ 5.9.1) ได้ยืนยันไว้เช่นกันว่าองค์ภควานหรือ บระฮมันฺ ทรงสถิตในรูปของไฟภายในท้องและย่อยอาหารทุกชนิด (อยัม อักนิร ไวชวานะโร โย ่ยัม อันทะฮ พุรุเช เยเนดัม อันนัม พัชยะเทฺ) เนื่องจากพระองค์ทรงช่วยในการย่อยอาหารทั้งหมด สิ่งมีชีวิตจึงไม่เป็นอิสระในกรรมวิธีของการรับประทานอาหารหากพระองค์ไม่ทรงช่วยเหลือในการย่อย เราจะไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ดังนั้นพระองค์ทรงเป็นผู้ผลิตและทรงเป็นผู้ย่อยอาหาร และด้วยพระกรุณาของพระองค์ พวกเราจึงได้รื่นเริงกับชีวิตใน เวดานธะ-สูทระฺ (1.2.27) ได้ยืนยันไว้เช่นกันดังนี้ ชับดาดิบฺ โย ่นทะฮ พระทิชทฺานาช ชะฺ องค์ภควานทรงสถิตภายในเสียงและภายในร่างกาย ภายในอากาศ และแม้แต่ภายในท้อง ในรูปของพลังแห่งการย่อย มีอาหารสี่ชนิดคือ ชนิดกลืนชนิดเคี้ยว ชนิดเลีย และชนิดดูด พระองค์ทรงเป็นพลังในการย่อยอาหารทั้งหมด
สารวัสยะ ชาฮัม ฮริดิ สันนิวิชโท
มัททะฮ สมริทิร กยานัม อโพฮะนัม ชะฺ
เวไดช ชะ สารไวร อฮัม เอวะ เวดโย
เวดานธะ-คริด เวดะ-วิด เอวะ ชาฮัมฺ
สารวัสยะฺ - ของมวลชีวิต, ชะฺ - และ, อฮัมฺ - ข้า, ฮริดิฺ - ในหัวใจ, สันนิวิชทะฮฺ - สถิต, มัททะฮฺ - จากข้า, สมริทิฮฺ - ความจำ, กยานัมฺ - ความรู้, อโพฮะนัมฺ - การลืม, ชะฺ - และ, เวไดฮฺ - โดยคัมภีร์พระเวท, ชะฺ - เช่นกัน, สารไวฮฺ - ทั้งหมด, อฮัมฺ - ข้าเป็น, เอวะฺ - แน่นอน, เวดยะฮฺ - สิ่งรู้, เวดานธะ-คริทฺ - ผู้รวบรวมเวดานธะ, เวดะ-วิทฺ - ผู้รู้คัมภีร์พระเวท, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - และ, อฮัมฺ - ข้า
คำแปลฺ
ข้าประทับอยู่ภายในหัวใจของทุกคน ความจำ ความรู้ และการลืม มาจากข้าคัมภีร์พระเวททั้งหมดสอนให้รู้จักข้า แน่นอนว่าข้าคือผู้รวบรวมเวดานธะ และข้าคือผู้รู้คัมภีร์พระเวท
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงสถิตในหัวใจของทุกคนในฐานะ พะระมาทมาฺ จากพระองค์กิจกรรมทั้งหลายจึงเริ่มต้นขึ้น สิ่งมีชีวิตลืมทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตชาติของตนเอง แต่ต้องปฏิบัติตามการชี้นำขององค์ภควานผู้ทรงเป็นพยานในกิจกรรมทั้งหลาย เขาจึงสามารถเริ่มกิจกรรมตามกรรมเก่าได้ ทั้งความรู้และความจำที่จำเป็นได้ให้แก่เขา แล้วเขาก็ลืมเกี่ยวกับอดีตชาติของตนเอง ดังนั้น พระองค์ไม่ทรงเป็นเพียงผู้แผ่กระจายไปทั่วเท่านั้นแต่ยังทรงประทับอยู่ภายในหัวใจของทุกคน พระองค์ทรงให้ผลทางวัตถุต่างๆ เป็นรางวัล ไม่เพียงทรงได้รับการบูชาในฐานะ บระฮมันฺ อันไร้รูปลักษณ์ องค์ภควานและ พะระมาทมาฺ ในหัวใจของทุกคนเท่านั้น แต่ยังทรงได้รับการบูชาในรูปลักษณ์ของอวตารต่าง ๆ ในคัมภีร์พระเวทด้วยเช่นกัน คัมภีร์พระเวทให้ทิศทางที่ถูกต้องแก่ผู้คนเพื่อสามารถหล่อหลอมชีวิตของตนเองอย่างถูกต้องในการกลับคืนสู่องค์ภควานคืนสู่เหย้า คัมภีร์พระเวทให้ความรู้แห่งบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าคริชณะ และ คริชณะในรูปอวตาร