บทที่ สาม
คารมะ-โยกะ
อารจุนะ อุวาชะฺ
จยายะสี เชท คารมะณัส เท
มะทา บุดดฺิร จะนารดะนะฺ
ทัท คิม คารมะณิ โกฺเร มาม
นิโยจะยะสิ เคชะวะฺ
อารจุนะฮ อุวาชะฺ - อารจุนะตรัส, จยายะสีฺ - ดีกว่า, เชทฺ - ถ้าหาก, คารมะณะฮฺ - กว่ากิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุ, เทฺ - โดยพระองค์, มะทาฺ - พิจารณาว่า, บุดดฺิฮฺ - ปัญญา, จะ- นารดะนะฺ - โอ้ คริชณะ, ทัทฺ - ดังนั้น, คิมฺ - ทำไม, คารมะณิฺ - ในการกระทำ, โกฺเรฺ - น่าสะพรึงกลัว, มามฺ - ข้าพเจ้า, นิโยจะยะสิฺ - พระองค์ทรงปฎิบัติอยู่, เคชะวะฺ - โอ้ คริชณะ
คำแปลฺ
อารจุนะตรัสว่า โอ้ จะนารดะนะ โอ้ เคชะวะ ทำไมพระองค์ทรงปรารถนาให้ข้าพเจ้าต่อสู้ในสงครามอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ หากทรงคิดว่าปัญญานั้นดีกว่าการทำงานเพื่อผลทางวัตถุ?
คำอธิบายฺ
บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าชรีคริชณะทรงอธิบายถึงสถานภาพพื้นฐานของดวงวิญญาณอย่างละเอียดในบทที่ผ่านมา ด้วยพระประสงค์ที่จะส่งอารจุนะสหายสนิทของพระองค์ให้ออกจากมหาสมุทรแห่งความทุกข์ทางวัตถุ และทรงแนะนำวิถีแห่งการรู้แจ้งตนเองคือ บุดดฺิ-โยกะฺ หรือคริชณะจิตสำนึก บางครั้งมีผู้เข้าใจผิดคิดว่าคริชณะจิตสำนึกหมายถึงความเฉื่อยชา เกียจคร้าน ผู้ที่เข้าใจผิดเช่นนี้จะปลีกตัวไปอยู่ตามลำพังสวดมนต์ภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ชรีคริชณะเพื่อให้มีคริชณะจิตสำนึกโดยสมบูรณ์ หากว่าไม่ได้รับการฝึกฝนในปรัชญาแห่งคริชณะจิตสำนึกแล้ว ไม่แนะนำให้ไปสวดภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควานโดยลำพัง ซึ่งอาจได้รับการสรรเสริญเยินยอจากประชาชนผู้พาซื่อ อารจุนะทรงคิดเช่นเดียวกันว่าคริชณะจิตสำนึกหรือ บุดดฺิ-โยกะฺ หรือการใช้สติปัญญาในความเจริญก้าวหน้าแห่งความรู้ทิพย์เป็นเสมือนเกษียณจากชีวิตการทำงาน ไปบำเพ็ญเพียรและสมถะอย่างเคร่งครัดในที่โดดเดี่ยว อีกนัยหนึ่ง อารจุนะทรงปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ และใช้ความชำนาญอ้างเอาคริชณะจิตสำนึกมาเป็นข้อแก้ตัว แต่ในฐานะที่เป็นศิษย์ผู้มีความจริงใจ อารจุนะได้วางปัญหาลงต่อหน้าพระอาจารย์ และถามคริชณะว่าควรปฎิบัติอย่างไรจึงจะดีที่สุด ในการตอบคำถามนี้ องค์ชรีคริชณะทรงอธิบาย คารมะ-โยกะฺ หรือการทำงานในคริชณะจิตสำนึกอย่างละเอียดในบทที่สามนี้
วิยามิชเรเณวะ วาคเยนะ
บุดดฺิม โมฮะยะสีวะ เมฺ
ทัด เอคัม วะดะ นิชชิทยะ
เยนะ ชเรโย ‘ฮัม อาพนุยามฺ
วิยามิชเรนะฺ - ด้วยความไม่แน่นอน, อิวะฺ - แน่นอน, วาคเยนะฺ - คำพูด, บุดดฺิมฺ - ปัญญา, โมฮะยะสิฺ - พระองค์ทรงสับสน, อิวะฺ - แน่นอน, เมฺ - ของข้าพเจ้า, ทัดฺ - ดังนั้น, เอคัมฺ - ผู้เดียวเท่านั้น, วะดะฺ - กรุณาตรัส, นิชชิทยะฺ - อย่างชัดเจน, เยนะฺ - ที่ซึ่ง, ชเรยะฮฺ - ประโยชน์อันแท้จริง, อะฮัมฺ - ข้าพเจ้า, อาพนุยามฺ - อาจได้รับ
คำแปลฺ
ปัญญาของข้าพเจ้ารู้สึกสับสนจากคำสั่งสอนที่ไม่แน่นอนของพระองค์ ฉะนั้น ทรงโปรดตรัสอย่างชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับข้าพเจ้า
คำอธิบายฺ
บทที่ผ่านมาเป็นการเริ่มดำเนินเรื่องของ ภควัต-คีตาฺ ได้อธิบายถึงวิธีต่างๆเช่น สางคฺยะ-โยกะ, บุดดฺิ-โยกะฺ หรือการควบคุมประสาทสัมผัสด้วยปัญญา การทำงานโดยไม่ปรารถนาผลทางวัตถุ และสถานภาพของผู้เริ่มฝึกปฎิบัติ ทั้งหมดนี้ได้เสนอไว้อย่างไม่เป็นระบบ วิธีจัดการให้เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เข้าใจและนำไปปฎิบัติได้ ดังนั้น อารจุนะทรงปรารถนาจะขจัดสิ่งที่ดูเหมือนว่ายังสับสนอยู่ และเพื่อบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไปจะได้รับไปปฎิบัติได้อย่างถูกต้อง โดยไม่ตีความหมายอย่างผิด ๆ ถึงแม้ว่าคริชณะทรงไม่ตั้งใจที่จะทำให้อารจุนะรู้สึกสับสนด้วยสำนวนโวหาร อารจุนะทรงไม่สามารถเข้าใจในวิธีการของคริชณะจิตสำนึก ไม่รู้ว่าจะให้อยู่นิ่งเฉยหรือให้ปฎิบัติตนรับใช้ อีกนัยหนึ่งคือคำถามของอารจุนะจะทำให้วิธีการปฎิบัติคริชณะจิตสำนึกชัดเจนขึ้น เพื่อให้นักศึกษาทั้งหลายผู้ที่มีความจริงจังจะได้เข้าใจความเร้นลับของ ภควัต-คีตาฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
โลเค ‘สมิน ดวิ-วิดฺา นิชทฺา
พุรา โพรคทา มะยานะกฺะฺ
กยานะ-โยเกนะ สางคฺยานาม
คารมะ-โยเกนะ โยกินามฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัส, โลเคฺ - ในโลก, อัสมินฺ - นี้, ดวิ- วิดฺาฺ - สองประเภท, นิชทฺาฺ - ความศรัทธา, พุราฺ - อดีต, โพรคทาฺ - ได้กล่าวไว้, มะยาฺ - โดยข้า, อนะกะฺ - โอ้ ผู้ไร้บาป, กยานะ-โยเกนะฺ - โดยวิธีการเชื่อมด้วยความรู้, สางคฺยา- นามฺ - ของปราชญ์ผู้สังเกตุ, คารมะ-โยเกนะฺ - โดยวิธีการเชื่อมด้วยการอุทิศตนเสียสละ, โยกิ นามฺ - ของสาวก
คำแปลฺ
องค์ภควานตรัสว่า โอ้ อารจุนะผู้ไร้บาป ข้าได้อธิบายเรียบร้อยแล้วว่ามีคนอยู่สองประเภทที่พยายามรู้แจ้งตนเอง บางคนมีแนวโน้มที่จะเข้าใจด้วยการสังเกตและคาดคะเนทางปรัชญา และบางคนเข้าใจด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้
คำอธิบายฺ
ในบทที่สอง โศลก 39 องค์ภควานทรงอธิบายไปแล้วสองวิธีคือ สางคฺยะ- โยกะฺ และ คารมะ-โยกะฺ หรือ บุดดฺิ-โยกะฺ ในโศลกนี้องค์ภควานทรงอธิบายเรื่องเดียวกันแต่ว่าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น สางคฺยะ-โยกะฺ หรือการศึกษาด้วยการวิเคราะห์ธรรมชาติของดวงวิญญาณและวัตถุ เป็นเรื่องของผู้ที่มีแนวโน้มในทางคาดคะเนและเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรู้จากการทดลองและปรัชญา บุคคลอีกประเภทหนึ่งทำงานในคริชณะจิตสำนึกดังที่ได้อธิบายไว้ในโศลก 61 ของบทที่สอง องค์ภควานทรงอธิบายในโศลก 39 เช่นกันว่า ด้วยการทำงานตามหลักของ บุดดฺิ-โยกะฺ หรือคริชณะจิตสำนึก เราสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งกรรมได้ ยิ่งไปกว่านั้นจะไม่มีข้อบกพร่องในวิธีการ หลักเดียวกันนี้ได้อธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้นในโศลก 61 ว่า บุดดฺิ-โยกะฺ คือทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับองค์ภควาน (หรือขึ้นอยู่กับคริชณะโดยตรง) ด้วยวิธีนี้ประสาทสัมผัสทั้งหมดสามารถถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้น โยกะฺ ทั้งสองต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเหมือนเช่นศาสนาและปรัชญา ศาสนาที่ไร้ปรัชญาคือความอ่อนไหวทางอารมณ์หรือบางครั้งก็บ้าคลั่ง และปรัชญาที่ไร้ศาสนาคือการคาดคะเนทางจิตใจ จุดมุ่งหายสูงสุดคือคริชณะเพราะนักปราชญ์ผู้ค้นหาสัจธรรมด้วยความจริงใจจะมาจบลงที่คริชณะจิตสำนึก ได้กล่าวไว้ใน ภควัต-คีตาฺ เช่นกันว่า วิธีการทั้งหมดนี้เพื่อให้เข้าใจถึงสถานภาพอันแท้จริงของตัวเราในความสัมพันธ์กับองค์ภควาน วิธีทางอ้อมคือการคาดคะเนทางปรัชญาซึ่งอาจจะค่อย ๆ นำเรามาถึงจุดแห่งคริชณะจิตสำนึก อีกวิธีหนึ่งคือการเชื่อมสัมพันธ์ทุกสิ่งทุกอย่างกับคริชณะในคริชณะจิตสำนึกโดยตรง ทั้งสองวิธีนี้วิธีคริชณะจิตสำนึกจะดีกว่า เพราะว่าไม่ขึ้นอยู่กับการทำให้ประสาทสัมผัสบริสุทธิ์ด้วยวิธีทางปรัชญา คริชณะจิตสำนึกเป็นวิธีการที่มีความบริสุทธิ์อยู่ในตัว ปฎิบัติโดยตรงด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้จึงเป็นวิธีที่ทั้งง่ายและประเสริฐพร้อม ๆ กัน
นะ คารมะณาม อนารัมบฺาน
ไนชคารมยัม พุรุโช 'ชนุเทฺ
นะ ชะ สันนยะสะนาด เอวะ
สิดดฺิม สะมะดฺิกัชชะทีฺ
นะฺ - ไม่, คารมะณามฺ - แห่งหน้าที่ที่กำหนดไว้, อนารัมบฺาทฺ - ด้วยการไม่ปฎิบัติ, ไนชคาร- มยัมฺ - มีอิสระจากผลกรรม, พุรุชะฮฺ - บุคคล, อัชนุเทฺ - บรรลุ, นะฺ - ไม่, ชะฺ - เช่นกัน, สันน ยะสะนาทฺ - ด้วยการเสียสละ, เอวะฺ - เพียงแต่, สิดดฺิมฺ - ประสบผลสำเร็จ, สะมะดฺิกัชชะ ทีฺ - บรรลุ
คำแปลฺ
มิใช่เพียงแต่หยุดทำงานที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากผลกรรม หรือด้วยการเสียสละเพียงอย่างเดียวที่สามารถทำให้เราบรรลุความสมบูรณ์
คำอธิบายฺ
ชีวิตระดับสละโลกรับนำมาปฎิบัติหลังจากจิตใจได้รับความบริสุทธิ์ จากการปฎิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ หน้าที่นี้วางไว้เพื่อทำให้จิตใจของนักวัตถุนิยมบริสุทธิ์ขึ้น หากไร้ซึ่งความบริสุทธิ์การรับเอาชีวิตระดับที่สี่หรือ สันนยาสะฺ มาปฎิบัติอย่างเร่งด่วนนั้นไม่สามารถทำให้เราประสบผลสำเร็จได้ ตามที่นักปราชญ์ชอบทดลองกล่าวว่าเพียงแต่รับเอาชีวิต สันนยาสะฺ หรือเกษียณจากกิจกรรมเพื่อผลทางวัตถุแล้วเราจะดีเทียบเท่ากับพระนารายณ์ทันที หลักการนี้องค์ชรีคริชณะทรงไม่ยอมรับ หากจิตใจยังไม่บริสุทธิ์การอุปสมบทในระดับ สันนยาสะฺ เพียงแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้สังคมเท่านั้น อีกด้านหนึ่ง หากบางคนมีความยินดีปฎิบัติรับใช้ทิพย์ต่อองค์ภควาน ถึงแม้ว่าจะไม่ปฎิบัติตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ ไม่ว่าอะไรที่เขาสามารถทำให้เจริญขึ้นในวิถีทางนี้ องค์ภควานจะทรงรับไว้ (บุดดฺิ-โยกะฺ) สว-อัลพัม อพิ อัสยะ ดฺารมัสยะ ทรายะเท มะฮะโท บฺะยาทฺ แม้แต่การปฎิบัติตนเพียงนิดเดียวในหลักธรรมนี้จะสามารถนำเราให้ข้ามพ้นความยากลำบากอันใหญ่หลวงได้
นะ ฮิ คัชชิท คชะณัม อพิ
จาทุ ทิชทฺะทิ อคารมะ-คริทฺ
คารยะเท ฮิ อวะชะฮ คารมะ
สารวะฮ พระคริทิ-ไจร กุไณฮฺ
นะฺ - ไม่, ฮิฺ - แน่นอน, คัชชิทฺ - ทุกคน, คชะณัมฺ - ชั่วครู่, อพิฺ - เช่นกัน, จาทฺุ - ไม่ว่าในเวลาใด, ทิชทฺะทิฺ - คงอยู่, อคารมะ-คริทฺ - ไม่ทำอะไร, คารยะเทฺ - ถูกบังคับให้ทำ, ฮิฺ - แน่นอน, อวะชะฮฺ - อย่างช่วยไม่ได้, คารมะฺ - งาน, สารวะฮฺ - ทั้งหมด, พระคริทิ-ไจฮฺ - เกิดขึ้นจากระดับของธรรมชาติวัตถุ, กุไณฮฺ - โดยคุณสมบัติ
คำแปลฺ
ทุกคนถูกบังคับให้ทำงานตามคุณสมบัติที่ตนได้รับมา จากระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุอย่างช่วยไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่มีใครสามารถหยุดการกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้แม้แต่เพียงชั่วครู่
คำอธิบายฺ
ไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นธรรมชาติของดวงวิญญาณที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอหากดวงวิญญาณไม่อยู่ภายในร่างกาย ร่างกายก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ร่างกายเป็นเพียงพาหนะที่ไร้ชีวิตจำต้องให้ดวงวิญญาณเป็นผู้สั่งงาน ดวงวิญญาณเป็นผู้ที่มีความตื่นตัวอยู่เสมอไม่สามารถหยุดนิ่งได้แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ดวงวิญญาณควรปฎิบัติงานที่ดีในคริชณะจิตสำนึก มิฉะนั้นดวงวิญญาณจะไปปฎิบัติในอาชีพการงานที่พลังงานแห่งความหลงเป็นผู้บงการ การไปสัมผัสกับพลังงานวัตถุ ดวงวิญญาณจะได้รับระดับแห่งวัตถุเข้ามา และการจะทำให้ดวงวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นจากความผูกพันเช่นนี้ มีความจำเป็นที่จะต้องปฎิบัติหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ใน ชาสทระฺ หากดวงวิญญาณปฎิบัติหน้าที่ตามธรรมชาติของตนในคริชณะจิตสำนึก อะไรก็แล้วแต่ที่สามารถทำได้จะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับตนเอง ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (1.5.17) ยืนยันไว้ดังนี้
ทยัคทวา สวะ-ดฺารมัม ชะระณามบุจัม ฮะเรร
บฺะจันน อพัคโว ‘ทฺะ พะเทท ทะโท ยะดิฺ
ยะทระ ควะ วาบฺะดรัม อบูด อมุชยะ คิม
โค วารทฺะ อาพโท ‘บฺจะทาม สวะ-ดฺารมะทะฮฺ
“หากผู้ใดเริ่มรับเอาคริชณะจิตสำนึกมาปฎิบัติ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ปฎิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในชาสทระฺ หรือไม่ปฎิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้อย่างถูกต้อง และแม้ว่าเขาอาจจะตกลงต่ำกว่ามาตรฐาน เช่นนี้จะไม่สูญเสียและไม่มีความชั่วร้ายสำหรับเขาแต่ถ้าหากว่าเขาปฎิบัติตามคำสั่งสอนของ ชาสทระฺ ทั้งหมดเพื่อความบริสุทธิ์ แล้วไม่มีคริชณะจิตสำนึก ตัวเขาจะได้รับประโยชน์อันใด” ดังนั้น วิธีการที่ทำให้บริสุทธิ์จึงมีความจำเป็นเพื่อที่จะมาถึงจุดแห่งคริชณะจิตสำนึกนี้ ฉะนั้น สันนยาสะฺ หรือวิธีการที่ทำให้บริสุทธิ์อื่นใด ก็เพื่อที่จะช่วยให้เรามาถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดคือมีคริชณะจิตสำนึก ถ้าหากว่ามาไม่ถึงจุดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างถือว่าล้มเหลว
คารเมนดริยาณิ สัมยัมยะ
ยะ อาสเท มะนะสา สมะรันฺ
อินดริยารทฺาน วิมูดฺาทมา
มิทฺยาชาระฮ สะ อุชยะเทฺ
คารมะฺ - อินดริยาณิฺ - อวัยวะประสาทสัมผัสสำหรับทำงานทั้งห้า, สัมยัมยะฺ - ควบคุม, ยะฮฺ - ผู้ใดซึ่ง, อาสเทฺ - ยังคง, มะนะสาฺ - โดยจิตใจ, สมะรันฺ - คิดถึง, อินดริยะ-อารทฺานฺ - รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส, วิมูดฺะฺ - ความโง่, อาทมาฺ - ดวงวิญญาณ, มิทฺยา-อาชาระฮฺ - ผู้เสแสร้ง, สะฮฺ - เขา, อุชยะเทฺ - เรียกว่า
คำแปลฺ
ผู้ที่เหนี่ยวรั้งการทำงานของประสาทสัมผัส แต่ว่าจิตใจยังจดจ่ออยู่ที่ รูป รส กลิ่นเสียง และ สัมผัส แน่นอนว่าเขาเป็นผู้หลอกตัวเอง และได้ชื่อว่าเป็นผู้เสแสร้ง
คำอธิบายฺ