วิยาสะเดวะฺ ทรงเป็นผู้รวบรวม เวดานธะ-สูทระฺ คำอธิบาย เวดานธะ-สูทระฺโดย วิยาสะเดวะฺ ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ได้ให้ความเข้าใจที่แท้จริงของ เวดานธะ-สูทระฺองค์ภควานทรงมีความบริบูรณ์ในการจัดส่งพันธวิญญาณ พระองค์ทรงเป็นผู้ส่งอาหารและย่อยอาหาร ทรงเป็นพยานในกิจกรรม และทรงให้ความรู้ในรูปของพระเวท และในฐานะที่เป็นบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ชรีคริชณะทรงสอน ภควัต-คีตาฺ พระองค์ทรงเป็นที่เคารพบูชาของพันธวิญญาณ ดังนั้น พระองค์ทรงดีไปทั้งหมด และทรงมีพระเมตตาธิคุณด้วยประการทั้งปวง
อันทะฮ-พระวิชทะฮ ชาสทา จะนานามฺ สิ่งมีชีวิตลืมทันทีที่ออกจากร่างปัจจุบันไป แต่จะเริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่งซึ่งองค์ภควานทรงเป็นผู้ริเริ่ม ถึงแม้ว่าตนเองลืมพระองค์ทรงให้ปัญญาเพื่อสานต่องานที่จบลงจากชาติก่อน ดังนั้น สิ่งมีชีวิตไม่เพียงแต่รื่นเริงหรือได้รับความทุกข์ในโลกนี้ตามคำสั่งจากองค์ภควานผู้ทรงสถิตในหัวใจแต่ยังได้รับโอกาสเพื่อเข้าใจคัมภีร์พระเวทจากพระองค์ หากเขาจริงจังเกี่ยวกับการเข้าใจความรู้พระเวทคริชณะจะทรงให้ปัญญาที่จำเป็น ทำไมทรงให้ความรู้พระเวทเพื่อการเข้าใจ? เพราะว่าปัจเจกชีวิตจำเป็นต้องเข้าใจคริชณะ วรรณกรรมพระเวทยืนยันไว้ดังนี้ โย ่โส สารไวร เวไดร กียะเทฺ ในวรรณกรรมพระเวททั้งหมดเริ่มจากพระเวททั้งสี่เล่ม เวดานธะ-สูทระ อุพะนิชัดฺ และ พุราณะฺ พระบารมีขององค์ภควานทรงได้รับการสรรเสริญด้วยการปฏิบัติพิธีกรรมทางพระเวท สนทนาปรัชญาพระเวท และบูชาองค์ภควานด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้ แล้วจะบรรลุถึงพระองค์ ดังนั้น จุดมุ่งหมายของคัมภีร์พระเวทคือให้เข้าใจคริชณะ คัมภีร์พระเวทให้ทิศทางแก่เราเพื่อเข้าใจคริชณะและวิธีการเพื่อรู้แจ้งพระองค์ จุดมุ่งหมายสูงสุดคือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า เวดานธะ-สูทระฺ (1.1.4) ยืนยันดังนี้ ทัท ทุ สะมันวะยาทฺ เราสามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์ในสามระดับ จากการเข้าใจวรรณกรรมพระเวทเราจะเข้าใจความสัมพันธ์ของเรากับองค์ภควาน จากการปฏิบัติตามวิธีต่าง ๆ เราสามารถเข้าถึงพระองค์ และในที่สุดเราสามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดซึ่งมิใช่ผู้ใดอื่นนอกจากองค์ภควาน โศลกนี้จุดมุ่งหมายของคัมภีร์พระเวท การเข้าใจคัมภีร์พระเวท และเป้าหมายของคัมภีร์พระเวทได้ให้คำนิยามไว้อย่างชัดเจน
ดวาพ อิโม พุรุโช โลเค
คชะรัช ชาคชะระ เอวะ ชะฺ
คชะระฮ สารวาณิ บํูทานิ
คูทะ-สโทฺ ่คชะระ อุชยะเทฺ
ดโวฺ - สอง, อิโมฺ - เหล่านี้, พุรุโชฺ - สิ่งมีชีวิต, โลเคฺ - ในโลก, คชะระฮฺ - ผิดพลาด, ชะฺ - และ, อัคชะระฮฺ - ไม่ผิดพลาด, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - และ, คชะระฮฺ - ผิดพลาด, สารวาณิฺ - ทั้งหมด, บํูทานิฺ - สิ่งมีชีวิต, คูทะ-สทฺะฮฺ - ในความเป็นหนึ่ง, อัคชะระฮฺ - ไม่ผิดพลาด, อุชยะเทฺ - ได้กล่าวไว้
คำแปลฺ
มีชีวิตอยู่สองประเภท ผิดพลาดและไม่ผิดพลาด ในโลกวัตถุทุกชีวิตผิดพลาดและในโลกทิพย์ทุกชีวิตไม่ผิดพลาด
คำอธิบายฺ
ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วว่าองค์ภควานในรูปอวตาร วิยาสะเดวะฺ ทรงรวบรวม เวดานธะ-สูทระฺ ณ ที่นี้ พระองค์ทรงให้ข้อสรุปของ เวดานธะ-สูทระฺ โดยตรัสว่าสิ่งมีชีวิตซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่ผิดพลาดและกลุ่มที่ไม่ผิดพลาด สิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูที่แยกออกมาจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้านิรันดรเมื่อมาสัมผัสกับโลกวัตถุเรียกว่า จีวะ-บํูทะฺ ได้ให้คำสันสฤต ณ ที่นี้ คชะระฮ สารวาณิ บํูทานิฺ หมายความว่าพวกนี้ผิดพลาด อย่างไรก็ดี พวกที่เป็นหนึ่งเดียวกับองค์ภควานเรียกว่าไม่ผิดพลาด ความเป็นหนึ่งเดียวกันมิได้หมายความว่าไม่ได้เป็นปัจเจกบุคคลหากแต่ไม่มีความแตกแยกกัน ทั้งหมดยอมรับจุดมุ่งหมายแห่งการสร้าง แน่นอนว่าในโลกทิพย์ไม่มีการสร้าง แต่เนื่องจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกมา ดังที่ได้กล่าวไว้ใน เวดานธะ-สูทระฺ จึงได้อธิบายแนวคิดนั้น
ตามข้อความของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์ชรีคริชณะว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่สองกลุ่ม คัมภีร์พระเวทให้หลักฐานนี้จึงไม่มีข้อสงสัย สิ่งมีชีวิตดิ้นรนต่อสู้ในโลกนี้ด้วยจิตใจและประสาทสัมผัสทั้งห้า มีร่างกายวัตถุที่มีการเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่สิ่งมีชีวิตอยู่ในพันธสภาวะ ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงเนื่องจากมาสัมผัสกับวัตถุ เพราะวัตถุเปลี่ยนแปลง ดังนั้น สิ่งมีชีวิตจึงดูเหมือนว่าเปลี่ยนแปลง แต่ในโลกทิพย์ร่างกายมิได้ทำมาจากวัตถุดังนั้นจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในโลกวัตถุสิ่งมีชีวิตผ่านการเปลี่ยนแปลงหกขั้นตอน คือ เกิด เจริญเติบโต คงอยู่ระยะเวลาหนึ่ง สืบพันธุ์ หดตัวลง และสูญสลายไป เหล่านี้คือการเปลี่ยนแปลงของร่างวัตถุ แต่ในโลกทิพย์ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีความชรา ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย ทั้งหมดเป็นอยู่ในความเป็นหนึ่ง คชะระฮ สารวาณิ บํูทานิฺ สิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่มาสัมผัสกับวัตถุเริ่มต้นจากดวงชีวิตแรกคือ พระพรหมลงไปจนถึงมดตัวเล็ก ๆ ร่างกายต้องเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงมีความผิดพลาดอย่างไรก็ดี ในโลกทิพย์ทุกชีวิตเป็นอิสระในความเป็นหนึ่งอยู่เสมอ
อุททะมะฮ พุรุชัส ทุ อันยะฮ
พะระมาทเมทิ อุดาฮริทะฮฺ
โย โลคะ-ทระยัม อาวิชยะ
บิบฺารทิ อัพยะยะ อีชวะระฮฺ