มีผู้เสแสร้งมากมายที่ปฎิเสธการทำงานในคริชะจิตสำนึกแต่จะแสดงท่าว่าเป็นนักปฎิบัติสมาธิ ในขณะที่ความเป็นจริงภายในจิตใจของเขาจดจ่ออยู่ที่ความสุขทางประสาทสัมผัส บางครั้งผู้เสแสร้งเช่นนี้อาจคุยปรัชญาอย่างลม ๆ แล้ง ๆ เพื่อชักชวนศิษย์ผู้สับสนไปในทางที่ผิด ตามโศลกนี้ บุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็นผู้ฉ้อโกงอย่างมหันต์สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมเพื่อความสุขทางประสาทสัมผัส หากว่าเขาปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในระดับสังคมที่ตนเองอยู่ก็จะสามารถค่อย ๆ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่บริสุทธิ์ขึ้น แต่ถ้าเขาอวดตนว่าเป็นโยคีในขณะที่ความเป็นจริงแล้วเขากำลังแสวงหาอายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัส จะต้องถูกเรียกว่าเป็นผู้ฉ้อโกงอย่างมหันต์แม้บางครั้งเขาอาจพูดคุยเกี่ยวกับปรัชญา แต่วิชาความรู้ของเขานั้นไร้คุณค่าเพราะว่าผลแห่งวิชาความรู้ของคนบาปเช่นนี้ได้ถูกพลังงานแห่งความหลงขององค์ภควานยึดเอาไปเสียแล้ว จิตใจของผู้เสแสร้งเช่นนี้จะไม่มีความบริสุทธิ์ ดังนั้น การแสดงออกว่าตนเองเป็นโยคีนักทำสมาธิจะไม่มีคุณค่าอันใดเลย
ยัส ทุ อินดริยาณิ มะนะสา
นิยัมยาระบฺะเท 'รจุนะฺ
คารเมนดริไยฮ คารมะ-โยกัม
อสัคทะฮ สะ วิชิชยะเทฺ
ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, ทฺุ - แต่, อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, มะนะสาฺ - ด้วยจิตใจ, นิยัมยะฺ - ประมาณ, อาระบฺะเทฺ - เริ่มต้น, อารจุนะฺ - โอ้ อารจุนะ, คารมะ-อินดริไยฮฺ - ด้วยอวัยวะประสาทสัมผัสที่ทำงาน, คารมะ-โยกัมฺ - อุทิศตนเสียสละ, อสัคทะฮฺ - ไม่ยึดติด, สะฮฺ - เขา, วิชิชยะ เทฺ - ดีกว่าเป็นไหน ๆ
คำแปลฺ
อีกด้านหนึ่ง ถ้าหากผู้มีความจริงใจพยายามใช้จิตใจควบคุมประสาทสัมผัสที่ตื่นตัว และเริ่มปฎิบัติ คารมะ-โยกะ (ในคริชณะจิตสำนึก) โดยไม่ยึดติด บุคคลเช่นนี้สูงส่งกว่าเป็นไหน ๆ
คำอธิบายฺ
แทนที่จะมาเป็นนักทิพย์นิยมจอมปลอมเพื่อมีชีวิตอยู่อย่างสำมะเลเทเมาและแสวงหาความสุขทางประสาทสัมผัส สู้อยู่ในธุรกิจของตนเองและปฎิบัติตามจุดมุ่งหมายของชีวิตเพื่อให้ได้รับอิสรภาพจากพันธนาการทางวัตถุ และบรรลุถึงอาณาจักรแห่งองค์ภควานจะดีกว่าเป็นไหน ๆ สวารทฺะ-กะทิฺ หรือจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์แห่งตน คือบรรลุถึงพระวิชณุ การวางรูปแบบสถาบัน วารณะฺ และ อาชระมะฺ ทั้งหมดเพื่อช่วยให้เราบรรลุถึงจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตนี้ คฤหัสถ์ก็สามารถบรรลุถึงจุดหมายปลายทางนี้ได้เช่นเดียวกัน ด้วยการประมาณการปฎิบัติรับใช้ในคริชณะจิตสำนึกเพื่อความรู้แจ้งแห่งตน เราสามารถใช้ชีวิตอยู่แบบควบคุมได้ดังที่ได้อธิบายไว้ใน ชาสทระฺ ดำเนินธุรกิจของตนต่อไปโดยไม่ยึดติด และเจริญก้าวหน้าด้วยวิธีนี้ ผู้ที่มีความจริงใจปฎิบัติตามวิธีนี้สถิตในสถานภาพที่ดีกว่าผู้เสแสร้งจอมปลอมที่อวดอ้างตนเองว่าเป็นนักทิพย์นิยมเพื่อหลอกลวงประชาชนผู้พาซื่อโดยทั่วไปเป็นไหน ๆ คนกวาดถนนผู้มีความจริงใจยังดีกว่านักปฎิบัติธรรมจอมปลอมที่ทำสมาธิเพียงเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น
นิยะทัม คุรุ คารมะ ทวัม
คารมะ จยาโย ฮิ อคารมะณะฮฺ
ชะรีระ-ยาทราพิ ชะ เท
นะ พระสิดดฺเยด อคารมะณะฮฺ
นิยะทัมฺ - กำหนด, คุรฺุ - ทำ, คารมะฺ - หน้าที่, ทวัมฺ - ท่าน, คารมะฺ - งาน, จยายะฮฺ - ดีกว่า, ฮิฺ - แนน่นอน, อคารมะณะฮฺ - ดีกว่าไม่ทำงาน, ชะรีระฺ - ร่างกาย, ยาทราฺ - รักษา, อพิฺ - แม้, ชะฺ - เช่นกัน, เทฺ - ของท่าน, นะฺ - ไม่เคย, พระสิดดฺเยทฺ - มีผล, อคารมะณะฮฺ - ไม่ทำงาน
คำแปลฺ
จงปฎิบัติหน้าที่ของเธอที่ได้กำหนดไว้ การกระทำเช่นนี้ดีกว่าไม่ทำงาน เราไม่สามารถแม้แต่จะดำรงรักษาร่างกายนี้ไว้ได้โดยไม่ทำงาน
คำอธิบายฺ
มีนักปฎิบัติสมาธิจอมปลอมมากมายที่อวดอ้างตนอย่างผิด ๆ ว่าตนเองอยู่ในตระกูลสูง และมีบุคคลผู้มีอาชีพสูงอวดอ้างอย่างผิด ๆ ว่าตนเองได้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเห็นแก่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์ องค์ชรีคริชณะทรงไม่ปรารถนาให้อารจุนะมาเป็นผู้เสแสร้ง แต่พระองค์ทรงปรารถนาให้มาปฏิบัติหน้าที่ที่กำหนดไว้สำหรับกษัตริย์ อารจุนะทรงเป็นคฤหัสถ์และเป็นขุนพล ดังนั้น จึงเป็นการดีที่จะดำรงรักษาตำแหน่งนี้ไว้ และปฎิบัติหน้าที่ทางศาสนาที่กำหนดไว้สำหรับกษัตริย์ในฐานะคฤหัสถ์กิจกรรมเช่นนี้จะชะล้างจิตใจของบุคคลทางโลกให้ค่อย ๆ สะอาดขึ้น และมีอิสระจากมลทินทางวัตถุ สิ่งที่อ้างว่าเป็นการเสียสละที่ทำไปเพื่อหาเลี้ยงชีพ องค์ภควานหรือแม้แต่พระคัมภีร์ของศาสนาใด ๆ ก็ไม่เห็นด้วย แต่ว่าเราจะต้องทำงานบางอย่างเพื่อดำรงรักษาร่างกายและดวงวิญญาณนี้ให้อยู่ด้วยกัน จึงไม่ควรยกเลิกงานตามอำเภอใจโดยไม่มีการชะล้างนิสัยทางวัตถุให้บริสุทธิ์ขึ้น ไม่ว่าใครที่อยู่ในโลกวัตถุจะต้องมีนิสัยที่ไม่บริสุทธิ์ อยากเป็นเจ้าเหนือธรรมชาติวัตถุหรืออยากสนองประสาทสัมผัสของตนเองอย่างแน่นอน นิสัยที่ไม่ดีเช่นนี้ต้องทำให้บริสุทธิ์ขึ้นด้วยการปฎิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้หากไม่ทำเช่นนี้เราไม่ควรพยายามอวดอ้างว่าเป็นนักทิพย์นิยมที่ยกเลิกกิจการงานและยังชีพอยู่ด้วยค่าใช้จ่ายของคนอื่น
ยะกยารทฺาท คารมะโณ ‘นยะทระ
โลโค ‘ยัม คารมะ-บันดฺะนะฮฺ
ทัด-อารทฺัม คารมะ คะอุนเทยะ
มุคทะ-สังกะฮ สะมาชะระฺ
ยะกยะ-อารทฺาทฺ - ทำไปเพื่อยะกยะฺ หรือพระวิชณุ, คารมะณะฮฺ - ดีกว่างาน, อันยะทระฺ - มิฉะนั้น, โลคะฮฺ - โลก, อยัมฺ - นี้, คารมะ-บันดฺะนะฮฺ - พันธนาการด้วยงาน, ทัทฺ - ของพระองค์, อารทฺัมฺ - เพื่อประโยชน์, คารมะฺ - งาน, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, มุคทะ-สังกะฮฺ - มีอิสระจากการคบหาสมาคม, สะมาชะระฺ - ทำอย่างสมบูรณ์
คำแปลฺ
งานทำไปเพื่อเป็นการบูชาพระวิชณุจะต้องปฎิบัติ มิฉะนั้น งานจะเป็นต้นเหตุแห่งพันธนาการในโลกวัตถุนี้ ดังนั้น โอ้ โอรสพระนางคุนที จงปฏิบัติหน้าที่ของเธอที่กำหนดไว้เพื่อให้องค์ภควานทรงพอพระทัย ด้วยการกระทำเช่นนี้เธอจะมีอิสรภาพจากพันธนาการทางวัตถุอยู่ตลอดเวลา
คำอธิบายฺ
เนื่องจากเราจะต้องทำงานแม้เพื่อการดำรงชีวิตอยู่อย่างง่าย ๆ หน้าที่และคุณสมบัติที่กำหนดไว้สำหรับสถานภาพโดยเฉพาะในสังคมที่ได้จัดไว้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายนี้ ยะกยะฺ หมายถึงพระวิชณุหรือการปฎิบัติบูชา การปฎิบัติบูชาทั้งหมดก็เพื่อให้พระวิชณุทรงพอพระทัย คัมภีร์พระเวทกล่าวไว้ว่า ยะกโย ไว วิชณุฮฺ หมายความว่า เราสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายเดียวกันไม่ว่าเราจะปฏิบัติ ยะกยะฺ ที่กำหนดไว้หรือรับใช้พระวิชณุโดยตรง ดังนั้น คริชณะจิตสำนึกจึงเป็นการปฎิบัติ ยะกยะฺ ดังที่อธิบายไว้ในโศลกนี้ สถาบัน วารณาชระมะฺ ก็มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พระวิชณุทรงพอพระทัยเช่นเดียวกัน วารณาชระมาชาระวะทา พุรุเชณะ พะระฮ พุมาน/ วิชณุร อาราดฺยะเท (วิชณุ พุราณะฺ3.8.8)
ดังนั้น เราต้องทำงานเพื่อให้พระวิชณุทรงพอพระทัย งานใด ๆ ก็ตามที่ทำในโลกวัตถุนี้จะเป็นต้นเหตุแห่งพันธนาการ ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วจะต้องมีผลกรรม ไม่ว่าผลกรรมใดก็ตามมันจะพันธนาการผู้กระทำ ฉะนั้น เราต้องทำงานในคริชณะจิตสำนึกเพื่อให้คริชณะ (หรือวิชณุ) ทรงพอพระทัย และในขณะที่ปฎิบัติกิจกรรมเช่นนี้ เราจะอยู่ในระดับหลุดพ้น นี่คือศิลปะอันยิ่งใหญ่ในการทำงาน ในขั้นต้นวิธีการนี้จำเป็นต้องมีผู้แนะนำที่มีความชำนาญเป็นพิเศษ ฉะนั้น เราต้องปฎิบัติด้วยความอดทน ขยันหมั่นเพียรมากภายใต้การแนะนำที่เชี่ยวชาญของสาวกขององค์ชรีคริชณะ หรือภายใต้คำสั่งสอนโดยตรงของคริชณะ (ซึ่งอารจุนะทรงได้รับโอกาสปฎิบัติงานเช่นนี้) เราไม่ควรทำงานใดๆเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตนเอง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างควรทำไปเพื่อให้คริชณะทรงพอพระทัย การปฎิบัติเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะปกป้องเราจากผลกรรม หากแต่ยังจะค่อย ๆ ยกระดับตัวเราไปสู่การรับใช้ทิพย์ด้วยความรักต่อพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะส่งเสริมเราให้ขึ้นไปถึงอาณาจักรแห่งองค์ภควานได้
สะฮะ-ยะกยาฮ พระจาฮ สริชทวา
พุโรวาชะ พระจาพะทิฮฺ
อเนนะ พระสะวิชยัดฺวัม
เอชะ โว 'สทุ อิชทะ-คามะ-ดํุคฺ
สะฮะฺ - พร้อมกับ, ยะกยาฮฺ - การบูชา, พระจาฮฺ - ชั่วอายุคน, สริชทวาฺ - การสร้าง, พุราฺ - โบราณกาล, อุวาชะฺ - กล่าว, พระจา-พะทิฮฺ - พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์, อเนนะฺ - ด้วยวิธีนี้, พระสะวิชยัดฺวัมฺ - จงเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น, เอชะฮฺ - นี้, วะฮฺ - ของท่าน, อัสทฺุ - อนุญาตให้เป็น, อิชทะฺ - ของสิ่งที่ปรารถนาทั้งหมด, คามะ-ดํุคฺ - ผู้ให้
คำแปลฺ
ในตอนเริ่มต้นของการสร้าง พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทรงส่งประชากรมนุษย์และเทวดา พร้อมทั้งพิธีการบูชาพระวิชณุ และทรงให้พรด้วยการตรัสว่า “พวกเธอจงมีความสุขด้วย ยะกยะ (การบูชา) นี้ เพราะการปฎิบัติเช่นนี้จะส่งผลทุกสิ่งที่เธอปรารถนา เพื่อให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและได้รับอิสรภาพหลุดพ้น”
คำอธิบายฺ
พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย (พระวิชณุ) ทรงสร้างโลกวัตถุ เพื่อเสนอให้พันธวิญญาณได้มีโอกาสกลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควาน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายภายในการสร้างโลกวัตถุอยู่ภายใต้สภาวะของธรรมชาติวัตถุ เพราะลืมความสัมพันธ์กับพระวิชณุหรือคริชณะบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า หลักการพระเวทมีไว้เพื่อช่วยเราให้เข้าใจความสัมพันธ์นิรันดรนี้ ดังที่กล่าวไว้ใน ภควัต-คีตา: เวไดช ชะ สารไวร อฮัม เอวะ เวดยะฮฺ องค์ภควานตรัสว่าจุดมุ่งหมายของพระเวทคือเพื่อให้เข้าใจพระองค์บทสวดมนต์พระเวทได้กล่าวว่า พะทิม วิชวัสยาทเมชวะรัมฺ ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าของมวลชีวิตคือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า พระวิชณุ ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (2.4.20)ชรีละ ชุคะเดวะ โกสวามี อธิบายถึงองค์ภควานว่าเป็น พะทิฺ ในหลายรูปแบบ
ชรียะฮ พะทิร ยะกยะ-พะทิฮ พระจา-พระทิร
ดฺิยาม พะทิร โลคะ-พะทิร ดฺะรา-พะทิฮฺ
พะทิร กะทิช ชานดฺะคะ-วริชณิ-สาทวะทาม
พระสีดะทาม เม บฺะกะวาน สะทาม พะทิฮฺ
พระจา-พะทิฺ คือพระวิชณุ พระองค์ทรงเป็นองค์ภควานของมวลชีวิต เป็นเจ้าแห่งโลกทั้งหมด เป็นเจ้าแห่งความสง่างามทั้งหมด และเป็นผู้ปกป้องทุก ๆ คนพระองค์ทรงสร้างโลกวัตถุนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ดวงวิญญาณที่อยู่ในสภาวะ ได้เรียนรู้การปฎิบัติ ยะกยะฺ (การบูชา) เพื่อให้พระวิชณุทรงพอพระทัย เพื่อให้เราขณะที่อยู่ในโลกวัตถุนี้ได้สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายโดยไม่มีความวิตกกังวล และหลังจากร่างกายวัตถุปัจจุบันนี้เสร็จสิ้นลงเราจะสามารถบรรลุถึงอาณาจักรแห่งองค์ภควานได้ นี่คือโครงการทั้งหมดสำหรับพันธวิญญาณ ด้วยการปฎิบัติ ยะกยะฺ พันธวิญญาณจะค่อย ๆ มีคริชณะจิตสำนึกและมีคุณธรรมในทุกแง่ทุกมุม ใน คะลิฺ ยุคนี้คัมภีร์พระเวทแนะนำ สังคีรทะนะ-ยะกยะฺ (การร้องเพลงภาวนาพระนามขององค์ภควาน) ระบบทิพย์นี้องค์เชธันญะทรงแนะนำไว้เพื่อการขนส่งมวลมนุษย์ในยุคนี้ สังคีรทะนะ-ยะกยะฺ และ คริชณะจิตสำนึกไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (11.5.32) ได้กล่าวถึงองค์ชรีคริชณะในรูปของผู้ปฎิบัติการอุทิศตนเสียสละรับใช้ (องค์เชธันญะ) สัมพันธ์กับ สังคีรทะนะ-ยะกยะฺ เป็นพิเศษไว้ดังนี้
คริชณะ-วารณัม ทวิชาคริชณัม
สางโกพางกาสทระ-พารชะดัมฺ
ยะกไยฮ สังคีรทะนะ-พราไยร
ยะจันทิ ฮิ สุ-เมดฺะสะฮฺ
“ใน คะลิฺ ยุคนี้ บุคคลผู้มีสติปัญญาเพียงพอจะบูชาองค์ภควาน ผู้ทรงมีพระสหายร่วมปฏิบัติ สังคีรทะนะ-ยะกยะฺ” ยะกยะฺ อื่น ๆ ที่ได้อธิบายไว้ในวรรณกรรมพระเวทปฎิบัติได้ยากลำบากมากใน คะลิฺ ยุคนี้ แต่ สังคีรทะนะ-ยะกยะฺ นี้ ทั้งง่ายและประเสริฐด้วยประการทั้งปวง ดังที่ได้แนะนำไว้เช่นเดียวกันใน ภควัต-คีตาฺ (9.14)
เดวาน บฺาวะยะทาเนนะ
เท เดวา บฺาวะยันทุ วะฮฺ
พะรัสพะรัม บฺาวะยันทะฮ
ชเรยะฮ พะรัม อวาพสยะทฺะฺ
เดวานฺ - เทวดา, บฺาวะยะทาฺ - มีความพึงพอใจ, อเนนะฺ - ด้วยการบูชานี้, เทฺ - ท่านเหล่านั้น, เดวาฮฺ - เทวดา. บฺาวะยันทฺุ - จะมีความพอใจ, วะฮฺ - ท่าน, พะรัสพะรัมฺ - ทั้งสองฝ่าย, บฺาวะยันทะฮฺ - ต่างทำให้พึงพอใจซึ่งกันและกัน. ชเรยะฮฺ - พร, พะรัมฺ - สูงสุด, อวาพ สยะทฺะฺ - ท่านจะได้รับ
คำแปลฺ
เหล่าเทวดาทรงพอพระทัยจากการปฎิบัติบูชาจะทำให้พวกเธอได้รับความพึงพอใจด้วยเช่นเดียวกัน จากการร่วมมือกันระหว่างมนุษย์และเทวดาความเจริญรุ่งเรืองจะครอบคลุมไปทั่วสำหรับทุก ๆ ชีวิต
คำอธิบายฺ
เทวดาได้รับพลังอำนาจให้เป็นผู้บริหารภารกิจทางวัตถุ ทรงเป็นผู้จัดส่ง ลมแสง น้ำ และพรอื่น ๆ ทั้งหมดเพื่อดำรงรักษาร่างกายและดวงวิญญาณของมวลชีวิตภาระหน้าที่นี้องค์ภควานทรงมอบให้มวลเทวดาจำนวนมหาศาลทรงเป็นผู้ช่วย ตามส่วนต่าง ๆ ของพระวรกายของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ความพึงพอพระทัยและไม่พึงพอพระทัยของมวลเทวดาขึ้นอยู่กับการปฎิบัติ ยะกยะฺ ของมนุษย์ ยะกยะฺ บางประเภทปฎิบัติเพื่อให้เทวดาเฉพาะองค์ได้รับความพอพระทัย ถึงกระนั้นพระวิชณุทรงเป็นผู้ได้รับการบูชาใน ยะกยะฺ ทั้งหมด เพราะพระวิชณุทรงเป็นผู้นำในการได้รับประโยชน์ทั้งหมดดังที่ได้กล่าวไว้ใน ภควัต-คีตาฺ ว่าคริชณะทรงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จาก ยะกยะฺ ทั้งหมด โบฺคทารัม ยะกยะ-ทะพะสามฺ ดังนั้น ความพึงพอพระทัยครั้งสุดท้ายของ ยะกยะ-พะทิฺคือจุดมุ่งหมายที่สำคัญของ ยะกยะฺ ทั้งหมด เมื่อ ยะกยะฺ เหล่านี้ได้ปฎิบัติอย่างสมบูรณ์โดยธรรมชาติเทวดาผู้ควบคุมหน่วยที่แจกจ่ายสิ่งต่าง ๆ ก็ทรงพอพระทัยและจะไม่มีการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ
การปฎิบัติ ยะกยะฺ มีผลดีตามมามากมายและในที่สุดจะนำเราให้หลุดพ้นมีอิสรภาพจากพันธนาการทางวัตถุ ด้วยการปฎิบัติ ยะกยะฺ จะทำให้กิจกรรมทั้งหมดบริสุทธิ์ดังที่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวทว่า อาฮาระ-ชุดโดฺ สัททวะ-ชุดดฺิฮ สัททวะ- ชุดโดฺ ดฺรุวา สมริทฺิ สมริทิ-ลัมเบฺ สารวะ-กรันทฺีนาม วิพระโมคชะฮฺ จากการปฎิบัติ ยะกยะฺ ทำให้อาหารบริสุทธิ์และถูกต้อง จากการรับประทานอาหารที่บริสุทธิ์ถูกต้องชีวิตความเป็นอยู่จะบริสุทธิ์ถูกต้อง และจากการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่บริสุทธิ์ถูกต้องเนื้อเยื่ออันละเอียดอ่อนที่ช่วยในความจำจะมีความบริสุทธิ์ถูกต้อง เมื่อความจำบริสุทธิ์ถูกต้อง เราจึงสามารถคิดถึงวิถีแห่งความหลุดพ้นเพื่ออิสรภาพ และทั้งหมดนี้เมื่อรวมกันเข้าจะนำเราไปสู่คริชณะจิตสำนึกซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน
อิชทาน โบฺกาน ฮิ โว เดวา
ดาสยันเท ยะกยะ-บฺาวิทาฮฺ
ไทร ดัททาน อพระดาไยบฺโย
โย บุงคเท สเทนะ เอวะ สะฮฺ
อิชทานฺ - ปรารถนา, โบฺกานฺ - ความจำเป็นของชีวิต, ฮิฺ - แน่นอน, วะฮฺ - แด่ท่าน, เดวาฮฺ - เทวดา, ดาสยันเทฺ - จะให้รางวัล, ยะกยะ-บฺาวิทาฮฺ - ได้รับความพึงพอใจจากการปฎิบัติบูชา, ไทฮฺ - โดยพวกเขา, ดัททานฺ - สิ่งที่ให้, อพระดายะฺ - ไม่มีการถวาย, เอบฺยะฮฺ - แด่เหล่าเทวดา, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, บุงคเทฺ - มีความสุข, สเทนะฮฺ - ขโมย, เอวะฺ - แน่นอน, สะฮฺ - เขา
คำแปลฺ
เหล่าเทวดาผู้ควบคุมสิ่งจำเป็นต่าง ๆ สำหรับชีวิต ได้รับความพึงพอพระทัยจากการปฏิบัติ ยะกยะ (การบูชา) จะจัดส่งสิ่งของจำเป็นทั้งหมดให้แด่พวกเธอ แต่ผู้ที่ได้รับความสุขจากของขวัญเหล่านี้โดยมิได้นำมาถวายคืนให้เทวดา เป็นขโมยอย่างแน่นอน
คำอธิบายฺ
มวลเทวดาเป็นผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์วิชณุในการจัดส่ง ฉะนั้น เหล่าเทวดาต้องได้รับความพึงพอพระทัยจากการปฎิบัติ ยะกยะฺ ที่ได้กำหนดไว้ ในคัมภีร์พระเวทมี ยะกยะฺ ต่าง ๆ ที่ได้กำหนดไว้สำหรับมวลเทวดา แต่ว่าในที่สุดการบูชาทั้งหมดจะถวายให้บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจว่าบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าคือใครจึงได้แนะนำการบูชาเทวดา คัมภีร์พระเวทได้แนะนำ ยะกยะฺ ต่าง ๆ ตามลักษณะทางวัตถุของแต่ละบุคคล การบูชาเทวดาก็มีหลักพื้นฐานเหมือนกัน คือตามคุณลักษณะที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์จะได้รับคำแนะนำให้บูชาสัตว์ต่อหน้าเจ้าแม่ คาลีฺ รูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวของธรรมชาติวัตถุ สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับความดีได้แนะนำให้ปฎิบัติทิพย์บูชาแด่พระวิชณุ แต่ในที่สุดผลของ ยะกยะฺ ทั้งหมดจะค่อย ๆ ส่งเสริมเราให้มาอยู่ในสถานภาพทิพย์ สำหรับบุคคลทั่วไปอย่างน้อยที่สุด ยะกยะฺ ห้าอย่าง มีชื่อว่า พันชะ- มะฮา-ยะกยะฺ เป็นสิ่งจำเป็น
อย่างไรก็ตามเราควรทราบว่าสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตทั้งหมดที่สังคมมนุษย์ต้องการ เทวดาผู้เป็นตัวแทนขององค์ภควานทรงเป็นผู้จัดส่ง ไม่มีผู้ใดสามารถผลิตอะไรขึ้นมาได้ ตัวอย่างเช่น อาหารทั้งหมดในสังคมมนุษย์ที่อยู่ในระดับความดีซึ่งรวมทั้งเมล็ดข้าว ผลไม้ ผัก นม น้ำตาล ฯลฯ และอาหารสำหรับนักมังสะบริโภคด้วย เช่น เนื้อสัตว์มนุษย์ไม่สามารถผลิตอะไรได้เลย มีตัวอย่างอีกเช่น ความร้อน แสง น้ำ ลม ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตเช่นกัน สังคมมนุษย์ก็ไม่สามารถผลิตได้ ถ้าไม่มีองค์ภควานจะไม่มีแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ ฝน และลม ฯลฯ หากขาดสิ่งเหล่านี้จะไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น ชีวิตเราจึงขึ้นอยู่กับการจัดส่งสิ่งต่าง ๆ จากองค์ภควาน แม้แต่โรงงานผู้ผลิตซึ่งต้องการวัตถุดิบมากมาย เช่น โลหะ กำมะถัน เมอร์คิวรี่ แมงกานีส และ สิ่งจำเป็นอื่น ๆ อีกมาก ทั้งหมดนี้ผู้แทนขององค์ภควานทรงเป็นผู้จัดส่งให้ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราได้ใช้สิ่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสมในการที่จะรักษาสุขภาพพลามัยให้ดีเพื่อความรู้แจ้งแห่งตน และนำเราไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต นั่นคือเสรีภาพจากการดิ้นรนทางวัตถุเพื่อความอยู่รอด จุดมุ่งหมายของชีวิตนี้สามารถบรรลุได้ด้วยการปฎิบัติ ยะกยะฺ หากเราลืมจุดมุ่งหมายของชีวิตมนุษย์ ได้แต่รับเอาสิ่งของต่าง ๆ จากผู้แทนขององค์ภควานเพื่อสนองประสาทสัมผัสตนเองก็จะถูกพันธนาการมากยิ่งขึ้นในความเป็นอยู่ทางวัตถุซึ่งไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการสร้าง เราจึงเป็นขโมยอย่างแน่นอน ดังนั้น เราต้องถูกลงโทษตามกฎแห่งธรรมชาติวัตถุ ในสังคมโจรจะไม่มีวันมีความสุขเพราะว่าพวกโจรไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต โจรหยาบหรือนักวัตถุนิยมไม่มีจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตพวกโจรมุ่งแต่จะสนองประสาทสัมผัส และไม่มีความรู้ว่าจะปฎิบัติ ยะกยะฺ อย่างไร อย่างไรก็ดีองค์เชธันญะได้ทรงสถาปนาการปฎิบัติ ยะกยะฺ ที่ง่ายที่สุดเรียกว่า สังคีรทะนะ-ยะกยะฺ ซึ่งไม่ว่าใครในโลกก็สามารถปฎิบัติได้หากยอมรับในหลักการของคริชณะจิตสำนึก
ยะกยะ-ชิชทาชินะฮ สันโท
มุชยันเท สารวะ-คิลบิไชฮฺ
บุนจะเท เท ทุ อกฺัม พาพา
เย พะชันทิ อาทมะ-คาระณาทฺ
ยะกยะ-ชิชทะฺ - อาหารที่รับประทานหลังจากการปฎิบัติ ยะกยะ, อชินะฮฺ - ผู้รับประทาน, สันทะฮฺ - สาวก, มุชยันเทฺ - ได้รับการปลดเปลื้อง, สารวะฺ - ทุกชนิด, คิลบิไชฮฺ - จากความบาป, บุนจะเทฺ - ความสุข, เทฺ - พวกเขา, ทฺุ - แต่, อกฺัมฺ -บาปที่เศร้าโศก, พาพาฮฺ - ผู้ทำบาป, เยฺ - ผู้ซึ่ง, พะชันทิฺ - ปรุงอาหาร, อาทมะ-คาระณาทฺ - เพื่อความสุขทางประสาทสัมผัส
คำแปลฺ
สาวกขององค์ภควานได้รับการปลดเปลื้องจากบาปทั้งปวงเพราะว่ารับประทานอาหารที่ถวายเพื่อเป็นการบูชาก่อน บุคคลอื่นที่ปรุงอาหารเพื่อความสุขทางประสาทสัมผัสของตนเอง แน่นอนว่ารับประทานแต่ความบาปเท่านั้น
คำอธิบายฺ
สาวกขององค์ภควานหรือบุคคลที่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกเรียกว่า สันทะฺ พวกท่านอยู่ในความรักกับองค์ภควานเสมอ ดังที่ได้กล่าวไว้ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺ (5.38): เพรมานจะนะ-ชชุริทะ-บฺัคธิ-วิโลชะเนนะ สันทะฮ สะไดวะ ฮริดะเยชุ วิโลคะยันทิ, สันทะฺ อยู่ในความรักอย่างแน่นแฟ้นกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าองค์โกวินดะ (ผู้ให้ความสุขทั้งปวง) หรือองค์มุคุนดะ (ผู้ให้อิสรภาพ) หรือองค์คริชณะ (ผู้มีเสน่ห์สูงสุด)อยู่เสมอ ไม่สามารถรับเอาสิ่งใดที่ไม่ได้ถวายให้องค์ภควานก่อน ฉะนั้น สาวกเหล่านี้ปฎิบัติ ยะกยะฺ ในระดับต่าง ๆ แห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้อยู่เสมอ เช่น ชระวะณัม, คีรทะนัม, สมะระณัม, อารชะณัมฺ ฯลฯ และการปฎิบัติ ยะกยะฺ เหล่านี้จะคุ้มครองท่านให้อยู่ห่างจากมลทินแห่งการคบหาสมาคมที่เป็นบาปในโลกวัตถุทุกชนิด ผู้ที่ปรุงอาหารเพื่อตนเองหรือเพื่อสนองประสาทสัมผัสแห่งตนไม่เพียงแต่เป็นขโมยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นผู้ที่รับประทานเอาความบาปทุกชนิดเข้าไปด้วย เป็นทั้งขโมยและคนบาปจะมีความสุขได้อย่างไรมันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น เพื่อให้ประชากรมีความสุขในทุก ๆ ด้านจึงต้องได้รับการสอนให้ปฎิบัติวิธีการง่าย ๆ คือ สังคีรทะนะ-ยะกยะฺ ในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้น จะไม่มีความสงบหรือความสุขในโลกนี้
อันนาด บฺะวันทิ บำูทานิ
พารจันยาด อันนะ-สัมบฺะวะฮฺ
ยะกยาด บฺะวะทิ พารจันโย
ยะกยะฮ คารมะ-สะมุดบฺะวะฮฺ
อันนาทฺ - จากธัญพืช, บฺะวันทิฺ - เจริญเติบโต, บูำทานิฺ - ร่างวัตถุ, พารจันยาทฺ - จากฝน, อันนะฺ - ของธัญญาหาร, สัมบฺะวะฮฺ - การผลิต, ยะกยาทฺ - จากการปฎิบัติบูชา, บฺะวะทิฺ - ทำให้เป็นไปได้, พารจันยะฮฺ - ฝน, ยะกยะฮฺ - การปฎิบัติ ยะกยะฺ, คารมะฺ - หน้าที่ที่กำหนดไว้, สะมุดบฺะวะฮฺ - เกิดจาก
คำแปลฺ
ร่างที่มีชีวิตทั้งหมด มีชีวิตอยู่ได้ด้วยธัญญาหารซึ่งผลิตมาจากฝน ฝนเป็นผลผลิตจากการปฎิบัติ ยะกยะ (การบูชา) และ ยะกยะ เกิดจากหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้
คำอธิบายฺ
ชรีละ บะละเดวะ วิดยาบูชะณะ นักเขียนและนักบรรยาย ภควัต-คีตาฺ ผู้ยิ่งใหญ่ได้เขียนดังต่อไปนี้: เย อินดราดิ-อังกะทะยาวัสทฺิทัม ยะกยัม สารเวชวะรัม วิชณุม อับฺฮยารชยะ ทัช-เชฺชัม อัชนันทิ เทนะ ทัด เดฮะ-ยาทราม สัมพาดะยันทิ, เท สันทะฮ สารเวชวะรัสยะ ยะกยะ-พุรุชัสยะ บัคธาฮ สารวะ-คิลบิไชร อนาดิ-คาละ-วิวริดไดฺร อาทมานุบฺะวะ-พระทิบันดฺะไคร นิคฺิไลฮ พาไพร วิมุชยันเทฺ องค์ภควานทรงมีพระนามว่า ยะกยะ-พุรุชะฺ หรือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการบูชาทั้งหมด ทรงเป็นเจ้านายของปวงเทวดาผู้ทรงรับใช้พระองค์เสมือนส่วนต่าง ๆ ของพระวรกายที่รับใช้ทั่วทั้งพระวรกายเทวดาเช่น พระอินทร์ (อินดระฺ) พระจันทร์ (ชันดระฺ) และพระวะรุณะ ทรงเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้บริหารภารกิจในโลกวัตถุ คัมภีร์พระเวทแนะนำการบูชาเทวดาเพื่อให้เทพเหล่านี้ทรงได้รับความพึงพอพระทัยและยินดีจัดส่ง ลม แสง และน้ำให้เพียงพอในการผลิตธัญญาหาร เมื่อองค์ชรีคริชณะได้รับการบูชามวลเทวดาที่เปรียบเสมือนส่วนต่าง ๆ ของพระวรกายขององค์ภควานก็ทรงได้รับการบูชาโดยปริยายเช่นเดียวกันดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องบูชาเหล่าเทวดาอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้สาวกผู้อยู่ในคริชณะจิตสำนึกจึงถวายเครื่องเสวยแด่คริชณะก่อนแล้วตนเองจึงค่อยรับประทานซึ่งเป็นวิธีการบำรุงรักษาร่างทิพย์ การปฎิบัติเช่นนี้ไม่เพียงแต่ผลบาปของร่างกายในอดีตถูกชะล้างไป แต่ร่างกายยังได้รับเชื้อวัคซีนป้องกันมลพิษทั้งมวลจากธรรมชาติวัตถุเมื่อมีเชื้อโรคระบาด วัคซีนป้องกันโรคจะป้องกันเราจากการบุกรุกของโรคระบาดนั้นๆเครื่องเสวยที่ถวายให้พระวิชณุและเรานำมารับประทานก็เช่นเดียวกัน จะทำให้เรามีภูมิต้านทานเชื้อโรคทางวัตถุอย่างเพียงพอ ผู้เคยชินต่อการปฎิบัติเช่นนี้เรียกว่าสาวกขององค์ภควาน ดังนั้น บุคคลที่อยู่ในคริชณะจิตสำนึกจึงรับประทานแต่อาหารที่ถวายแด่คริชณะแล้ว สิ่งนี้สามารถต่อต้านผลกรรมทั้งมวลจากเชื้อโรคทางวัตถุในอดีตซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าในการรู้แจ้งตนเอง ขณะเดียวกันบุคคลที่ไม่ทำเช่นนี้จะเพิ่มพูนการกระทำบาปให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป และจะเตรียมร่างต่อไปที่เหมือนกับสุกรและสุนัขเพื่อรับกรรมจากผลบาปทั้งหมด โลกวัตถุเต็มไปด้วยมลพิษและผู้ที่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันด้วยการรับประทานพระสาดัมขององค์ภควาน (เครื่องเสวยที่ถวายให้พระวิชณุแล้ว) จะได้รับความปลอดภัยจากการบุกรุก ผู้ไม่ทำเช่นนี้ต้องได้รับมลพิษอย่างแน่นอน
ธัญพืชหรือผักเป็นอาหารที่ควรรับประทาน มนุษย์รับประทานข้าว ผัก และผลไม้ต่าง ๆ ฯลฯ สัตว์กินกากอาหารจากข้าวและผัก กินหญ้า กินพืช ฯลฯ มนุษย์ผู้เคยชินกับการรับประทานเนื้อสัตว์ต้องขึ้นอยู่กับผลผลิตของพืชพันธุ์ธัญญาหารเช่นกันถึงจะกินสัตว์ได้ ดังนั้น ในที่สุดเราจะต้องขึ้นอยู่กับผลผลิตของไร่นาไม่ใช่ผลผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่โต ผลผลิตจากไร่นามาจากฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างเพียงพอและฝนนี้เหล่าเทวดาเช่น พระอินทร์ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ฯลฯ ทรงเป็นผู้ควบคุม และเทวดาทั้งหมดนี้ทรงเป็นผู้รับใช้ขององค์ภควาน พระองค์ทรงได้รับความพึงพอพระทัยจากการบูชา ดังนั้น ผู้ที่ไม่สามารถปฎิบัติการบูชาจะพบว่าตนเองอยู่ในสภาวะขาดแคลนนี่คือกฎแห่งธรรมชาติ ยะกยะฺ โดยเฉพาะ สังคีรทะนะ-ยะกยะฺ ได้กำหนดไว้สำหรับยุคนี้จะต้องปฎิบัติเพื่อคุ้มครองเราอย่างน้อยที่สุดก็จากการขาดแคลนอาหาร
คารมะ บระฮโมดบฺะวัม วิดดฺิ
บระฮมาคชะระ-สะมุดบฺะวัมฺ
ทัสมาท สารวะ-กะทัม บระฮมะ
นิทยัม ยะกเย พระทิชทฺิทัมฺ
คารมะฺ - งาน, บระฮมะฺ - จากคัมภีร์พระเวท, อุดบฺะวัมฺ - ผลิต, วิดดฺิฺ -เธอควรรู้, บระฮมะฺ - คัมภีร์พระเวท, อัคชะระฺ - จาก บระฮมันฺ สูงสุด (บุคลิกภาพแห่งพระเจ้า), สะมุดบฺะวัมฺ - ปรากฎออกมาโดยตรง, ทัสมาทฺ - ดังนั้น, สารวะ-กะทัมฺ - แผ่พระจายไปทั่ว, บระฮมะฺ - เหนือโลก, นิทยัมฺ - อมตะ, ยะกยะฺ - ในการบูชา, พระทิชทฺิทัมฺ - สถิต
คำแปลฺ
ระเบียบกิจกรรมได้กำหนดไว้ในคัมภีร์พระเวท และคัมภีร์พระเวทปรากฎออกมาโดยตรงจากบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ดังนั้น องค์ภควานผู้ทรงแผ่กระจายไปทั่วทรงสถิตในการปฎิบัติบูชานิรันดร
คำอธิบายฺ