อุททะมะฮฺ - ดีที่สุด, พุรุชะฮฺ - บุคลิกภาพ, ทฺุ - แต่, อันยะฮฺ - อีกผู้หนึ่ง, พะระมะฺ - สูงสุด, อาทมาฺ - ตัวเอง, อิทิฺ - ดังนั้น, อุดาฮริทะฮฺ - กล่าวไว้ว่า, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, โลคะฺ - ของจักรวาล, ทระยัมฺ - สามส่วน, อาวิชยะฺ - เข้าไป, บิบฺารทิฺ - ค้ำจุน, อัพยะยะฮฺ - ไม่มีที่สิ้นสุด, อีชวะ- ระฮฺ - องค์ภควาน
คำแปลฺ
นอกจากสองกลุ่มนี้แล้วยังมีบุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เป็นดวงวิญญาณสูงสุดองค์ภควานผู้ทรงไม่มีวันสูญสลาย ทรงเสด็จเข้าไป และทรงค้ำจุนทั้งสามโลก
คำอธิบายฺ
แนวคิดจักรวาลนี้ได้แสดงไว้อย่างสวยงามมากใน คะทฺะ อุพะนิชัดฺ (2.2.13)และ ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ (6.13) กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตที่นับจำนวนไม่ถ้วนซึ่งบ้างอยู่ในพันธสภาวะและบ้างก็หลุดพ้น ยังมีบุคลิกภาพสูงสุดผู้ทรงเป็น พะระมาทมาฺ โศลกใน อุพะนิชัดฺ กล่าวดังนี้ นิทโย นิทยานาม เชทะ นัช เชทะนา- นามฺ คำอธิบายคือ ในมวลชีวิตทั้งในพันธสภาวะและทั้งหลุดพ้นยังมีอีกหนึ่งบุคลิกภาพสูงสุดองค์ภควานผู้ทรงค้ำจุนพวกเขา และทรงให้สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายเพื่อความรื่นเริงตามแต่กรรมที่ต่างกันไป บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงสถิตในหัวใจของทุกคนในรูป พะระมาทมาฺ ผู้มีปัญญาที่สามารถเข้าใจพระองค์มีสิทธิ์ที่จะบรรลุถึงความสงบอย่างสมบูรณ์ มิใช่บุคคลอื่น
ยัสมาท คชะรัม อทีโท ่ฮัม
อัคชะราด อพิ โชททะมะฮฺ
อโท ่สมิ โลเค เวเด ชะ
พระทิฺทะฮ พุรุโชททะมะฮฺ
ยัสมาทฺ - เพราะว่า, คชะรัมฺ - ผู้ผิดพลาด, อทีทะฮฺ - เป็นทิพย์, อฮัมฺ - ข้าเป็น, อัคชะราทฺ - เหนือผู้ไม่ผิดพลาด, อพิฺ - เช่นกัน, ชะฺ - และ, อุททะมะฮฺ - ดีที่สุด, อทะฮฺ - ดังนั้น, อัสมิฺ - ข้าเป็น, โลเคฺ - ในโลก, เวเดฺ - ในวรรณกรรมพระเวท, ชะฺ - และ, พระทิฺทะฮฺ - มีชื่อเสียง, พุรุชะ-อุททะมะฮฺ - ในฐานะบุคลิกภาพสูงสุด
คำแปลฺ
เพราะว่าข้าเป็นทิพย์อยู่เหนือทั้งผู้ผิดพลาดและผู้ไม่ผิดพลาด และเนื่องจากข้ายิ่งใหญ่ที่สุด ข้าจึงมีชื่อเสียงทั้งในโลกและในคัมภีร์พระเวทในฐานะที่เป็นองค์ภควาน
คำอธิบายฺ
ไม่มีผู้ใดมีความสามารถเกินไปกว่าคริชณะบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ไม่ว่าพันธวิญญาณหรืออิสรวิญญาณ ดังนั้น พระองค์ทรงเป็นบุคลิกภาพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดณ ที่นี้ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ทั้งสิ่งมีชีวิตและองค์ภควานเป็นปัจเจกบุคคล ข้อแตกต่างคือสิ่งมีชีวิตไม่ว่าอยู่ในระดับที่ถูกพันธนาการหรือในระดับที่มีอิสรภาพ ไม่สามารถมีปริมาณเหนือกว่าพลังอำนาจที่ไม่สามารถมองเห็นได้ของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าจึงเป็นการไม่ถูกต้องที่คิดว่าองค์ภควานและสิ่งมีชีวิตอยู่ในระดับเดียวกัน หรือเท่าเทียมกันในทุก ๆ ด้าน จะมีคำถามเกี่ยวกับความสูงกว่าและต่ำกว่าระหว่างบุคลิกภาพเหล่านี้เสมอ คำว่า อุททะมะฺ มีความสำคัญมาก ไม่มีผู้ใดสามารถอยู่เหนือองค์ภควาน