ยะกยารทฺะ-คารมะฺ หรือความจำเป็นของงานเพื่อให้คริชณะทรงพอพระทัยเพียงอย่างเดียวได้เน้นมากขึ้นในโศลกนี้ หากเราต้องทำงานเพื่อให้ ยะกยะ-พุรุชะฺ หรือพระวิชณุทรงพอพระทัย เราต้องค้นหาวิธีการทำงานใน บระฮมันฺ หรือคัมภีร์ทิพย์พระเวท ดังนั้น คัมภีร์พระเวทจึงเป็นกฎระเบียบแนะนำวิธีการทำงาน การทำอะไรที่คัมภีร์พระเวทไม่ได้แนะนำไว้เรียกว่า วิคารมะฺ งานที่ไม่ได้รับอนุญาตหรืองานที่เป็นบาป ดังนั้น เราจึงควรรับคำแนะนำจากคัมภีร์พระเวทเสมอเพื่อความปลอดภัยจากผลกรรม เฉกเช่นเราต้องทำงานในชีวิตประจำวันทั่วไปตามคำแนะนำของรัฐ ในทำนองเดียวกัน เราต้องทำงานภายใต้คำแนะนำของรัฐสูงสุดแห่งองค์ภควาน คำแนะนำเช่นนี้อยู่ในคัมภีร์พระเวทซึ่งออกมาโดยตรงจากการหายใจของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าได้กล่าวไว้ว่า อัสยะ มะฮะโท บูำ-ทัสยะ นิชวะสิทัม เอทัด ยัด ริก-เวโด ยะจุร-เวดะฮ สามะ-เวโด ‘ทฺารวางกิระสะฮฺ “คัมภีร์พระเวททั้งสี่เล่ม ริก เวดะ. ยะจุร เวดะ. สามะ เวดะ.ฺ และ อทฺารวะ เวดะฺ ทั้งหมดออกมาจากการหายใจของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่” (บริฮัด-อารังยะคะ อุพะนิชัดฺ 4.5.11) องค์ภควานในฐานะที่ทรงมีพระเดชทั้งปวง ทรงสามารถตรัสด้วยลมหายใจดังที่ได้ยืนยันไว้ใน บระฮมะ-สัมฮิทาฺว่าพระองค์ทรงพระเดชทั้งปวง ประสาทสัมผัสแต่ละส่วนของพระองค์ทรงสามารถทำหน้าที่ของประสาทสัมผัสอื่น ๆ ได้ หรืออีกนัยหนึ่งองค์ภควานทรงสามารถตรัสด้วยการหายใจ และทรงสามารถทำให้มีครรภ์ได้ด้วยพระเนตรของพระองค์ อันที่จริงได้กล่าวไว้ว่าพระองค์ทรงชำเลืองไปที่ธรรมชาติวัตถุและทรงเป็นพระบิดาของมวลชีวิต หลังจากการสร้างหรือการให้พันธวิญญาณไปอยู่ในครรภ์ของธรรมชาติวัตถุ พระองค์ทรงให้คำแนะนำสั่งสอนในปรัชญาพระเวทว่าพันธวิญญาณเหล่านี้จะกลับคืนสู่เหย้าคืนสู่องค์ภควานได้อย่างไร เราควรระลึกเสมอว่าพันธวิญญาณในโลกวัตถุทั้งหมดมีความกระตือรือร้นที่จะแสวงหาความสุขทางวัตถุ แต่คำแนะนำของคัมภีร์พระเวททำให้เราสามารถทำให้ความต้องการนอกลู่นอกทางของเราสมปรารถนาและกลับคืนสู่พระองค์จบสิ้นกับสิ่งที่สมมุติว่าเป็นความสุข เป็นโอกาสของพันธวิญญาณที่จะได้รับอิสรภาพดังนั้น พันธวิญญาณต้องพยายามปฏิบัติตามวิธีการ ยะกยะฺ ด้วยการมีคริชณะจิตสำนึกแม้พวกที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของคัมภีร์พระเวทอาจรับเอาหลักการของคริชณะจิตสำนึกไปปฏิบัติแทนการปฏิบัติ ยะกยะฺ หรือ คารมะฺ ตามคัมภีร์พระเวทได้
เอวัม พระวารทิทัม ชัครัม
นานุวารทะยะทีฮะ ยะฮฺ
อักฮายุร อินดริยาราโม
โมกฺัม พารทฺะ สะ จีวะทิฺ
เอวัมฺ - ดังนั้น, พระวารทิทัมฺ - สถาปนาโดยคัมภีร์พระเวท, ชัครัมฺ - วัฎจักร, นะฺ - ไม่, อนุวารทะยะทิฺ - รับเอา, อิฮะฺ - ในชีวิตนี้, ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, อกฺะ-อายุฮฺ - ผู้ที่ชีวิตเต็มไปด้วยความบาป, อินดริยะ-อารามะฮฺ - พึงพอใจในการสนองประสาทสัมผัส, โมกฺัมฺ - อย่างไร้ประโยชน์, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทา (อารจุนะ), สะฮฺ - เขา, จีวะทิฺ - มีชีวิตอยู่
คำแปลฺ
อารจุนะที่รัก ผู้ที่ไม่ปฏิบัติบูชาอย่างครบวงจรตามที่คัมภัร์พระเวทได้สถาปนาไว้แน่นอนว่าชีวิตในร่างมนุษย์นี้เต็มไปด้วยความบาป มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อความพึงพอใจของประสาทสัมผัสเท่านั้น บุคคลเช่นนี้มีชีวิตอยู่อย่างไร้สาระประโยชน์
คำอธิบายฺ
ปรัชญาละโมบที่ว่า “จงทำงานให้หนักและหาความสุขด้วยการสนองประสาทสัมผัส” องค์ภควานทรงตำหนิไว้ ณ ที่นี้ ดังนั้น สำหรับพวกที่ต้องการหาความสุขในโลกวัตถุนี้ วงจรแห่งการปฎิบัติ ยะกยะฺ ที่กล่าวไว้ข้างต้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ไม่ปฎิบัติตามกฎเกณฑ์นี้มีชีวิตอยู่ด้วยความเสี่ยงสูง และจะถูกลงโทษมากยิ่งขึ้นตามกฎแห่งธรรมชาติ ชีวิตมนุษย์มีไว้เพื่อความรู้แจ้งแห่งตนโดยเฉพาะจากหนึ่งในสามวิธีคือ คารมะ-โยกะ, กยานะ-โยกะ.ฺ หรือ บฺัคธิ-โยกะฺ ไม่จำเป็นสำหรับนักทิพย์นิยมผู้อยู่เหนือความดีและความชั่วต้องปฎิบัติตาม ยะกยะฺ ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด แต่สำหรับพวกที่ทำไปเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตนเองจำเป็นต้องปฎิบัติ ยะกยะฺ ตามวงจรที่กล่าวไว้เพื่อความบริสุทธิ์ซึ่งมีกิจกรรมต่าง ๆ นานา ผู้ที่ไม่มีคริชณะจิตสำนึกแน่นอนว่าปฎิบัติตนอยู่ในประสาทสัมผัสจิตสำนึก ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นต้องทำงานที่เป็นกุศล ระบบ ยะกยะฺ ได้วางแผนไว้เพื่อให้บุคคลผู้มีประสาทสัมผัสจิตสำนึกอาจสามารถทำให้ประสาทสัมผัสของตนพึงพอใจได้โดยไม่ต้องถูกพันธนาการอยู่ในผลกรรมจากการสนองประสาทสัมผัส ความเจริญรุ่งเรืองของโลกมิได้ขึ้นอยู่ที่ความพยายามของเรา แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารขององค์ภควานที่ทรงอยู่เบื้องหลังซึ่งมอบหมายให้มวลเทวดาเป็นผู้ปฏิบัติโดยตรง ดังนั้น ยะกยะฺ จึงมีเป้าหมายไปที่เทวดาโดยเฉพาะดังที่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์พระเวทซึ่งเป็นทางอ้อมในการปฎิบัติคริชณะจิตสำนึก เพราะว่าเมื่อเราประสบผลสำเร็จในการปฎิบัติ ยะกยะฺ แล้ว เราต้องมาเป็นผู้มีคริชณะจิตสำนึกอย่างแน่นอน หากหลังจากปฎิบัติ ยะกยะฺ แล้วเราไม่มีคริชณะจิตสำนึก ถือว่าหลักธรรมนี้เป็นเพียงแค่หลักศีลธรรมเท่านั้น ดังนั้น เราไม่ควรจำกัดความเจริญก้าวหน้าให้มาถึงแค่ระดับศีลธรรมเท่านั้น แต่ควรข้ามพ้นไปให้บรรลุถึงคริชณะจิตสำนึก
ยัส ทุ อาทมะ-ระทิร เอวะ สยาด
อาทมะ-ทริพทัช ชะ มานะวะฮฺ
อาทมะนิ เอวะ ชะ สันทุชทัส
ทัสยะ คารยัม นะ วิดยะเทฺ
ยะฮฺ - ผู้ซึ่ง, ทฺุ - แต่, อาทมะ-ระทิฮฺ - มีความสุขอยู่ในตัว, เอวะฺ - แน่นอน, สยาทฺ - ยังคง, อาทมะ-ทริพทะฮฺ - ส่องแสงในตัว, ชะฺ - และ, มานะวะฮฺ - มนุษย์, อาทมะนิฺ - ในตัวเขา, เอวะฺ - เท่านั้น, ชะฺ - และ, สันทุชทะฮฺ - เพียงพออย่างบริบูรณ์, ทัสยะฺ - เขา, คารยัมฺ - หน้าที่, นะฺ - ไม่, วิดยะเทฺ - เป็นอยู่
คำแปลฺ
สำหรับผู้ที่มีความสุขอยู่ในตัวเอง ผู้ซึ่งชีวิตมนุษย์ของเขาเป็นไปเพื่อความรู้แจ้งแห่งตน เป็นผู้ที่มีความพึงพอใจในตนเองเท่านั้น มีความพอเพียงอย่างบริบูรณ์สำหรับบุคคลเช่นนี้ไม่มีหน้าที่การงานใด ๆ
คำอธิบายฺ
ผู้ที่มีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์และมีความพึงพอใจอย่างบริบูรณ์ในการปฎิบัติคริชณะจิตสำนึกจะไม่มีหน้าที่การงานอื่นใดที่ต้องทำ เพราะว่าอยู่ในคริชณะจิตสำนึก ความไม่บริสุทธิ์ทั้งหมดภายในตัวเขาได้ถูกชะล้างให้สะอาดโดยฉับพลัน เทียบเท่ากับผลของการปฎิบัติ ยะกยะฺ หลาย ๆ พันครั้ง จากการทำให้จิตสำนึกบริสุทธิ์เช่นนี้จะมีความมั่นใจอย่างแน่วแน่เกี่ยวกับสถานภาพนิรันดรในความสัมพันธ์กับองค์ภควาน หน้าที่ของเขาจึงมีความสว่างไสวในตัวเองอันเนื่องมาจากพระกรุณาธิคุณขององค์ภควาน ดังนั้น เขาจะไม่มีพันธกรณีใดๆ เกี่ยวกับคำสั่งสอนในคัมภีร์พระเวท บุคคลผู้มีคริชณะจิตสำนึกเช่นนี้จะไม่สนใจกิจกรรมทางวัตถุและจะไม่ใฝ่หาความสุขทางวัตถุเช่น สุรา นารี และสิ่งที่ทำให้ลุ่มหลงในลักษณะเดียวกันนี้
ไนวะ ทัสยะ คริเทนารโทฺฺ
นาคริเทเนฮะ คัชชะนะฺ
นะ ชัสยะ สารวะ-บูำเทชุ
คัชชิด อารทฺะ-วิยะพาชระยะฮฺ
นะฺ - ไม่เคย, เอวะฺ - แน่นอน, ทัสยะฺ - ของเขา, คริเทนะฺ - ด้วยการปฏิบัติหน้าที่, อารทฺะฮฺ - จุดมุ่งหมาย, นะฺ - ไม่, อคริเทนะฺ - โดยไม่ปฎิบัติหน้าที่, อิฮะฺ - ในโลกนี้, คัชชะนะฺ - อะไรก็แล้วแต่, นะฺ - ไม่เคย, ชะฺ - และ, อัสยะฺ - ของเขา, สารวะ-บูเทชฺุ - ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย, คัชชิทฺ - ใด ๆ, อารทฺะฺ - จุดมุ่งหมาย, วิยะพาชระยะฮฺ - เป็นที่พึ่ง
คำแปลฺ
บุคคลผู้รู้แจ้งตนเองไม่มีจุดมุ่งหมายอื่นใดที่จะต้องบรรลุในการปฎิบัติหน้าที่ของตนที่กำหนดไว้ เขาไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไม่ปฎิบัติงานนี้ และก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นอยู่กับสิ่งมีชีวิตใด ๆ
คำอธิบายฺ
บุคคลผู้รู้แจ้งแห่งตนจะไม่มีพันธกรณีใด ๆ ในการปฎิบัติหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ นอกจากกิจกรรมในคริชณะจิตสำนึก คริชณะจิตสำนึกมิใช่ว่าไม่มีกิจกรรม ดังจะอธิบายในโศลกต่อ ๆ ไป บุคคลที่มีคริชณะจิตสำนึกไม่จำเป็นต้องไปพึ่งผู้ใดไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทวดา สิ่งใดที่สามารถทำได้ในคริชณะจิตสำนึกถือว่าเพียงพอในการปฏิบัติภาระกิจหน้าที่ของเขา
ทาสมาด อสัคทะฮ สะทะทัม
คารยัม คารมะ สะมาชะระฺ
อสัคโท ฮิ อาชะรัน คารมะ
พะรัม อาพโนทิ พูรุชะฮฺ
ทัสมาทฺ - ดังนั้น, อสัคทะฮฺ - ไม่ยึดติด, สะทะทัมฺ - สม่ำเสมอ, คารยัมฺ - เป็นหน้าที่, คารมะฺ - งาน, สะมาชะระฺ - ปฏิบัติ, อสัคทะฮฺ - ไม่ยึดติด, ฮิฺ - แน่นอน, อาชะรันฺ - ปฏิบัติ, คารมะฺ - งาน, พะรัมฺ - สูงสุด, อาพโนทิฺ - ได้รับ, พูรุชะฮฺ - มนุษย์
คำแปลฺ
ฉะนั้น โดยปราศจากการยึดติดกับผลของงาน เราควรปฎิบัติตนตามหน้าที่เพราะจากการทำงานโดยไม่ยึดติด เราจะบรรลุถึงองค์ภควาน
คำอธิบายฺ
องค์ภควานคือบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าสำหรับสาวก คือความหลุดพ้นสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในรูปลักษณ์ ดังนั้น บุคคลผู้ปฎิบัติตนเพื่อคริชณะหรืออยู่ในคริชณะจิตสำนึก ภายใต้การแนะนำที่ถูกต้องโดยไม่ยึดติดต่อผลของงาน แน่นอนว่าต้องเจริญก้าวหน้าไปสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งชีวิต อารจุนะได้รับคำแนะนำว่าควรต่อสู้ในสนามรบคุรุคเชทระเพื่อประโยชน์ของคริชณะเพราะว่าคริชณะทรงปรารถนาให้อารจุนะสู้ การเป็นคนดีหรือเป็นคนที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นเป็นการยึดติดส่วนตัว แต่การปฎิบัติตนเพื่อองค์ภควานเป็นการปฎิบัติโดยไม่ยึดติดต่อผลงาน นี่คือการปฎิบัติที่สมบูรณ์สูงสุดที่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า องค์ชรีคริชณะทรงแนะนำ
พิธีกรรมในคัมภีร์พระเวทเป็นพิธีการบวงสรวงบูชา กำหนดให้ปฎิบัติเพื่อชะล้างความไม่บริสุทธิ์อันเนื่องมาจากกิจกรรมที่ไม่เป็นมงคลในการสนองประสาทสัมผัส แต่การปฎิบัติในคริชณะจิตสำนึกอยู่เหนือผลกรรมทั้งดีและชั่ว บุคคลผู้มีคริชณะจิตสำนึกจะไม่ยึดติดกับผลของงาน แต่ปฎิบัติไปเพื่อคริชณะเท่านั้น เขาสามารถทำกิจกรรมทุกชนิดแต่ว่าไม่มีความยึดติดใด ๆ เลย
คารมะไณวะ ฮิ สัมสิดดฺิม
อาสทฺิทา จะนะคาดะยะฮฺ
โลคะ-สังกระฮัม เอวาพิ
สัมพัชยัน คารทุม อารฮะสิฺ
คารมะณาฺ - ด้วยงาน, เอวะฺ - แม้แต่, ฮิฺ - แน่นอน, สัมสิดดฺิมฺ - ในความสมบูรณ์, อาสทฺิทาฮฺ - สถิต, จะนะคะ-อาดะยะฮฺ - จะนะคะและกษัตริย์อื่น ๆ, โลคะ-สังกระฮัมฺ - ผู้คนโดย ทั่วไป, เอวะ อพิฺ - เช่นกัน, สัมพัชยันฺ - พิจารณา, คารทุมฺ - ปฎิบัติ, อารฮะสิฺ - เธอควรได้รับ
คำแปลฺ
กษัตริย์ เช่น พระเจ้าจะนะคะทรงบรรลุถึงความสมบูรณ์ด้วยเพียงแต่ทรงปฏิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้เท่านั้น ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการศึกษาแก่ประชาชนโดยทั่วไป เธอควรจะปฎิบัติงานของเธอ
คำอธิบายฺ
เหล่ากษัตริย์ดังเช่นพระเจ้าจะนะคะทรงเป็นดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งแห่งตน ดังนั้น กษัตริย์เหล่านี้ทรงไม่มีข้อผูกพันในการที่จะต้องฎิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ในคัมภีร์พระเวท แต่ถึงกระนั้นกษัตริย์เหล่านี้ก็ยังทรงปฎิบัติตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้ทั้งหมดเพื่อทำตนเป็นตัวอย่างสำหรับประชาชนโดยทั่วไป พระเจ้าจะนะคะเป็นพระราชบิดาของพระนางสีดา ทรงเป็นพระสัสสุระของพระราม เนื่องจากเป็นสาวกผู้ยิ่งใหญ่ขององค์ภควานพระองค์ทรงสถิตเหนือโลกวัตถุ แต่เนื่องจากทรงเป็นกษัตริย์แห่งนครมิทฺิลา(เมืองหนึ่งของจังหวัดบิฮารในประเทศอินเดีย) จึงจำเป็นต้องสอนประชาชนของพระองค์ว่าควรปฎิบัติหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างไร อารจุนะผู้เป็นสหายนิรันดรของคริชณะไม่มีความจำเป็นต้องต่อสู้ในสนามรบคุรุคเชทระ แต่ทั้งสองพระองค์ทรงต่อสู้เพื่อสอนประชาชนโดยทั่วไปว่า ความรุนแรงบางครั้งมีความจำเป็นในสถานการณ์ที่ความถูกต้องยุติธรรมพ่ายแพ้ ก่อนจะเกิดสงครามที่คุรุคเชทระได้มีความพยายามทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงสงคราม แม้แต่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าเองก็ทรงพยายาม แต่ฝ่ายตรงข้ามยืนกรานว่าจะต้องรบ ดังนั้น เพื่อความถูกต้องยุติธรรมสงครามจึงเป็นสิ่งจำเป็น ถึงแม้ว่าผู้ที่สถิตในคริชณะจิตสำนึกอาจจะไม่มีความสนใจต่อสิ่งใดในโลก แต่ยังต้องทำงานเพื่อสอนประชาชนทั่วไปว่าควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไรและควรจะทำงานอย่างไร บุคคลผู้มีประสบการณ์ในคริชณะจิตสำนึกสามารถปฎิบัติตนให้ผู้อื่นปฎิบัติตามได้ ดังจะได้อธิบายในโศลกต่อไป
ยัด ยัด อาชะระทิ ชเรชทฺัส
ทัด ทัด เอเวทะโร จะนะฮฺ
สะ ยัท พระมาณัม คุรุเท
โลคัส ทัด อนุวารทะเทฺ
ยัท ยัทฺ - อะไรก็แล้วแต่, อาชะระทิฺ - เขากระทำ, ชเรชทฺะฮฺ - ผู้นำที่ควรเคารพ, ทัทฺ - นั้น, ทัทฺ - และสิ่งนั้นสิ่งเดียว, เอวะฺ - แน่นอน, อิทะระฮฺ - ทั่วไป, จะนะฮฺ - บุคคล, สะฮฺ - เขา, ยัทฺ - อะไรก็แล้วแต่, พระมาณัมฺ - ตัวอย่าง, คุรุเทฺ - ปฎิบัติ, โลคะฮฺ - โลกทั้งหมด, ทัทฺ - นั้น, อนุวารทะเทฺ - ปฎิบัติตามรอยพระบาท
คำแปลฺ
มหาบุรุษปฎิบัติอย่างไรบุคคลธรรมดาทั่วไปจะปฎิบัติตาม และมาตรฐานใดที่ท่านวางไว้ด้วยการปฎิบัติตนเป็นตัวอย่าง ทั่วโลกจะเจริญรอยตาม
คำอธิบายฺ
ประชาชนทั่วไปจำเป็นต้องมีผู้นำที่สามารถสอนด้วยการปฎิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง ผู้นำไม่สามารถสอนให้ประชาชนงดสูบบุหรี่หากตนเองยังสูบบุหรี่อยู่ องค์เชธันญะตรัสว่า ครูควรจะปฎิบัติตนให้เหมาะสมถูกต้องก่อนที่จะเริ่มทำการสอนผู้อื่น ผู้ที่สอนแบบนี้เรียกว่า อาชารยะฺ หรือครูที่ดีเลิศ ฉะนั้น ครูต้องปฎิบัติตามหลักของ ชาสทระฺ (พระคัมภีร์) ในการสอนบุคคลทั่วไปครูไม่ควรออกกฎเกณฑ์ที่ขัดกับหลักธรรมในพระคัมภีร์ที่เปิดเผย พระคัมภีร์ที่เปิดเผยเช่น มะนุ-สัมฮิทาฺ และเล่มอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันนี้ถือว่าเป็นหนังสือมาตรฐานที่สังคมมนุษย์ควรปฎิบัติตาม ฉะนั้น คำสอนของผู้นำควรจะมีพื้นฐานมาจากหลักธรรมของชาสทระฺ ที่ได้มาตรฐานเหล่านี้ ผู้ปรารถนาจะพัฒนาตนเองต้องปฎิบัติตามหลักมาตรฐานดังที่พระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ปฎิบัติ ชรีมัด- บฺากะวะธัมฺ ได้ยืนยันเช่นเดียวกันว่าเราควรเจริญรอยตามพระบาทของสาวกผู้ยิ่งใหญ่นี่คือวิธีแห่งความเจริญก้าวหน้าบนหนทางแห่งความรู้แจ้งทิพย์ กษัตริย์หรือผู้บริหารรัฐบิดา และครูอาจารย์ ถือว่าเป็นผู้นำโดยธรรมชาติของประชาชนผู้พาซื่อโดยทั่วไป ผู้นำโดยธรรมชาติทั้งหมดนี้มีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงต่อผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของตน ฉะนั้น ผู้นำเหล่านี้จะต้องรอบรู้เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ศีลธรรมและศาสนาของหนังสือมาตรฐานเหล่านี้
นะ เม พารทฺาสทิ คารทัพยัม
ทริชุ โลเคชุ คินชะนะฺ
นานะวาพทัม อวาพทัพยัม
วารทะ เอวะ ชะ คารมะณิฺ
นะฺ - ไม่, เมฺ - ของข้า, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, อัสทิฺ - มี, คารทัพยัมฺ - หน้าที่ที่กำหนดไว้, ทริชฺุ - ในทั้งสาม, โลเคชฺุ - ระบบดาวเคราะห์, คินชะนะฺ - ใด, นะฺ - ไม่มี, อนะวาพทัมฺ - ต้องการ, อวาพทัพยัมฺ - ได้กำไร, วารเทฺ - ข้าปฎิบัติอยู่, เอวะฺ - แน่นอน, ชะฺ - เช่นกัน, คารมะณิฺ - ในหน้าที่ที่กำหนดไว้
คำแปลฺ
โอ้ โอรสพระนางพริทฺา ไม่มีงานใดที่กำหนดไว้สำหรับข้าภายในระบบดาวเคราะห์ทั้งสาม ข้าไม่ต้องการสิ่งใด และข้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบรรลุถึงอะไร ถึงกระนั้นข้ายังต้องฎิบัติหน้าที่ตามที่ได้กำหนดไว้
คำอธิบายฺ
วรรณกรรมพระเวทได้อธิบายถึงบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าดังต่อไปนี้
ทัม อีชวะราณาม พะระมัม มะเฮชวะรัม
ทัม เดวะทานาม พะระมัม ชะ ไดวะทัมฺ
พะทิม พะทีนาม พะระมัม พะรัสทาด
วิดามะ เดวัม บูำ-วะเนชัม อีดยัมฺ
นะ ทัสยะ คารยัม คะระณัม ชะ วิดยะเท
นะ ทัท-สะมัช ชาบฺยะดฺิคัช ชะ ดริชยะเทฺ
พะราสยะ ชัคทิร วิวิไดฺวะ ชรูยะเท
สวาบฺาวิคี กยานะ-บะละ-คริยา ชะฺ
“องค์ภควานทรงเป็นผู้ควบคุมผู้ควบคุมทั้งหลาย พระองค์ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้นำของดาวเคราะห์ต่าง ๆ ทั้งหมด ทุก ๆ ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์สิ่งมีชีวิตทั้งมวลมิใช่ผู้สูงสุด หากแต่ได้รับพลังอำนาจเฉพาะจากองค์ภควาน มวลเทวดาบูชาพระองค์ องค์ภควานทรงเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในหมู่ผู้บัญชาการทั้งหลาย ฉะนั้นทรงเป็นทิพย์อยู่เหนือผู้นำและผู้ควบคุมทางวัตถุทั้งมวล ทุก ๆ ชีวิตบูชาพระองค์ ไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่ไปกว่าพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของแหล่งกำเนิดทั้งปวง
“องค์ภควานทรงมิได้มีพระวรกายเหมือนกับสิ่งมีชีวิตสามัญทั่วไป ไม่มีข้อแตกต่างระหว่างพระวรกายและดวงวิญญาณของพระองค์ พระองค์ทรงสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกประการ ประสาทสัมผัสทั้งหมดของพระองค์เป็นทิพย์ แต่ละประสาทสัมผัสสามารถทำหน้าที่ของประสาทสัมผัสอื่น ๆ ได้ทั้งหมด ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่ไปกว่าหรือเสมอเหมือนพระองค์ พระเดชของพระองค์มีหลากหลายมากมาย ฉะนั้น กิจกรรมของพระองค์เป็นไปตามลำดับตามธรรมชาติ” (ชเวทาชวะทะระ อุพะนิชัดฺ 6.7-8)
เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างมีความมั่งคั่งสมบูรณ์อยู่ในองค์ภควานและปรากฎอยู่เป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์ ไม่มีหน้าที่อันใดสำหรับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงต้องปฎิบัติ ผู้ที่ต้องรับผลของงานจะต้องมีหน้าที่ที่กำหนดไว้บางประการ แต่ผู้ที่ไม่มีจุดมุ่งหมายใด ๆ จะต้องบรรลุภายในระบบดาวเคราะห์ทั้งสามย่อมไม่มีหน้าที่อย่างแน่นอนถึงกระนั้น องค์ชรีคริชณะยังทรงรับพระภารกิจในสมรภูมิคุรุคเชทระในฐานะเป็นผู้นำกษัตริย์ เพราะเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ที่ต้องปกป้องคุ้มครองประชาชนผู้ได้รับความทุกข์แม้ว่าองค์ภควานทรงอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ แต่พระองค์ทรงมิได้กระทำสิ่งที่ละเมิดพระคัมภีร์ที่เปิดเผยไว้
ยะดิ ฮิ อฮัม นะ วารเทยัม
จาทุ คารมะณิ อทันดริทะฮฺ
มะมะ วารทมานุวารทันเท
มะนุชยาฮ พารทฺะ สารวะชะฮฺ
ยะดิฺ - ถ้าหาก, ฮิฺ - แน่นอน, อฮัมฺ - ข้า, นะฺ - ไม่, วารเทยัมฺ - ปฎิบัติ, จาทฺุ - เคย, คารมะณิฺ - ในการปฎิบัติหน้าที่ที่กำหนดไว้, อทันดริทะฮฺ - ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง, มะมะฺ - ของข้า, วารทมะฺ - วิถีทาง, อนุวารทันเทฺ - จะปฎิบัติตาม, มะนุชยาฮฺ - มนุษย์ทั้งหลาย, พารทฺะฺ - โอ้ โอรสพระนางพริทฺา, สารวะชะฮฺ - ในทั้งหมด
คำแปลฺ
ถ้าหากข้าไม่ปฎิบัติหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างระมัดระวังแล้วไซร้ โอ้ พารทฺะ ทุกคนจะปฎิบัติตามแนวทางของข้าอย่างแน่นอน
คำอธิบายฺ
เพื่อรักษาสมดุลแห่งความสงบของสังคมให้เจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์จึงมีขนบธรรมเนียมประเพณีของครอบครัวที่มีอารยธรรม แม้ว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้มีไว้สำหรับพันธวิญญาณไม่ใช่สำหรับองค์ชรีคริชณะ แต่เนื่องจากเสด็จลงมาเพื่อสถาปนาหลักศาสนา พระองค์จึงทรงปฎิบัติหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ให้เป็นแบบอย่างเพื่อคนธรรมดาสามัญทั่วไปจะได้เจริญรอยตามพระบาทของพระองค์ เนื่องจากทรงเป็นผู้ที่เชื่อถือได้มากที่สุด จาก ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ เราเข้าใจว่าองค์คริชณะทรงปฎิบัติหน้าที่ทางศาสนาทั้งหมดทั้งในบ้านและนอกบ้านตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับชีวิตคฤหัสถ์
อุทสีเดยุร อิเม โลคา
นะ คุรยาม คารมะ เชต อฮัมฺ
สังคะรัสยะ ชะ คารทา สยาม
อุพะฮันยาม อิมาฮ พระจาฮฺ
อุทสีเดยุฮฺ - จะตกอยู่ในความหายนะ, อิเมฺ - ทั้งหมดนี้, โลคาฮฺ - โลกต่าง ๆ, นะฺ - ไม่, คุรยามฺ - ข้าปฎิบัติ, คารมะฺ - หน้าที่ที่ได้กำหนดไว้, เชทฺ - หาก, อฮัมฺ - ข้า, สังคะรัสยะฺ - ของประชากรที่ไม่ต้องการ, ชะฺ - และ, คารทาฺ - ผู้สร้าง, สยามฺ - จะเป็น, อุพะฮันยามฺ - จะทำลาย, อิมาฮฺ - ทั้งหมดนี้, พระจาฮฺ - สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
คำแปลฺ
หากข้าไม่ปฎิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ โลกทั้งหลายจะตกอยู่ในความหายนะ ข้าจะเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดประชากรที่ไม่พึงปรารถนา และจะเป็นผู้ทำลายความสงบของมวลชีวิต
คำอธิบายฺ
วารณะ-สังคะระฺ คือประชากรที่ไม่พึงปรารถนา ผู้ชอบก่อความไม่สงบให้เกิดขึ้นในสังคมโดยทั่วไป เพื่อเป็นการถ่วงดุลความไม่สงบในสังคม จึงมีกฎเกณฑ์กำหนดไว้ให้ประชาชนสามารถได้รับความสงบและรวมพลังเพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตทิพย์เมื่อองค์ชรีคริชณะเสด็จลงมา โดยธรรมชาติพระองค์ทรงปฎิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ เพื่อรักษาชื่อเสียงและทำให้เห็นถึงความจำเป็นในการปฎิบัติสิ่งสำคัญเหล่านี้ องค์ภควานทรงเป็นพระบิดาของมวลชีวิต หากสิ่งมีชีวิตถูกนำพาไปในทางที่ผิด โดยทางอ้อมพระองค์ทรงรับผิดชอบ ดังนั้น เมื่อใดที่มีการละเลยหลักธรรมโดยทั่วไปพระองค์จะเสด็จลงมาเพื่อแก้ปัญหาสังคม อย่างไรก็ดีเราควรจะระมัดระวังไว้ ถึงแม้ว่าเราต้องปฎิบัติตามรอยพระบาทขององค์ภควาน ต้องจดจำไว้เสมอว่าเราไม่สามารถเลียนแบบพระองค์ การปฎิบัติตามและการเลียนแบบไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถเลียนแบบองค์ภควานด้วยการยกภูเขาโกวารดฺะนะ ดังที่ทรงกระทำในขณะที่ยังทรงพระเยาว์ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ เราต้องปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ แต่ไม่ควรเลียนแบบพระองค์ ไม่ว่าในขณะใด ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (10.33.30-31) ยืนยันไว้ดังนี้
ไนทัท สะมาชะเรจ จาทุ
มะนะสาพิ ฮิ อนีชวะระฮฺ
วินัชยะทิ อาชะรัน โมดฺยาด
ยะทฺารุโดร 'บดฺิ-จัม วิชัมฺ
อีชวะราณาม วะชะฮ สัทยัม
ทะไทฺวาชะริทัม ควะชิทฺ
เทชาม ยัท สวะ-วะโช-ยุคทัม
บุดดฺิมามส ทัท สะมาชะเรทฺ
“เราควรปฎิบัติตามคำสั่งสอนขององค์ภควานและผู้รับใช้ของพระองค์ที่ได้รับมอบอำนาจมา คำสั่งสอนของท่านเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรา ผู้มีสติปัญญาจะปฎิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ อย่างไรก็ดี เราควรระวังว่าจะไม่พยายามเลียนแบบการกระทำของพวกท่าน เฉกเช่นเราไม่ควรดื่มมหาสมุทรยาพิษเพื่อเลียนแบบพระศิวะ”
เราควรพิจารณาตำแหน่งของ อีชวะระฺ หรือผู้ที่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ว่าทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่เสมอ หากเราไม่มีพลังอำนาจเช่นนี้เราไม่สามารถเลียนแบบอีชวะระผู้ทรงพลังที่สูงกว่าฺ พระศิวะทรงดื่มยาพิษถึงขนาดกลืนมหาสมุทรได้ แต่หากว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไปพยายามดื่มยาพิษนี้แม้เพียงนิดเดียวจะตายทันที มีสาวกจอมปลอมมากมายของพระศิวะผู้ต้องการสูบกัญชาและยาเสพติดในลักษณะเดียวกันนี้ โดยลืมไปว่าการเลียนแบบการกระทำของพระศิวะเช่นนี้เทียบเท่ากับเรียกหาความตายเข้ามาใกล้ตัว ในทำนองเดียวกันมีสาวกจอมปลอมของคริชณะที่ชอบเลียนแบบองค์ภควานใน ระสะ-ลีลาฺ หรือลีลาศแห่งความรัก โดยลืมไปว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะยกภูเขาโกวารดฺะนะได้ ฉะนั้น เป็นการดีที่สุดที่เราจะไม่พยายามเลียนแบบพระองค์ผู้ทรงเดช เพียงแค่ปฎิบัติตามคำสั่งสอนก็พอแล้ว เราไม่ควรพยายามไปยึดตำแหน่งของพระองค์โดยที่เราไม่มีคุณสมบัติ มี“อวตาร”ขององค์ภควานอยู่เกลื่อนกลาดที่ปราศจากพระเดชแห่งองค์ภควาน
สัคทาฮ คารมะณิ อวิดวามโส
ยะทฺา คุรวันทิ บฺาระทะฺ
คุรยาด วิดวามส ทะทฺาสัคทัช
ชิคีรชุร โลคะ-สังกระฮัมฺ
สัคทาฮ-มีความยึดติด, คารมะณิฺ - ในหน้าที่ที่กำหนดไว้, อวิดวามสะฮฺ - อวิชชา, ยะทฺาฺ -มากเท่ากับ, คุรวันทิฺ - พวกเขาทำ, บฺาระทะฺ - โอ้ ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ, คุรยาทฺ - จะต้องทำ, วิดวานฺ - ผู้รู้, ทะทฺาฺ - ดังนั้น, อสัคทะฮฺ - ไม่มีความยึดติด, ชิคีรชุฮฺ - ต้องการนำ, โลคะฺ - สังกระฮัมฺ - ผู้คนโดยทั่วไป
คำแปลฺ
เฉกเช่นผู้อยู่ในอวิชชา ปฎิบัติหน้าที่ของตนด้วยความยึดติดในผลของงาน ผู้รู้อาจปฎิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน แต่ไม่ยึดติด ทำไปเพียงเพื่อที่จะนำผู้คนให้มาสู่วิถีทางที่ถูกต้องเท่านั้น
คำอธิบายฺ
บุคคลผู้มีคริชณะจิตสำนึกและบุคคลผู้ไม่มีคริชณะจิตสำนึกต่างกันที่ความปรารถนาไม่เหมือนกัน บุคคลผู้มีคริชณะจิตสำนึกจะไม่ทำอะไรที่ไม่เอื้ออำนวยให้พัฒนาคริชณะจิตสำนึก เขาอาจปฎิบัติตนเหมือนกับบุคคลผู้อยู่ในอวิชชาที่ยึดติดในกิจกรรมทางวัตถุทุกประการ แต่คนหนึ่งปฎิบัติในกิจกรรมเหล่านี้เพื่อสนองประสาทสัมผัสของตน ในขณะที่อีกคนหนึ่งปฎิบัติตนเพื่อให้คริชณะทรงพอพระทัย ดังนั้น บุคคลผู้มีคริชณะจิตสำนึกจำเป็นต้องแสดงให้ผู้คนเห็นว่าควรปฎิบัติตนอย่างไร และควรนำผลของการปฎิบัติมาใช้เพื่อจุดมุ่งหมายในคริชณะจิตสำนึกได้อย่างไร
นะ บุดดฺิ-เบฺดัม จะนะเยด
อกยานาม คารมะ-สังกินามฺ
โจชะเยท สารวะ-คารมาณิ
วิดวาน ยุคทะฮ สะมาชะรันฺ
นะฺ - ไม่, บุดดฺิฺ - เบฺดัมฺ - ความยุ่งของปัญญา, จะนะเยทฺ - เขาอาจเป็นต้นเหตุ, อะกยานามฺ - ของคนโง่, คารมะ-สังกินามฺ - ผู้ที่ยึดติดในผลของงาน, โจชะเยทฺ - เขาควรจะประสาน, สารวะฺ - ทั้งหมด, คารมาณิฺ - งาน, วิดวานฺ - ผู้รู้, ยุคทะฮฺ - ปฎิบัติ, สะมาชะรันฺ - ฝึกฝน
คำแปลฺ
เพื่อไม่เป็นการรบกวนจิตใจของผู้อยู่ในอวิชชาที่ยึดติดต่อผลของงานในหน้าที่ที่กำหนดไว้ ผู้รู้ไม่ควรแนะนำให้พวกเขาหยุดทำงาน แต่ให้ทำงานในสปิริตแห่งการเสียสละ ควรแนะนำให้พวกเขาปฎิบัติกิจกรรมต่าง ๆ (เพื่อค่อย ๆ พัฒนามาสู่คริชณะจิตสำนึก)
คำอธิบายฺ
เวไดช ชะ สารไวร อฮัม เอวะ เวดยะฮฺ นี่คือจุดหมายปลายทางของพิธีกรรมทั้งหลายในคัมภีร์พระเวท พิธีกรรมทั้งหมด การปฎิบัติบูชาทั้งหมด และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในคัมภีร์พระเวทรวมทั้งคำแนะนำทั้งหมดเพื่อกิจกรรมทางวัตถุ ทั้งหมดนี้เพื่อให้เข้าใจคริชณะผู้ทรงเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต แต่เนื่องจากพันธวิญญาณไม่รู้อะไรมากไปกว่าการสนองประสาทสัมผัส จึงศึกษาคัมภีร์พระเวทด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อสนองประสาทสัมผัส จากการปฎิบัติกิจกรรมเพื่อผลประโยชน์และสนองประสาทสัมผัสที่ประมาณไว้โดยพิธีกรรมทางพระเวท เราจะค่อย ๆ พัฒนามาสู่คริชณะจิตสำนึก ดังนั้นดวงวิญญาณผู้รู้แจ้งในคริชณะจิตสำนึกไม่ควรรบกวนผู้อื่นในกิจกรรมหรือความเข้าใจของพวกเขา แต่ควรปฎิบัติด้วยการแสดงให้เห็นว่าผลของงานทั้งหมดสามารถอุทิศเพื่อรับใช้คริชณะได้อย่างไร บุคคลผู้รู้ในคริชณะจิตสำนึกอาจปฎิบัติในวิธีที่จะทำให้บุคคลผู้อยู่ในอวิชชาซึ่งทำงานเพื่อสนองประสาทสัมผัสได้เรียนรู้ว่าควรทำงานและปฎิบัติตนอย่างไร ถึงแม้ว่าผู้ที่อยู่ในอวิชชาไม่ควรถูกรบกวนในกิจกรรมของเขา แต่บุคคลผู้พัฒนาคริชณะจิตสำนึกแม้เพียงเล็กน้อยอาจปฎิบัติตนรับใช้องค์ภควานโดยตรงได้ โดยไม่ต้องรอสูตรต่าง ๆ จากคัมภีร์พระเวท สำหรับผู้โชคดีเช่นนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปฎิบัติตามพิธีกรรมทางพระเวท เพราะจากการปฎิบัติคริชณะจิตสำนึกโดยตรง เราสามารถได้รับผลพวงทั้งหมดที่อาจจะได้รับจากการปฎิบัติตามหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้
พระคริเทฮ คริยะมาณานิ
กุไณฮ คารมาณิ สารวะชะฮฺ
อฮังคาระ-วิมูดฺาทมา