คำว่า โลเคฺ แสดงถึง “ใน โพรุชะ อากะมะฺ (พระคัมภีร์ สมริทิฺ)” ดังที่ยืนยันไว้ในพจนานุกรม นิรุคทิฺ ว่า โลคยะเท เวดารโทฺ ่เนนะฺ “จุดมุ่งหมายของคัมภีร์พระเวทพระคัมภีร์ สมริทิฺ ได้อธิบายไว้”
องค์ภควานในรูปลักษณ์ พะระมาทมาฺ ภายในหัวใจทุกคน ได้อธิบายไว้ในคัมภีร์พระเวทเช่นกัน โศลกเหล่านี้ปรากฏในคัมภีร์พระเวท (ชฺานโดกยะ อุพะนิชัดฺ 8.12.3) ทาวัด เอชะ สัมพระสาโด ่สมาช ชฺะรีราท สะมุททฺายะ พะรัม จโยทิ-รูพัม สัมพัดยะ สเว นะ รูเพณาบิฺนิชพัดยะเท สะ อุททะมะฮ พุรุชะฮฺ “องค์อภิวิญญาณที่ทรงออกมาจากร่างกายแล้วจึงเสด็จเข้าไปใน บระฮมะจโยทิฺ ที่ไร้รูปลักษณ์ จากนั้นด้วยรูปลักษณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงไว้ซึ่งบุคลิกลักษณะทิพย์ ภควานองค์นั้นเรียกว่าบุคลิกภาพสูงสุด” เช่นนี้หมายความว่า บุคลิกภาพสูงสุดทรงแสดงและทรงแพร่กระจายรัศมีทิพย์ของพระองค์ซึ่งเป็นแสงอันเจิดจรัสสูงสุด บุคลิกภาพสูงสุดพระองค์นั้นทรงมีรูปลักษณ์อยู่ภายในหัวใจของทุก ๆ คนด้วยเช่นกันในรูปของ พะระมาทมาฺ จากการอวตารมาเป็นบุตรของ สัทยะวะทีฺ และ พะราชะระฺ องค์ วิยาสะเดวะฺ ทรงอธิบายความรู้พระเวท
โย มาม เอวัม อสัมมูโดฺ
จานาทิ พุรุโชททะมัมฺ
สะ สารวะ-วิด บฺะจะทิ มาม
สารวะ-บฺาเวนะ บฺาระทะฺ
ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, มามฺ - ข้า, เอวัมฺ - ดังนั้น, อสัมมูดฺะฮฺ - ปราศจากความสงสัย, จานาทิฺ - รู้, พุรุชะ-อุททะมัมฺ - บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า, สะฮฺ - เขา, สารวะ-วิทฺ - ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง, บฺะจะทิฺ - ถวายการอุทิศตนเสียสละรับใช้, มามฺ - แด่ข้า, สารวะ-บฺาเวนะฺ - ในทุก ๆด้าน, บฺาระทะฺ - โอ้ โอรสแห่งบฺาระทะ
คำแปลฺ
ผู้ใดรู้จักข้าในฐานะองค์ภควานโดยไม่มีความสงสัยเป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้นเขาปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่ข้าอย่างสมบูรณ์ โอ้ โอรสแห่งบฺาระทะ
คำอธิบายฺ
มีการคาดคะเนทางปรัชญามากมายเกี่ยวกับสถานภาพเดิมแท้ของสิ่งมีชีวิตและสัจธรรมสูงสุด โศลกนี้บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงอธิบายอย่างชัดเจนว่า ผู้ใดรู้ว่าองค์คริชณะทรงเป็นบุคลิกภาพสูงสุดเป็นผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยแท้จริง ผู้รู้ที่ไม่สมบูรณ์ได้แต่คาดคะเนเกี่ยวกับสัจธรรมเรื่อยไป ผู้รู้ที่สมบูรณ์จะไม่เสียเวลาอันมีค่าไป แต่จะปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึกด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานโดยตรงตลอดทั้งเล่มของ ภควัต-คีตาฺ ความจริงนี้ได้เน้นทุก ๆ ขั้นตอน แต่ยังมีนักตีความ ภควัต-คีตาฺ ที่หัวรั้นมากมายพิจารณาว่าสัจธรรมสูงสุดและสิ่งมีชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกันและเหมือนกัน
ความรู้พระเวทเรียกว่า ชรุทิฺ เรียนรู้ด้วยการสดับฟัง เราควรรับสาส์นพระเวทจากผู้ที่เชื่อถือได้อย่างแท้จริง เช่น จากคริชณะและผู้แทนของพระองค์ ณ ที่นี้คริชณะทรงแยกแยะทุกสิ่งทุกอย่างได้งดงามมาก และเราควรสดับฟังจากแหล่งนี้ เพียงแต่สดับฟังเหมือนกับสุกรนั้นไม่เพียงพอ เราต้องเข้าใจจากผู้ที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่เพียงคาดคะเนเชิงวิชาการ แต่เราควรสดับฟัง ภควัต-คีตาฺ ด้วยยอมจำนนว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นรององค์ภควานเสมอ ผู้ใดเข้าใจเช่นนี้ตามบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าชรีคริชณะ เป็นผู้รู้จุดมุ่งหมายของคัมภีร์พระเวท นอกนั้นจะไม่มีใครรู้จุดมุ่งหมายของคัมภีร์พระเวท
คำว่า บฺะจะทิฺ สำคัญมาก มีหลายแห่งได้เน้นคำ บฺะจะทิฺ ในความสัมพันธ์กับการรับใช้องค์ภควาน หากบุคคลปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกในการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควานอย่างสมบูรณ์ เข้าใจได้ว่าเขาเข้าใจความรู้พระเวททั้งหมดใน ไวชณะวะ พะรัมพะราฺ กล่าวไว้ว่า หากผู้ใดปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้แด่คริชณะ ก็ไม่มีความจำเป็นกับวิถีทิพย์อื่นใดเพื่อให้เข้าใจสัจธรรมที่สมบูรณ์สูงสุดเพราะได้มาถึงจุดหมายปลายทางเรียบร้อยแล้ว จากการปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควาน ทำให้เสร็จสิ้นวิธีการพื้นฐานเพื่อความเข้าใจทั้งหมด แต่หากผู้ใดหลังจากคาดคะเนเป็นเวลาร้อย ๆ พัน ๆ ชาติ และมาไม่ถึงจุดที่ว่าคริชณะคือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าและตัวเขาต้องศิโรราบต่อพระองค์ ตรงนี้การคาดคะเนทั้งหมดเป็นเวลาหลายปีและหลายชาติจะเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
อิทิ กุฮยะทะมัม ชาสทรัม
อิดัม อุคทัม มะยานะกฺะฺ
เอทัด บุดดฮวา บุดดิฺมาน สยาท
คริทะ-คริทยัช ชะ บฺาระทะฺ
อิทิฺ - ดังนั้น, กุฮยะ-ทะมัมฺ - ลับสุด, ชาสทรัมฺ - พระคัมภีร์ที่เปิดเผย, อิดัมฺ - นี้, อุคทัมฺ - เปิดเผย, มะยาฺ - โดยข้า, อนะกฺะฺ - โอ้ ผู้ไร้บาป, เอทัทฺ - นี้, บุดดฮวาฺ - เข้าใจ, บุดดิฺฺ - มาน-ปัญญา, สยาทฺ - เขามาเป็น, คริทะ-คริทยะฮฺ - ผู้สมบูรณ์ที่สุดในความพยายามของเขา,ชะ-และ, บฺาระทะ-โอ้ โอรสแห่งบฺาระทะ
คำแปลฺ
โอ้ ผู้ไร้บาป บัดนี้ข้าจะเปิดเผยส่วนลับที่สุดของคัมภีร์พระเวท ผู้ใดเข้าใจจะเป็นผู้มีปัญญา และความพยายามของเขาจะบรรลุผลโดยสมบูรณ์