คารทาฮัม อิทิ มันยะเทฺ
พระคริเทฮฺ - ของธรรมชาติวัตถุ, คริยะมาณานิฺ - กระทำอยู่, กุไณฮฺ - โดยระดับต่าง ๆ, คารมาณิฺ - กิจกรรม, สารวะชะฮฺ - ทุกชนิด, อฮังคาระ-วิมูดฺะฺ - สับสนด้วยอหังการ, อาทมาฺ - ดวงวิญญาณ, คารทาฺ - ผู้กระทำ, อฮัมฺ - ข้า, อิทิฺ - ดังนั้น, มันยะเทฺ - เขาคิด
คำแปลฺ
จิตวิญญาณเกิดสับสนอันเนื่องมาจากอิทธิพลของอหังการ ที่คิดว่าตนเองเป็นผู้กระทำกิจกรรมทั้งหลาย แท้ที่จริงสามระดับแห่งธรรมชาติวัตถุเป็นผู้นำพาไป
คำอธิบายฺ
บุคคลสองคน คนหนึ่งมีคริชณะจิตสำนึกและอีกคนหนึ่งมีวัตถุจิตสำนึก ทำงานในระดับเดียวกันอาจดูเหมือนว่าทำงานอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน แต่มีข้อแตกต่างอย่างมหาศาลในสถาภาพของบุคคลทั้งสอง บุคคลในวัตถุจิตสำนึกมีความมั่นใจด้วยอหังการว่าตนเองเป็นผู้กระทำทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่รู้ว่ากลไกแห่งร่างกายนี้ธรรมชาติวัตถุซึ่งทำงานภายใต้การควบคุมขององค์ภควานเป็นผู้ผลิต นักวัตถุนิยมไม่รู้ว่าในที่สุดตัวเขาเองก็อยู่ภายใต้การควบคุมของคริชณะ บุคคลผู้อยู่ภายใต้อหังการจะรับเอาเกียรติยศชื่อเสียงทั้งหมดในการทำทุกสิ่งโดยเอกเทศ และนี่คือลักษณะอาการแห่งอวิชชา โดยไม่รู้ว่าร่างกายทั้งหยาบและละเอียดของเขานี้ธรรมชาติวัตถุเป็นผู้สร้างภายใต้คำสั่งขององค์ภควาน เมื่อเป็นเช่นนี้กิจกรรมของร่างกายและจิตใจของเขาควรทำไปเพื่อรับใช้คริชณะในคริชณะจิตสำนึก ผู้อยู่ในอวิชชาลืมไปว่าบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าทรงพระนามว่าฮริชิเคชะ หรือเจ้านายของประสาทสัมผัสแห่งร่างวัตถุ เนื่องจากการใช้ประสาทสัมผัสไปในทางที่ผิดเพื่อสนองประสาทสัมผัสของตนเองเป็นเวลายาวนาน เขาจึงเกิดสับสนอย่างจริงจังจากอหังการซึ่งทำให้ลืมความสัมพันธ์นิรันดรกับคริชณะ
ทัททวะ-วิท ทุ มะฮา-บาโฮ
กุณะ-คารมะ-วิบฺากะโยฮฺ
ณา กุเณชุ วารทันทะ
อิทิ มัทวา นะ สัจจะเทฺ
ทัททวะ-วิทฺ - ผู้รู้สัจธรรมอันสมบูรณ์, ทฺุ - แต่, มะฮา-บาโฮฺ - โอ้ นักรบผู้ยิ่งใหญ่, กุณะ- คารมะฺ - งานภายใต้อิทธิพลของวัตถุ, วิบฺากะโยฮฺ - แตกต่างกัน, กุณาฮฺ - ประสาทสัมผัส, กุเณชฺุ - ในการสนองประสาทสัมผัส, วารทันเทฺ - กำลังปฎิบัติ, อิทิฺ - ดังนั้น, มัทวาฺ - ความคิด, นะฺ - ไม่เคย, สัจจะเทฺ - ยึดติด
คำแปลฺ
โอ้ นักรบผู้ยอดเยี่ยม ผู้รู้สัจธรรมอันสมบูรณ์จะไม่ปฎิบัติตนอยู่ในระดับประสาทสัมผัส และจะไม่สนองประสาทสัมผัส เขารู้ดีถึงข้อแตกต่างระหว่างงานเพื่อการอุทิศตนเสียสละ และงานเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุ
คำอธิบายฺ
ผู้รู้สัจธรรมอันสมบูรณ์มีความมั่นใจในสถานภาพอันเคอะเขินของตนในการที่มาคลุกคลีกับวัตถุ รู้ดีว่าตนเองเป็นละอองอณูของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าคริชณะ และสถานภาพของตนไม่ควรอยู่ภายในการสร้างทางวัตถุ รู้ตัวจริงของตนเองว่าเป็นละอองอณูขององค์ภควานผู้ทรงมีความสุขเกษมสำราญนิรันดรและทรงเป็นสัพพัญญู อย่างไรก็ดี ยังรู้แจ้งอีกด้วยว่าตนเองมาติดกับดักในชีวิตที่มีแนวคิดทางวัตถุในสภาวะความเป็นอยู่ที่บริสุทธิ์เขาควรประสานกิจกรรมต่าง ๆ ของตนเพื่อการอุทิศเสียสละรับใช้องค์ภควานคริชณะ ดังนั้นจะปฎิบัติตนในกิจกรรมของคริชณะจิตสำนึก และโดยธรรมชาติจะไม่ยึดติดกับกิจกรรมทางประสาทสัมผัสวัตถุซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงสภาวะชั่วคราวไม่ถาวร โดยรู้ดีว่าสภาวะวัตถุของชีวิตตนอยู่ภายใต้การควบคุมสูงสุดขององค์ภควาน ฉะนั้น จึงไม่ถูกรบกวนจากผลกรรมนานัปการทางวัตถุซึ่งพิจารณาว่าเป็นพระเมตตาธิคุณของพระองค์ ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ กล่าวว่าผู้ที่รู้สัจธรรมอันสมบูรณ์ทั้งสามลักษณะ คือ บระฮมัน. พะระมาทมา.ฺ และ องค์ภควานฺ เรียกว่า ทัททวะ-วิทฺ เพราะว่าเขารู้ถึงตำแหน่งอันแท้จริงของตนเองในความสัมพันธ์กับองค์ภควาน
พระคริเทร กุณะ-สัมมูดฺาฮ
สัจจันเท กุณะ-คารมะสฺุ
ทาน อคริทสนะ-วิโด มันดาน
คริทสนะ-วิน นะ วิชาละเยทฺ
พระคริเทฮฺ - ของธรรมชาติวัตถุ, กุณะฺ - โดยสามระดับ, สัมมูดฺาฮฺ - โง่เพราะสำนึกตนกับวัตถุ, สัจจันเทฺ - พวกเขามาปฎิบัติ, กุณะ-คารมะสฺุ - ในกิจกรรมทางวัตถุ, ทานฺ - ของพวกเขา, อคริทสนะ-วิดะฮฺ - บุคคลผู้ด้อยความรู้, มันดานฺ - เกียจคร้านที่จะเข้าใจการรู้แจ้งแห่งตน, คริทสนะ-วิทฺ - ผู้มีความรู้ที่ถูกต้อง, นะฺ - ไม่, วิชาละเยทฺ - ควรพยายามรบกวน
คำแปลฺ
เนื่องด้วยสับสนจากระดับของธรรมชาติวัตถุ ผู้อยู่ในอวิชชาปฎิบัติตนอย่างเต็มที่ในกิจกรรมทางวัตถุและเกิดการยึดติด แต่ผู้ฉลาดไม่ควรกังวลกับสิ่งเหล่านี้แม้ว่าหน้าที่เหล่านี้จะต่ำกว่าอันเนื่องมาจากผู้ปฎิบัติขาดความรู้
คำอธิบายฺ
ผู้ไม่มีความรู้สำนึกตนเองอย่างผิด ๆ กับจิตสำนึกวัตถุหยาบ ๆ และเต็มไปด้วยชื่อระบุทางวัตถุต่าง ๆ ร่างกายนี้เป็นของขวัญจากธรรมชาติวัตถุ ผู้ที่ยึดติดมากกับจิตสำนึกทางร่างกายเรียกว่า มันดะฺ หรือผู้เกียจคร้านที่ไม่เข้าใจดวงวิญญาณ ผู้ที่อยู่ภายใต้อวิชชาคิดว่าตนเองคือร่างกาย ยอมรับความสัมพันธ์ทางร่างกายกับผู้อื่นว่าเป็นวงศาคณาญาติ แผ่นดินที่ร่างกายนี้ได้รับมาเป็นสถานที่สักการะบูชา และพิจารณาว่าระเบียบการของพิธีกรรมทางศาสนาคือจุดมุ่งหมายสูงสุดในตัวมันเอง งานสังคม ลัทธิความรักชาติ และลัทธิการเห็นประโยชน์ผู้อื่น เหล่านี้คือกิจกรรมบางประการของบุคคลผู้อยู่ภายใต้ชื่อระบุทางวัตถุ ภายใต้มนต์สะกดแห่งชื่อระบุนี้ทำให้พวกเขามีภารกิจยุ่งยากอยู่ในสนามวัตถุเสมอ สำหรับบุคคลเหล่านี้ ความรู้แจ้งดวงวิญญาณเป็นสิ่งเร้นลับดังนั้น พวกเขาจะไม่สนใจ อย่างไรก็ดี ผู้ที่ได้รับแสงสว่างในชีวิตทิพย์ไม่ควรพยายามรบกวนบุคคลผู้หมกมุ่นอยู่ในวัตถุเช่นนี้ ทางที่ดีเราควรปฎิบัติกิจกรรมทิพย์ของเราอย่างเงียบสงบ ผู้สับสนเช่นนี้อาจปฎิบัติตนตามหลักศีลธรรมพื้นฐานของชีวิต เช่นไม่เบียดเบียนกันและร่วมงานการกุศลทางวัตถุ
ผู้อยู่ในอวิชชาไม่สามารถรู้ถึงคุณค่าแห่งกิจกรรมในคริชณะจิตสำนึก ฉะนั้นองค์ชรีคริชณะทรงแนะนำไม่ให้ไปรบกวนพวกเขาและเสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่สาวกขององค์ภควานมีความเมตตามากกว่าพระองค์ เพราะเข้าใจจุดมุ่งหมายขององค์ภควาน ดังนั้น ท่านจึงยอมเสี่ยงอันตรายนานัปการ แม้กระทั่งต้องเข้าพบผู้อยู่ภายใต้อวิชชาเพื่อแนะนำให้ปฎิบัติคริชณะจิตสำนึก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชีวิตมนุษย์
มะยิ สารวาณิ คารมาณิ
สันนยัสยาดฺยาทมะ-เชทะสาฺ
นิราชีร นิรมะโม บูำทวา
ยุดฺยัสวะ วิกะทะ-จวะระฮฺ
มะยิฺ - แต่ข้า, สารวาณิฺ - ทุกชนิด, คารมาณิฺ - กิจกรรม, สันนยัสยะฺ - ยกเลิกทั้งหมด, อัดฺยาทมะฺ - ด้วยความรู้อันสมบูรณ์เกี่ยวกับตนเอง, เชทะสาฺ - ด้วยจิตสำนึก, นิราชีฮฺ - ไม่มีความปรารถนาเพื่อผลกำไร, นิรมะมะฮฺ - ไม่เป็นเจ้าของ, บูทวาฺ - เป็นดังนี้, ยุดฺยัสวะฺ-ต่อสู้, วิกะทะ-จวะระฮฺ - ไม่เฉื่อยชา
คำแปลฺ
ฉะนั้น โอ้ อารจุนะ จงศิโรราบงานของเธอทั้งหมดแด่ข้า เปี่ยมไปด้วยความรู้แห่งข้า ไม่ปรารถนาผลกำไร ไม่อ้างความเป็นเจ้าของ และปราศจากความเฉื่อยชาเธอจงสู้
คำอธิบายฺ
โศลกนี้แสดงถึงจุดมุ่งหมายของ ภควัต-คีตาฺ อย่างชัดเจน องค์ภควาน ทรงสอนว่าเราต้องมีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ในการปฎิบัติหน้าที่เฉกเช่นการมีวินัยในกองทัพ คำสั่งสอนเช่นนี้อาจทำได้ยากแต่ถึงอย่างไรหน้าที่จะต้องดำเนินต่อไปโดยขึ้นอยู่กับคริชณะเพราะว่านั่นคือสถานภาพพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตไม่สามารถมีความสุขโดยปราศจากการร่วมมือกับองค์ภควาน เพราะว่าสถานภาพพื้นฐานนิรันดรของสิ่งมีชีวิตคือมาเป็นผู้ร่วมงานกับความปรารถนาขององค์ภควาน ฉะนั้นองค์ชรีคริชณะทรงรับสั่งให้อารจุนะต่อสู้เสมือนดั่งคริชณะทรงเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร เราต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความปรารถนาดีขององค์ภควาน และในขณะเดียวกันปฎิบัติหน้าที่ที่กำหนดไว้โดยไม่อ้างความเป็นเจ้าของ อารจุนะทรงไม่ต้องพิจารณาคำสั่งของพระองค์เพียงแต่ทรงต้องปฎิบัติตามคำสั่งเท่านั้น องค์ภควานทรงเป็นดวงวิญญาณของมวลวิญญาณ ฉะนั้น ผู้ที่ขึ้นอยู่กับองค์อภิวิญญาณสูงสุดร้อยเปอร์เซ็นต์โดยปราศจากการพิจารณาส่วนตัว หรืออีกนัยหนึ่งผู้ที่มีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ เรียกว่า อัดฺยาทมะ-เชทัสฺ คำว่า นิราชีฮฺ หมายความว่าเราต้องปฎิบัติตามคำสั่งของเจ้านายแต่ไม่ควรคาดหวังผลประโยชน์ แคชเชียร์อาจนับเงินเป็นจำนวนล้าน ๆ บาทให้นายจ้างแต่จะไม่อ้างแม้แต่สตางค์แดงเดียวสำหรับตนเอง ในลักษณะเดียวกันแเราต้องรู้แจ้งว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เป็นของผู้หนึ่งผู้ใด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นขององค์ภควาน นั่นคือความหมายอันแท้จริงของคำว่า มะยิฺ หรือ“แด่ข้า” และเมื่อเราปฎิบัติตนในคริชณะจิตสำนึกเช่นนี้ แน่นอนว่าเราจะไม่อ้างความเป็นเจ้าของในสิ่งใด ๆ จิตสำนึกเช่นนี้เรียกว่า นิรมะมะฺ หรือ “ไม่มีอะไรเป็นของข้า” หากเกิดมีความไม่เต็มใจในการปฎิบัติตามคำสั่งอันเข้มงวดเช่นนี้ โดยปราศจากการพิจารณาถึงสิ่งที่สมมุติว่าเป็นวงศาคณาญาติในความสัมพันธ์ทางร่างกาย ความไม่เต็มใจเช่นนี้ควรสลัดทิ้งไป ดังนี้เราอาจมาเป็น วิกะทะ-จวะระฺ หรือปราศจากอารมณ์เร่าร้อนหรืออารมณ์เฉื่อยชา ทุก ๆ คนตามคุณสมบัติและสถานภาพของตนมีงานโดยเฉพาะให้ปฎิบัติ และงานทั้งหมดนี้อาจปฎิบัติในคริชณะจิตสำนึก ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นซึ่งจะนำเราไปสู่หนทางแห่งอิสรภาพ
เย เม มะทัม อิดัม นิทยัม
อนุทิชทฺันทิ มานะวาฮฺ
ชรัดดฺาวันโท 'นะสูยันโท
มุชยันเท เท 'พิ คารมะบฺิฮฺ
เยฺ - ผู้ซึ่ง, เมฺ - ของข้า, มะทัมฺ - คำสั่งสอน, อิดัมฺ - เหล่านั้น, นิทยัมฺ - เสมือนดังหน้าที่นิรันดร, อนุทิชทฺันทิฺ - ปฎิบัติสม่ำเสมอ, มานะวาฮฺ - มนุษย์, ชรัดดฺา-วันทะฮฺ - ด้วยความศรัทธาและอุทิศตนเสียสละ, อนะสูยันทะฮฺ - ไม่มีความอิจฉาริษยา, มุชยันเทฺ - เป็นอิสระ, เทฺ - ทั้งหมด, อพิฺ - แม้แต่, คารมะบฺิฮฺ - จากพันธนาการแห่งกฎของการปฎิบัติเพื่อหวังผล
คำแปลฺ
ผู้ปฎิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของข้า และปฎิบัติตามคำสั่งสอนนี้ด้วยความศรัทธาปราศจากความอิจฉาริษยา จะได้รับอิสรภาพจากพันธนาการแห่งการกระทำเพื่อผลทางวัตถุ
คำอธิบายฺ
คาสั่งของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า คริชณะ เป็นแก่นสารสาระสำคัญที่สุดของปรัชญาพระเวททั้งหมด ฉะนั้น จึงเป็นสัจธรรมอมตะโดยไม่มีข้อแม้ เฉกเช่นคัมภีร์พระเวทเป็นอมตะ สัจธรรมแห่งคริชณะจิตสำนึกนี้ก็เป็นอมตะเช่นเดียวกัน เราควรมีความศรัทธาอย่างแน่วแน่ในคำสั่งนี้โดยไม่อิจฉาริษยาองค์ภควาน มีนักปราชญ์มากมายเขียนคำอธิบวยเกี่ยวกับ ภควัต-คีตาฺ หากแต่ไม่มีความศรัทธาในคริชณะ นักปราชญ์เหล่านี้จะไม่มีวันได้รับอิสรภาพจากพันธนาการแห่งการกระทำเพื่อผลทงวัตถุหากสามัญชนทั่วไปมีความศรัทธาอย่างมั่นคงในคำสั่งอมตะขององค์ภควาน แม้จะไม่สามารถปฎิบัติตามคำสั่งเหล่านี้ก็สามารถได้รับอิสรภาพจากพันธนาการของกฎแห่งกรรม (คารมะ) ได้ ในเบื้องต้นของคริชณะจิตสำนึกเราอาจจะไม่สามารถปฎิบัติตามคำสั่งของพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เนื่องจากการที่เราไม่ขัดข้องใจต่อหลักธรรมนี้และทำงานด้วยความจริงใจโดยไม่พิจารณาถึงเรื่องพ่ายแพ้และสิ้นหวัง แน่นอนว่าเราจะได้รับการส่งเสริมไปจนถึงระดับที่บริสุทธิ์แห่งคริชณะจิตสำนึก
เย ทุ เอทัด อับฺยะสูยันโท
นานุทิชทฺันทิ เม มะทัมฺ
สารวะ-กยานะ-วิมูดฺามส ทาน
วิดดฺิ นัชทาน อเชทะสะฮฺ
เยฺ - เขาเหล่านั้น, ทฺุ - อย่างไรก็ดี, เอทัทฺ - นี้, อับฺยะสูยันทะฮฺ - ด้วยความอิจฉาริษยา, นะฺ - ไม่, อนุทิชทฺันทิฺ - ปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอ, เมฺ - ของข้า, มะทัมฺ - คำสั่ง, สารวะ-กยานะฺ - ในความรู้ทั้งหมด, วิมูดฺานฺ - โง่อย่างสมบูรณ์, ทานฺ - เขาเหล่านั้น, วิดดฺิฺ - รู้ดีว่า, นัชทานฺ - ถูกทำลายทั้งหมด, อเชทะสะฮฺ - ไม่มีคริชณะจิตสำนึก
คำแปลฺ
แต่ผู้ที่มีความอิจฉาริษยา ละเลยคำสั่งสอนเหล่านี้และไม่ปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ พิจารณาว่าความรู้ทั้งหมดได้สูญเสียไป เป็นคนโง่ และได้ทำลายความพยายามเพื่อความสมบูรณ์
คำอธิบายฺ
ข้อผิดพลาดในการที่ไม่มีคริชณะจิตสำนึกได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ณ ที่นี้เหมือนกับมีการลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐ แน่นอนว่าจะมีการลงโทษผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งขององค์ภควาน ผู้ไม่ปฏิบัติตามไม่ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนจะมีอวิชชาเกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับ บระฮมันฺ สูงสุด เกี่ยวกับ พะระมาทมาฺ และเกี่ยวกับ องค์ ภควานฺ อันเนื่องมาจากหัวใจที่ว่างเปล่า ดังนั้น จึงไม่มีความหวังแห่งความสมบูรณ์ในชีวิตสำหรับบุคคลผู้นี้
สะดริชัม เชชทะเท สวัสยาฮ
พระคริเทร กยานะวาน อพิฺ
พระคริทิม ยานทิ บํูทานิ
นิกระฮะฮ คิม คาริชยะทิฺ
สะดริชัมฺ - ตามนั้น, เชชทะเทฺ - พยายาม, สวัสยาฮฺ - ด้วยตัวเขาเอง, พระคริเทฮฺ - ระดับของธรรมชาติ, กยานะวานฺ - มีความรู้, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, พระคริทิมฺ - ธรรมชาติ, ยานทิฺ - ได้รับ,บํูทานิฺ - มวลสิ่งมีชีวิต, นิกระฮะฮฺ - ความอดกลั้น, คิมฺ - อะไร, คาริชยะทิฺ - สามารถทำ
คำแปลฺ
แม้ผู้รู้ยังต้องปฏิบัติตามธรรมชาติของตนเอง เพราะทุกคนปฏิบัติตามธรรมชาติที่ตนได้รับมาจากสามระดับ การเก็บกดเอาไว้จะได้รับผลสำเร็จอันใด?