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงอธิบายอย่างชัดเจน ณ ที่นี้ว่า นี่คือแก่นสารสาระของพระคัมภีร์ที่เปิดเผยทั้งหลาย เราควรเข้าใจตามที่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงประทานให้ แล้วเราจะมีปัญญาและมีความสมบูรณ์ในความรู้ทิพย์ อีกนัยหนึ่ง จากการเข้าใจปรัชญาขององค์ภควานนี้ และปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อพระองค์ ทุกคนสามารถเป็นอิสระจากมลทินทั้งหลายของสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ การอุทิศตนเสียสละรับใช้เป็นวิธีการเพื่อความเข้าใจวิถีทิพย์ ที่ใดที่มีการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ณ ที่นั้นจะไม่มีมลทินทางวัตถุควบคู่กันไป การอุทิศตนเสียสละรับใช้ต่อองค์ภควานและองค์ภควานเองเป็นหนึ่งเดียวกันและเหมือนกัน เนื่องจากทั้งคู่เป็นทิพย์ การอุทิศตนเสียสละรับใช้เกิดขึ้นภายในพลังงานเบื้องสูงของพระองค์ กล่าวไว้ว่า องค์ภควานทรงเป็นดวงอาทิตย์และอวิชชาคือความมืด ที่ใดที่ดวงอาทิตย์ปรากฏจะไม่มีความมืด ดังนั้น เมื่อใดที่มีการอุทิศตนเสียสละรับใช้ภายใต้การนำทางที่ถูกต้องของพระอาจารย์ทิพย์ผู้ที่เชื่อถือได้ก็จะไม่มีอวิชชา
ทุก ๆ คนต้องปฏิบัติคริชณะจิตสำนึกและอุทิศตนเสียสละรับใช้เพื่อให้เกิดปัญญาซึ่งจะทำให้ตนเองบริสุทธิ์ นอกจากมาถึงสถานภาพแห่งการเข้าใจคริชณะและปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้นี้ ไม่ว่าจะชาญฉลาดเพียงใดในการประเมินของสามัญชนทั่วไป เราจะไม่เป็นผู้มีปัญญาโดยสมบูรณ์
คำว่า อนะกฺะฺ ที่ทรงเรียกอารจุนะ มีความสำคัญ อนะกฺะฺ “โอ้ ผู้ไร้บาป”หมายความว่านอกจากเราจะเป็นอิสระจากผลบาปทั้งปวง เป็นการยากมากที่จะเข้าใจคริชณะ เราต้องเป็นอิสระจากมลทินทั้งหลายและกิจกรรมบาปทั้งปวงจึงสามารถเข้าใจคริชณะ แต่การอุทิศตนเสียสละรับใช้จะมีความบริสุทธิ์และมีพลังอำนาจมากจนกระทั่งเมื่อผู้ใดปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้เท่ากับผู้นั้นได้มาถึงระดับแห่งความเป็นผู้ไร้บาปโดยปริยายในทันที
ขณะที่ปฏิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างใกล้ชิดกับเหล่าสาวกผู้บริสุทธิ์ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ มีบางสิ่งบางอย่างจำเป็นที่จะต้องขจัดไปให้หมดสิ้น สิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องข้ามให้พ้นคือความอ่อนแอของหัวใจ การตกลงต่ำประการแรกเนื่องมาจากความปรารถนาที่จะเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุ ที่ทำให้เรายกเลิกการรับใช้ด้วยความรักทิพย์ต่อองค์ภควาน ความอ่อนแอของหัวใจประการที่สองคือ เมื่อแนวโน้มที่อยากเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น เราจะยึดติดกับวัตถุและการเป็นเจ้าของวัตถุ ปัญหาแห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุก็เนื่องมาจากความอ่อนแอของหัวใจเช่นนี้ ในบทนี้ ห้าโศลกแรกอธิบายถึงวิธีการที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากความอ่อนแอของหัวใจเช่นนี้ จากโศลกที่หกถึงโศลกสุดท้าย อธิบายเรื่อง พุรุโชททะมะ-โยกะฺ
ดังนั้น ได้จบคำอธิบายโดยบัฺคธิเวดันธะ บทที่สิบห้าของหนังสือฺ ชรีมัด บฺะกะวัด-กีทา ในหัวข้อเรื่อง พุรุโชททะมะ-โยกะ หรือ โยคะแห่งองค์ภควานฺ