คำอธิบายฺ
นอกเสียจากว่าเราจะสถิตในระดับทิพย์แห่งคริชณะจิตสำนึก มิฉะนั้น เราจะไม่สามารถมีอิสรภาพจากอิทธิพลของระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ ดังที่ องค์ภควานได้ทรงยืนยันไว้ในบทที่เจ็ด (7.14) ฉะนั้น แม้ผู้มีการศึกษาสูงสุดทางโลกก็ยังหลุดพ้นจากบ่วงของมายาไม่ได้ ด้วยความรู้ทางทฤษฎีหรือด้วยการแยกดวงวิญญาณออกจากร่างกายมีผู้ที่สมมุติว่าเป็นนักทิพย์นิยมมากมาย ภายนอกวางตัวว่ามีความเจริญในศาสตร์นี้แต่ภายในหรือส่วนตัวยังอยู่ภายใต้ระดับใดระดับหนึ่งของธรรมชาติวัตถุอย่างราบคาบ ซึ่งตนเองไม่สามารถข้ามพ้นไปได้ ในเชิงวิชาการเขาอาจจะเป็นผู้มีการศึกษาสูงมาก แต่เนื่องจากมาคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติวัตถุอันแสนจะยาวนานจึงถูกพันธนาการ คริชณะจิตสำนึกสามารถช่วยให้เราออกจากพันธนาการทางวัตถุได้ ถึงแม้ว่าเราจะปฏิบัติตามหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามความเป็นอยู่ทางวัตถุ ฉะนั้น หากไม่มีคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ เราไม่ควรยกเลิกอาชีพการงาน ไม่มีผู้ใดควรยกเลิกหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้โดยฉับพลัน และมาสมมุติตนเองว่าเป็นโยคีหรือนักทิพย์นิยมแบบผิดธรรมชาติ สถิตในสถานภาพของตนเองและพยายามบรรลุถึงคริชณะจิตสำนึกภายใต้การฝึกฝนที่สูงยังจะดีกว่า เช่นนี้ เราอาจได้รับอิสรภาพจากเงื้อมมือพระนาง มายาฺ ซึ่งก็เป็นผู้รับใช้ของคริชณะเช่นกัน
อินดริยัสเยนดริยัสยารเทฺ
รากะ-ดเวโช วิยะวัสทฺิโทฺ
ทะโยร นะ วะชัม อากัชเชท
โท ฮิ อัสยะ พะริพันทฺิโนฺ
อินดริยัสยะฺ - ของประสาทสัมผัส, อินดริยัสยะ อารเทฺฺ - ในอายตนะภายนอก, รากะฺ - การยึดติด, ดเวโชฺ - การไม่ยึดติดก็เช่นกัน, วิยะวัสทฺิโทฺ - ไว้ภายใต้กฎเกณฑ์, ทะโยฮฺ - ของเขาเหล่านั้น, นะฺ - ไม่เคย, วะชัมฺ - ควบคุม, อากัชเชฺทฺ - เราควรจจะมา, โทฺ - ของเขาเหล่านั้น, ฮิฺ - แน่นอน, อัสยะฺ - ของเขา, พะริพันทฺิโนฺ - อุปสรรค
คำแปลฺ
มีหลักการประมาณความยึดติดและความเกลียดชังที่เกี่ยวกับอายตนะภายในและอายตนะภายนอก เราไม่ควรมาอยู่ภายใต้การควบคุมของความยึดติดและความเกลียดชังเช่นนี้ เพราะมันเป็นอุปสรรคในความรู้แจ้งแห่งตน
คำอธิบายฺ
ผู้อยู่ในคริชณะจิตสำนึกโดยธรรมชาติจะไม่เต็มใจปฏิบัติตนเพื่อสนองประสาทสัมผัสวัตถุ แต่ผู้ที่ไม่อยู่ในจิตสำนึกเช่นนี้ควรปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ความสุขทางประสาทสัมผัสที่ไม่มีขอบเขตเป็นเหตุให้ถูกกักขังทางวัตถุ แต่ผู้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ดังที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์จะไม่ถูกพันธนาการโดยอายตนะภายนอก ตัวอย่างเช่น ความสุขทางเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพันธวิญญาณ และความสุขทางเพศสัมพันธ์อนุโลมให้ภายใต้ใบอนุญาตสมรส คำสั่งสอนของพระคัมภีร์ห้ามไม่ให้เรามีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นนอกจากภรรยาของตนเอง สตรีอื่นทั้งหมดถือว่าเป็นมารดา แม้มีคำสั่งเช่นนี้ ผู้ชายยังมีแนวโน้มที่จะมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่น นิสัยเช่นนี้ต้องปรับปรุง มิฉะนั้น จะเป็นสิ่งกีดขวางทางในความรู้แจ้งแห่งตน ตราบเท่าที่เรายังมีร่างวัตถุอยู่ความจำเป็นต่าง ๆ ของร่างกายอนุญาตให้ได้แต่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ และไม่ควรขึ้นอยู่กับการควบคุมกับสิ่งที่ได้รับอนุญาตเช่นนี้ เราต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้โดยไม่ยึดติดกับมัน เพราะการฝึกฝนเพื่อสนองประสาทสัมผัสภายใต้กฎเกณฑ์อาจนำเราให้หลงทางได้เหมือนกัน มากเท่า ๆ กับที่มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเสมอแม้บนทางหลวงที่มีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่มีอันตรายเกิดขึ้นแม้บนถนนที่ปลอดภัยที่สุด แนวโน้มในความสุขทางประสาทสัมผัสโดยประมาณก็มีโอกาสมากที่จะทำให้เราตกต่ำลงได้ ดังนั้น การยึดติดใด ๆ แม้กับความสุขทางประสาทสัมผัสโดยประมาณจะต้องหลีกเลี่ยงทุกวิถีทางเช่นเดียวกัน แต่ควรยึดมั่นกับคริชณะจิตสำนึกหรือปฏิบัติรับใช้คริชณะด้วยความรักอยู่เสมอ และไม่ยึดติดกับกิจกรรมทางประสาทสัมผัสทุกชนิด ฉะนั้น ไม่มีใครควรปลีกตัวออกห่างจากคริชณะจิตสำนึกไม่ว่าในช่วงไหนของชีวิต จุดมุ่งหมายในการเป็นอิสระจากการยึดติดอยู่กับประสาทสัมผัสทั้งหมด ก็เพื่อในที่สุดให้เรามาสถิตในระดับคริชณะจิตสำนึก
ชเรยาน สวะ-ดฺารโม วิกุณะฮ
พะระ-ดฺารมาท สว-อนุชทฺิทาทฺ
สวะ-ดฺารเม นิดฺะนัม ชเรยะฮ
พะระ-ดฺารโม บฺะยาวะฮะฮฺ
ชเรยานฺ - ดีกว่าเป็นไหน ๆ, สวะ-ดฺารมะฮฺ - หน้าที่ของตนที่ได้กำหนดไว้, วิกุณะฮฺ - แม้ว่าจะผิดพลาด, พะระ-ดฺารมาทฺ - มากกว่าหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้สำหรับผู้อื่น, สุ-อนุช ทฺิทาทฺ - กระทำอย่างสมบูรณ์, สวะ-ดฺารเมฺ - ในหน้าที่ของตนที่กำหนดไว้, นิดฺะนัมฺ - การทำลาย, ชเรยะฮฺ - ดีกว่า, พะระ-ดฺารมะฮฺ - หน้าที่ที่ได้กำหนดไว้สำหรับผู้อื่น, บฺะยะ- อาวะฮะฮฺ - อันตราย
คำแปลฺ
การปฏิบัติหน้าที่ของตนที่ได้กำหนดไว้ถึงแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง ยังดีกว่าไปทำหน้าที่ของผู้อื่นอย่างสมบูรณ์เป็นไหน ๆ การถูกทำลายขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองยังดีกว่าไปปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่น เพราะการปฏิบัติตามวิถีทางของผู้อื่นเป็นอันตราย
คำอธิบายฺ
เราควรปฏิบัติหน้าที่ของเราที่ได้กำหนดไว้ด้วยคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ดีกว่าไปทำงานที่กำหนดไว้สำหรับผู้อื่น ในวิถีวัตถุหน้าที่ที่ได้กำหนดไว้เป็นหน้าที่ที่ถูกบัญชาตามสภาวะทางจิตวิทยาของแต่ละคนภายใต้มนต์สะกดของระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ ในวิถีทิพย์หน้าที่คือคำสั่งจากพระอาจารย์ทิพย์เพื่อให้เรารับใช้ทิพย์แด่คริชณะ ไม่ว่าจะเป็นวิถีวัตถุหรือวิถีทิพย์เราควรจะยึดอยู่กับหน้าที่ของเราตามที่ได้กำหนดไว้จนวันตาย ดีกว่าไปเลียนแบบหน้าที่ที่กำหนดไว้สำหรับผู้อื่น หน้าที่ในระดับทิพย์และหน้าที่ในระดับวัตถุอาจแตกต่างกัน แต่หลักการปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งดีสำหรับผู้ปฏิบัติเสมอ เมื่ออยู่ภายใต้มนต์สะกดของระดับแห่งธรรมชาติวัตถุ ควรปฏิบัติตามกฎที่ได้กำหนดไว้สำหรับสภาวะโดยเฉพาะของเรา ไม่ควรเลียนแบบผู้อื่น ตัวอย่างเช่น พราหมณ์อยู่ในระดับความดีไม่เบียดเบียนผู้อื่น ในขณะที่กษัตริย์อยู่ในระดับตัณหาอนุญาตให้เบียดเบียนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้กษัตริย์จึงปฏิบัติตามกฎที่เบียดเบียนได้และกำราบศัตรู ดีกว่าที่จะมาเลียนแบบพราหมณ์ผู้ยึดหลักอหิงสา ทุกคนต้องชะล้างจิตใจของตนเองทีละน้อย ไม่ใช่โดยฉับพลัน อย่างไรก็ดีเมื่อเราข้ามพ้นระดับต่าง ๆ ของธรรมชาติวัตถุ และสถิตในคริชณะจิตสำนึกอย่างสมบูรณ์ เราจะปฏิบัติอย่างไรก็ได้ภายใต้คำแนะนำของพระอาจารย์ทิพย์ผู้เชื่อถือได้ ในระดับสมบูรณ์ของคริชณะจิตสำนึกนี้ กษัตริย์อาจปฏิบัติตนเป็นพราหมณ์หรือว่าพราหมณ์อาจจะปฏิบัติตนเป็นกษัตริย์ ในระดับทิพย์แล้วข้อแตกต่างทางโลกวัตถุนำมาใช้ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น วิชวามิ-ทระ เดิมทีทรงเป็นกษัตริย์แต่ต่อมาปฏิบัติตนเป็นพราหมณ์ ในขณะที่ พะระชุรามะ เดิมเป็นพราหมณ์แต่ต่อมาปฏิบัติตนเป็นกษัตริย์ เมื่อสถิตในระดับทิพย์ ทั้งสองท่านสามารถทำเช่นนี้ได้ แต่ตราบใดที่เรายังอยู่ในระดับวัตถุ ต้องปฏิบัติหน้าที่ของเราตามระดับของธรรมชาติวัตถุ ในขณะเดียวกันเราจะต้องมีสติอย่างสมบูรณ์ในคริชณะจิตสำนึก
อารจุนะ อุวาชะฺ
อทฺะ เคนะ พระยุคโท ยัม
พาพัมชะระทิ พูรุชะฮฺ
อนิชชฺันน อพิ วารชเณยะ
บะลาด อิวะ นิโยจิทะฮฺ
อารจุนะ อุวาชะฺ - อารจุนะตรัส, อทฺะฺ - จากนั้น, เคนะฺ - ด้วยอะไร, พระยุคทะฮฺ - กระตุ้น, อยัมฺ - บุคคล, พาพัมฺ - ความบาป, ชะระทิฺ - ทำ, พูรุชะฮฺ - มนุษย์, อนิชชฺันฺ - ไม่มีความปรารถนา, อพิฺ - ถึงแม้ว่า, วารชเณยะฺ - โอ้ ผู้สืบราชวงศ์วริชณิ, บะลาทฺ - ด้วยกำลัง, อิวะฺ - ประหนึ่งว่า, นิโยจิทะฮฺ - ปฏิบัติ
คำแปลฺ
อารจุนะตรัสว่า โอ้ ผู้สืบราชวงศ์วริชณิ อะไรคือสิ่งกระตุ้นให้คนทำบาปแม้จะไม่เต็มใจ ประหนึ่งทำไปเพราะถูกบังคับ?
คำอธิบายฺ
สิ่งมีชีวิตซึ่งเป็นละอองอณูขององค์ภควานเดิมทีเป็ทิพย์ บริสุทธิ์ และปราศจากมลทินทางวัตถุทั้งปวง ฉะนั้น โดยธรรมชาติจะไม่อยู่ภายใต้อำนาจแห่งความบาปในโลกวัตถุ แต่เมื่อมาสัมผัสกับธรรมชาติวัตถุเราทำบาปนานัปการโดยไม่ลังเลใจ แม้บางครั้งตนเองไม่ปรารถนา ดังนั้น อารจุนะทรงถามคริชณะเช่นนี้จึงให้ความหวังมากเกี่ยวกับธรรมชาติอันวิปริตของสิ่งมีชีวิต แม้สิ่งมีชีวิตบางครั้งไม่ต้องการทำบาปแต่ถูกบังคับให้ทำ อย่างไรก็ดีอภิวิญญาณผู้ประทับอยู่ภายในหัวใจของเราทรงมิได้เป็นผู้กระตุ้นให้ทำบาปแต่เนื่องมาจากสาเหตุอื่น ดังที่องค์ภควานจะทรงอธิบายในโศลกต่อไป
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ
คามะ เอชะ โครดฺะ เอชะ
ระโจ-กุณะ-สะมุดบฺะวะฮฺ
มะฮาชะโน มะฮา-พาพมา
วิดดฺิ เอนัม อิฮะ ไวริณัมฺ
ชรี-บฺะกะวาน อุวาชะฺ - บุคลิกภาพแห่งพระเจ้าตรัส, คามะฮฺ - ราคะ, เอชะฮฺ - นี้, โครดฺะฮฺ - ความโกรธ, เอชะฮฺ - นี้, ระจะฮ-กุณะฺ - ระดับของตัณหา, สะมุด บฺะวะฮฺ - เกิดจาก, มะฮา- อชะนะฮฺ - เผาผลาญทั้งหมด, มะฮา-พาพมาฺ - ความบาปอันยิ่งใหญ่, วิดดฺิฺ - รู้, เอนัมฺ - นี้, อิฮะฺ - ในโลกวัตถุ, ไวริณัมฺ - ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด
คำแปลฺ
บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้าตรัสว่า โอ้ อารจุนะ ราคะเท่านั้นที่เกิดจากการมาสัมผัสกับระดับตัณหาทางวัตถุ และต่อมากลายเป็นความโกรธ ซึ่งเป็นศัตรูบาปที่จะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
คำอธิบายฺ
เมื่อสิ่งมีชีวิตมาสัมผัสกับการสร้างทางวัตถุ ความรักนิรันดรที่มีต่อคริชณะกลายมาเป็นราคะอันเนื่องมาจากการที่มาคบหาสมาคมกับระดับของตัณหา หรืออีกนัยหนึ่ง ความรู้สึกรักองค์ภควานได้เปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นราคะ เฉกเช่นนมเมื่อมาสัมผัสกับมะขามเปรี้ยวจะกลายมาเป็นนมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต หลังจากราคะไม่สมดังใจปราถนาจะกลายมาเป็นความโกรธ จากนั้นความโกรธจะเปลี่ยนมาเป็นความหลง และความหลงทำให้การเป็นอยู่ทางวัตถุดำเนินต่อไป ฉะนั้น ราคะจึงเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสิ่งมีชีวิต ราคะเท่านั้นที่ล่อใจให้สิ่งมีชีวิตผู้บริสุทธิ์ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกวัตถุ ความโกรธคือปรากฏการณ์ของระดับอวิชชา ระดับเหล่านี้ปรากฏตัวเองออกมาในรูปของความโกรธและอาการอื่น ๆ ในลักษณะเดียวกันนี้ ฉะนั้น หากว่าระดับตัณหาแทนที่จะตกต่ำไปอยู่ในระดับอวิชชา แต่ควรจะพัฒนาให้สูงขึ้นมาสู่ระดับความดี ด้วยการใช้ชีวิตและปฏิบัติตนตามวิถีทิพย์ที่กำหนดไว้ เราจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยจากการตกลงต่ำอันเนื่องมาจากความโกรธ
องค์ภควานทรงแบ่งภาคมากมายเพื่อความสุขเกษมสำราญทิพย์อันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ สิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูของความสุขเกษมสำราญทิพย์นี้ มีส่วนของเสรีภาพเช่นกัน แต่เมื่อเสรีภาพถูกใช้ไปในทางที่ผิด เมื่อนิสัยชอบรับใช้กลายมาเป็นนิสัยชอบหาความสุขทางประสาทสัมผัสเราจึงมาอยู่ภายใต้อำนาจของราคะ การสร้างวัตถุนี้องค์ภควานทรงเป็นผู้สร้างเพื่อเปิดโอกาสให้พันธวิญญาณสนองนิสัยแห่งราคะนี้ และเมื่อกิจกรรมแห่งราคะอันแสนจะยาวนานนี้ทำให้จนปัญญาโดยสิ้นเชิงแล้ว สิ่งมีชีวิตจึงเริ่มถามถึงสถานภาพอันแท้จริงของตนเอง
คำถามเช่นนี้คือจุดเริ่มต้นของ เวดานธะ-สูทระฺ ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า อทฺาโท บระฮมะ จิกยาสาฺ เราควรถามถึงองค์ภควาน และคำว่าองค์ภควานได้ให้คำนิยามไว้ใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ ว่า จันมาดิ อัสยะ ยะโท นวะยาด อิทะระทัช ชะฺ หรือ “แหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่างคือ บระฮมันฺ สูงสุด” ฉะนั้น จุดเริ่มต้นของราคะก็อยู่ในองค์ภควานเช่นเดียวกัน หากราคะเปลี่ยนมาเป็นความรักต่อองค์ภควาน หรือเปลี่ยนมาเป็นคริชณะจิตสำนึก อีกนัยหนึ่งคือปรารถนาทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคริชณะ ตรงนี้ทั้งราคะและความโกรธสามารถเปลี่ยนมาเป็นทิพย์ได้ หนุมานผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ของพระรามแสดงความโกรธด้วยการเผาเมืองทองของราวะณะ (ทศกัณฑ์) การกระทำเช่นนี้ทำให้หนุมานกลายมาเป็นสาวกผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระราม ใน ภควัต-คีตาฺ ก็เช่นเดียวกันองค์ภควานทรงแนะนำให้อารจุนะใช้ความโกรธกับศัตรูเพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัย ฉะนั้น ทั้งราคะและความโกรธเมื่อนำมาใช้ในคริชณะจิตสำนึกจะกลายมาเป็นเพื่อนแทนที่จะเป็นศัตรู
ดํูเมนาพริยะเท วะฮนิร
ยะทฺาดารโช มะเลนะ ชะฺ
ยะโทฺลเบนาวริโท การบฺัส
ทะทฺา เทเนดัม อาพริทัมฺ
ดํูเมนะฺ - ด้วยควัน, อาพริยะเทฺ - ถูกปกคลุม, วะฮนิฮฺ - ไฟ, ยะทฺาฺ - ดังเช่น, อาดารชะฮฺ-กระจก, มะเลนะฺ - ด้วยฝุ่น, ชะฺ - เช่นกัน, ยะทฺาฺ - ดังเช่น, อุลเบนะฺ - ด้วยครรภ์, อาพริทะฮฺ - ถูกปกคลุม, การบฺะฮฺ - ตัวอ่อนในครรภ์, ทะทฺาฺ - ดังนั้น, เทนะฺ - ด้วยราคะ, อิดัมฺ - นี้, อาพริทัมฺ - ถูกปกคลุม
คำแปลฺ
เสมือนดังควันที่ปกคลุมไฟ ฝุ่นที่ปกคลุมกระจกเงา หรือครรภ์ที่ปกคลุมทารกสิ่งมีชีวิตก็ถูกปกคลุมไปด้วยระดับต่าง ๆ ของราคะนี้เช่นเดียวกัน
คำอธิบายฺ
มีสิ่งปกคลุมสิ่งมีชีวิตอยู่สามระดับที่ทำให้จิตสำนึกอันบริสุทธิ์ของเขามืดมนสิ่งปกคลุมนี้คือราคะภายใต้ปรากฏการณ์ที่แตกต่างกัน ดังเช่น ควันที่อยู่ในไฟ ฝุ่นที่อยู่บนกระจก และครรภ์ที่ปกคลุมทารก เมื่อราคะเปรียบเทียบกับควัน เข้าใจได้ว่าประกายไฟของสิ่งมีชีวิตสามารถสำเหนียกได้เล็กน้อย หรือว่าขณะที่สิ่งมีชีวิตแสดงคริชณะจิตสำนึกออกมาเล็กน้อย อาจเปรียบได้กับไฟที่ถูกปกคลุมด้วยควัน แม้ว่าที่ใดมีควันที่นั่นต้องมีไฟ แต่ไฟมิได้ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดในระยะเริ่มต้น ระยะนี้คล้ายกับระยะเริ่มแรกของคริชณะจิตสำนึก ฝุ่นบนกระจกเปรียบเทียบกับวิธีการทำความสะอาดกระจกแห่งจิตใจ ด้วยวิธีการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ นานา วิธีที่ดีที่สุดคือการสวดมนต์ภาวนาพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ภควาน ครรภ์ที่ปกคลุมทารกอุปมาให้เห็นถึงสภาวะที่ช่วยไม่ได้ เด็กในครรภ์ช่วยตัวเองไม่ได้เพราะว่ายังไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวเองได้ ระดับของสภาวะชีวิตเช่นนี้เปรียบเทียบได้กับต้นไม้ ต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิตแต่ถูกจับให้มาอยู่ในสภาวะชีวิตที่แสดงให้เห็นว่ามีราคะมากเสียจนเกือบจะไม่มีจิตสำนึกเหลืออยู่เลย ฝุ่นที่ปกคลุมกระจกเปรียบเทียบได้กับนกและสัตว์ต่าง ๆ และควันที่ปกคลุมไฟเปรียบเทียบได้กับมนุษย์ ในร่างมนุษย์สิ่งมีชีวิตอาจฟื้นฟูคริชณะจิตสำนึกได้เล็กน้อยและหากว่าพัฒนาต่อไปไฟแห่งชีวิตทิพย์อาจสามารถจุดให้เป็นประกายขึ้นมาในร่างชีวิตมนุษย์ได้ ด้วยการดูแลควันไฟอย่างระมัดระวัง ไฟอาจจะลุกโชติช่วงขึ้นมาได้ ฉะนั้น ชีวิตในร่างมนุษย์จึงเป็นโอกาสสำหรับสิ่งมีชีวิตที่จะหลบหนีจากพันธนาการแห่งความเป็นอยู่ทางวัตถุ ในร่างชีวิตมนุษย์เราสามารถกำราบศัตรูหรือราคะนี้ได้ด้วยการพัฒนาคริชณะจิตสำนึกภายใต้คำชี้แนะของผู้นำที่มีความสามารถ
อาพริทัม กยานัม เอเทนะ
กยานิโน นิทยะ-ไวริณาฺ
คามะ-รูเพณะ คะอุนเทยะ
ดุชพูเรณานะเลนะ ชะฺ
อาพริทัมฺ - ปกคลุม, กยานัมฺ - จิตสำนึกที่บริสุทธิ์, เอเทนะฺ - ด้วยสิ่งนี้, กยานินะฮฺ - ของผู้รู้, นิทยะ-ไวริณาฺ - โดยศัตรูนิรันดร, คามะ-รูเพณะฺ - ในรูปของราคะ, คะอุนเทยะฺ - โอ้ โอรสพระนางคุนที, ดุชพูเรณะฺ - จะไม่มีวันพึงพอใจ, อนะเลนะฺ - ด้วยไฟ, ชะฺ - เช่นกัน
คำแปลฺ
ดังนั้น จิตสำนึกอันบริสุทธิ์ของสิ่งมีชีวิต ผู้มีปัญญาถูกปกคลุมไปด้วยศัตรูนิรันดรในรูปของราคะ ซึ่งไม่รู้จักพอเพียงและเผาผลาญเหมือนเปลวเพลิง
คำอธิบายฺ
ได้กล่าวไว้ใน มะนุ-สมริทิฺ ว่าราคะไม่รู้จักพอเพียงไม่ว่าจะป้อนด้วยความสุขทางประสาทสัมผัสในปริมาณมากเพียงใด เหมือนกับไฟที่ไม่มีวันดับลงได้ตราบใดที่ยังมีเชื้อเพลิงอยู่ ในโลกวัตถุจุดศูนย์กลางของกิจกรรมทั้งหมดคือเพศสัมพันธ์ ดังนั้น โลกวัตถุนี้จึงได้ชื่อว่า ไมถํุนยะ-อาการะฺ หรือโซ่ตรวนแห่งชีวิตเพศสัมพันธ์ โดยทั่วไปในตะรางนักโทษจะถูกกักขังให้อยู่ภายในกรงขัง ทำนองเดียวกัน นักโทษผู้ไม่เชื่อฟังกฎแห่งองค์ภควานจะถูกล่ามโซ่ด้วยชีวิตเพศสัมพันธ์ ความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุบนฐานแห่งการตอบสนองประสาทสัมผัสหมายถึงการเพิ่มระยะเวลาแห่งการเป็นอยู่ทางวัตถุของสิ่งมีชีวิต ฉะนั้น ราคะคือเครื่องหมายแห่งอวิชชาที่กักขังสิ่งมีชีวิตให้อยู่ในโลกวัตถุ ขณะที่เราเพลิดเพลินกับการสนองประสาทสัมผัส อาจรู้สึกว่ามีความสุขอยู่บ้าง แต่แท้ที่จริงความรู้สึกกับความสุขที่สมมุติขึ้นมานี้ ในที่สุดมันคือศัตรูของผู้แสวงหาความสุขทางประสาทสัมผัสนั่นเอง
อินดริยาณิ มะโน บุดดฺิร
อัสยาดฺิชทฺานัม อุชยะเทฺ
เอไทร วิโมฮะยะทิ เอชะ
กยานัม อาพริทยะ เดฮินัมฺ
อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, มะนะฮฺ - จิตใจ, บุดดฺิฮฺ - ปัญญา, อัสยะฺ - ของราคะนี้, อดฺิชทฺานัมฺ - ที่พำนัก, อุชยะเทฺ - เรียกว่า, เอไทฮฺ - ด้วยทั้งหมดนี้, วิโมฮะยะทิฺ - สับสน, เอชะฮฺ - ราคะนี้, กยานัมฺ - ความรู้, อาพริทยะฺ - ปกคลุม, เดฮินัมฺ - ของร่างกาย
คำแปลฺ
ประสาทสัมผัสต่าง ๆ รวมทั้งจิตใจและปัญญาเป็นสถานที่พำนักพักพิงของตัวราคะนี้ ราคะปิดบังความรู้อันแท้จริงของสิ่งมีชีวิตผ่านตามจุดต่าง ๆ เหล่านี้และทำให้เขาสับสนงุนงง
คำอธิบายฺ
ศัตรู (ราคะ) ได้ยึดจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ภายในร่างกายของพันธวิญญาณ ดังนั้น องค์ชรีคริชณะทรงแนะนำสถานที่เหล่านี้ เพื่อผู้ที่ต้องการกำราบศัตรูจะได้รู้ว่าศัตรูอยู่ที่ไหน จิตใจเป็นศูนย์รวมกิจกรรมของประสาทสัมผัสทั้งหมด ดังนั้น เมื่อเราได้ยินเกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส โดยทั่วไปจิตใจจะเป็นที่รวมความคิดเพื่อสนองประสาทสัมผัสทั้งหมด ผลคือจิตใจและประสาทสัมผัสต่าง ๆ กลายมาเป็นศูนย์รวมของราคะ จากนั้นปัญญาก็กลายมาเป็นเมืองหลวงของนิสัยชอบราคะนี้ ปัญญาเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดติดกับดวงวิญญาณ ปัญญาที่ชอบราคะจะมีอิทธิพลต่อดวงวิญญาณทำให้เกิดอหังการ และเชื่อมสัมพันธ์ตนเองกับวัตถุ คือสัมพันธ์กับจิตใจและประสาทสัมผัส ดวงวิญญาณมาหลงติดกับความสุขทางประสาทสัมผัสวัตถุ และเข้าใจผิดคิดว่านี่คือความสุขที่แท้จริง การแสดงตัวผิดของดวงวิญญาณนี้ได้อธิบายไว้อย่างงดงามใน ชรีมัด-บฺากะวะธัมฺ (10.84.13) ดังนี้
ยัสยาทมะ-บุดดฺิฮ คุณะเพ ทริ-ดฺาทุเค
สวะ-ดฺีฮ คะละทราดิชุ โบฺมะ อิจยะ-ดฺีฮฺ
ยัท-ทีรทฺะ-บุดดฺิฮ สะลิเล นะ คารฮิชิจ
จะเนชว อบฺิกเยชุ สะ เอวะ โก-คฺะระฮฺ
“มนุษย์ผู้แสดงตนว่าร่างกายที่ทำมาจากธาตุสามประการนี้คือตัวตนจริง พิจารณาว่าผลผลิตของร่างกายเป็นสังคญาติของตน พิจารณาว่าแผ่นดินที่เกิดเป็นสถานที่สักการะบูชา และไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้แสวงบุญเพียงเพื่อไปอาบน้ำ แทนที่จะไปพบผู้มีความรู้ทิพย์ พิจารณาได้ว่าบุคคลเช่นนี้เปรียบเสมือนกับลาหรือโค”
ทัสมาท ทวัม อินดริยาณิ อาโด
นิยัมยะ บฺะระทารชะบฺะฺ
พาพมานัม พระจะฮิ ฮิ เอนัม
กยานะ-วิกยานะ-นาชะนัมฺ
ทัสมาทฺ - ดังนั้น, ทวัมฺ - เธอ, อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, อาโดฺ - ในตอนต้น, นิยัมยะฺ - ด้วยการประมาณ, บฺะระทะ-ริชะบฺะฺ - โอ้ ผู้นำในหมู่ผู้สืบราชวงศ์บฺะระทะ, พาพมานัมฺ - เครื่องหมายบาปอันยิ่งใหญ่, พระจะฮิฺ - ดัด, ฮิฺ - แน่นอน, เอนัมฺ - นี้, กยานะฺ - ของความรู้, วิกยานะฺ - และศาสตร์แห่งความรู้ดวงวิญญาณบริสุทธิ์, นาชะนัมฺ - ผู้ทำลาย
คำแปลฺ
ฉะนั้น โอ้ อารจุนะ ผู้ดีเลิศแห่งบฺะระทะ ในตอนแรกจงกั้นขอบเครื่องหมายแห่งบาปอันยิ่งใหญ่นี้ (ราคะ) ด้วยการประมาณประสาทสัมผัส และจงสังหารผู้ทำลายวิชาความรู้และความรู้แจ้งแห่งตนนี้เสีย
คำอธิบายฺ
องค์ภควานทรงแนะนำอารจุนะให้ทรงประมาณประสาทสัมผัสตั้งแต่ตอนแรกเพื่อให้สามารถกั้นขอบเขตของศัตรูบาปที่ร้ายกาจที่สุดคือตัวราคะ ซึ่งเป็นตัวทำลายพลังเพื่อความรู้แจ้งแห่งตนและวิชาความรู้แห่งตนโดยเฉพาะ กยานะฺ หมายถึงวิชาความรู้แห่งตน ซึ่งแตกต่างจากความรู้ที่ไม่ใช่ตน อีกนัยหนึ่ง คือความรู้ที่ว่าดวงวิญญาณไม่ใช่ร่างกาย วิกยานะฺ หมายถึงความรู้โดยเฉพาะ คือรู้ถึงสถานภาพพื้นฐานของดวงวิญญาณและความสัมพันธ์ที่ตนเองมีต่อดวงอภิวิญญาณสูงสุด ได้อธิบายไว้ใน ชรีมัด- บฺากะวะธัมฺ (2.9.31) ดังนี้
กยานัม พะระมะ-กุฮยัม เมฺ
ยัด วิกยานะ-สะมันวิทัมฺ
สะ-ระฮัสยัม ทัด-อังกัม ชะ
กริฮาณะ กะดิทัม มะยาฺ
“ความรู้แห่งตนเองและความรู้แห่งองค์ภควานเป็นความรู้ที่ลับเฉพาะ และลึกซึ้งมากความรู้เช่นนี้และความรู้แจ้งโดยเฉพาะนี้สามารถเข้าใจได้ หากองค์ภควานทรงอธิบายทุกแง่ทุกมุมด้วยพระองค์เอง” ภควัต-คีตาฺ ได้ให้ความรู้ทั่วไปและความรู้โดยเฉพาะของตัวเรา สิ่งมีชีวิตเป็นละอองอณูขององค์ภควาน ฉะนั้น ชีวิตเรามีไว้เพียงเพื่อรับใช้พระองค์เท่านั้น จิตสำนึกเช่นนี้เรียกว่าคริชณะจิตสำนึก จากตอนเริ่มต้นของชีวิตต้องเรียนรู้คริชณะจิตสำนึกนี้ หลังจากนั้นเราอาจมีคริชณะจิตสำนึกโดยสมบูรณ์และปฏิบัติตนตามนั้น
ราคะเป็นความวิปริตที่สะท้อนมาจากความรักแห่งองค์ภควานอันเป็นธรรมชาติของทุก ๆ ชีวิต หากเราได้รับการศึกษาในคริชณะจิตสำนึกตั้งแต่แรกเริ่ม ความรักองค์ภควานโดยธรรมชาติไม่สามารถเสื่อมทรามมาเป็นราคะได้ เมื่อความรักแห่งองค์ภควานเสื่อมทรามมาเป็นราคะ ยากมากที่จะให้กลับคืนมาสู่สภาวะปรกติดังเดิม แต่คริชณะจิตสำนึกมีพลังมากแม้แต่ผู้เริ่มต้นช้าก็ยังสามารถกลายมาเป็นผู้รักองค์ภควานได้ ด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งการอุทิศตนเสียสละรับใช้ ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิต หรือเริ่มจากจุดที่เข้าใจความฉุกเฉินนี้ เราสามารถเริ่มประมาณประสาทสัมผัสในคริชณะจิตสำนึกด้วยการอุทิศตนเสียสละรับใช้องค์ภควาน และเปลี่ยนจากราคะมาเป็นความรักพระองค์ ซึ่งเป็นระดับที่สมบูรณ์สูงสุดของชีวิตมนุษย์
อินดริยาณิ พะราณิ อาฮุร
อินดริเยบฺยะฮ พะรัม มะนะฮฺ
มะนะสัส ทุ พะรา บุดดฺิร
โย บุดเดฺฮ พะระทัส ทุ สะฮฺ
อินดริยาณิฺ - ประสาทสัมผัส, พะราณิฺ - สูงกว่า, อาฮุฮฺ - ได้กล่าวไว้, อินดริเยบฺยะฮฺ - มากกว่าประสาทสัมผัส, พะรัมฺ - เหนือกว่า, มะนะฮฺ - จิตใจ, มะนะสะฮฺ - มากกว่าจิตใจ, ทฺุ - เช่นเดียวกัน, พะราฺ - เหนือกว่า, บุดดฺิฮฺ - ปัญญา, ยะฮฺ - ใคร, บุดเดฺฮฺ - มากกว่าปัญญา, พะระทะฮฺ - เหนือกว่า, ทฺุ - แต่, สะฮฺ - เขา
คำแปลฺ
ประสาทสัมผัสที่ทำงาน สูงกว่าวัตถุที่ไม่มีชีวิต จิตใจสูงกว่าประสาทสัมผัส ปัญญาสูงไปกว่าจิตใจ และเขา (ดวงวิญญาณ) ยิ่งสูงขึ้นไปกว่าปัญญา
คำอธิบายฺ
ประสาทสัมผัสเป็นทางออกให้กิจกรรมของราคะ ราคะสงบนิ่งอยู่ภายในร่างกายแต่ได้รับการระบายออกผ่านทางประสาทสัมผัส ดังนั้น ประสาทสัมผัสจึงเหนือกว่าร่างกายทั้งร่าง ทางออกเหล่านี้ไม่ได้ใช้เมื่อมีจิตสำนึกที่สูงกว่าหรือมีคริชณะจิตสำนึก ในคริชณะจิตสำนึกดวงวิญญาณจะเชื่อมสัมพันธ์โดยตรงกับบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า ดังนั้น ลำดับชั้นตามหน้าที่ของร่างกายจะมาจบลงที่องค์อภิวิญญาณกิจกรรมของร่างกายหมายถึงหน้าที่ของประสาทสัมผัส และการหยุดประสาทสัมผัสหมายถึงการหยุดทำงานของร่างกายทั้งหมด แต่เนื่องจากจิตใจไม่เคยหยุดนิ่ง ถึงแม้ว่าร่างกายอาจจะนิ่งสงบและพักผ่อนแต่จิตใจยังคงทำงานต่อไป ดังเช่นขณะที่เราฝัน แต่เหนือไปกว่าจิตใจคือการตัดสินใจของปัญญา และเหนือไปกว่าปัญญาคือดวงวิญญาณ ฉะนั้น ถ้าหากดวงวิญญาณปฏิบัติงานกับองค์ภควานโดยตรง ตามธรรมชาติส่วนที่รองลงมาทั้งหมด เช่น ปัญญา จิตใจ และประสาทสัมผัสก็จะร่วมปฏิบัติงานโดยปริยาย ใน คะทะ-อุพะนิชัดฺ มีข้อความคล้าย ๆ กันซึ่งกล่าวไว้ว่า อายตนะภายนอกเพื่อสนองประสาทสัมผัสเหนือกว่าประสาทสัมผัส และจิตใจเหนือกว่าอายตนะภายนอกฉะนั้น หากจิตใจปฏิบัติงานโดยตรงในการรับใช้องค์ภควานอยู่เสมอจะไม่เปิดโอกาสให้ประสาทสัมผัสถูกใช้ไปในทางอื่น ท่าทีของจิตใจเช่นนี้ได้อธิบายไว้แล้ว พะรัม ดริชทวา นิวารทะเทฺ หากจิตใจถูกใช้ไปในการรับใช้ทิพย์แด่องค์ภควาน จะไม่เปิดโอกาสให้มันไปรับใช้นิสัยที่ต่ำกว่า ใน คะทะ-อุพะนิชัดฺ ได้อธิบายดวงวิญญาณว่า มะฮานฺ หรือยิ่งใหญ่ดังนั้นดวงวิญญาณอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เช่น อายตนะภายนอก อายตนะภายในหรือประสาทสัมผัส จิตใจ และปัญญา ดังนั้น การเข้าใจสถานภาพพื้นฐานอันแท้จริงโดยตรงของดวงวิญญาณคือคำตอบของปัญหาทั้งปวง
ด้วยสติปัญญาเราจะต้องค้นหาสถานภาพพื้นฐานอันแท้จริงของดวงวิญญาณและให้จิตใจทำงานในคริชณะจิตสำนึกอยู่เสมอซึ่งจะแก้ไขปัญหาทั้งหมด ผู้ปฏิบัติเริ่มแรกจะได้รับคำแนะนำให้อยู่ห่างจากอายตนะภายนอก นอกจากนี้ยังต้องฝึกจิตใจให้เข้มแข็งด้วยการใช้สติปัญญา และด้วยสติปัญญาเราใช้จิตใจของเราปฏิบัติในคริชณะจิตสำนึก จากการศิโรราบอย่างสมบูรณ์แด่บุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า จิตใจจะเข้มแข็งขึ้นโดยปริยาย ถึงแม้ว่าประสาทสัมผัสจะร้ายกาจมากเหมือนกับงูพิษ แต่จะกลายมาเป็นงูพิษที่ปราศจากเขี้ยว แม้ว่าดวงวิญญาณเป็นนายของปัญญา จิตใจ รวมทั้งประสาทสัมผัส ถึงกระนั้นดวงวิญญาณจะยังต้องได้รับการฝึกฝนให้เข้มแข็งด้วยการมาคบหาสมาคมกับคริชณะในคริชณะจิตสำนึก มิฉะนั้น จะมีโอกาสตกต่ำลงอันเนื่องมาจากจิตใจที่หวั่นไหว
เอวัม บุดเดฺฮ พะรัม บุดดฺวา
สัมสทับฺยาทมานัม อาทมะนาฺ
จะฮิ ชัทรุม มะฮา-บาโฮ
คามะ-รูพัม ดุราสะดัมฺ
เอวัมฺ - ดังนั้น, บุดเดฺฮฺ - แด่ปัญญา, พะรัมฺ - เหนือกว่า, บุดดฺวาฺ - รู้, สัมสทับฺยะฺ - ด้วยความมั่นคง, อาทมานัมฺ - จิตใจ, อาทมะนาฺ - ด้วยปัญญาที่สุขุม, จะฮิฺ - ได้ชัยชนะ, ชัทรุมฺ - ศัตรู, มะฮา-บาโฮฺ - โอ้ นักรบผู้เก่งกล้า, คามะ-รูพัมฺ - ในรูปของราคะ, ดุราสะดัมฺ - น่าสะพรึงกลัว
คำแปลฺ
ดังนั้น เมื่อรู้ว่าตนเองเป็นทิพย์อยู่เหนือประสาทสัมผัสวัตถุ จิตใจ และปัญญา โอ้อารจุนะ นักรบผู้เก่งกล้า เธอควรทำจิตใจให้แน่วแน่มั่นคงด้วยปัญญาทิพย์ที่สุขุม(คริชณะจิตสำนึก) และด้วยพลังทิพย์จงกำราบเจ้าตัวราคะ ศัตรูผู้ไม่รู้จักพอ
คำอธิบายฺ
บทที่สามของ ภควัต-คีตาฺ นี้ ได้นำเรามาถึงจุดสรุปของคริชณะจิตสำนึกด้วยการรู้จักตนเองว่าเป็นผู้รับใช้นิรันดรของบุคลิกภาพสูงสุดแห่งพระเจ้า โดยไม่พิจารณาว่าในที่สุดคือความว่างเปล่าไร้บุคลิกภาพ ในชีวิตความเป็นอยู่ทางวัตถุ แน่นอนว่าเราจะต้องได้รับอิทธิพลที่มีนิสัยชอบราคะ และต้องการมีอำนาจเหนือทรัพยากรธรรมชาติวัตถุ ความต้องการเป็นเจ้าเหนือหัวและต้องการสนองประสาทสัมผัสเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของพันธวิญญาณ แต่ด้วยพลังอำนาจแห่งคริชณะจิตสำนึก เราสามารถควบคุมประสาทสัมผัสทางวัตถุ จิตใจ และปัญญาได้ เราอาจจะไม่ต้องยกเลิกการงานและหน้าที่ที่กำหนดไว้ทั้งหมดโดยฉับพลัน แต่ด้วยการพัฒนาคริชณะจิตสำนึกทีละน้อยเราสามารถสถิตในสถานภาพทิพย์โดยไม่ถูกอิทธิพลของประสาทสัมผัสวัตถุและจิตใจครอบงำ ด้วยปัญญาอันแน่วแน่มั่นคงจะนำเราไปสู่ตัวของเราเองที่บริสุทธิ์ นี่คือข้อสรุปของบทนี้ ในระดับความเป็นอยู่ทางวัตถุที่ยังไม่พัฒนา การคาดคะเนทางปรัชญาและความพยายามที่ฝืนธรรมชาติในการที่จะควบคุมประสาทสัมผัสด้วยการฝึกปฏิบัติสิ่งที่เรียกว่าท่าโยคะต่าง ๆ จะไม่มีวันช่วยให้มาสู่ชีวิตทิพย์ เราจะต้องได้รับการฝึกฝนในคริชณะจิตสำนึกด้วยสติปัญญาที่สูงกว่า
ดังนั้น ได้จบคำอธิบายโดยบฺัคธิเวดันธะ บทที่สามของหนังสือฺ ชรีมัด บฺะกะวัด-กีทา ในหัวข้อเรื่อง คารมะ-โยกะ หรือการปฏิบัติหน้าที่ของตนที่กำหนดไว้ในคริชณะจิตสำนึกฺ